การพยาบาลผู้ป่วยที่มีแผล
ผิวหนังประกอบด้วย3 ชั้น
- ชั้นหนังกำพร้า(epidermis)
- ชั้นหนังแท้(dermis)
- ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง(subcutaneous)
ชนิดของแผลและปัจจัยการส่งเสริมการหายของแผล
Type of wound
- แบ่งตามสาเหตุ
- แบ่งตามลักษณะ
- แบ่งตามลำดับความสะอาด
- แบ่งตามระยะเวลาการเกิด
- แบ่งตามการรักษา
ชนิดของแผลแบ่งตามสาเหตุ
แผลที่เกิดจากการผ่าตัด เรียก
surgical wound
sterile wound
incision wound
แผลที่เกิดจากถูกของมีคมตัด เรียก
cut wound
แผลจากโดนมีดฟัน
ถูกเศษแก้วบาด
แผลที่เกิดจากถูกของมีคมทิ่มแทง เรียก
stabwound หรือ peneturatingwound
แผลถูกแทงด้วยมีด
แผลจากการเหยียบตะปู
แผลที่เกิดจากโดนระเบิด เรียก
explosive wound
แผลที่เกิดจํากถูกบดขยี้ เรียก
crush wound
แผลถูกเครื่องบดนิ้วมือ
แผลที่เกิดจากการกระแทกด้วยวัตถุลักษณะมน เรียก
traumatic wound
แผลของอวัยวะภายในช่องท้องถูกกระแทกจากพวงมาลัยรถยนต์ขณะเกิดอุบัติเหตุ
แผลที่เกิดจากถูกยิง เรียก
gunshot wound
แผลที่มีขอบแผลขาดกะรุ่งกะริ่ง เรียก
lacerated wound
แผลที่เกิดจากการถูไถลถลอก เรียก
abrasion wound
แผลที่เกิดจํากกํารติดเชื้อมีหนอง เรียก
infected wound
แผลที่เกิดจากการตัดอวัยวะบํางส่วน เรียก
stump wound
แผลตัดเหนือเข่า
แผลที่เกิดจํากกํารกดทับ เรียก
pressure sore
bedsore
decubitus
ulcer
pressure injury
แผลที่เกิดจํากการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและเคมี
จากไฟไหม้น้ำร้อนลวก (burn and scald)
จากสารเคมีที่เป็นด่าง(alkaline burn)
จากสารเคมีที่เป็นกรด(acid burn)
จากถูกความเย็นจัด(frost bite)
จากไฟฟ้าช็อต (electrical burn)
จากรังสี(radiation burn)
แผลที่เกิดจากการปลูกผิวหนัง
แผลที่เกิดจากการปลูกผิวหนังซึ่งจะทำให้เกิดแผล 2 ตำแหน่ง
ส่วนที่ตัดผิวหนังออกมา(donor site)
ส่วนที่เป็นแผลเดิมที่นำผิวหนังส่วนที่ตัดออกมาปลูกผิวหนัง
ชนิดของแผลแบ่งตามลักษณะพื้นผิว
แผลลักษณะแห้ง (dry wound)
แผลลักษณะเปียกชุ่ม (wet wound)
ลักษณะของแผลมีขอบแผลติดกัน อาจเกิดกํารติดกันเอง หรือจากการเย็บด้วยวัสดุเย็บแผล ไม่มีสํารคัดหลั่ง
แผลผ่าตัดเย็บปิด
ลักษณะของขอบแผลไม่ติดกัน หรือขอบแผลกว้าง มีสารคัดหลั่ง
แผลผ่าตัดยังไม่เย็บปิด (delayedsuture)
ชนิดของแผลแบ่งตามลำดับความสะอาด
Class I: Clean wound ประเภทที่ 1 แผลผ่าตัดสะอาด อัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ≤2%
ลักษณะเป็นแผลที่ไม่มีการติดเชื้อ
ไม่มีการอักเสบมาก่อน
การผ่าตัดไม่ผ่านระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหาร,อวัยวะสืบพันธุ์, ท่อปัสสาวะ,blunt trauma
ที่ไม่มีการแทงทะลุหรือฉีกขาด
เป็นแผลผ่าตัดชนิดปิด
ถ้ามีท่อระบายต้องเป็นชนิดระบบปิด (closed drainage)
THR
TKR
Mastectomy
Thyroidectomy
Class II: Clean-contaminated ประเภทที่ 2 แผลสะอาดกึ่งปนเปื้อน อัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อ 5-15 %
ลักษณะแผลที่มีการผ่าตัดผ่านระบบทางเดินหายใจ, ระบบทางเดินอาหาร, ระบบทางเดินปัสสาวะ
เป็นการผ่าตัดที่เกี่ยวกับท่อน้ำดี, อวัยวะสืบพันธุ์ และช่อง oropharynx ที่ควบคุมการเกิดปนเปื้อนได้ขณะทำผ่าตัด
Tracheostomy
Tonsillectomy
Gastrectomy
Kidney transplantation
Cholecystectomy
Appendectomy (normal appendix)
A-P repair
Circumcision
TAH
Class III: Contaminated ประเภทที่ 3 แผลปนเปื้อน อัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ≥15%
แผลเปิด (open wound)
แผลจากการได้รับอุบัติเหตุแผลที่เกิดการปนเปื้อนสํารคัดหลั่งจากระบบทางเดินอาหาร
แผลสด (fresh wound)
เป็นแผลที่มีการอักเสบเฉียบพลัน
แผลถูกแทง (stabbedwound)
แผลถูกยิง (gunshot wound)
Class IV: Dirty/Infected ประเภทที่ 4 แผลสกปรก/แผลติดเชื้อ อัตราเสี่ยงต่อกํารติดเชื้อ ≥30%
แผลเก่า (old traumatic wound)
แผลมีเนื้อตาย (gangrene)
แผลมีการติดเชื้อมาก่อน
แผลกระดูกหักเกิน 6 ชั่วโมง
แผลไส้ติ่งแตก (Ruptured appendicitis) เยื่อหุ้มช่องท้องอักเสบ (Peritonitis)
ชนิดของบาดแผลแบ่งตามระยะเวลาการเกิด
การรักษาผู้ป่วยศัลยกรรมกระดูกด้วยวิธีการจัดกระดูกให้อยู่นิ่ง
ดามกระดูกด้วยเหล็กหรือแผ่นเหล็กและตะปูเกลียว
การใช้เครื่องตรึงกระดูกภายนอกร่างกาย (external fixator) จึงมีแผลที่รอยเจาะกระดูก และแผลที่ผิวหนัง
การรักษาแผลด้วยสุญญากาศ
(Negative Pressure Wound Therapy: NPWT)
เป็นการรักษาแผลที่มีเนื้อตาย หรือแผลเรื้อรังโดยการปิดแผลสุญญากาศ
มีวัตถุประสงค์ เพื่อช่วยให้แผลหํายเร็วขึ้น และมีกลไกกํารทำงาน ดังนี้
ลดการบวมของแผลและเนื้อเยื่อใกล้เคียงทันทีที่เปิดเครื่องดูดสุญญากาศ
เพิ่มปริมาณเลือดมาสู่แผล ผลจากแรงระหว่างเนื้อเยื่อแผลกับแผ่นโฟมทำให้เลือดไหลมาสู่แผล
กระตุ้นการงอกใหม่ของเซลล์ แรงจากการยืด
ลดแบคทีเรียในแผล
แผลท่อระบาย เป็นแผลผ่าตัดซึ่งศัลยแพทย์เจาะผิวหนังเพื่อใส่ท่อระบายของเสียจากการผ่าตัดเป็นท่อระบายระบบปิด
tube drain
jackson’ Patt drain
redivac drain
hemovac drain
nephrostomy tube drain
ส่วนท่อระบายระบบเปิด
Penrose drain
แผลท่อหลอดคอ (tracheostomy tube)
เป็นแผลท่อระบายที่ศัลยแพทย์ ทำการผ่าตัดเปิดหลอดลมเพื่อใส่ท่อช่วยหายใจในผู้ป่วยที่มีปัญหาของระบบทางเดินหายใจ
แผลท่อระบํายทรวงอก (chest drain)
เป็นแผลท่อระบํายที่ศัลยแพทย์ทำกํารเจาะปอด เพื่อใส่ท่อระบายของเสียออกจากปอดในผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพของปอด
ผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกในปอด (hemothorax)
ผู้ป่วยที่มีภาวะลมรั่วในปอด (pneumothorax)
แผลทวํารเทียมหน้าท้อง (colostomy)
เป็นแผลท่อระบายที่ศัลยแพทย์ทeผ่ําตัดเปิดลeไส้ใหญ่ออกทํางหน้าท้อง เพื่อระบายอุจจาระในผู้ป่วยที่มีปัญหาของระบบทํางเดินอาหาร
ปัจจัยที่มีผลต่อการหายของบาดแผล
ปัจจัยเฉพาะที่ (Local factors)
แรงกด (pressure)
ภาวะแวดล้อมแห้ง (dry environment)
การได้รับอันตรายและอาการบวม (trauma and edema)
การติดเชื้อ (infection)
ภาวะเนื้อตาย (necrosis)
slough มีลักษณะเปียก (moist) สีเหลือง (yellow)เหนียว (stringy) หลวมยืดหยุ่น (loose) ปกคลุมบาดแผล
eschar
มีลักษณะหนา เหนียว (thick) คล้ายหนังสัตว์มีสีดำ (black) ลักษณะเนื้อตายนี้ต้องตัดออกก่อนการทำความสะอาดแผล จะทำให้แผลหายได้ดีตามลำดับ
ปัจจัยระบบ (Systemic factors)
ความไม่สุขสบาย (incontinence)
อายุ (age)
โรคเรื้อรัง(chronic disease)
น้ำในร่างกาย (body fluid)
การไหลเวียนของโลหิตบกพร่อง (vascular insufficiencies)
ภาวะกดภูมิคุ้มกันและรังสีรักษา
ภาวะโภชนาการ (nutritional status)
ลักษณะและกระบวนการหายของแผล
ลักษณะการหายของแผล
การหายของแผลแบบปฐมภูมิ
การหายของแผลแบบทุติยภูมิ
การหายของแผลแบบตติยภูมิ
การรักษาโดยการเย็บดึงขอบแผลเข้าหากัน
การรักษาโดยการทำแผลจนเกิดมีเนื้อเยื่อใหม่ มาปกคลุม ซึ่งต้องใช้ระยะเวลานาน เนื่องจากแผลมีขนาดกว้าง จึงมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง
แผลขนาดเล็กน้อยแล้วแผลสมานหายได้เองตามธรรมชาติ
ศัลยแพทย์จะพิจารณาปลูกถ่ํายผิวหนัง (skin graft) โดยนำผิวหนังของผู้ป่วยมาปะติดคลุมแผล
กระบวนการหายของแผล(Stage of wound healing)
ระยะ1: ห้ามเลือดและอักเสบ (Hemostasis and Inflammatory phase)
จะเกิดขึ้นก่อน ในเวลา 5-10 นําที
ระยะนี้แผลปกติจะใช้เวลา1-3 วัน
ระยะ2: การสร้างเนื้อเยื่อ (Proliferate phase)
เป็นระยะการสร้ํางเนื้อเยื่อใหม่จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 4-12 วัน
หลังการเกิดบาดแผลในระยะนี้แผลจะเริ่มแข็งแรงขึ้น และการหดตัวมากขึ้นแผลจะเริ่มแห้ง ตกสะเก็ด และสารคัดหลั่ง ลดลง
ระยะ3: การเสริมความแข็งแรง (Remodeling phase)
เป็นระยะสุดท้ายของกํารสร้างและความสมบูรณ์ของคอลลาเจน
ระยะที่บาดแผลเริ่มมีความแข็งแรงมากขึ้น แผลเริ่มเล็กลงและแข็งแรงมากขึ้น
การบันทึกลักษณะบาดแผล
มาตรการวัดของแผล คือ
ความยาว (length)
ความกว้าง (width)
ความลึก (depth)
ช่องโพรง(tunneling)
สิ่งที่ควรระบุในการบันทึกบาดแผล
- ชนิดของบาดแผล
2.ตำแหน่ง/บริเวณ เช่น
3.ขนาด
4.สี
5.ลักษณะผิวหนัง
6.ขั้นหรือระยะความรุนแรงของบาดแผล
7.สิ่งที่ปกคลุมบําดแผลหรือสารคัดหลั่ง (discharge)
แผลผ่าตัด(incision wound)
เย็บกี่เข็ม (stitches)
ตำแหน่ง RLQ
ควรระบุเป็นเซนติเมตร
แดง (readiness)
เหลือง (yellow)
ดำ (black) หรือปนกัน
ผื่น (rash)
เปียกแฉะ (Incontinence)
ตุ่มน้ำพองใส (bruises)
แผลกดทับขั้น 4(4thstage)
หนอง (pus)
สารคัดหลั่งเหนียวคลุมแผล(slough)
วิธีการเย็บแผลและวัสดุที่ใช้ในการเย็บแผล
วิธีการเย็บแผล
- Continuous method
- Interrupted method
Simple interrupted method
Interrupted mattress method
- Subcuticular method
- Retention method (Tension method)
วัสดุที่ใช้ในการเย็บแผล
วัสดุที่ละลายได้เอง (Absorbable sutures)
เส้นใยธรรมชาติ
เส้นใยสังเคราะห์
วัสดุที่ไม่ละลายเอง (Non-absorbable sutures)
เส้นใยตามธรรมชาติ
เส้นใยสังเคราะห์
วัสดุที่เย็บเป็นโลหะ
catgut ทำมาจาก collagen ใน submucosa ของลำไส้แกะหรือวัว
เริ่มยุ่ยสลาย4-5 วัน และจะหมดไปภายใน 2 สัปดาห์
polyglycolic acid (dexon), polyglycan (vicryl) และ polydioxanone (PDS
ไหมเย็บแผล(silk) ราคาถูก
nylon เส้นเหล่านี้มีความแข็งแรงมากกว่าไหมเย็บแผล
ลวดเย็บ (staples) เป็นวัสดุเย็บแผลสำเร็จรูป แต่ต้องมีเครื่องมือสำหรับใส่ลวดเย็บ
วิธีการทำแผลชนิดต่างๆและการตัดไหม
ชนิดของการทำแผล
การทำแผลแบบแห้ง(Dry dressing)
กํารทำแผลที่ไม่ต้องใช้ความชุ่มชื้นในการหายของแผล
การทำแผลแบบเปียก (Wet dressing)
การทำแผลที่ต้องใช้ความชุ่มชื้นในการหายของแผล
อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำแผล
อุปกรณ์ทำความสะอาดแผล
ชุดทำแผล (dressing set)
สารละลาย(solution)
แอลกอฮอล์ที่นิยมใช้ คือ alcohol 70%
น้ ําเกลือล้ํางแผล(normal saline solution) 0.9% NSS external use
เบตาดีน หรือโปรวิโดน ไอโอดีน
วัสดุสำหรับปิดแผล
ผ้าก๊อซ (gauze dressing) สำหรับปิดแผลขนาดเล็กและมีสารคัดหลั่งเล็กน้อย
ผ้าก๊อซหุ้มสำลี (top dressing) สำหรับปิดแผลที่มีสารคัดหลั่งจำนวนมําก
ผ้าซับเลือด (abdominal swab) ใช้ปิดแผลขนาดใหญ่ที่มีสารคัดหลั่งจำนวนมากบางทีเรียกว่า “fluff”
วํายก๊อซ (y-gauze) เป็นผ้าก็อซที่ตัดตรงกลางแผ่นเป็นรูปตัว Y ใช้ปิดแผลที่มีกํารใส่ท่อเพื่อระบํายสํารคัดหลั่ง
วาสลินก๊อซ (vaseline gauze) เป็นก๊อซชุบวาสลิน สำหรับปิดแผลเพื่อไม่ให้อากาศเข้าสู่แผล
ก๊อซเดรน (drain gauze) ผ้าก๊อซลักษณะเป็นสายยาว ใช้ใส่แผลที่มีรูโพรงขนาดเล็ก
transparent filmเป็นพลาสเตอร์กันน้ที่มี gauze สำเร็จรูป
แผ่นเทปผ้าปิดแผล เป็นแผ่นปิดแผลสำเร็จรูป มี gauze และแผ่นเทปพร้อมใช้
antibacterial gauze dressing เป็น gauze ปิดแผลชุบด้วยพาราฟิน และยาปฎิชีวนะฆ่ําเชื้อแบคทีเรียได้
วัสดุสำหรับยึดติดผ้าปิดแผล
อุปกรณ์อื่น ๆ
กรรไกรตัดไหม (operating scissor)กรรไกรตัดเชื้อเนื้อ (Metzenbaum) ช้อนขูดเนื้อตําย (curette) อุปกรณ์วัดความลึกของแผล (probe)
ภาชนะสำหรับทิ้งสิ่งสกปรก
การทำแผลผ่าตัดแบบแห้ง (Dry dressing)
- เปิดแผลโดยใช้มือ(ใส่ถุงมือ) หยิบผ้าปิดแผลโดยพับส่วนที่สัมผัสแผลอยู่ด้านในทิ้งลงชํามรูปไตหรือถุงพลาสติก เป็นต้น
2.เปิดชุดทำแผล (ตามหลักการของ IC)
- หยิบ non-tooth forceps ใช้คีบส่งของ sterile ทำหน้าที่เป็น transfer forceps
- หยิบtooth forceps ใช้รับของsterile ทำหน้าที่เป็นdressing forceps
- หยิบสำลีชุบ alcohol 70% เช็ดรอบๆ แผลวนจากในออกนอกห่างแผล 1 นิ้วเป็นบริเวณกว้าง 2 นิ้ว
- หยิบสำลีชุบ 0.9% NSS เช็ดจากบนลงล่างจนแผลสะอาดแล้วเช็ดด้วยสำลีแห้ง
- ทําแผลด้วย antiseptic solution ตามแผนการรักษา (ถ้ามี)
- ปิดแผลด้วยgauze ติดพลาสเตอร์ตามแนวขวางของลำตัวโดยเริ่มติดชิ้นแรกตรงกึ่งกลางของแผลและไล่ขึ้น-ลงตํามลำดับ ส่วนหัวและท้ายต้องปิดทับผ้าgauze กับผิวหนังให้สนิท
- เก็บอุปกรณ์ ถอดถุงมือ ถอดmask และล้างมือ ทิ้งขยะในถังขยะติดเชื้อทุกครั้ง
การทำแผลผ่าตัดแบบเปียก (Wet dressing)
1.เปิดแผลโดยใช้มือ(ใส่ถุงมือ) เปิดชุดทำแผลตามหลัก IC
- ทำความสะอาดริมขอบแผลเช่นเดียวกับการทำ dry dressing
- ใช้สำลีชุบน้ำเกลือหรือน้ำยาตามแผนการรักษาเช็ดภายในแผลจนสะอาด
- ใช้ผ้า gauze ชุบน้ำยา(solution) ใส่ในแผล(packing)เพื่อฆ่าเชื้อและดูดซับสารคัดหลั่งให้ความชุ่มชื้นแก่เนื้อเยื่อ
- ปิดแผลด้วยผ้าgauzeและปิดพลาสเตอร์ตามแนวขวางของลำตัว
การทำแผลผ่าตัดที่มีท่อระบาย (Tube drain)
- การเตรียมเครื่องใช้ในกํารทำแผล เช่น เดียวกับการทำแผลแบบแห้ง
- ใช้ non-tooth forceps (ทำหน้าที่เป็น transfer forceps)
หยิบสำลีชุบ alcohol70% ส่งต่อให้ tooth forceps เช็ดผิวหนังรอบท่อระบายวนจากในออกนอกแบบครึ่งวงกลมหรือวงกลมจนสะอาดทิ้งสำลีที่ใช้แล้วลงในชามรูปไตหรือถุงพลาสติกระวัง forceps สัมผัสชามรูปไตหรือถุงพลาสติก และระวังไม่ข้ามกรายชุดทำแผล
สำหรับ Penrose drain นั้นโดยปกติแพทย์จะมีแผนการรักษาให้ตัดท่อยางให้สั้นลง(short drain) ทุกวัน โดยอาจตัดออกครั้งละ 2-5เซนติเมตร (1นิ้ว) จึงต้องเพิ่มอุปกรณ์ในการทำแผลท่อระบาย ได้แก่ กรรไกรตัดไหม เข็มกลัดซ่อนปลาย
- ใช้สำลีชุบ NSS เช็ดตรงกลางแผลท่อระบําย แล้วเช็ดด้วยสำลีแห้ง
- ใช้สำลีชุบalcohol70% เช็ดท่อระบายจากเหนือแผลออกมาด้านปลายท่อระบาย เช็ดด้วยสำลีแห้ง
- กรณี Penrose drain และแพทย์มีแผนการรักษาให้ตัดท่อยางให้สั้น
- พับครึ่งผ้าgauzeวํางสองข้างของท่อระบายแล้ววางผ้า gauze ปิดทับท่อระบายอีกชั้น และปิดพลาสเตอร์ให้เรียบร้อย
- หลังการทำแผลเสร็จแล้วจัดท่าให้ผู้ป่วยสุขสบาย และดูแลสภาพแวดล้อม พยาบาลต้องให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัวเกี่ยวกับการดูแลตนเอง
การตัดไหม (Sutureremoval)
หลักการตัดไหม
1.ตรวจสอบคำสั่งกํารรักษาของแพทย์ทุกครั้งว่ามีจุดประสงค์ให้ตัดไหมทุกอัน (total stitches off) หรือตัดอันเว้นอัน (partial stitches off)
- เศษไหมที่เย็บแผลส่วนที่มองเห็นเป็นส่วนที่มีการสัมผัสเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ตามผิวหนังในการตัดและดึงไหมออกจึงไม่ควรดึงไหมส่วนที่มองเห็นลอดผ่านใต้ผิวหนัง และจะต้องดึงไหมออกให้หมด เพราะถ้าไหมตกค้างอยู่ใต้ผิวหนัง จะกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมและเกิดการอักเสบติดเชื้อได้
- ขณะตัดไหมหากพบว่ามีขอบแผลแยกให้หยุดทำ และปิดแผลด้วยวัสดุที่ช่วยดึงรั้งให้ขอบแผลติดกัน (sterile strip)
วิธีทำการตัดไหม
- ทำความสะอาดแผลใช้ alcohol 70% เช็ดรอบแผล
- การตัดไหมที่เย็บแผลชนิด interrupted method
ใช้ไหมผูกเป็นปมแยกเป็นอัน ๆ โดยใช้tooth forceps จับชายไหมส่วนที่อยู่เหนือปมที่ผูกไว้ ดึงขึ้นพอตึงมือจะเห็นไหมใต้ปมโผล่พ้นผิวหนังขึ้นมาและสอดปลายกรรไกรตัดไหมในแนวราบขนาดกับผิวหนังเล็กตัดไหมส่วนที่อยู่ชิดผิวหนังซึ่งอยู่ใต้ปมที่ผูกแล้วดึงไหมในลักษณะดึงเข้าหาแผลเพื่อป้องกันแผลแยก
- การตัดไหมที่เย็บแผลชนิด interrupted mattress
ใช้ไหมผูกปมเป็นอัน ๆ ชนิดสองชั้น ให้ตัดไหมส่วนที่มองเห็นและอยู่ชิดผิวหนังมากที่สุด ซึ่งอยู่ด้ํานตรงกันข้ามกับปมไหมให้ตัดไหมด้วยวิธีเดียวกับการเย็บแผลแบบ interrupted method
- การตัดไหมที่เย็บแผลแบบต่อเนื่อง continuous method
ให้ตัดไหมส่วนที่อยู่ชิดผิวหนังด้ํานตรงกันข้ามกับปมที่ผูกอันแรกและอันถัดไปด้านเดิม เมื่อดึงไหมออกส่วนที่เป็นปมผูกไว้อันแรก และส่วนที่อยู่ชิดผิวหนัง ซึ่งติดกับไหมที่เย็บอันที่สองจะหลุดออก ส่วนไหมปมอันถัดไปให้ตัดไหมส่วนที่อยู่ชิดผิวหนังด้านเดิม ทำเช่นนี้จนถึงปมไหมอันสุดท้าย
- กรณีที่ใช้ลวดเย็บเป็นวัสดุเย็บแผล
ทำความสะอาดแผลผ่าตัดตามปกติ การตัดลวดเย็บแผลต้องใช้เครื่องมือตัด เรียกว่ํา “removal staple” โดยอ้าส่วนปลายซึ่งมีลักษณะคล้ายคีมสอดใต้ลวดเย็บกดด้านมือจับให้ส่วนปลายกดวลดเย็บงอแล้วดึงลวดออกทีละเข็มจนครบ
- ภายหลังตัดไหมครบทุกเส้นแล้ว
เช็ดแผลด้วย normal saline 0.9% และเช็ดให้แห้งอีกครั้ง ปิดแผลต่อไว้อีก 1 วัน
วิธีการพันแผลชนิดต่างๆ
ชนิดของผ้าพันแผล
ผ้าสามเหลี่ยม (triangular bandage)
ผ้าพันแผลชนิดม้วน(roller bandage)
ผ้าพันแผลชนิดพิเศษ (special bandage)
หลักการพันแผล
- ผู้พันผ้าและผู้บาดเจ็บหันหน้าเข้าหากัน จัดท่าให้ผู้บาดเจ็บอยู่ในท่าที่สบายวางอวัยวะส่วนที่จะพันผ้าให้รู้สึกผ่อนคลาย
- ตำแหน่งที่ต้องการจะพันผ้าผิวหนังบริเวณนั้นต้องสะอาดและแห้ง
- การลงน้ำหนักมือเพื่อดึงผ้ําพันแผลควรระวังใช้น้ำหนักให้เหมาะสม ถ้าลงน้ำหนักมือมากอาจทำให้แน่นเกินไป
- ต้องทำความสะอาดบําดแผลและปิดผ้าปิดแผลให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงพันผ้าปิดทับต้องระวังหากพันแน่นเกินไปผู้ป่วยอาจเจ็บแผล
- ตำแหน่งที่บาดเจ็บ เช่น นิ้วมือ นิ้วเท้า ต้องใช้ผ้าก๊อสคั่นระหว่างนิ้วก่อนป้องกันการเสียดสีของผิวหนังอําจทำให้เกิดแผลระหว่างนิ้วได้
- การพันผ้าบริเวณเท้า ขา ตะโพก ต้องมีผู้ช่วยคอยประคองอวัยวะส่วนนั้นไว้ เพื่อช่วยให้ผู้พันผ้าสะดวกและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการพันผ้าในตำแหน่งนั้น ๆ
- การพันผ้าใกล้ข้อ ต้องพันผ้า โดยคำนึงถึงการขยับเคลื่อนไหวของข้อนั้นด้วย
วิธีการพันแผล
- การใช้ผ้าสามเหลี่ยม ผ้าสามเหลี่ยมเป็นสามเหลี่ยมที่มีมุมยอดเป็นมุมฉาก ขนาดของผ้าที่ใช้ขึ้นอยู่กับขนาดของตัวผู้ป่วยและอวัยวะที่ต้องการพันผ้า
- การใช้ผ้าพันแผลชนิดม้วน มีหลักการพันผ้า
เริ่มต้นพันผ้าจากส่วนเล็กไปหาส่วนใหญ่ พันผ้าเข้าหาตัวผู้ป่วย ตั้งต้นและจบผ้ําพันด้วยการพันรอบทุกครั้งเพื่อให้ผ้าไม่เลื่อนหลุด การเริ่มต้น การต่อผ้า หรือการจบของการพันผ้า ต้องระวังไม่ตำแหน่งที่เริ่มหรือจบผ้านั้นต้องไม่ตรงกับบริเวณที่เป็นแผลหรือบริเวณที่มีการอักเสบ เพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองและปวดมากขึ้นกํารเริ่มต้นพันผ้าต้องหงายม้วนผ้าขึ้น
การพันผ้าแบบชนิดม้วน
การพันแบบวงกลม(circular turn)
การพันแบบเกลียว (spiral turn)
การพันแบบเกลียวพับกลับ(spiral reverse)
การพันเป็นรูปเลข 8(figure of eight)
การพันแบบกลับไปกลับมา (recurrent)
ปัจจัยที่ทำให้เกิดแผลกดทับ ระยะของแผลกดทับและการป้องกันแผลกดทับ
ปัจจัยส่งเสริมการเกิดแผลกดทับ
ปัจจัยภายในร่างกาย
ปัจจัยภายนอกร่างกาย
ระยะของแผลกดทับ
ระดับที่1 ผิวหนังแดงไม่มีการฉีกขาดของผิวหนังและไม่จางหายไปภายใน 30 นาที
ระดับที่ 2 ผิวหนังแดงเริ่มมีแผลเล็กๆ มีหนังแท้ถูกทำลายฉีกขาดเป็นแผลตื้น มีรอยแดงบริเวณเนื้อเยื่อรอบๆ และเริ่มมีสารคัดหลั่งจากแผล
ระดับที่ 3 แผลลึกถึงชั้นไขมัน(subcutaneous)แต่ยังไม่ถึงชั้นกล้ามเนื้อ (muscle) มีรอยแผลลึก มีสิ่งขับหลั่งจากแผล เริ่มมีกลิ่นเหม็นยังไม่มีเนื้อตาย (necrosis tissue)
ระดับที่ 4 แผลลึกเป็นโพรงถึงกล้ามเนื้อ กระดูก และเยื่อหุ้มข้อ พบมีเนื้อตาย
บริเวณที่อาจเกิดแผลกดทับได้ง่ายในท่าทางต่าง ๆ
- ท่านอนหงาย บริเวณที่เกิดคือ ท้ายทอย ใบหูหลังส่วนบน ก้นกบ ข้อศอก ส้นเท้า
- ท่านอนคว่ำ บริเวณที่เกิดคือ ใบหูและแก้มหน้าอกและใต้ราวนม หน้าท้อง หัวไหล่ สันกระดูกตะโพก หัวเข่าปลํายเท้า
- ท่านอนตะแคง บริเวณที่เกิดคือ ศีรษะด้านข้าง หัวไหล่ กระดูกก้น ปุ่มกระดูกต้นขาฝีเย็บ หัวเข่าด้านหน้า ตาตุ่ม
- ท่านั่ง บริเวณที่เกิดคือ ก้นกบปุ่มกระดูกก้น หัวเข่าด้านหนัง กระดูกสะบัก เท้า ข้อเท้าด้านนอก
การป้องกันการเกิดแผลกดทับ
เฝ้าระวังการเกิดแผลกดทับโดยใช้เครื่องมือประเมินความเสี่ยงของการเกิดแผลกดทับ
เฝ้าระวังความเสี่ยงและควรการประเมินซ้ำเมื่อมีปัจจัยเสี่ยง
ลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับและเพิ่มปัจจัยเสริมการหายของแผล