Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่6 การพยาบาลผู้ป่วยที่มีแผล - Coggle Diagram
บทที่6
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีแผล
6.1 ชนิดของแผลและปัจจัยการส่งเสริมการหายของแผล
ชนิดของแผลแบ่งตามสาเหตุ
แผลที่เกิดจากการผ่าตัด เรียก surgical wound , sterile wound หรือ incision wound
แผลที่เกิดจากถูกของมีคมตัด เรียก cut wound เช่น แผลจํากโดนมีดฟัน หรือ ถูกเศษแก้วบาด
แผลที่เกิดจากถูกของมีคมทิ่มแทง เรียก stab wound หรือ peneturating wound เช่น แผลถูกแทงด้วยมีด หรือแผลจากการเหยียบตะปู
แผลที่เกิดจากโดนระเบิด เรียก explosive wound
แผลที่เกิดจากถูกบดขยี้เรียกcrushwoundเช่นแผลถูกเครื่องบดนิ้วมือ
แผลที่เกิดจากการรกระแทกด้วยวัตถุลักษณะมนเรียกtraumaticwoundเช่น แผลของอวัยวะภายในช่องท้องถูกกระแทกจากพวงมาลัยรถยนต์ขณะเกิดอุบัติเหตุ
แผลที่เกิดจากถูกยิง เรียก gunshot wound
แผลที่มีขอบแผลขาดกะรุ่งกะริ่ง เรียก lacerated wound
แผลที่เกิดจากาการถูไถลถลอก เรียก abrasion wound
แผลที่เกิดจากการติดเชื้อมีหนอง เรียก infected wound
แผลที่เกิดจากการตัดอวัยวะบางส่วน เรียก stump wound เช่น แผลตัดเหนือเข่า
แผลที่เกิดจากการกดทับ เรียก pressure sore, bedsore, decubitus ulcer
แผลที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและเคมี
แผลที่เกิดจากการปลูกผิวหนัง (skin graft) หมายถึง แผลที่เกิดจาการปลูกผิวหนังซึ่งจะทําให้เกิดแผล 2 ตําแหน่ง คือส่วนที่ตัดผิวหนังออกมน (donor site) ส่วนที่เป็นแผลเดิม ที่นําผิวหนังส่วนที่ตัดออกมําปลูกผิวหนัง (receipt site)
ชนิดของแผลแบ่งตามลักษณะพื้นผิว
แผลลักษณะแห้ง(drywound)หมายถึง ลักษณะของแผลมีขอบแผลติดกัน อาจเกิดการติดกันเอง หรือจากการเย็บด้วยวัสดุเย็บแผล ไม่มีสสนคัดหลั่ง เช่น แผลผ่าตัดเย็บปิด
แผลลักษณะเปียกชุ่ม (wet wound) หมายถึง ลักษณะของขอบแผลไม่ ติดกัน หรือขอบแผลกว้าง มีสารคัดหลั่ง เช่น แผลผ่นตัดยังไม่เย็บปิด(delayed suture)
ชนิดของแผลแบ่งตามลำดับความสะอาด
Class I: Clean wound ประเภทที่ 1 แผลผ่าตัดสะอาด
ลักษณะเป็นแผลที่ไม่มีการติดเชื้อ, ไม่มีการอักเสบมาก่อน, การผ่าตัดไม่ผ่านระบบทางเดิน หายใจ ระบบทางเดินอาหาร, อวัยวะสืบพันธุ์, ท่อปัสสาวะ, blunt trauma ที่ไม่มีการแทงทะลุหรือ ฉีกขาด เป็นแผลผ่าตัดชนิดปิด ถ้ามีท่อระบายต้องเป็นชนิดระบบปิด (closed drainage)
Class II: Clean-contaminated ประเภทที่ 2 แผลสะอาดกึ่งปนเปื้อน
ลักษณะแผลที่มีการผ่าตัดผ่านระบบทางเดินหายใจ, ระบบทางเดินอาหาร, ระบบทางเดิน ปัสสําวะ, เป็นการผ่าตัดที่เกี่ยวกับท่อน้ําดี, อวัยวะสืบพันธุ์ และช่อง oropharynx ที่ควบคุมการเกิดปนเปื้อนได้ขณะทําผ่าตัด
Class III: Contaminated ประเภทที่ 3 แผลปนเปื้อน
ลักษณะแผลเปิด (open wound) แผลสด (fresh wound) แผลจากการได้รับอุบัติเหตุแผลที่เกิด การปนเปื้อนสารคัดหลั่งจากระบบทางเดินอาหารเป็นแผลที่มีการอักเสบเฉียบพลัน
Class IV: Dirty/Infected ประเภทที่ 4 แผลสกปรก/แผลติดเชื้อ
ลักษณะแผลเก่า (old traumatic wound) แผลมีเนื้อตาย (gangrene) แผลมีการติดเชื้อมาก่อน แผลกระดูกหักเกิน 6 ชั่วโมง
ชนิดของบาดแผลแบ่งตามระยะเวลาการเกิด
แผลที่เกิดเฉียบพลัน (acute wound) เป็นการเกิดแผล และรักษาให้หายใน ระยะเวลาอันสั้น หรือการหายของแผลเป็นไปตามขั้นตอนการหายของบาดแผล เช่น แผลจากการผ่าตัด
แผลเรื้อรัง (chronic wound) เป็นแผลที่เกิดขึ้นเป็นระยะเวลานาน และรักษายากหรือรักษาเป็นเวลานาน อาจมีอาการแทรกซ้อนตามมาภายหลัง เช่น แผลเบาหวาน
แผลเนื้อตาย (gangrene wound) เป็นแผลที่เกิดจากการขาดเลี้ยงไปเลี้ยงหรือเลือดมสเลี้ยงไม่เพียงพอ สําเหตุจากหลอดเลือดตีบแข็ง เช่น แผลเบสหวานที่มีลักษณะสีดําและมีกลิ่นเหม็น
ชนิดของแผลแบ่งตามการรักษา
การรักษาผู้ป่วยศัลยกรรมกระดูกด้วยวิธีกํารจัดกระดูกให้อยู่นิ่ง (retention) ด้วยการดามกระดูกด้วยเหล็ก หรือแผ่นเหล็กและตะปูเกลียว (plate and screw) หรือการใช้เครื่อง ตรึงกระดูกภายนอกร่างกาย (external fixator) จึงมีแผลท่ีรอยเจาะกระดูก และแผลที่ผิวหนัง
การรักษาแผลด้วยสุญญากาศ (Negative Pressure Wound Therapy: NPWT) เป็นการรักษาแผลที่มีเนื้อตาย หรือแผลเรื้อรังโดยการปิดแผลสุญญากาศ
แผลท่อระบายเป็นแผลผ่าตัดซึ่งศัลยแพทย์เจาะผิวหนังเพื่อใส่ท่อระบายของเสียจากการผ่าตัดเป็นท่อระบายระบบปิด ได้แก่ tube drain, Jackson’ Patt drain, redivac drain, hemovac drain, nephrostomy tube drain ส่วนท่อระบายระบบเปิด ได้แก่ Penrose drain
แผลท่อหลอดคอ(tracheostomytube)เป็นแผลท่อระบายที่ศัลยแพทย์ ทําการผ่าตัดเปิดหลอดลม เพื่อใส่ท่อช่วยหายใจในผู้ป่วยที่มีปัญหาของระบบทางเดินหายใจ
แผลท่อระบายทรวงอก (chest drain) เป็นแผลท่อระบายที่ศัลยแพทย์ ทําการเจาะปอด เพื่อใส่ท่อระบายของเสียออกจากปอดในผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพของปอด
แผลทวารเทียมหน้าท้อง(colostomy)เป็นแผลท่อระบายที่ศัลยแพทย์ทําผ่าตัด เปิดลําไส้ใหญ่ออกทางหน้าท้อง เพื่อระบายอุจจาระในผู้ป่วยที่มีปัญหาของระบบทางเดินอาหาร
ปัจจัยที่มีผลต่อการหายของบาดแผล
ปัจจัยเฉพาะที่ (Local factors)
1.1 แรงกด (pressure) การนอนในท่าเดียวนานๆ ทําให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก เลือดไปเลี้ยงบาดแผลน้อยลงเกิดเป็นรอยแดง หรือทําให้แผลเกิดการลุกลามมากยิ่งขึ้น
1.2 ภาวะแวดล้อมแห้ง (dry environment) การหายของแผลและมีความเจ็บปวด น้อยในภาวะแวดล้อมชุ่มชื้นหายเร็ว 3-5 เท่า ในภาวะแวดล้อมแห้งกว่า
1.3 การได้รับอันตรายและอาการบวม (trauma and edema) การได้รับอันตรายทำให้เนื้อเยื่อเกิดอาการบวม (edema) อาการบวมส่งผลกระทบต่อการขนส่งออกซิเจน และสารอาหารเข้าสู่แผลทําให้แผลหายช้ส
1.4 การติดเชื้อ (infection) ทําให้แผลหายช้า ในกรณีที่ทีการติดเชื้อจึงต้องเก็บสิ่ง ตัวอย่างส่งตรวจ (specimen) เช่น เก็บหนองส่งเพาะเชื้อ (culture) เพื่อการรักษาโดยเลือกใช้ยา ปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์ฆ่รเชื้อโรคชนิดนั้นได้
1.5 ภาวะเนื้อตาย (necrosis)
1.5.1 slough มีลักษณะเปียก (moist) สีเหลือง (yellow) เหนียว (stringy)หลวมยืดหยุ่น (loose) ปกคลุมบาดแผล
1.5.2 eschar มีลักษณะหนา เหนียว (thick) คล้ายหนังสัตว์มีสีดํา (black)ลักษณะเนื้อตายนี้ต้องตัดออกก่อนการทำความสะอาดแผล จะทําให้แผลหายได้ดีตสมลําดับ
1.6 ความไม่สุขสบาย (incontinence) การปัสสาวะและอุจจาระกะปิดกะปอยทําให้ผิวหนังเปียกแฉะทําให้แผลสกปรกตลอดเวลา เป็นปัญหาในการดูแลแผล
ปัจจัยระบบ (Systemic factors)
2.1 อายุ (age) คนที่มีอายุน้อยบาดแผลจะหายได้เร็วกว่าคนที่มีอายุมากเพราะ มีภาวะการเจริญเติบโตและสุขภาพแข็งแรงกว่า โอกาสเกิดแผลเป็นได้น้อยกว่า
2.2 โรคเรื้อรัง (chronic disease) โรคที่มีผลกระทบต่อการหายของแผล ได้แก่ โรคหลอดเลือดแดง (coronary artery disease) โรคเกี่ยวกับหลอดเลือดส่วนปลาย (peripheral vascular disease) มะเร็ง (cancer) เบาหวาน (diabetes mellitus)
2.3 น้ําในร่างกาย (body fluid) ผู้ป่วยอ้วนกยของแผลค่อนข้างช้าเพราะเลือดไปเลี้ยงน้อยทําให้เซลล์ได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่พอเพียงต่อการหายของแผล
2.4 การไหลเวียนของโลหิตบกพร่อง (vascular insufficiencies) กรณีมีแผลของ อวัยวะส่วนปลายย (lower extremities) โดยเฉพาะแผลเบาหวาน แผลกดทับ จะทําให้บนดแผลหาย ช้ากว่าที่ควรจะเป็น
2.6 ภาวะโภชนาการ (nutritional status) สารอาหารที่จําเป็นต่อการหายของแผล คือ โปรตีน, อัลบูมิน, คาร์โบไฮเดรต, ไขมัน, วิตามินเอ, ซี, เค, บี6, บี2, บี 1, ทองแดง (Cu), เหล็ก (Fe) และสังกะสี (Zn)
2.5 ภาวะกดภูมิคุ้มกันและรังสีรักษา (immunosuppression and radiation therapy) การกดภูมิคุ้มกันอันเนื่องมาจากโรค หรือยาส่งผลทําให้แผลหายช้าและกํารรักษาด้วยรังสีรักษาอาจเป็น สาเหตุทําให้เกิดแผลหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงของสีผิวหนังในขณะหรือหลังการรักษา
6.2 ลักษณะและกระบวนการหายของแผล
การหายของแผลแบบปฐมภูมิ(Primaryintentionhealing)
เป็นแผลประเภทที่ผิวหนังมีการสูญเสียเนื้อเยื่อเพียงเล็กน้อย และเป็นแผลที่สะอาด
การหายของแผลแบบทุติยภูมิ(Secondaryintentionhealing)
เป็นแผลขนาดใหญ่ที่เนื้อเยื่อถูกทําลาย มีการสูญเสียเนื้อเยื่อบางส่วน ขอบแผลมีขนาดกว้างเย็บแผลไม่ได้ การรักษา โดยการทำแผลจนเกิดมีเนื้อเยื่อใหม่ (granulation tissue) มาปกคลุม ซึ่งต้องใช้ระยะเวลานาน เนื่องจากแผลมีขนาดกว้าง จึงมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง
การหายของแผลแบบตติยภูมิ(Tertiaryintentionhealing)
เป็นแผลชนิดเดียวกับ แผลทุติยภูมิ เมื่อทําการรักษาโดยการทําแผลจนมีเนื้อเยื่อเกิดใหม่ปกคลุมสีแดงสด และไม่มีอาการ การแสดงภาวะติดเชื้อแล้ว ศัลยแพทย์จะพิจารณาปลูกถ่ายผิวหนัง (skin graft) โดยนําผิวหนังของผู้ป่วยมาปะติดคลุมแผล
กระบวนการหายของแผล (Stage of wound healing)
ระยะ 1: ห้ามเลือดและอักเสบ (Hemostasis and Inflammatory phase)
การห้ามเลือด (hemostasis) จะเกิดขึ้นก่อน ในเวลา 5-10 นาที เซลล์ที่มีความสําคัญของระยะนี้ ได้แก่ platelets, neutrophils, and macrophages
ระยะ 2: การสร้างเนื้อเยื่อ (Proliferate phase)
เป็นระยะการสร้างเนื้อเยื่อใหม่จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 4-12 วัน ซึ่งจะเห็น fibroblast (เป็น connective tissue ชนิดหนึ่ง) เกิดขึ้นในแผล
ระยะ 3: การเสริมความแข็งแรง (Remodeling phase)
เป็นระยะสุดท้ายของการสร้าง และความสมบูรณ์ของคอลลาเจน ซึ่งfibroblast จะเปลี่ยนเป็น myofibroblast (เป็นเนื้อเยื่อลักษณะ เป็นกล้ามเนื้อ) ที่มีความแข็งแรงเพิ่มมากข้ึนกว่า fibroblast ความแข็งแรง ร้อยละ 20 ของผิวหนังปกติ ระยะนี้จะใช้เวลาหลังการผ่าตัด 20 วัน
การบันทึกลักษณะบาดแผล
ชนิดของบาดแผล เช่น แผลผ่าตัด (incision wound) เย็บกี่เข็ม (stitches)
ขนาด ควรระบุเป็นเซนติเมตร
สี เช่น แดง (readiness) เหลือง (yellow) ดํา (black) หรือปนกัน
ลักษณะผิวหนัง เช่น ผื่น (rash) เปียกแฉะ (Incontinence) ตุ่มน้ําพองใส (bruises)
สิ่งที่ปกคลุมบาดแผลหรือสารคัดหลั่ง (discharge) เช่น หนอง (pus) สํารคัดหลั่ง
ขั้นหรือระยะความรุนแรงของบาดแผล เช่น แผลกดทับขั้น 4 (4th stage)
ตําแหน่ง/บริเวณ เช่น ตําแหน่ง RLQ
วิธีการเย็บแผล
Continuous method เป็นวิธีการเย็บแผลแบบต่อเนื่องตลอดความยาวของแผล หรือ ความยาวของวัสดุเย็บแผล โดยไม่มีการตัดจนกว่าจะเสร็จส้ินการเย็บแผล
Interruptedmethodเป็นวิธีการเย็บแผลที่ต้องตัดวัสดุเย็บแผลในทุกฝีเข็ม
2.1 Simple interrupted method เป็นวิธีการเย็บแผลเพื่อดึงรั้งให้ขอบแผลทั้งสองติดกัน เหมาะสําหรับเย็บบาดแผลผิวหนังทั่วไป
2.2 Interrupted mattress method เป็นวิธีการเย็บแผลโดยการตักเข็มเย็บที่ ขอบแผลสองครั้ง ใช้ในรายที่ต้องการความแข็งแรงของแผล เหมาะสําหรับเย็บแผลที่ลึกและยาว
Subcuticular method เป็นการเย็บแผลแบบ continuous method แต่ใช้เข็มตรงในการเย็บ และซ่อนวัสดุเย็บแผลไว้ในชั้นใต้ผิวหนัง เหมาะสําหรับการเย็บด้านศัลยกรรมตกแต่งเพื่อความสวยงาม เพราะวัสดุที่ใช้เย็บเป็นวัสดุชนิดละลายได้เองจึงมีโอกาสเกิดแผลเป็นได้น้อย เนื่องจาก ใช้ไหมละลายเป็นวัสดุในการเย็บแผลจึงไม่ต้องตัดไหมออกเมื่อครบกําหนด
Retention method (Tension method) เป็นวิธีการเย็บรั้งแผลเข้าหากัน เพื่อพยุงแผลในกรณีผู้ที่มีชั้นไขมันหน้าท้องหนา หรือแผลที่ตึงมาก และแผลท่ีต้องการทํา secondary suture วัสดุเย็บแผลท่ีนิยมใช้ คือ nylon, steel wire, linen และต้องหาวัสดุป้องกันเส้นวัสดุเย็บ แผลกดทับแผลโดยตรง เช่น ท่อยางหุ้มสายลวด หรือกระดุม
วิธีการทำแผลชนิดต่างๆ และการตัดไหม
ชนิดของการทำแผล
การทำแผลผ่าตัดแบบแห้ง (Dry dressing)
เปิดแผลโดยใช้มือ(ใส่ถุงมือ)หยิบผ้าปิดแผลโดยพับส่วนที่สัมผัสแผลอยู่ด้ายในทิ้งลงชามรูปไต หรือถุงพลาสติก
เปิดชุดทําแผล (ตามหลักการของ IC) หยิบ forceps ตัวแรกโดยใช้มือจับด้านนอกของผ้าห่อชุดทําแผล หยิบข้ึนแล้วใช้ forceps ตัวแรกหยิบ forceps ตัวท่ีสอง วาง forceps ไว้ ด้านข้างถาดของชุดทําแผล (กรณีใส่ถุงมือปลอดเชื้อให้ใช้มือหยิบ forceps ได้เลย)
หยิบnon-toothforcepsใช้คีบส่งของsterileทําหน้าท่ีเป็นtransferforceps
หยิบ tooth forceps ใช้รับของ sterile ทําหน้าที่เป็น dressing forceps
หยิบสําลีชุบ alcohol 70% เช็ดรอบๆ แผลวนจากในออกนอกห่างแผล 1 นิ้วเป็นบริเวณ 2นิ้ว
หยิบสําลีชุบ0.9%NSSเช็ดจากบนลงล่างจนแผลสะอาดแล้วเช็ดด้วยสําลีแห้ง
ปิดแผลด้วย gauzeติดพลาสเตอร์ตามแนวขวางของลําตัว โดยเร่ิมติดชิ้นแรกตรง กึ่งกลางของแผลและไล่ข้ึน-ลงตามลําดับ ส่วนหัวและท้ายต้องปิดทับผ้า gauze กับผิวหนังให้สนิท
เก็บอุปกรณ์ถอดถุงมือถอดmaskและล้างมือทิ้งขยะในถังขยะติดเชื้อทุกครั้ง
ทําแผลด้วย antiseptic solution ตามแผนการรักษา (ถ้ามี)
การทำแผลผ่าตัดแบบเปียก (Wet dressing)
เปิดแผลโดยใช้มือ (ใส่ถุงมือ) เปิดชุดทําแผลตามหลัก IC หยิบผ้าปิดแผลส่วนบนทิ้ง ลงในชามรูปไตหรือถุงพลาสติก เปิดผ้าปิดแผลช้ันที่ติดกับแผลด้วย tooth forceps หากผ้า gauze แห้งติดแผลใช้สําลีชุบน้ําเกลือหยดบนผ้า gauze ก่อน เพื่อให้เลือดหรือสารคัดหลั่งอ่อนตัว
ทําความสะอาดริมขอบแผลเช่นเดียวกับการทํา dry dressing
ใช้สําลีชุบน้ําเกลือหรือน้ํายาตามแผนการรักษาเช็ดภายในแผลจนสะอาด
ใช้ผ้า gauze ชุบน้ํายา (solution) ใส่ในแผล (packing) เพื่อฆ่าเชื้อและดูดซับสารคัดหลั่งให้ความชุ่มชื้นแก่เนื้อเยื่อ
ปิดแผลด้วยผ้า gauze และปิดพลาสเตอร์ตามแนวขวางของลําตัว
การตัดไหม (Suture removal)
หลักการตัดไหม
ตรวจสอบคําส่ังการรักษาของแพทย์ทุกคร้ังว่ามีจุดประสงค์ให้ตัดไหมทุกอัน (total stitches off) หรือตัดอันเว้นอัน (partial stitches off)
เศษไหมที่เย็บแผลส่วนท่ีมองเห็นเป็นส่วนท่ีมีการสัมผัสเชื้อแบคทีเรียท่ีอาศัยอยู่ ตามผิวหนังในการตัดและดึงไหมออกจึงไม่ควรดึงไหมส่วนท่ีมองเห็นลอดผ่านใต้ผิวหนัง และจะต้องดึงไหม ออกให้หมด
ขณะตัดไหมหากพบว่ามีขอบแผลแยกให้หยุดทํา และปิดแผลด้วยวัสดุที่ช่วยดึงร้ัง ให้ขอบแผลติดกัน (sterile strip)
วิธีทำการตัดไหม
ทําความสะอาดแผล ใช้ alcohol 70% เช็ดรอบแผล เช็ดรอยพลาสเตอร์ออก ด้วยเบนซิน และเช็ดตามด้วย alcohol 70% และน้ําเกลือล้างแผล แล้วเช็ดแห้ง ก่อนทําการลงมือตัดไหม หยิบผ้า gauze วางเหนือแผล เมื่อตัดไหมทีละเข็มให้วางวัสดุเย็บแผลลงบน ผ้า gauze เพื่อนับจํานวนเข็ม
การตัดไหมที่เย็บแผลชนิด interrupted method โดยใช้ไหมผูกเป็นปมแยก เป็นอัน ๆ โดยใช้ tooth forceps จับชายไหมส่วนท่ีอยู่เหนือปมที่ผูกไว้ ดึงข้ึนพอตึงมือจะเห็นไหมใต้ปมโผล่พ้นผิวหนังข้ึนมา และสอดปลายกรรไกรตัดไหมในแนวราบขนาดกับผิวหนังเล็กตัดไหมส่วนท่ี อยู่ชิดผิวหนังซึ่งอยู่ใต้ปมท่ีผูกแล้วดึงไหมในลักษณะดึงเข้าหาแผลเพื่อป้องกันแผลแยก
การตัดไหมท่ีเย็บแผล ชนิด interrupted mattress โดยใช้ไหมผูกปมเป็นอัน ๆ ชนิดสองช้ัน ให้ตัดไหมส่วนท่ีมองเห็นและอยู่ชิดผิวหนังมากท่ีสุด ซึ่งอยู่ด้านตรงกันข้ามกับปมไหมให้ ตัดไหมด้วยวิธีเดียวกับการเย็บแผลแบบ interrupted method
การตัดไหมที่เย็บแผลแบบต่อเนื่อง continuous method ให้ตัดไหมส่วนท่ีอยู่ ชิดผิวหนังด้านตรงกันข้ามกับปมท่ีผูกอันแรกและอันถัดไปด้านเดิม เมื่อดึงไหมออกส่วนที่เป็นปมผูกไว้ อันแรก และส่วนที่อยู่ชิดผิวหนัง ซึ่งติดกับไหมท่ีเย็บอันท่ีสองจะหลุดออก ส่วนไหมปมอันถัดไปให้ตัด ไหมส่วนที่อยู่ชิดผิวหนังด้านเดิม ทําเช่นน้ีจนถึงปมไหมอันสุดท้าย
กรณีที่ใช้ลวดเย็บเป็นวัสดุเย็บแผล ทําความสะอาดแผลผ่าตัดตามปกติ การตัดลวด เย็บแผลต้องใช้เครื่องมือตัด เรียกว่า “removal staple”
ภายหลังตัดไหมครบทุกเส้นแล้วเช็ดแผลด้วยnormalsaline0.9%และเช็ดให้ แห้งอีกคร้ัง ปิดแผลต่อไว้อีก 1 วัน (ถ้าแผลแห้งดี)ถ้าแผลยังติดไม่ดีแพทย์อาจติด sterile strip แล้วจึง ปิดด้วยผ้า gauze และปิดพลาสเตอร์อีกคร้ัง
6.4 วิธีการพันแผลชนิดต่างๆ
หลักการพันแผล
ผู้พันผ้าและผู้บาดเจ็บหันหน้าเข้าหากันจัดท่าให้ผู้บาดเจ็บอยู่ในท่าที่สบายวางอวัยวะส่วนท่ีจะพันผ้าให้รู้สึกผ่อนคลาย
ตําแหน่งท่ีต้องการจะพันผ้าผิวหนังบริเวณน้ันต้องสะอาดและแห้ง
การลงน้ําหนักมือเพื่อดึงผ้าพันแผลควรระวังใช้น้ําหนักให้เหมาะสม ถ้าลงน้ําหนักมือมากอาจทำให้แน่นเกินไป
ต้องทําความสะอาดบาดแผลและปิดผ้าปิดแผลให้เรียบร้อยก่อนแล้วจึงพันผ้าปิดทับ ต้องระวังหากพันแน่น เกินไปผู้ป่วยอาจเจ็บแผล
ตําแหน่งที่บาดเจ็บเช่น นิ้วมือนิ้วเท้า ต้องใช้ผ้าก๊อสคั่นระหว่างนิ้วก่อนป้องกันการเสียดสีของผิวหนังอําจทําให้เกิดแผลระหว่างนิ้วได้
การพันผ้าบริเวณเท้าขาตะโพกต้องมีผู้ช่วยคอยประคองอวัยวะส่วนน้ันไว้เพื่อช่วยให้ผู้พันผ้าสะดวก
การพันผ้าใกล้ข้อต้องพันผ้าโดยคํานึงถึงการขยับเคลื่อนไหวของข้อน้ันด้วย
6.5 ปัจจัยท่ีทาให้เกิดแผลกดทับ ระยะของแผลกดทับและการป้องกันแผลกดทับ
ปัจจัยส่งเสริมการเกิดแผลกดทับ
ปัจจัยภายในร่างกาย
ปัจจัยภายนอกร่างกาย
ระยะของแผลกดทับ
ระยะที่1 ผิวหนังแดงไม่มีการฉีกขาดของผิวหนังและไม่จางหายไปภายใน 30 นาที
ระยะที่2 ผิวหนังแดงเร่ิมมีแผลเล็กๆ มีหนังแท้ถูกทําลายฉีกขาดเป็นแผลตื้น มีรอยแดงบริเวณเน้ือเยื่อรอบๆ และเริ่มมีสารคัดหลั่งจากแผล
ระยะที่3 แผลลึกถึงชั้นไขมัน (subcutaneous) แต่ยังไม่ถึงช้ันกล้ามเนื้อ (muscle) มีรอยแผลลึก มีส่ิงขับหลั่งจากแผล เร่ิมมีกลิ่นเหม็นยังไม่มีเน้ือตาย (necrosis tissue)
ระยะที่4 แผลลึก เป็นโพรงถึงกล้ามเนื้อ กระดูก และเยื่อหุ้มข้อ พบมีเน้ือตาย
พยาธิสภาพของการเกิดแผลกดทับ
ขณะที่มีแรงกดทับลงบนผิวหนังจะมีค่ำเฉลี่ยของแรงกดกับหลอดเลือดฝอยเท่ากับ 25 มม.ปรอท เมื่อมีแรงกดทับผิวหนังท่ีทํากับปุ่มกระดูกเป็นเวลานานทําให้ผิวหนังและเนื้อเยื่อรอบ ๆ ขาดออกซิเจนจากโลหิตมาเลี้ยงไม่ได้ ทําให้เกิดการตายของผิวหนังและเนื้อเยื่อต่าง ๆ จากกาารศึกษา พบว่าแรงกดประมาณ 32 มม.ปรอท สามารถทําให้เกิดแผลกดทับได้ และพบว่าผู้ป่วยที่ไม่สามารถ เคลื่อนไหวบนเตียงได้เองจะมีแรงกดที่ผิวหนังบนปุ่มกระดูกถึง 100 มม.ปรอท
6.6 กระบวนการพยาบาลในการพยาบาลผู้ป่วยที่มีแผล
สถานการณ์ตัวอย่าง
ผู้ป่วยหญิงไทย คู่ อายุ 44 ปี แพทย์วินิจฉัยเป็นโรคแผลกระเพาะอาหารทะลุ (Peptic ulcer perforate) S/P Explore lab to Simple closer เป็นวันที่ 2 on IV fluid for antibiotic จากสถานการณ์ข้างต้นจงประยุกต์ใช้กระบวนการพยาบาลในการให้การพยาบาลแบบองค์รวมสําหรับ ผู้ป่วยรายนี้
การประเมินภาวะสุขภาพ(Assessment)
S : “รู้สึกปวดแผลหน้ําท้อง”
O : หญิงไทย คู่ อํายุ 44 ปี Peptic ulcer perforate S/P Explore lab to Simple closer,2nd day.
PE finding: surgical wound, mid line at abdomen, sutures with silk 2/0,
15 stitches length. no discharge, 1 ̊ stage of wound healing
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing diagnosis)
เสี่ยงต่อการติดเชื้อท่ีแผลผ่าตัดเนื่องจากเป็นประเภทแผลผ่าตัดปนเปื้อน (03)
การปฏิบัติการพยาบาลแบบองค์รวม (Holistic nursing care)
4.1 ด้านร่างกาย
4.2 ด้านจิตใจ
4.3 ด้านสังคม
4.4 ด้านจิตวิญญาณ
การประเมินผล (Evaluation)
การประเมินผลการพยาบาลเป็นการประเมินผลลัพธ์การพยาบาล
การประเมินผลกิจกรรมการพยาบาลเป็นการประเมินผลของการปฏิบัติงาน เพื่ออนํามาปรับปรุงการปฏิบัติงานในครั้งต่อไป
การประเมินผลคุณภาพการบริการเป็นการประเมินคุณภาพของผลการ ปฏิบัติงาน เพื่ออนํามาปรับปรุงการปฏิบัติงานในครั้งต่อไป