Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีเเผล - Coggle Diagram
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีเเผล
1.ชนิดของแผลและปัจจัยการส่งเสริมการหายของแผล
ชนิดของแผล (Type of wound)
แบ่งตามสาเหตุ
แบ่งออกเป็น
แผลที่เกิดจากการผ่าตัด เรียก surgical wound , sterile wound หรือ incision wound
แผลที่เกิดจากถูกของมีคมตัด เรียก cut wound
แผลที่เกิดจากถูกของมีคมทิ่มแทง เรียก stab wound หรือ peneturating wound
แผลที่เกิดจากโดนระเบิด เรียก explosive wound
แผลที่เกิดจากถูกบดขยี้ เรียก crush wound
แผลที่เกิดจากการกระแทกด้วยวัตถุลักษณะมน เรียก traumatic wound
แผลที่เกิดจากถูกยิง เรียก gunshot wound
แผลที่มีขอบแผลขาดกะรุ่งกะริ่ง เรียก lacerated wound
แผลที่เกิดจากการถูไถลถลอก เรียก abrasion wound
แผลที่เกิดจากการติดเชื้อมีหนอง เรียก infected wound
แผลที่เกิดจากการตัดอวัยวะบางส่วน เรียก stump wound
แผลที่เกิดจากการกดทับ เรียก pressure sore, bedsore, decubitus ulcer, pressure injury
แผลที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและเคมี
เเบ่งออกเป็น
จากไฟไหม้ น้ำร้อนลวก (burn and scald)
จากสารเคมีที่เป็นด่าง (alkaline burn)
จากสารเคมีที่เป็นกรด (acid burn)
จากถูกความเย็นจัด (frost bite)
จากไฟฟ้าช็อต (electrical
แผลที่เกิดจากการปลูกผิวหนัง (skin graft) หมายถึง แผลที่เกิดจากการปลูกผิวหนังซึ่งจะทำให้เกิดแผล 2 ตำแหน่ง
เเบ่งตามลักษณะ
แผลลักษณะแห้ง (dry wound) หมายถึง ลักษณะของแผลมีขอบแผลติดกันอาจเกิดการติดกันเอง หรือจากการเย็บด้วยวัสดุเย็บแผล ไม่มีสารคัดหลั่ง
แผลลักษณะเปียกชุ่ม (wet wound) หมำยถึง ลักษณะของขอบแผลไม่ติดกัน หรือขอบแผลกว้าง มีสารคัดหลั่ง
แบ่งตามลำดับความสะอาด
ประเภทของแผลผ่าตัด ออกได้เป็น 4 ประเภท
Class I: Clean wound ประเภทที่ 1 แผลผ่าตัดสะอาด
ลักษณะเป็นแผลที่ไม่มีการติดเชื้อ, ไม่มีการอักเสบมาก่อน, การผ่าตัดไม่ผ่านระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหาร, อวัยวะสืบพันธุ์, ท่อปัสสาวะ, blunt trauma ที่ไม่มีการแทงทะลุหรือฉีกขาด เป็นแผลผ่าตัดชนิดปิด
Class II: Clean-contaminated ประเภทที่ 2 แผลสะอาดกึ่งปนเปื้อนลักษณะแผลที่มีการผ่าตัดผ่านระบบทางเดินหายใจ, ระบบทางเดินอาหาร, ระบบทางเดินปัสสาวะ, เป็นการผ่าตัดที่เกี่ยวกับท่อน้ำดี, อวัยวะสืบพันธุ์ และช่อง oropharynx ที่ควบคุมการเกิดปนเปื้อนได้ขณะทำผ่าตัด
Class III: Contaminated ประเภทที่ 3 แผลปนเปื้อน
ลักษณะแผลเปิด (open wound) แผลสด (fresh wound) แผลจำกกำรได้รับอุบัติเหตุแผลที่เกิดกำรปนเปื้อนสำรคัดหลั่งจำกระบบทำงเดินอำหำร เป็นแผลที่มีกำรอักเสบเฉียบพลัน
Class IV: Dirty/Infected ประเภทที่ 4 แผลสกปรก/แผลติดเชื้อ
ลักษณะแผลเก่า (old traumatic wound) แผลมีเนื้อตาย (gangrene) แผลมีการติดเชื้อมาก่อน แผลกระดูกหักเกิน 6 ชั่วโมง
เเบ่งตามระยะเวลาการเกิด
แผลที่เกิดเฉียบพลัน (acute wound) เป็นการเกิดแผล และรักษาให้หายในระยะเวลาอันสั้น หรือการหายของแผลเป็นไปตามขั้นตอนการหายของบาดแผล
แผลเรื้อรัง (chronic wound) เป็นแผลที่เกิดขึ้นเป็นระยะเวลานาน และรักษายาก หรือรักษาเป็นเวลานาน อาจมีอาการแทรกซ้อนตามมาภายหลัง
แผลเนื้อตาย (gangrene wound) เป็นแผลที่เกิดจากการขาดเลี้ยงไปเลี้ยงหรือเลือดมาเลี้ยงไม่เพียงพอ สาเหตุจากหลอดเลือดตีบแข็ง
แบ่งตามการรักษา
การรักษาผู้ป่วยศัลยกรรมกระดูกด้วยวิธีการจัดกระดูกให้อยู่นิ่ง (retention) ด้วยการดามกระดูกด้วยเหล็ก หรือแผ่นเหล็กและตะปูเกลียว
การรักษาแผลด้วยสุญญากาศ (Negative Pressure Wound Therapy: NPWT) เป็นการรักษาแผลที่มีเนื้อตาย หรือแผลเรื้อรังโดยการปิดแผลสุญญากาศ
แผลท่อระบาย เป็นแผลผ่าตัดซึ่งศัลยแพทย์เจาะผิวหนังเพื่อใส่ท่อระบายของเสียจากการผ่าตัดเป็นท่อระบายระบบปิด
แผลท่อหลอดคอ (tracheostomy tube) เป็นแผลท่อระบายที่ศัลยแพทย์ ทำการผ่าตัดเปิดหลอดลม เพื่อใส่ท่อช่วยหายใจในผู้ป่วยที่มีปัญหาของระบบทางเดินหายใจ
แผลท่อระบายทรวงอก (chest drain) เป็นแผลท่อระบายที่ศัลยแพทย์ ทำการเจาะปอด เพื่อใส่ท่อระบายของเสียออกจากปอดในผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพของปอด
แผลทวารเทียมหน้าท้อง (colostomy) เป็นแผลท่อระบายที่ศัลยแพทย์ทำผ่าตัดเปิดลำไส้ใหญ่ออกทางหน้าท้อง เพื่อระบายอุจจาระในผู้ป่วยที่มีปัญหาของระบบทางเดินอาหาร
ปัจจัยที่มีผลต่อการหายของบาดแผล
ปัจจัยเฉพาะที่ (Local factors)
การได้รับอันตรายและอาการบวม (trauma and edema) การได้รับอันตรายทำให้เนื้อเยื่อเกิดอำการบวม (edema) อาการบวมส่งผลกระทบต่อการขนส่งออกซิเจน และสารอาหารเข้าสู่แผลทำให้แผลหายช้ำ
4 การติดเชื้อ (infection) ทำให้แผลหายช้า ในกรณีที่มีการติดเชื้อจึงต้องเก็บสิ่งตัวอย่างส่งตรวจ
ภาวะแวดล้อมแห้ง (dry environment) การหายของแผลและมีความเจ็บปวดน้อยในภาวะแวดล้อมชุ่มชื้นหายเร็ว 3-5 เท่า ในภาวะแวดล้อมแห้งกว่า
5 ภาวะเนื้อตาย (necrosis)
slough มีลักษณะเปียก สีเหลือง เหนียว หลวมยืดหยุ่น ปกคลุมบาดแผล
eschar มีลักษณะหนา เหนียว คล้ายหนังสัตว์มีสีดำ ลักษณะเนื้อตายนี้ต้องตัดออกก่อนการทำความสะอาดแผล
แรงกด (pressure) การนอนในท่าเดียวนาน ๆ
6 ความไม่สุขสบาย (incontinence)
ปัจจัยระบบ (Systemic factors)
3 น้ำในร่างกาย (body fluid)
4 การไหลเวียนของโลหิตบกพร่อง (vascular insufficiencies)
2 โรคเรื้อรัง (chronic disease)
5 ภาวะกดภูมิคุ้มกันและรังสีรักษา (immunosuppression and radiation therapy)
1 อายุ (age)
6 ภาวะโภชนาการ (nutritional status)
วิธีการพันเเผลชนิดต่างๆ
ชนิดของผ้าพันเเผล
ผ้าสามเหลี่ยม (triangular bandage) เป็นผ้าสามเหลี่ยมทำด้วยผ้าเนื้อละเอียดไม่ระคายเคืองต่อผิวหนัง ด้านยาวยาวกว่าด้านกว้าง
ผ้าพันแผลชนิดม้วน (roller bandage) เป็นม้วนกลม ชนิดที่ไม่ยืด (roll gauze) และชนิดยืด (elastic bandage)
ผ้าพันแผลชนิดพิเศษ (special bandage) เป็นผ้าที่มีรูปร่างแตกต่างกันไป
หลักการพันเเผล
ผู้พันผ้าและผู้บาดเจ็บหันหน้าเข้าหากัน จัดท่าให้ผู้บำดเจ็บอยู่ในท่าที่สบายวางอวัยวะส่วนที่จะพันผ้าให้รู้สึกผ่อนคลาย
ตำแหน่งที่ต้องการจะพันผ้าผิวหนังบริเวณนั้นต้องสะอาดและแห้ง
การลงน้ำหนักมือเพื่อดึงผ้าพันแผลควรระวังใช้น้ำหนักให้เหมาะสม
ต้องทำความสะอาดบาดแผล และปิดผ้าปิดแผลให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงพันผ้าปิดทับ ต้องระวังหากพันแน่นเกินไปผู้ป่วยอาจเจ็บแผล
ตำแหน่งที่บาดเจ็บ เช่น นิ้วมือ นิ้วเท้ำ ต้องใช้ผ้าก๊อสคั่นระหว่างนิ้วก่อน ป้องกันการเสียดสีของผิวหนังอาจทำให้เกิดแผลระหว่างนิ้วได้
การพันผ้าบริเวณเท้า ขา สะโพก ต้องมีผู้ช่วยคอยประคองอวัยวะส่วนนั้นไว้ เพื่อช่วยให้ผู้พันผ้าสะดวกและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการพันผ้าในตำแหน่งนั้น ๆ
การพันผ้าใกล้ข้อ ต้องพันผ้า โดยคำนึงถึงการขยับเคลื่อนไหวของข้อนั้นด้วย
วัตถุประสงค์
ป้องกันการติดเชื้อ
ใช้เป็นแรงกดป้องกันเลือดไหล
ช่วยพยุงผ้าปิดแผลให้อยู่กับที่
ให้ความอบอุ่นบริเวณนั้น ๆ
ช่วยให้อวัยวะอยู่คงที่ และพยุงอวัยวะไว้
รักษารูปร่างของอวัยวะให้พร้อมที่จะใส่อวัยวะเทียม
การพันผ้าเเบบชนิดม้วน
การพันแบบเกลียวพับกลับ (spiral reverse) เหมาะสำหรับอวัยวะที่เป็นทรงกระบอก การพันแบบนี้ใช้เมื่อต้องการความอบอุ่นหรือต้องการแรงกด
การพันแบบกลับไปกลับมา (recurrent) เหมาะสำหรับการพันเพื่อยึดผ้าปิดแผลที่ศีรษะ หรือการพันแผลที่เกิดจากการถูกตัดแขน ขา (stump) เพื่อบรรเทาอาการบวม
การพันแบบเกลียว (spiral turn) เหมาะสำหรับพันอวัยวะที่มีรูปทรงกระบอก
การพันเป็นรูปเลข 8 (figure of eight) เหมาะสำหรับพันบริเวณข้อพับ
การพันแบบวงกลม (circular turn) เหมาะสำหรับพันอวัยวะที่มีรูปทรงกระบอก
3.วิธิการทำเเผลชนิดต่างๆ
วัตถุประสงค์
ให้สภาวะที่ดีเหมาะแก่การงอกของเนื้อเยื่อ
ดูดซึมสารคัดหลั่ง เช่น เลือด น้ำเหลือง หนอง เป็นต้น
จำกัดการเคลื่อนไหวของแผลให้อยู่นิ่ง
ให้ความชุ่มชื้นกับพื้นผิวของแผลอยู่เสมอ
ป้องกันไม่ให้ผ้าปิดแผลติดและดึงรั้งเนื้อเยื่อที่งอกใหม่
ป้องกันแผลหรือเนื้อเยื่อที่เกิดใหม่จากสิ่งกระทบกระเทือน
ป้องกันแผลปนเปื้อนเชื้อโรคจากอุจจาระปัสสาวะสิ่งสกปรกอื่น ๆ
เป็นการห้ามเลือด
ช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสุขสบาย
ชนิดของการทำเเผล
การทำแผลเเบบแห้ง (Dry dressing) หมำยถึง กำรทำแผลที่ไม่ต้องใช้ควำมชุ่มชื้นในการหายของแผล ใช้ทำแผลสะอาด
มีวิธิทำดังนี้
เปิดแผลโดยใช้มือ (ใส่ถุงมือ) หยิบผ้าปิดแผลโดยพับส่วนที่สัมผัสแผลอยู่ด้านในทิ้งลง ชามรูปไต หรือถุงพลาสติก เป็นต้น
เปิดชุดทำแผล (ตามหลักการของ IC)
หยิบ non-tooth forceps ใช้คีบส่งของ sterile ทำหน้าที่เป็น transfer forceps
หยิบ tooth forceps ใช้รับของ sterile ทำหน้าที่เป็น dressing forceps
หยิบสำลีชุบ alcohol 70% เช็ดรอบๆ แผลวนจากในออกนอกห่างแผล 1 นิ้วเป็นบริเวณกว้าง 2 นิ้ว
หยิบสำลีชุบ 0.9% NSS เช็ดจากบนลงล่างจนแผลสะอาดแล้วเช็ดด้วยสำลีแห้ง
ทำแผลด้วย antiseptic solution ตำมแผนการรักษา (ถ้ามี)
ปิดแผลด้วย gauze ติดพลาสเตอร์ตามแนวขวางของลำตัวโดยเริ่มติดชิ้นแรกตรงกึ่งกลางของแผลและไล่ขึ้น-ลงตำมลำดับ ส่วนหัวและท้ายต้องปิดทับผ้า gauze กับผิวหนังให้สนิท
เก็บอุปกรณ์ ถอดถุงมือ ถอด mask และล้างมือ ทิ้งขยะในถังขยะติดเชื้อทุกครั้ง
การทำแผลแบบเปียก (Wet dressing) หมายถึง กำรทำแผลที่ต้องใช้ความชุ่มชื้นในการหายของแผล
มีวิธีทำดังนี้
เปิดแผลโดยใช้มือ (ใส่ถุงมือ) เปิดชุดทำแผลตามหลัก IC
ทำความสะอาดริมขอบแผลเช่นเดียวกับการทำ dry dressing
ใช้สำลีชุบน้ำเกลือหรือน้ำยาตามแผนการรักษาเช็ดภายในแผลจนสะอาด
ใช้ผ้า gauze ชุบน้ำยา (solution) ใส่ในแผล (packing) เพื่อฆ่าเชื้อและดูดซับสารคัดหลั่งให้ความชุ่มชื้นแก่เนื้อเยื่อ
ปิดแผลด้วยผ้า gauze และปิดพลาสเตอร์ตามแนวขวางของลำตัว
อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำเเผล
อุปกรณ์ทำความสะอาดแผล
ชุดทำแผล (dressing set) ที่ปราศจากเชื้อ ประกอบด้วย ปากคีบไม่มีเขี้ยว (non-tooth forceps) ปากคีบมีเขี้ยว (tooth forceps) ถ้วยใส่สารละลาย (iodine cup) สำลี (cotton ball) และgauze
สารละลาย (solution)
3 เบตาดีน หรือโปรวิโดน ไอโอดีน (betadine, providone-iodine solution) เป็นน้ำยาที่ระคายเคืองต่อผิวหนังน้อยกว่าทิงเจอร์ไอโอดีนใช้ได้ดีใน mucous membrane
2 น้ำเกลือล้างแผล (normal saline solution) 0.9% NSS external use
1 แอลกอฮอล์ ที่นิยมใช้ คือ alcohol 70% ใช้เช็ดผิวหนังรอบแผล
วัสดุสำหรับปิดแผล
1 ผ้าก๊อซ (gauze dressing) สำหรับปิดแผลขนาดเล็กและมีสารคัดหลั่งเล็กน้อย
2 ผ้าก๊อซหุ้มสำลี (top dressing) สำหรับปิดแผลที่มีสารคัดหลั่งจำนวนมาก
3 ผ้าซับเลือด (abdominal swab) ใช้ปิดแผลขนาดใหญ่ที่มีสารคัดหลั่งจำนวนมาก บางทีเรียกว่า “fluff”
4 วายก๊อซ (y-gauze) เป็นผ้าก็อซที่ตัดตรงกลางแผ่นเป็นรูปตัว Y ใช้ปิดแผลที่มีการใส่ท่อเพื่อระบายสารคัดหลั่ง
5 วาสลินก๊อซ (vaseline gauze) เป็นก๊อซชุบวาสลิน สำหรับปิดแผลเพื่อไม่ให้อากาศเข้ำสู่แผล
6 ก๊อซเดรน (drain gauze) ผ้าก๊อซลักษณะเป็นสายยาว ใช้ใส่แผลที่มีรูโพรงขนาดเล็ก
7 transparent film เป็นพลาสเตอร์กันน้ำที่มี gauze สำเร็จรูป มีลักษณะเป็นแผ่นฟิล์มโปร่งใส มีรูขนาดเล็กให้อากาศซึมผ่าน แต่ไม่ใหญ่พอที่จะให้เชื้อแบคทีเรียผ่านเข้าสู่แผลได้
8 แผ่นเทปผ้าปิดแผล เป็นแผ่นปิดแผลสำเร็จรูป มี gauze และแผ่นเทปพร้อมใช้
9 antibacterial gauze dressing เป็น gauze ปิดแผลชุบด้วยพาราฟิน และ ยาปฎิชีวนะ ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้
วัสดุสำหรับยึดติดผ้าปิดแผล
วัสดุที่ใช้คือ plaster ชนิดธรรมดำ เช่น transpore เพราะง่าย สะดวก แต่มีข้อเสียคือ ระคายเคืองผิวหนัง และเจ็บขณะดึงออกจากแผล
อุปกรณ์อื่น ๆ
เช่น กรรไกรตัดไหม (operating scissor) กรรไกรตัดเชื้อเนื้อ
ภาชนะสำหรับทิ้งสิ่งสกปรก
เช่น ชามรูปไต ถุงพลาสติก เป็นต้น
การตัดไหม
หลักการตัดไหม
ตรวจสอบคำสั่งการรักษาของแพทย์ทุกครั้งว่ามีจุดประสงค์ให้ตัดไหมทุกอัน(total stitches off) หรือตัดอันเว้นอัน (partial stitches off)
เศษไหมที่เย็บแผลส่วนที่มองเห็นเป็นส่วนที่มีการสัมผัสเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ตามผิวหนังในการตัดและดึงไหมออกจึงไม่ควรดึงไหมส่วนที่มองเห็นลอดผานใต้ผิวหนัง และจะต้องดึงไหมออกให้หมด เพราะถ้าไหมตกค้างอยู่ใต้ผิวหนัง จะกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมและเกิดการอักเสบติดเชื้อได้
ขณะตัดไหมหากพบว่ามีขอบแผลแยกให้หยุดทำ และปิดแผลด้วยวัสดุที่ช่วยดึงรั้งให้ขอบแผลติดกัน (sterile strip)
วิธีทำการตัดไหม
ทำความสะอาดแผล ใช้ alcohol 70% เช็ดรอบแผล เช็ดรอยพลำสเตอร์ออกด้วยเบนซิน และเช็ดตามด้วย alcohol 70% และน้ำเกลือล้างแผล แล้วเช็ดแห้ง
การตัดไหมที่เย็บแผลชนิด interrupted method โดยใช้ไหมผูกเป็นปมแยกเป็นอัน ๆ โดยใช้ tooth forceps
การตัดไหมที่เย็บแผล ชนิด interrupted mattress โดยใช้ไหมผูกปมเป็นอัน ๆชนิดสองชั้น ให้ตัดไหมส่วนที่มองเห็นและอยู่ชิดผิวหนังมากที่สุด
การตัดไหมที่เย็บแผลแบบต่อเนื่อง continuous method ให้ตัดไหมส่วนที่อยู่ชิดผิวหนังด้านตรงกันข้ามกับปมที่ผูกอันแรกและอันถัดไปด้านเดิม
กรณีที่ใช้ลวดเย็บเป็นวัสดุเย็บแผล ทำความสะอาดแผลผ่าตัดตามปกติ การตัดลวดเย็บแผลต้องใช้เครื่องมือตัด เรียกว่า “removal staple”
ภายหลังตัดไหมครบทุกเส้นแล้ว เช็ดแผลด้วย normal saline 0.9% และเช็ดให้แห้งอีกครั้ง ปิดแผลต่อไว้อีก 1 วัน (ถ้าแผลแห้งดี) ถ้าแผลยังติดไม่ดีแพทย์อาจติด sterile strip แล้วจึงปิดด้วยผ้า gauze และปิดพลาสเตอร์อีกครั้ง
ลักษณะเเละกระบวนการหายของเเผล
ลักษณะการหายของเเผลเเบ่งเป็น 3 ลักษณะ
การหายของแผลแบบปฐมภูมิ (Primary intention healing) เป็นแผลประเภทที่ผิวหนังมีการสูญเสียเนื้อเยื่อเพียงเล็กน้อย และเป็นแผลที่สะอาด
การหายของแผลแบบทุติยภูมิ (Secondary intention healing ) เป็นแผลขนาดใหญ่ที่เนื้อเยื่อถูกทำลาย มีการสูญเสียเนื้อเยื่อบางส่วน ขอบแผลมีขนาดกว้างเย็บแผลไม่ได้ รักษาโดยการทำแผลจนเกิดมีเนื้อเยื่อใหม่มาปกคลุม ซึ่งต้องใช้ระยะเวลานาน เนื่องจากแผลมีขนาดกว้าง จึงมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง
การหายของแผลแบบตติยภูมิ (Tertiary intention healing) เป็นแผลชนิดเดียวกับแผลทุติยภูมิ เมื่อทำการรักษาโดยการทำแผลจนมีเนื้อเยื่อเกิดใหม่ปกคลุมสีแดงสด และไม่มีอาการการแสดงภาวะติดเชื้อแล้ว
กระบวนการหายของเเผล
เเบ่งเป็น 3 ระบะ
ระยะ 3: การเสริมความแข็งแรง (Remodeling phase)
เป็นระยะสุดท้ายของการสร้าง
และความสมบูรณ์ของคอลลาเจน ซึ่งfibroblast จะเปลี่ยนเป็น myofibroblast ที่มีคามแข็งแรงเพิ่มมากขึ้นกว่า fibroblast ความแข็งแรง ร้อยละ 20 ของผิวหนังปกติ ระยะนี้จะใช้เวลาหลังการผ่าตัด 20 วัน แล้วจะเพิ่มความแข็งแรงของผิวหนังเป็นปกติจะใช้เวลาอีก 60-180 วัน หรือ 2 ปี
ระยะ 2: การสร้างเนื้อเยื่อ (Proliferate phase)
เป็นระยะการสร้างเนื้อเยื่อใหม่จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 4-12 วัน ซึ่งจะเห็น fibroblast เกิดขึ้นในแผล เริ่มมีเนื้อเยื่อเกิดใหม่
ระยะ 1: ห้ามเลือดและอักเสบ (Hemostasis and Inflammatory phase)
เมื่อเกิดการฉีกขาดของผิวหนังและหลอดเลือด มีเลือดไหลออก platelet จะทำหน้าที่แรก คือ หลั่งสำร thrombokinase และthromboplastin ทำให้ prothrombin กลายสภำพเป็น thrombin ช่วยทำให้ fibrinogen เปลี่ยนเป็น fibrin เกิดเป็นลิ่มเลือด ทำให้เลือดหยุด
วิธีการเย็บเเผลและวัสดุที่ใช้ในการเย็บเเผล
ห้ามเลือด
ดึงขอบแผลเข้าหากัน
ส่งเสริมการหายของแผล
ป้องกันมิให้เชื้อโรคเข้าไปในแผล
รักษาสภาพปกติของผิวหนัง
วิธีการเย็บแผลเฉพาะที่ผิวหนังเท่านั้น
Interrupted method เป็นวิธีการเย็บแผลที่ต้องตัดวัสดุเย็บแผลในทุกฝีเข็ม
Interrupted mattress method เป็นวิธีการเย็บแผลโดยกำรตักเข็มเย็บที่ขอบแผลสองครั้ง
Simple interrupted method เป็นวิธีการเย็บแผลเพื่อดึงรั้งให้ขอบแผลทั้งสองติดกัน เหมาะสำหรับเย็บบาดแผลผิวหนังทั่วไป
Retention method (Tension method) เป็นวิธีการเย็บรั้งแผลเข้าหากัน เพื่อพยุงแผลในกรณีผู้ที่มีชั้นไขมันหน้าท้องหนา หรือแผลที่ตึงมาก
Continuous method เป็นวิธีการเย็บแผลแบบต่อเนื่องตลอดความยาวของแผล โดยไม่มีการตัดจนกว่าจะเสร็จสิ้นการเย็บแผล
Subcuticular method เป็นการเย็บแผลแบบ continuous method แต่ใช้เข็มตรงในการเย็บ และซ่อนวัสดุเย็บแผลไว้ในชั้นใต้ผิวหนัง เหมาะสำหรับการเย็บด้านศัลยกรรมตกแต่ง
วัสดุที่ใช้ในการเย็บแผล
วัสดุที่ละลายได้เอง (Absorbable sutures)
1 เส้นใยธรรมชาติ ได้แก่ catgut ทำมาจาก collagen ใน submucosa ของลำไส้แกะหรือวัว ละลายได้
2 เส้นใยสังเคราะห์ ใช้เย็บกล้ามเนื้อที่ไม่ลึกมาก ไม่ต้องใช้แรงในการดึงรั้งมาก
วัสดุที่ไม่ละลายเอง (Non-absorbable sutures)
2 เส้นใยสังเคราะห์ เช่น nylon เส้นเหล่านี้มีความแข็งแรงมากกว่าไหมเย็บแผล แต่ผูกปมยากและคลายได้ง่าย ไม่มีปฏิกิริยากับเนื้อเยื่อมากแต่ผูกปมค่อนข้างลำบาก
3 วัสดุที่เย็บเป็นโลหะ เช่น ลวดเย็บ (staples) เป็นวัสดุเย็บแผลสำเร็จรูป แต่ต้องมีเครื่องมือสำหรับใส่ลวดเย็บ
1 เส้นใยตามธรรมชาติ เช่น ไหมเย็บแผล (silk) ราคาถูก ผูกปมง่าย และไม่คลายง่าย ไหมเย็บมีหลายขนาด
ปัจจัยที่ทำให้เกิดแผลกดทับ ระยะของแผลกดทับและการป้องกันแผลกดทับ
ปัจจัยส่งเสริมการเกิดแผลกดทับ
ปัจจัยภายในร่างกาย
อายุ
2 ภาวะโภชนาการ
3 ยาที่ได้รับการักษา
4 การผ่าตัด
ปัจจัยภายนอกร่างกาย
2 เเรงเสียดทาน
3 เเรงเฉือน
1 เเรงกด
4 ความชื้น
ระยะของเเผลกดทับ
ระดับที่ 1 ผิวหนังแดงไม่มีการฉีกขาดของผิวหนังและไม่จางหายไปภายใน 30 นาที
ระดับที่ 2 ผิวหนังแดงเริ่มมีแผลเล็กๆ มีหนังแท้ถูกทำลายฉีกขาดเป็นแผลตื้น
ระดับที่ 3 แผลลึกถึงชั้นไขมัน (subcutaneous) แต่ยังไม่ถึงชั้นกล้ามเนื้อ (muscle) มีรอยแผลลึก มีสิ่งขับหลั่งจากแผล เริ่มมีกลิ่นเหม็นยังไม่มีเนื้อตาย (necrosis tissue)
ระดับที่ 4 แผลลึก เป็นโพรงถึงกล้ามเนื้อ กระดูก และเยื่อหุ้มข้อ พบมีเนื้อตาย
การป้องกันแผลกดทับ
การประเมินความเสี่ยงตามแบบประเมินความเสี่ยงของการเกิดแผลกดทับ
ประเมินจาก
การทำกิจกรรม
สภาพอันเคลื่อนที่ได้
ความชื้น
ภาวะโภชนาการ
การรับความรู้สึก
การเสียดสีพื้นผิว
การเฝ้าระวังความเสี่ยงและควรการประเมินซ้ำเมื่อมีปัจจัยเสี่ยง
1 การใส่อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เป็นเหตุให้ผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหวลดลง
2 มีการผ่าตัดที่นานกว่า 3 ชั่วโมง
3 ผู้ป่วยที่ได้รับยาแก้ปวด ยาระงับชัก ยา steroid
4 ผู้ป่วยที่ไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้
5 ผู้ป่วยที่มีไข้สูงมีเหงื่อออกมาก
6 ผู้ป่วยที่ระดับความรู้สึกตัวลดลง
7 ผู้ป่วยที่มีภาวะพร่องทางโภชนาการ
ลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับและเพิ่มปัจจัยเสริมการหายของแผล
โดย
1 ให้การดูแลช่วยเหลือและคำแนะนำทั่วไป
1 การดูแลแรกรับ โดยการประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับในผู้ป่วยแรกรับทุกราย
2 การประเมินผิวหนังและการดูแลความสะอาด โดยการประเมินผิวหนังบริเวณปุ่มกระดูกทุกวันหรือทุกครั้งเมื่อพลิกตัว ดูแลให้ผิวหนังแห้ง และสะอาดอยู่เสมอ
3 การกระตุ้นให้มีการเคลื่อนไหวร่างกายหรือให้มีกิจกรรม ในรายที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ควรช่วยเหลือในการจัดท่าให้ผู้ป่วยทุก 2 ชั่วโมง
4 การใช้อุปกรณ์เพื่อช่วยลดแรงกดและแรงเสียดทานที่จะกระทำต่อผิวหนัง
5 การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยให้ใช้วิธียกแทนการดึง/ลาก หรืออาจใช้อุปกรณ์ที่มีแรงเสียดทานต่ำ
6 การให้หม้อนอนแก่ผู้ป่วยควรสอดในขณะที่ผู้ป่วยยกก้นลอย
7 ดูแลผ้าปูที่นอนให้สะอาด แห้ง และเรียบตึงเสมอ เพื่อลดความเปียกชื้น และลดแรงเสียดทาน
8 จัดเสื้อผ้าให้เรียบ หลีกเลี่ยงการนอนทับตะเข็บเสื้อและปมผูกต่างๆ เพื่อลดแรงกดเฉพาะที่บนผิวหนัง
2 การดูแลและคำแนะนำเรื่องอาหารและโภชนาการ
3 การดูแลและคำแนะนำเรื่องยาที่ใช้ในการรักษา
4 การดูแลและคำแนะนะสำหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้อุปกรณ์
1 กรณีใส่เครื่องช่วยหายใจ ท่อสายยางให้อาหาร ควรเลือกสายยางชนิดอ่อน มีความยืดหยุ่นดี และเปลี่ยนตำแหน่งติดพลาสเตอร์ทุกวัน เพื่อลดแรงกดบนผิวหนังในตำแหน่งเดิมเป็นเวลานาน
2 กรณีคาท่อระบายทรวงอก กระตุ้นให้ผู้ป่วยขยับตัว ยกตัว หรือช่วยเหลือในการเปลี่ยนท่านอน
3 กรณีใช้กายอุปกรณ์ ดูแลการใส่กายอุปกรณ์ให้พอดีกับร่างกายผู้ป่วย สวมเสื้อก่อนใส่กายอุปกรณ์
4 กรณีใส่เฝือก ให้ตรวจสภาพผิวหนังก่อนใส่เฝือก ดูแลแต่งขอบเฝือกให้เรียบ และภายหลังการใส่เฝือกบริเวณแขน และขา ให้ยกอวัยวะที่ใส่เฝือกให้สูงเหนือระดับหัวใจเพื่อ ลดอาการบวม
5 กรณีใส่เครื่องดึงถ่วงผิวหนัง (skin traction) ควรประเมินสภาพผิวหนังอย่างสม่ำเสมอ ตรวจดู elastic bandage ที่พันให้แน่นพอดี และสอนผู้ป่วยในการบริหารเพื่อเพิ่มการไหลเวียนโลหิตบริเวณผิวหนังให้ดีขึ้น
6 กรณีใส่เครื่องดึงถ่วงกระดูกที่ขา (skeletal traction) ให้ใช้ผ้านุ่มรองบริเวณต้นขา ขาหนีบ ก้น ที่อาจกดกับเครื่องดึงถ่วง
7 กรณีใส่ Head halter traction ควรใช้ผ้ารองคางไว้เพื่อลดแรงกดจากเครื่องดึงถ่วงต่อผิวหนัง
8 กรณีใส่ Gardner Well Tongs traction ควรดูแลหมุนน็อตให้แน่น ป้องกันการเลื่อนของ traction ไปกดทับผิวหนังที่ศีรษะด้านใดด้านหนึ่ง
5 การดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีปัญหาการขับถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระ
1 ประเมินสำเหตุของปัญหำการขับถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระ
2 สวมใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่ซึมซับได้เร็วและเปลี่ยนทุกครั้งที่ขับถ่าย
3 ทำความสะอาดผิวหนังที่เปื้อนปัสสาวะหรืออุจจาระทันทีด้วยน้ำหรือ ใช้น้ำสบู่อ่อน ๆ ทำความสะอาด หลีกเลี่ยงใช้สบู่หรือโลชั่นให้ความชุ่มชื้นที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
4 ตรวจสภาพผิวหนังบริเวณสะโพกและส่วนล่างอย่างน้อยเวรละครั้ง หรือแนะนำให้ประเมินด้วยตนเองโดยใช้กระจกดูลักษณะ สี ของผิวหนัง รวมทั้งคลำดูอาการผิดปกติ
5 ใช้ครีมหรือโลชั่นทำบริเวณผิวหนังเพื่อช่วยเคลือบผิวหนังจากความเปียกชื้นที่ต้องสัมผัสกับปัสสำวะหรืออุจจาระตลอดเวลา