Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การส่งเสริมการขับถ่ายปัสสาวะ - Coggle Diagram
การส่งเสริมการขับถ่ายปัสสาวะ
1.ปัจจัยที่ส่งผลต่อการขับปัสสาวะ
อายุ
น้ำและอาหาร
ยา
ด้านจิตสังคม
สังคมและวัฒนธรรม
ลักษณะท่าทาง
กิจกรรมและความตึงตัวของกล้ามเนื้อ
พยาธิสภาพ
การผ่าตัดและการตรวจเพื่อวินิจฉัยต่างๆ
แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะและการขับถ่ายปัสสาวะที่ผิดปกติ
2.1แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะ
แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะในคนปกติ
1.อยากถ่ายปัสสาวะเมื่อมีปริมาณปัสสาวะอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ100-400มิลลิลิตร
2.กรณีอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถถ่ายปัสสาวะได้ทันทีต้องสามารถกลั้นได้และเมื่อจะปัสสาวะก็สามารถปัสสาวะได้ทันที
3.เวลาที่ใช้ในการถ่ายปัสสาวะแต่ละครั้งมักไม่เกิน30วินาที
4.ตลอดการถ่ายปัสสาวะจะไม่มีอาการเจ็บปวด
5.ลําปัสสาวะช่วงแรกจะพุ่งแรงและใหญ่กว่าตอนสุด
6.ปัสสาวะประมาณ4-6ครั้งต่อวันและปัสสาวะกลางวันบ่อยกว่ากลางคืน
7.มักถ่ายปัสสาวะก่อนนอนตอนเช้าหลังตื่นนอนก่อนหรือหลังรับประทานอาหาร
8.การถ่ายปัสสาวะจะเว้นช่วงห่างประมาณ2–4ชั่วโมงในเวลากลางวันและ6-8ชั่วโมงในเวลากลางคืน
9.จํานวนปัสสาวะประมาณ 250-400มิลลิลิตรต่อครั้งหรือไม่ควรน้อยกว่า30มิลลิลิตรใน1ชั่วโมง
10.ไม่ควรเกิน50มิลลิลิตรในผู้ใหญ่และไม่ควรเกิน100มิลลิลิตรในผู้สูงอายุ
ลักษณะของปัสสาวะที่ปกติ
1.ปริมาณปัสสาวะปกติในผู้ใหญ่ประมาณวันละ800–1,600มิลลิลิตร
2.ลักษณะใสไม่ขุ่นไม่มีตะกอน
3.สีเหลืองจางจนถึงสีเหลืองเข้มสีเหลืองฟางข้าวหรือสีเหลืองอําพัน
4.มีความเป็นกรดอ่อนๆpH4.6-8.0
5.มีความถ่วงจําเพาะประมาณ1.015-1.025
6.เมื่อตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ไม่พบ Casts,Bacteria,Albuminหรือน้ําตาลไม่พบเม็ดเลือดแดง
7.ปัสสาวะใหม่มีกลิ่นแอมโมเนียอ่อนๆ
2.2การขับถ่ายปัสสาวะที่ผิดปกติ
ลักษณะการขับถ่ายปัสสาวะที่ผิดไปจากแบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะ
1.ไม่มีปัสสาวะ
2.ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ
3.ปัสสาวะมากกว่าปกติ
4.ปัสสาวะตอนกลางคืนมากกว่า2ครั้งขึ้นไป
5.ปัสสาวะขัด/ปัสสาวะลําบาก
6.ถ่ายปัสสาวะบ่อยหรือกะปริบกะปรอย
7.ปัสสาวะรดที่นอน
8.ปัสสาวะคั่ง
9.กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
3.ส่วนประกอบของปัสสาวะที่ผิดปกติ
3.1ปัสสาวะเป็นเลือด
ภาวะที่มีเม็ดเลือดแดงปนออกมาในน้ำปัสสาวะทําให้ปัสสาวะเป็นสีแดง
3.2น้ำตาลในปัสสาวะ
ภาวะที่มีน้ำตาลปนออกมาในน้ำปัสสาวะ
3.3โปรตีนในปัสสาวะ
ภาวะที่มีโปรตีนหรือแอลบูมินในปัสสาวะมากกว่า150มิลลิกรัมต่อวัน
3.4คีโตนในปัสสาวะ
ภาวะที่ตรวจพบคีโตนในน้ำปัสสาวะโดยพบในผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับการรักษาไม่ดี/ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้และพบในผู้ป่วยที่ขาดอาหารรุนแรง
3.5ปัสสาวะมีสีเหลืองน้ำตาลของบิลิรูบิน
ภาวะที่ตรวจพบบิลิรูบินในน้ำปัสสาวะ
3.6ปัสสาวะมีสีดําของฮีโมโกลบิน
ภาวะที่มีการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงทําให้เกิดOxyhemoglobin หรือMethemoglobinในปัสสาวะ
3.7ปัสสาวะเป็นหนอง
ภาวะปัสสาวะที่มีเซลล์หนองเม็ดเลือดขาวในน้ำปัสสาวะบางครั้งอาจพบมีแบคทีเรียร่วมด้วย
3.8นิ่วในปัสสาวะ
ภาวะที่มีก้อนนิ่วปนออกมากับน้ําปัสสาวะเนื่องจากมีการตกตะกอนของเกลือแร่ในร่างกาย
3.9ไขมันในปัสสาวะ
ภาวะปัสสาวะที่มีไขมันออกมาในน้ำปัสสาวะทําให้เห็นปัสสาวะเป็นสีขาวขุ่น
4.หลักการส่งเสริมสุขภาพในระบบทางเดินปัสสาวะ
4.1ส่งเสริมให้ได้รับน้ำอย่างเพียงพอ
4.2ป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
1.ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ8แก้วเพื่อชะล้างแบคทีเรียออกจากระบบทางเดินปัสสาวะ
2.ฝึกถ่ายปัสสาวะบ่อยๆทุก2-4ชั่วโมง
3.ดื่มน้ำ2แก้วก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์และปัสสาวะทิ้งทันทีหลังจากมีเพศสัมพันธ์
4.อาบน้ำด้วยฝักบัวแทนอาบในอ่างอาบน้ำหลีกเลี่ยงการใช้สบู่ที่แรงการแช่ฟองสบู่ในอ่างอาบน้ำการใช้แป้งหรือสเปรย์บริเวณฝีเย็บ
5.ใส่ชุดชั้นในที่ทําด้วยผ้าฝ้ายดีกว่าทําด้วยไนล่อน
6.หลีกเลี่ยงการใส่กางเกงที่แน่นหรือคับเกินไป
7.เพิ่มความเป็นกรดของปัสสาวะโดยการรับประทานวิตามินซีและดื่มน้ำผลไม้ที่เป็นกรด
8.ใช้Estrogencreamตามแผนการรักษาของแพทย์
4.3ส่งเสริมให้กล้ามเนื้อทํางานอย่างเต็มที่
การทําKegelexerciseด้วยการขมิบก้นนับ1ถึง10แล้วคลายทําซ้ำเช่นนี้10-25ครั้งต่อวันวันละ3-4ครั้งเป็นเวลา2สัปดาห์ถึง1เดือน
4.4 การช่วยเหลือผู้ป่วยในการขับถ่ายปัสสาวะกรณีปัสสาวะไม่ออก
1.จัดให้ผู้ป่วยอยู่คนเดียวในที่มิดชิดขณะถ่ายปัสสาวะสิ่งแวดล้อมในห้องน้ำสะอาดและปลอดภัย
2.ช่วยให้ผู้ป่วยได้ถ่ายปัสสาวะในท่าที่สะดวกเป็นธรรมชาติ
3.การเปิดก๊อกน้ำให้ได้เห็นหรือได้ยินเสียงน้ำไหล
4.การใช้ความร้อนช่วยในการขับถ่ายปัสสาวะ
5.ให้เวลาในการขับถ่ายปัสสาวะไม่เร่งรัดผู้ป่วยเกินไป
6.ช่วยกดหน้าท้องเบาๆเหนือบริเวณกระเพาะปัสสาวะจะช่วยให้ปัสสาวะสะดวก
4.5สอนให้นวดกระเพาะปัสสาวะ
4.6เสริมสร้างนิสัยของการถ่ายปัสสาวะ
4.7การช่วยเหลือผู้ป่วยในการขับถ่ายปัสสาวะกรณีที่ไม่สามารถไปห้องน้ำได้
พยาบาลอาจต้องนําหม้อนอนในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นผู้หญิงหรือ กระบอกปัสสาวะในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นผู้ชายมาให้ผู้ป่วยที่เตียง
5.การสวนปัสสาวะ
5.1วัตถุประสงค์ของการสวนปัสสาวะ
1.เพื่อระบายเอาน้ำปัสสาวะออกในผู้ป่วยที่ไม่สามารถถ่ายปัสสาวะเองได้
2.เพื่อตรวจสอบจํานวนน้ำปัสสาวะที่เหลือค้างในกระเพาะปัสสาวะ
3.เพื่อสวนล้างกระเพาะปัสสาวะหรือใส่ยาในกระเพาะปัสสาวะ
5.2ชนิดของการสวนปัสสาวะ
การสวนปัสสาวะเป็นครั้งคราว
การสวนคาสายสวนปัสสาวะ
5.3อุปกรณ์
1.ชุดทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์1ชุด/หม้อนอน/ถุงมือสะอาด1คู่
2.ชุดสวนปัสสาวะที่ปราศจากเชื้อ
ถุงมือปลอดเชื้อ
ผ้าสี่เหลี่ยมเจาะกลาง1ผืน
ชามกลมใหญ่1ใบ
ถ้วย2ใบสําหรับใส่สําลี6-8ก้อนและผ้าก๊อส1-2ผืน
Forceps1-2อัน
3.สารหล่อลื่นสายสวนชนิดละลายน้ำได้
4.น้ำกลั่นปลอดเชื้อและน้ำยาทําลายเชื้อ
5.กระบอกฉีดยาปลอดเชื้อขนาด10มิลลิลิตร1อัน
6.Transferforceps
7.ถุงรองรับปัสสาวะปลอดเชื้อและเป็นระบบปิด1ใบ
8.โคมไฟหรือไฟฉาย
9.พลาสเตอร์,เข็มกลัด,ผ้าปิดตา
10.สายสวนปัสสาวะ
5.4วิธีการสวนปัสสาวะ
1.การสวนคาสายสวนปัสสาวะ
1.บอกผู้ป่วยอธิบายให้เข้าใจถึงความจําเป็นของการสวนปัสสาวะวิธีทําอย่างคร่าวๆบอกวิธีปฏิบัติตัวของผู้ป่วยและประโยชน์ของการสวนปัสสาวะ
2.ล้างมือให้สะอาดเตรียมของใช้ไปที่เตียงผู้ป่วย
3.กั้นม่านและจัดให้มีแสงสว่างเพียงพอ
4.แขวนถุงรองรับปัสสาวะกับขอบเตียงให้อยู่ต่ํากว่ากระเพาะปัสสาวะ
5.จัดท่าปิดตาคลุมผ้าผู้ป่วยโดยผู้หญิงจัดท่าDorsalrecumbent positionเท้าห่างกันประมาณ2ฟุตถอดผ้าถุงออกจัดผ้าให้เรียบร้อยเปิดเฉพาะบริเวณฝีเย็บ/ผู้ชายจัดท่าSupinepositionขาแยกออกจากกันเล็กน้อย
6.ทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกให้สะอาด
7.วางชุดสวนปัสสาวะลงบนเตียงระหว่างขาของผู้ป่วยและเปิดผ้าห่อออกด้วยเทคนิคปลอดเชื้อ
8.ใช้ Transferforcepsจัดวางเครื่องใช้เรียงไว้ตามลําดับการใช้
9.เทน้ำยาลงในถ้วยบีบKY-jellyลงในผ้าก๊อซ
10.ฉีกซองใส่สายสวนปัสสาวะแล้วใช้Transferforcepsคีบสายสวนออกจากซองวางลงในชามกลม
11.ฉีกซองกระบอกฉีดยาลงในชุดสวนปัสสาวะด้วยวิธีปลอดเชื้อ
12.เปิดซองถุงมือและใส่ถุงมือด้วยวิธีปลอดเชื้อ
13.ตรวจสอบประสิทธิภาพของบอลลูนที่ปลายFoleycatheter
14.คลี่และวางผ้าสี่เหลี่ยมเจาะกลางบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกโดยให้บริเวณเจาะกลางอยู่ตรงบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกพอดี
15.ใช้มือซ้ายแหวกLabiaให้กว้างจนเห็นรูเปิดของท่อปัสสาวะแล้วใช้ Forcepsคีบสําลีชุบน้ำเกลือเช็ดบริเวณเปิดของท่อปัสสาวะ
16.ใช้มือข้างที่ถนัดหยิบสายสวนปัสสาวะหล่อลื่นKY-Jellyประมาณ1-2นิ้ว(เพศหญิง)หรือ6-7นิ้ว(เพศชาย)
17.ยกภาชนะรองรับปัสสาวะวางบนผ้าสี่เหลี่ยมเจาะกลางระหว่างขาผู้ป่วย
18.ใช้Forcepsที่เหลือหรือมือข้างที่ถนัดจับสายสวนปัสสาวะให้มั่นคง
19.ค่อยๆสอดสายสวนปัสสาวะเข้าไปในรูเปิดของท่อปัสสาวะลึก2-3นิ้ว(เพศหญิง)หรือ6-8 นิ้ว(เพศชาย)หรือจนกว่าน้ําปัสสาวะจะไหล
20.ปัสสาวะไหลออกมาจากนั้นให้ดันสายสวนเข้าไปให้ลึกอีกประมาณ ½-1นิ้ว(เพศหญิง)หรือเกือบสุดสาย(เพศชาย)
21.ใช้มือข้างที่ไม่ถนัดที่แหวกLabia(ในเพศหญิง)หรือจับPenis(ในเพศชาย)อยู่เลื่อนมาจับสายสวนส่วนอีกมือหยิบกระบอกฉีดยาที่บรรจุน้ำกลั่นอยู่ดันน้ำกลั่นเข้าไปทางหางFoleyที่มีแถบสีไม่เกิน10มิลลิลิตร
22.สอดปลายสายของถุงรองรับปัสสาวะลอดบริเวณเจาะกลางออกมา
23.เช็ดบริเวณVulvaให้แห้งด้วยสําลีที่เหลือ
24.ถอดถุงมือติดพลาสเตอร์ยึดสายสวนกับต้นขาของผู้ป่วยและใช้เข็มกลัดติดสายของถุงรองรับปัสสาวะกับที่นอน
25.เก็บSetสวนปัสสาวะออกจากเตียงจัดท่าผู้ป่วยให้สุขสบาย
26.เก็บของใช้ไปทําความสะอาดและบันทึกรายงานการสวนคาสายสวนปัสสาวะ
2.การถอดสายสวนปัสสาวะที่คาไว้
1.เตรียมเครื่องใช้
ถุงมือสะอาด1คู่
Syringeสะอาดขนาด10มิลลิลิตร1อัน
กระดาษชําระ
ชุดทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์
ถุงกระดาษหรือถุงพลาสติก1ใบ
2.บอกผู้ป่วยใส่ถุงมือทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์และบริเวณUrethrameatusให้สะอาด
3.ต่อSyringeเข้ากับหางของสายสวนปัสสาวะที่ใช้สําหรับใส่น้ำกลั่นแล้วดูดน้ำกลั่นออกจนหมด
4.บอกผู้ป่วยให้หายใจเข้าออกลึกๆขณะที่ค่อยๆดึงเอาสายสวนออกแล้วใส่ในถุงที่เตรียมไว้
5.ใช้กระดาษชําระเช็ดบริเวณPerineumให้แห้ง
6.สังเกตลักษณะจํานวนปัสสาวะในถุงก่อนเอาไปเททิ้งลงบันทึกวันเวลาที่เอาสายสวนออกจํานวนสีลักษณะของปัสสาวะลงในบันทึกทางการพยาบาล
7.กระตุ้นให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมากๆสังเกตความผิดปกติของผู้ป่วย
6.หลักการพยาบาลผู้ป่วยได้รับการใส่ถุงยางอนามัยเพื่อระบายปัสสาวะ
วัตถุประสงค์
1.เพื่อรักษาความสะอาดและป้องกันการระคายเคืองของผิวหนังเนื่องจากเปียกปัสสาวะบ่อยๆ
2.ป้องกันการเกิดแผลกดทับในรายที่ต้องรักษาตัวนานๆ
3.ป้องกันการติดเชื้อจากการใส่สายสวนปัสสาวะค้างไว้
4.ป้องกันการอักเสบในรายที่มีแผล
7.การเก็บปัสสาวะส่งตรวจ
7.1วิธีการเก็บปัสสาวะแบบรองเก็บปัสสาวะช่วงกลาง
ให้ผู้ป่วยทําความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ด้วยน้ำสะอาดล้างมือให้สะอาดและเช็ดให้แห้งให้ปัสสาวะทิ้งช่วงต้นไปเล็กน้อยเก็บปัสสาวะในช่วงถัดมาขากนั้นนําปัสสาวะไปส่งให้เจ้าหน้าที่โดยเร็วที่สุด
7.2 วิธีการเก็บปัสสาวะจากสายสวนปัสสาวะที่คาไว้
1.ใช้Clampหนีบสายสวนปัสสาวะที่ใต้รอยต่อระหว่างสายต่อของถุงกับสายสวนไว้นานประมาณ15–30นาที
2.เตรียมSyringesterileเข็มปลอดเชื้อSterileswabน้ำยาฆ่าเชื้อ
3.ล้างมือสวมถุงมือสะอาดเช็ดบริเวณที่จะเก็บปัสสาวะด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
4.ใช้กระบอกฉีดยาที่มีเข็มปลอดเชื้อแทงที่สายสวนปัสสาวะตรงตําแหน่งที่ทําความสะอาดฆ่าเชื้อไว้แล้วดูดปัสสาวะออกมาประมาณ10มล.ส่งตรวจเพาะเชื้อทันที
7.3วิธีการเก็บปัสสาวะ24ชั่วโมง
เริ่มเก็บปัสสาวะเวลา08.00น.โดยให้ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะทิ้งก่อนเริ่มเก็บและรวบรวมน้ําปัสสาวะที่เก็บได้หลัง08.00น.จนครบกําหนด24ชั่วโมง
ถ่ายปัสสาวะเก็บเป็นครั้งสุดท้ายคือเวลา08.00น.เช้าวันรุ่งขึ้นควรแนะนําให้งดโปรตีนคาเฟอีนก่อนการเก็บปัสสาวะประมาณ6ชั่วโมงและให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมากๆก่อนและระหว่างการเก็บ