Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การติดเชื้อที่มาจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ - Coggle Diagram
การติดเชื้อที่มาจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
sexually transmitted infections: STIs
หมายถึง โรคที่ติดต่อจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งผ่านการมีเพศสัมพันธ์
กับผู้ที่เป็นโรคหรือผู้ที่ติดเชื้อไม่ว่าจะเป็นทางปาก ทางช่องคลอด หรือทางทวารหนัก
1. การตกขาวผิดปกติ
การตกขาว (Leukorrhea)
การมีของเหลวไหลออกทางช่องคลอดซึ่งไม่ใช่เลือด เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนของร่างกายต่อเยื่อบุช่องคลอด และ lactobacillus
การตกขาวผิดปกติ
ภาวะที่มีการตกขาวเพิ่มมากกว่าปกติ ร่วมกับมีอาการคัน หรือปวดแสบร้อน ตก ขาวมีกลิ่นเหม็น และอาการจะไม่หายไปเอง
1.1 การตกขาวจากการติดเชื้อรา
(Vulvovaginal candidiasis)
ปัจจัยเสี่ยง
การรับประทานยาปฏิชีวนะ ทำให้มีการทำลายเชื้อแบคทีเรีย lactobacillus ที่มีหน้าที่ฆ่าเชื้อราในช่องคลอด
การได้รับฮอร์โมนสเตียรอยด์ และได้รับยากดภูมิต้านทานทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง
การรับประทานยาคุมกำเนิดชนิดที่มีปริมาณฮอร์โมนมาก
ภูมิต้านทานของร่างกายถูกกดจากการเป็นโรคเอดส์ หรือการได้รับเคมีบำบัด
การควบคุมภาวะเบาหวานไม่ดี มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง น้ำตาลเป็นอาหารที่ดีของเชื้อรา ทำให้เชื้อราเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี
การับประทานอาหารที่มีแป้งและน้ำตาลมาก
การสวมใส่ชุดชั้นในที่แน่นเกินไป ทำให้เกิดความอับชื้น เชื้อราเจริญได้ง่าย
การใช้น้ำยาล้างทำความสะอาดช่องคลอด และปากช่องคลอดบ่อยๆ จะทำลายเชื้อโรคประจำถิ่น
การใส่แผ่นอนามัยโดยไม่เปลี่ยนระหว่างวัน หรือไม่สะอาด จะทำให้เกิดความอับชื้นมากขึ้น
ความเครียด การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ
การตั้งครรภ์ พบว่าขณะตั้งครรภ์ ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงขึ้น
ขบวนการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตขณะตั้งครรภ์ ภาวะความเป็น
กรด-ด่าง ในช่องคลอดที่เปลี่ยนไป
อาการและอาการแสดง
ประมาณร้อยละ 20 ของผู้ติดเชื้อราจะไม่มีอาการ
มีอาการคันและระคายเคืองมากในช่องคลอดและปากช่องคลอด
อาจมีอาการเจ็บขณะร่วมเพศ (dyspareunia)
มีอาการปัสสาวะลำบาก และแสบขัดตอนสุด (external dysuria)
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
การตั้งครรภ์ ทำให้อาการของการติดเชื้อราในช่องคลอดเป็นมากขึ้นเป็น 2 เท่า มีความระคายเคือง คันช่องคลอดมากขึ้น
ผลกระทบต่อทารก
ทารกที่คลอดทางช่องคลอดจากมารดาที่มีการติดเชื้อราในช่องคลอด จะเป็นเชื้อราในช่องปากได้มากกว่าปกติ 2-35 เท่า
การประเมินและการวินิจฉัย
การซักประวัติ
การตรวจร่างกาย การตรวจภายในพบช่องคลอดบวมแดง และตกขาวมีลักษณะขุ่น
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
3.1 การตรวจด้วยวิธี wet mount smear จะพบเซลล์ของยีสต์ และเส้นใยของเซลล์เชื้อรา pH น้อยกว่า 4.5
3.2 การตรวจด้วยวิธีแกรมสเตน จะพบลักษณะเป็นเหมือนเส้นด้าย และมีรูปร่างเหมือนยีสต
แนวทางการรักษา
ใช้ยารักษาภายนอกเฉพาะที่ ซึ่งไม่มีผลเสียทั้งต่อมารดาและทารกในครรภ์ ได้แก่
2% Miconazole cream 5 กรัม ทาช่องคลอด 7 วัน
Miconazole 100 มิลลิกรัม 1 เม็ด เหน็บช่องคลอดก่อนนอนเป็นเวลา 7 วัน
Clotrimazole 100 มิลลิกรัม 1 เม็ด เหน็บช่องคลอดก่อนนอนเป็นเวลา 6 วัน
1% Clotrimazole cream 5 กรัม ทางช่องคลอด 6 วัน
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
อธิบายให้สตรีตั้งครรภ์ เข้าใจสาเหตุและการดูแลตนเอง
แนะนำการใช้ยาทา และยาเหน็บช่องคลอดตามแพทย์สั่ง
การทำความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
หากอาการติดเชื้อเป็นซ้ำๆ หรือสามีมีอาการแสดง ควรพาสามีให้มารักษาพร้อมกัน
ระยะคลอด
สามารถให้คลอดทางช่องคลอดได้ตามปกติ
ระยะหลังคลอด
ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเทอโรนลดลง อาการของการติดเชื้อราในช่องคลอดจะดีขึ้น
การดูแลมารดาหลังคลอดเหมือนมารดาหลังคลอดทั่วไป
เน้นการดูแลความสะอาดของอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกให้สะอาดและแห้งเสมอ
ล้างมือทุกครั้งก่อนสัมผัสบุตร
ทารกแรกเกิดอาจมีการติดเชื้อในช่องปาก ซึ่งจะพบมีฝ้าขาวในช่องปาก ให้ปรึกษากุมารแพทย์เพื่อการ
ดูแลทารกต่อไป
1.2 การตกขาวจากการติดเชื้อพยาธิ
(vaginal trichomoniasis)
อาการและอาการแสดง
ผู้ติดเชื้อร้อยละ 10 ไม่แสดงอาการ ผู้ติดเชื้อร้อยละ 50 มักจะพบโรคคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่นร่วม
ตกขาวมีสีขาวปนเทา หรือสีเหลืองเขียว ตกขาวเป็นฟอง มีกลิ่นเหม็น
มีอาการระคายเคืองที่ปากช่องคลอด ในช่องคลอด ปากช่องคลอดบวมแดง และอาจทำให้ปากมดลูกอักเสบ
มีจุดเลือดออกเป็นหย่อมๆ
อาจมีอาการปัสสาวะแสบขัดหรือบ่อย ปวดแสบปวดร้อนบริเวณต้นขาด้านใน
เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
การติดเชื้อพยาธิในช่องคลอด มีความสัมพันธ์กับภาวะถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด การเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
ผลกระทบต่อทารกในครรภ์
ทารกคลอดก่อนกำหนด และทารกแรกเกิดมีน้ำหนักตัวน้อย
การประเมินและวินิจฉัย
การซักประวัติ
การตรวจร่างกาย การตรวจภายในช่องคลอด พบตกขาวเป็นฟองสีเหลือเขียว
การตรวจทางห้องปฏิบัติการด้วย wet mount smear จะพบเม็ดเลือดขาวจำนวนมาก
แนวทางการรักษา
ยาที่ใช้ได้ผลดีที่สุดต่อการติดเชื้อพยาธิ คือ metronidazole แต่ห้ามใช้ในไตรมาสแรก
หลังไตรมาสแรกไปแล้ว จะรักษาด้วย metronidazole โดยให้รับประทาน 2 กรัม ครั้งเดียว
ให้การรักษาสามีไปด้วย โดยให้ metronidazole หรือ tinidazole รับประทาน 2 กรัม ครั้งเดียว หรือ ornidazole 1.5 กรัม ครั้งเดียว
การพยาบาล
ระยะคลอด
ให้การพยาบาลผู้คลอดในระยะคลอด โดยให้คลอดทางช่อคลอดได้ตามปกติ
ระยะหลังคลอด
ให้การพยาบาลเหมือนมารดาหลังคลอดทั่วไป
แนะนำให้ล้างมือทุกครั้งก่อนสัมผัสบุตร
หากยังไม่ดีขึ้น ให้พบแพทย์และดูแลความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกเสมอ
การติดเชื้อพยาธิในช่องคลอด ต้องได้รับการรักษาทั้งสามีและภรรยาให้หาย ช่วงที่มีอาการให้งดการมีเพศสัมพันธ์ และรักษาให้หาย
ระยะตั้งครรภ์
ให้คำแนะนำและการดูแลเหมือนสตรีตั้งครรภ์ทั่วไป
แนะนำการเหน็บยา หรือการรับประทานยาตามแผนการรักษา
แนะนำให้สามีมารับการรักษาพร้อมกัน
แนะนำการมีเพศสัมพันธ์โดยการสวมถุงยางอนามัย
แนะนำการรักษาความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกให้แห้งสะอาดเสมอ
เป็นพยาธิที่ไม่ต้องการออกซิเจน มีรูปร่างค่อนข้างกลมป้อม มีหนวด 3-5 เส้น มีนิวเคลียสเป็นรูปวงรี เจริญเติบโตได้ดีในสภาวะที่เป็นด่าง pH ประมาณ 5.8-7 อุณหภูมิประมาณ 37 องศา
1.3 การตกขาวจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
(bacterial vaginosis)
ในช่องคลอดโดยปกติจะมีแบคทีเรียประจำถิ่น lactobacillus ซึ่งเป็นแบคทีเรียดีทำหน้าที่ป้องกันการเพิ่มจำนวนของแบคทีเรียชนิดอื่นและเชื้อรา แบคทีเรียที่ทำให้ช่องคลอดอักเสบมากที่สุดชื่อ gardnerella vaginalis ติดต่อทางการมีเพศสัมพันธ์เป็นส่วนใหญ่
การประเมินและวินิจฉัย
การซักประวัติ
การตรวจร่างกาย การตรวจทางช่องคลอดและการทำ pap smear จะพบเชื้อแบคทีเรีย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
3.1 ตรวจ Wet smear
3.2 การเพาะเชื้อ
แนวทางการรักษา
ให้ยา metronidazole 250 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง หรืออาจให้ metronidazole 500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 7-10 วัน
ให้ ampicillin 500 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ถ้าไม่ได้รักษา อาจทำให้มีการติดเชื้อราได้ง่ายขึ้น เชื้อแบคทีเรียยังจะคืบคลานเข้าสู่โพรงมดลูก ท่อนำไข่ ทำให้มีการติดเชื้อในมดลูก ปีกมดลูกอักเสบ และเกิดการอักเสบในอุ้งเชิงกราน
อาจทำให้เกิดการแท้งติดเชื้อ ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด และเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
มารดาหลังคลอดอาจมีไข้ ปวดท้องมากและมีอาการแสดงของเยื่อบุมดลูกอักเสบ
ผลกระทบต่อทารก
ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย และทารกคลอดก่อนกำหนด ซึ่งอาจตรวจพบว่ามีเชื้อแบคทีเรียในหลอดลมทำให้มีภาวะหายใจลำบาก มีแบคทีเรียในเลือด ซึ่งต้องรีบรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ เป็นเวลา 72 ชั่วโมง
การพยาบาล
ระยะคลอด
ผู้คลอดสามารถคลอดทางช่องคลอดได้ตามปกติ
โดยให้การพยาบาลเหมือนผู้คลอดทั่วไป
ระยะหลังคลอด
ให้การดูแลเหมือนมารดาหลังคลอดทั่วไป
สามารถเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาได้ โดยเน้นเรื่องการล้างมือทุกครั้งก่อนสัมผัสบุตร
เน้นการทำความสะอาดของอวัยวะสืบพันธุ์ให้สะอาดและแห้งเสมอ
หากมีอาการผิดปกติให้รีบมาพบแพทย์ทันท
ระยะตั้งครรภ์
ให้คำแนะนำและการดูแลเหมือนสตรีตั้งครรภ์ทั่วไป
รับประทานยาตามแพทย์สั่งให้ครบ และเน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของการมาตรวจตามนัด
รักษาความสะอาดของอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกไม่ให้อับชื้นโดยใช้น้ำธรรมดา หลีกเลี่ยงการใช้สบู่
แนะนำให้พาสามีไปตรวจและรักษาโรคพร้อมกัน
แนะนำการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดท้อง ท้องแข็งบ่อย มีเลือดออกทางช่องคลอด ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
อาการและอาการแสดง
มีอาการคัน ปวดแสบปวดร้อนปากช่องคลอด ในช่องคลอด ถ่ายปัสสาวะลำบาก แสบขัด เจ็บขณะร่วมเพศ ตกขาวสีขาว สีเทา หรือสีเหลือง ข้นเหนียว มีกลิ่นเหม็นเน่าเหมือนคาวปลา
2. ซิฟิลิส (Syphilis)
อาการและอาการแสดง
ซิฟิลิสระยะแรก หรือระยะที่หนึ่ง (primary stage)
หลังจากได้รับเชื้อ 10-90 วัน จะเกิดแผล กลม นิ่ม ขอบนูนแข็ง ไม่เจ็บ เรียว่าแผล chancre บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกหรือในช่องคลอดและปากมดลูก
ซิฟิลิสระยะที่สอง (secondary stage)
ขณะที่แผลกำลังจะหาย หรือหลังจากแผลหายจะพบผื่นกระจายทั่วร่างกาย ฝ่ามือฝ่าเท้า เยื่อบุรวมทั้งอวัยวะสืบพันธุ์ โดยผื่นที่พบบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์จะยกนูน และอาจมีอาการร่วม
ระยะแฝง (latent syphilis)
ระยะนี้จะไม่มีอาการใด ๆ แต่กระบวนการติดเชื้อยังดำเนินอยู่และสามารถแพร่กระจายเชื้อได้
ซิฟิลิสระยะที่ 3 หรือระยะท้ายของโรคซิฟิลิส (tertiary syphilis)
ระยะนี้เชื้อจะเข้าไปทำลายระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้เกิด aortic aneurysm และ aortic insufficiency ถ้าเชื้อเข้าสู่ระบบประสาทจะเกิด ผิวหนังอักเสบ กระดูกผุ เยื่อบุสมองอักเสบ และเสียชีวิตในที่สุด
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ทำให้ผิวหนังและเนื้อเยื่ออักเสบ คลอดก่อนกำหนด และแท้งบุตร
ผลต่อทารก
ทารกคลอดก่อนกำหนด ตายคลอด ทารกแรกเกิดติดเชื้อซิฟิลิส ทารกพิการแต่
กำเนิดโดยอาจพบความพิการของตับม้ามโต ทารกตัวบวมน้ำ ตัวเหลือง
พยาธิสรีรภาพ
เมื่อได้รับเชื้อสู่ร่างกายทางผิวหนังที่เป็นแผลถลอก หรือทางเยื่อบุต่างๆ ของร่างกาย ประมาณ 10-14 วันร่างกายจะสร้าง antibody ต่อเชื้อชนิด IgM และ IgG ขึ้นมา ขณะที่ร่างกายกำลังสร้าง antibody เชื้อจะแบ่งตัว ทำให้บริเวณผิวหนังหรือบริเวณเนื้อเยื่อที่เชื้อผ่านเข้าไปจะเกิดการระคายเคือง เกิดปฏิกิริยา lymphocyte และ plasma cell reaction มาล้อมรอบเนื้อเยื่อที่มีการอักเสบทำให้ผนังหลอดเลือดหนาตัวและบวม
การประเมินและวินิจฉัย
การซักประวัติ
การตรวจร่างกายกรณีที่มีอาการและอาการแสดงอาจตรวจพบไข้ต่ำ ๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
3.1 ระยะที่เป็นแผลสามารถวินิจฉัยโดยการตรวจหาเชื้อ T. Pallidum จากแผล chancre หรือผื่น มาตรวจด้วยกล้อง dark-field microscope
3.2 หากไม่มีแผลหรือผื่น การวินิจฉัยทำโดยการตรวจเลือด
3.2.1 การตรวจหา antibody ที่ไม่จำเพาะต่อเชื้อ
3.2.2 การตรวจหา antibody เพื่อยืนยันการติดเชื้อซิฟิลิส ที่จำเพาะต่อเชื้อ Treponema pallium โดยตรง
3.3 การคัดกรองส่วนใหญ่นิยมใช้การตรวจด้วยวิธี VDRL เนื่องจากเป็นวิธีที่ให้ผลเร็ว
เกิดจากการติดเชื้อ Treponema pallidum มีระยะฟักตัวประมาณ 10-90 วัน โดยเฉลี่ยประมาณ 3 สัปดาห์ สามารถติดจากคนสู่คนโดยการสัมผัสโดยตรงกับแผลหรือเยื่อบุที่มีรอยถลอกเล็ก ๆ
แนวทางการรักษา
การรักษาเป็นแนวทางเดียวกับสตรีที่ติดเชื้อซิฟิลิสขณะไม่ตั้งครรภ์ โดยยึดหลักการรักษาให้หาย ครบถ้วนและต้องให้สามีมารับการตรวจและรักษาพร้อมกัน
ให้ยา Penicillin G ซึ่งเป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาซิฟิลิสในสตรีตั้งครรภ์ และป้องกันการติดเชื้อของทารก
การรักษาในระยะ primary, secondary และ early latent syphilis รักษาด้วย Benzathine Penicillin G Sodium 2.4 ล้านยูนิต ฉีดเข้ากล้ามเนื้อสะโพกครั้งเดียว
การรักษาในระยะ late latent syphilis จะรักษาด้วย Benzathine Penicillin G Sodium 2.4 ล้านยูนิต ฉีดเข้ากล้ามเนื้อสะพก 3 สัปดาห์ติดต่อกัน
5. หูดหงอนไก่ (Condyloma acuminate)
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
หากเกิดรอยโรคใหญ่อาจขัดขวางช่องทางคลอด หรือทำให้เกิดการตกเลือดหลังคลอด และมารดาหลังคลอดมีโอกาสเกิดมะเร็งปากมดลูกได้
ผลต่อทารก
ทารกอาจติดเชื้อหูดหงอนไก่ระหว่างตั้งครรภ์และขณะคลอด บางรายอาจเกิด laryngeal papillomatosis ทำให้เกิดการอุดกั้นของระบบทางเดินหายใจส่วนบน เสียงเปลี่ยน เสียงร้องไห้ แหบผิดปกติ
การประเมินและการวินิจฉัย
การซักประวัติ
การตรวจร่างกาย จะพบรอยโรคเป็นติ่งเนื้อสีชมพูคล้ายหงอนไก่ ผิวขรุขระคล้ายดอกกะหล่ำบริเวณปากช่องคลอด ในช่องคลอด หรือบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ควรวินิจฉัยแยกโรคออกจากซิฟิลิสและ genital cancer การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา หรือตรวจ Pap smear หรือตรวจหาเชื้อ HPV
อาการและอาการแสดง
มีรอยโรคเป็นติ่งเนื้อสีชมพูคล้ายหงอนไก่ ขนาดแตกต่างกัน มักเกิดบริเวณอับชื้น เช่น ปากช่องคลอด การติดเชื้อขณะตั้งครรภ์รอยโรคจะขยายใหญ่ มีผิวขรุยระคล้ายดอกกะหล่ำและยุ่ยมาก
แนวทางการรักษา
ทาบริเวณรอยโรคด้วย 85% trichlorracetic acid หรือ bichloroacetic acid ทุก 7-10 วัน
ใช้ยาท่าร่วมกับการจี้ laser หรือ cryosurgery หรือ electrocoagulation with curettage
แนะนำการรักษาความสะอาด หลีกเลี่ยงการอับชื้นบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
ระยะคลอดหากหูดหงอนไก่มีขนาดใหญ่ อาจพิจารณาผ่าตัดคลอด เพื่อหลีกเลี่ยงการคลอดติดขัดและการตกเลือด
เกิดจากการติดเชื้อ human papilloma virus (HPV) มีระยะฟักตัวนาน 2-3 เดือน ติดต่อจากการสัมผัสรอยโรคโดยเฉพาะทางเพศสัมพันธ
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซิฟิลิส หนองใน เริม และหูดหงอนไก่
ระยะคลอด
ดูแลผู้คลอดโดยยึดหลัก universal precaution เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
หลีกเลี่ยงการทำหัตถการทางช่องคลอด เช่น การตรวจทางช่องคลอด การเจาะถุงน้ำคร่ำ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรทำอย่างระมัดระวังและไม่ทำให้ถุงน้ำคร่ำแตก
ดูแลให้ผู้คลอดและทารกได้รับยาตามแผนการรักษาเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
หากไม่สามารถคลอดทางช่องคลอดได้ เตรียมผู้คลอดให้พร้อมสำหรับการผ่าตัดนำทารกออกทางหน้าท้องทั้งทางร่างกาย จิตใจ และกฎหมาย
ระยะหลังคลอด
ให้การพยาบาลมารดาหลังคลอดโดยยึดหลัก universal precaution
แนะนำมารดาหลังคลอดเกี่ยวกับการดูแลรักษาความสะอาดร่างกาย เครื่องใช้ส่วนตัว การกำจัดสิ่งปนเปื้อนสารคัดหลั่งอย่างถูกต้อง
ประเมินอาการติดเชื้อของทารกแรกเกิด ได้แก่ มีไข้ อ่อนเพลีย ดูดนมไม่ดี ตัวเหลือง ชัก หรือมีแผล herpes ตามร่างกาย
แนะนำการเลี้ยงบุตร โดยล้างมือให้สะอาดก่อนจับทารกทุกครั้ง และหากไม่มีแผลบริเวณหัวนมหรือเต้านมสามารถให้นมมารดาได้ และหากสงสัยว่าทารกอาจมีตาอักเสบ ควรรีบมาพบแพทย์
ดูแลให้มารดาหลังคลอดและทารกได้รับยาป้องกันการติดเชื้อตามแผนการรักษา
แนะนำและดูแลมารดาหลังคลอดปกติ หรือหลังการผ่าตัดคลอด เช่นเดียวกับมารดาหลังคลอดทั่วไป และเน้นการกลับมาตรวจตามนัดหลังคลอด รวมถึงอาการผิดปกติที่ควรมาตรวจก่อนวันนัด
ระยะตั้งครรภ์
คัดกรองและประเมินภาวะสุขภาพของสตรีตั้งครรภ์ โดยการซักประวัติโดยละเอียด ตรวจร่างกาย
แนะนำให้นำสามีมารับการตรวจเพื่อวินิจฉัยโรค และหากมีการติดเชื้อแนะนำให้รักษาพร้อมกัน และติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง
อธิบายให้เข้าใจถึงการดำเนินของโรค อันตรายของโรคต่อการตั้งครรภ์ แผนการรักษาพยาบาล การป้องกันสุขภาพของสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
แนะนำการปฏิบัติตัวของสตรีตั้งครรภ์และสามี ดังนี้
4.1 รับประทานยา ฉีดยา หรือทายาตามแผนการรักษา
4.2 หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ หรือใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
4.3 หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลและหนอง
4.4 กรณีมีแผลที่อวัยวะสืบพันธุ์แนะนำให้ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ทุกครั้งหลังการขับถ่ายและอาบน้ำ รวมทั้งดูแลร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ
4.5 แนะนำเกี่ยวกับความสำคัญของการมาตรวจตามนัด
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ และผลการรักษาของสตรีตั้งครรภ์และสามีอย่างสม่ำเสมอ
3. หนองใน (Gonorrhea)
อาการและอาการแสดง
ีการอักเสบของปากมดลูกและช่องคลอดทำให้ตกขาวเป็นหนองข้นปริมาณมาก อาจพบอาการกดเจ็บบริเวณต่อมบาร์โธลินหากมีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะส่วนล่างจะพบอาการปัสสาวะแสบขัดปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะกระปิดกระปรอย เป็นหนองข้น และปัสสาวะเป็นเลือด
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ไม่มีอาการ มีบุตรยาก กรณีที่มีอาการขณะตั้งครรภ์จะทำให้ถุงน้ำคร่ำอักเสบและติดเชื้อ ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด แท้งบุตร และการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
ผลกระทบต่อทารก
ทารกแรกเกิดที่คลอดปกติผ่านทางช่องคลอดมีการติดเชื้อหนองในที่ปากมดลูก ช่องคลอด หรืออวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก โดยเฉพาะบริเวณเยื่อเมือกที่ตาของทารก ทำให้เกิดตาอักเสบและอาจเป็นสาเหตุให้ตาบอดได้
พยาธิสรีรภาพ
เมื่อเชื้อ Neiseria gonorrheae เข้าสู่ร่างกาย จะเข้าไปเกาะติดกับเซลล์เยื่อบุและเซลล์ขับเมือก โดยจะพยายามผ่านเนื้อเยื่อเกี่ยวพันเข้าไปเพิ่มจำนวนเซลล์ในชั้น subepithelial tissue จากนั้นเชื้อ Neiseria gonorrheaeจะทำปฏิกิริยากับภูมิต้านทานของร่างกาย ทำให้เกิดสารเคมีที่เป็นพิษต่อเซลล์และเนื้อเยื่อ
การประเมินและวินิจฉัย
การซักประวัติ
การตรวจร่างกายตรวจทางช่องคลอดจะพบหนองสีขาวขุ่น บางรายอาจพบเลือดปนหนอง
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ตรวจขั้นต้นโดยการเก็บน้ำเหลืองหรือหนองจากส่วนที่มีการอักเสบมาย้อมสี ตรวจ gram stain smear
เกิดจากการติดเชื้อ Neiseria gonorrheae หรือ gonococcus (GC) ซึ่งเป็นแบคทีเรียทรงกลมอยู่เป็นคู่ เชื้อเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเยื่อเมือกต่างๆของอวัยวะสืบพันธุ์จากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ
แนวทางการรักษา
ตรวจคัดกรองขณะตั้งครรภ์ตามปกติ (VDRL)
หากพบว่ามีเชื้อให้ยา ceftriaxone,
azithromycin, penicillin ได้ทั้งรับประทานและฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
ทารกแรกเกิดทุกรายควรได้รับยาป้ายตาคือ 1% tetracycline ointment หรือ 0.5% erythromycin, ointment หรือ 1% Silver nitrate (AgNO3) หยอดตาตาทารก
หลังคลอดเพื่อป้องกันการติดเชื้อที่ตา
ทารกที่พบว่ามีการติดเชื้อหนองในควรได้รับยาปฏิชีวนะ ceftriaxone
การรักษาในสตรีตั้งครรภ์ควรคำนึงว่ามีการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่นร่วมด้วยหรือไม่
6. การติดเชื้อเอชไอวีในสตรีตั้งครรภ์ (Human Immunodeficiency Virus [HIV] during pregnancy)
พยาธิสรีรภาพ
ภายหลังการติดเชื้อ HIV เข้าสู่ร่างกาย เชื้อ HIV จะใช้ส่วน GP120 ที่ผิวของเชื้อ HIV จับกับ CD4 receptor ของเซลล์เม็ดเลือดขาว จากนั้นเชื้อ HIV จะเข้าไปในเซลล์เม็ดเลือดขาวเหล่านั้น แล้วใช้ enzyme reverse transcriptaseสร้าง viral DNA แทรกเข้าไปในนิวเคลียสของเซลล์เม็ดเลือดขาวแล้วเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวที่มีเชื้อไวรัส HIV ทำให้ร่างกายมีเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ติดเชื้อ HIV จำนวนมาก
อาการและอาการแสดง
ระยะเริ่มแรกของการติดเชื้อ HIV
ระยะนี้เริ่มตั้งแต่ติดเชื้อ HIV จนกระทั่งร่างกายเริ่มสร้าง antibody กินเวลาประมาณ 1-6 สัปดาห์หลังติดเชื้อ จากนั้นจะเริ่มมีไข้ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว มีผื่นขึ้น ต่อมน้ำเหลืองโต
ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ
ระยะนี้ร่างกายจะแข็งแรงเป็นปกติเหมือนคนทั่วไป
ระยะติดเชื้อที่มีอาการ
อาจพบอาการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ ได้แก่ มีอุณหภูมิร่างกายสูงมากกว่า 37.8 องศา เป็นพักๆ หรือติดต่อกันทุกวัน ท้องเดินเรื้อรัง หรืออุจจาระร่วงเรื้อรัง น้ำหนักลดเกิน 10% ของน้ำหนักตัว
ระยะป่วยเป็นเอดส์
จะมีอาการดังต่อไปนี้ คือ ไข้ ผอม ต่อมน้ำเหลืองโตหลายแห่ง ซีด อาจพบลิ้นหรือช่องปากเป็นฝ้าขาวจากเชื้อรา แผลเริมเรื้อรัง ผิวหนังเป็นแผลพุพอง
การแพร่เชื้อจากมารดาสู่ทารก
การติดเชื้อ HIV ระหว่างตั้งครรภ์ เชื้อไวรัสสามารถผ่านทางรก โดยผ่านเซลล์ trophoblast และ macrophages เข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดของทารกในครรภ์ ทำให้ทารกในครรภ์ติดเชื้อ HIV
การติดเชื้อ HIV ระหว่างคลอด เนื่องจากระหว่างคลอดทารกจะสัมผัสกับเลือดของมารดา น้ำคร่ำ และสารคัดหลั่งในช่องคลอดของมารดา ทำให้ทารกมีโอกาสที่จะติดเชื้อ HIV จากมารดาได้สูงในระยะคลอด
การติดเชื้อ HIV ระยะหลังคลอด ภายหลังคลอดทารกจะติดเชื้อได้จากการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของมารดา
แต่ส่วนใหญ่มักจะติดเชื้อจากน้ำนมมารดา
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
สตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ HIV และมีปริมาณ CD4 ต่ำ มีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนจากการติดเชื้อฉวยโอกาสได้ง่ายขึ้น
ผลกระทบต่อทารก
มีโอกาสที่ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ ทารกคลอดก่อนกำหนด ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย ทารกมีขนาดเล็กกว่าอายุครรภ์ และทารกตายคลอด
สามารถติดต่อผ่านทางเลือด
ทางเพศสัมพันธ์ และจากมารดาสู่ทารก
การประเมินและการวินิจฉัย
การซักประวัติเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ
การตรวจร่างกาย โดยการตรวจร่างกายทั่วไป
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
3.1 การตรวจเชื้อ HIV (HIV viral testing) เป็นการตรวจหาเชื้อ HIV หรือส่วนประกอบของเชื้อ
3.2 การตรวจหา antibody ต่อเชื้อ HIV เป็นวิธีมาตรฐานสำหรับการวินิจฉัยการติดเชื้อ HIV
3.3 การตรวจนับเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 lymphocyte และการตรวจวัดปริมาณ viral load
การตรวจพิเศษ
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
คัดกรองสตรีตั้งครรภ์และสามีที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
ให้ข้อมูลแก่สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวเกี่ยวกับการดำเนินของโรค
แนะนำให้มาฝากครรภ์ตามนัดทุกครั้ง
ให้ความรู้แก่สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวเกี่ยวกับหลักมาตรฐานในการควบคุมและป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ประเมินภาวะแทรกซ้อนจากการได้รัยยาต้านไวรัส
แนะนำการปฏิบัติตัวของสตรีตั้งครรภ์
7.1 รับประทานยาตามแผนการรักษา
7.2 รักษาความสะอาดของร่างกายและอวัยวะสืบพันธุ์
7.3 หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับบุคคลที่ติดเชื้อ
7.4 หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอ
7.5 แนะนำเกี่ยวกับความสำคัญของการมาตรวจตามนัด
ประเมินระดับความวิตกกังวล ความกลัวของสตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ HIV
ให้การพยาบาลด้วยท่าทีที่ปราศจากความรังเกียจ ให้กำลังใจ และช่วยเหลือให้สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวสามารถเผชิญปัญหาและสามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสม
ระยะคลอด
ดูแลผู้คลอดโดยยึดหลัก universal precaution
ให้การดูแลเช่นเดียวกับผู้คลอดทั่วไป
หากปริมาณ viral load ≤ 50 copies/mL แพทย์อาจพิจารณาเจาะถุงน้ำคร่ำเพื่อชักนำการคลอด
ทำคลอดด้วยวิธีที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อผู้คลอดกและทารกน้อยที่สุด และหลีกเลี่ยงการใช้สูติศาสตร์
หัตถการที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
ดูแลให้ผู้คลอดและทารกได้รับยาต้านไวรัสตามแผนการรักษา
เตรียมอุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ในการช่วยเหลือทารกแรกเกิด และรายงานกุมารแพทย์
ประเมินอาการเปลี่ยนแปลงและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้แก่ ภาวะตกเลือดหลังคลอด ภาวะติดเชื้อ
ภาวะซีด ความผิดปกติทางโลหิตวิทยา และเม็ดเลือดขาวต่ำ
ระยะหลังคลอด
ดูแลมารดาหลังคลอดโดยยึดหลัก universal precaution
ให้คำแนะนำแก่มารดาหลังคลอด เพื่อป้งอกันการแพร่กระจายเชื้อ
2.1 หลีกเลี่ยงเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา
2.2 แนะนำให้ใส่เสื้อชั้นในที่คับเพื่อยับยั้งการสร้างและหลั่งน้ำนม
2.3 แนะนำวิธีป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่บุคคลอื่น การกำจัดสารคัดหลั่งอย่างถูกวิธี
2.4 อธิบายให้มารดาหลังคลอดเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญในการดูแลตนเองและการมาตรวจตามนัด
2.5 แนะนำการวางแผนครอบครัว สามารถใช้วิธีคุมกำเนิดได้ทุกวิธีโดยต้องใช้ร่วมกับการใช้ถุงยางอนามัยเสมอ
การป้องกันและการรักษา
การให้ยาต้านไวรัสแก่สตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ HIV เพื่อลดปริมาณของเชื้อ HIV ในเลือดให้ต่ำที่สุด
การให้ยาเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อฉวยโอกาสระหว่างตั้งครรภ์ หาก CD4 < 200 cells/mm3 ป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาส PCP โดยให้ยา TMP-SMX (80/400 mg)
พิจารณาระยะเวลาที่จะให้คลอดและวิธีการคลอด
3.1 การพิจารณาให้คลอดทางช่องคลอด
3.2 การผ่าตัดคลอดก่อนการเจ็บครรภ์
3.3 การผ่าตัดคลอดกรณีฉุกเฉิน ในสตรีตั้งครรภที่มีปริมาณ viral load ≥ 1,000 copies/mL
หลังคลอดหลีกเลี่ยงการให้ยากลุ่ม ergotamine
หลีกเลี่ยงการใส่สายยางสวนอาหารในกระเพาะทารกโดยไม่จำเป็น
หลีกเลี่ยงการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา
ทารกที่คลอดจากมารดาที่ติดเชื้อ HIV ทุกรายควรได้รับการดูแลรักษาโดยกุมารแพทย
4. การติดเชื้อเริม (Herpes simplex)
เกิดจากเชื้อไวรัสคือ Herpes simplex virus (HSV) เข้าสู่ร่างกายโดยผ่านทางเยื่อบุ หรือแผลที่ผิวหนัง เชื้อแบ่งเป็น HSV–1และHSV–2 เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะไปแฝงตัวอยู่ที่ปมประสาทรับความรู้สึก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
การติดเชื้อครั้งแรกขณะตั้งครรภ์จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้ง การเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ส่วนการติดเชื้อซ้ำขณะตั้งครภร์มีผลกระทบค่อนข้างน้อย
ผลกระทบต่อทารก
ทารกมีการเจริญเติบโตช้าในครรภ์ ทารกคลอดก่อนกำหนด หากทารกมีการติดเชื้อในขณะตั้งครรภ์ จะทำให้เกิดความพิการแต่กำเนิดสูง
การประเมินและการวินิจฉัย
การซักประวัติ
การตรวจร่างกาย จะพบตุ่มน้ำใส หากตุ่มน้ำแตกจะพบแผลอักเสบ แดง ปวดแสบปวดร้อนบริเวณขอบแผลค่อนข้างแข็ง
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
3.1 การเพาะเชื้อใน Hank’s medium
3.2 การขูดเนื้อเยื่อจากแผลมาทำการย้อมและดูด้วยกล้องจุลทรรศน์
3.3 การทำให้ตุ่มน้ำแตกแล้วขูดบริเวณก้นแผลมาป้ายสไลด์แล้วย้อมสี
อาการและอาการแสดง
อาการของการติดเชื้อปฐมภูมิมักเกิด 3-7 วันหลังการสัมผัสเชื้อ โดยจะมีอาการปวดแสบปวดร้อน และคันบริเวณที่สัมผัสโรค จากนั้นจะกลายเป็นตุ่มน้ำใสๆ แล้วแตกกลายเป็นแผลอยู่ 2 สัปดาห์ ก่อนจะตำสะเก็ด
พยาธิสรีรภาพ
ภายหลังจากเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะทำให้ผิวหนังเป็นตุ่มน้ำใส เล็ก ๆจำนวนมาก เมื่อตุ่มน้ำแตก หนังกำพร้าจะหลุดพร้อมกับทำให้เกิดแผลตื้น ทำให้รู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่แผล
แนวทางการรักษา
ปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถรักษา herpes simplex ให้หายขาดได้ การรักษาจึงเป็นการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ
ให้ Acyclovir 200 mg รับประทานวันละ 5 ครั้ง นาน 5-7 วัน ถ้ารุนแรงให้ Acyclovir 5 mg/kg ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ทุก 8 ชั่วโมง นาน 5-7 วัน
การรักษาในระยะคลอด
3.1 กรณีที่เคยติดเชื้อเริมมาก่อน แต่ขณะคลอดตรวจไม่พบรอยโรคหรือไม่มีอาการของการติดเชื้อ ให้คลอดทางช่องคลอด และเฝ้าระวังทารก เพื่อดูอาการของการติดเชื้อเริม
3.2 กรณีที่พบรอยโรคขณะคลอดไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อครั้งแรก หรือติดเชื้อซ้ำ ให้คลอดโดยการผ่าตัดคลอด และเฝ้าระวังทารกเพื่อดูอาการของการติดเชื้อเริม