Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การส่งเสริมการขับถ่ายปัสสาวะ, foley-catheter-500x500, images,…
การส่งเสริมการขับถ่ายปัสสาวะ
ปัจจัยที่มีผลต่อการขับถ่ายปัสสาวะ
อายุ หรือ พัฒนาการในวัยต่าง ๆ (Developmental growth)
น้ำและอาหาร (Food and fluid)
ยา (Medication)
ด้านจิตสังคม (Psychosocial factors)
สังคมและวัฒนธรรม (Sociocultural factor)
ลักษณะท่าทาง (Body position)
กิจกรรมและความตึงตัวของกล้ามเนื้อ (Activity and Muscle tone)
พยาธิสภาพ (Pathologic conditions)
การผ่าตัดและการตรวจเพื่อการวินิจฉัยต่าง ๆ (Surgical and diagnostic procedure)
แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะและการขับถ่ายปัสสาวะที่ผิดปกติ
แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะ
การขับถ่ายปัสสาวะในคนปกติ
ตลอดการถ่ายปัสสาวะจะไม่มีอาการเจ็บปวด
ลำปัสสาวะช่วงแรกจะพุ่งแรงและใหญ่กว่าตอนสุด
สามารถกลั้นได้ และเมื่อจะปัสสาวะก็สามารถปัสสาวะได้ทันที
ปัสสาวะประมาณ 4-6 ครั้งต่อวัน และปัสสาวะกลางวันบ่อยกว่ากลางคืน
อยากถ่ายปัสสาวะเมื่อมีปริมาณปัสสาวะอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ 100-400 มิลลิลิตร
มักถ่ายปัสสาวะก่อนนอน ตอนเช้าหลังตื่นนอน ก่อนหรือหลังรับประทานอาหาร
ปัสสาวะแต่ละครั้งมักไม่เกิน 30 วินาที
เว้นช่วงห่างประมาณ 2–4 ชั่วโมงในเวลากลางวัน และ 6-8 ชั่วโมง ในเวลากลางคืน
ปัสสาวะประมาณ 250-400 มิลลิลิตรต่อครั้ง หรือไม่ควรน้อยกว่า 30 มิลลิลิตร ใน 1 ชั่วโมง
Residual urine ไม่ควรเกิน 50 มิลลิลิตร ในผู้ใหญ่ และไม่ควรเกิน 100 มิลลิลิตรในผู้สูงอายุ
ลักษณะของปัสสาวะที่ปกติ
สีเหลืองจางจนถึงสีเหลืองเข้ม สีเหลืองฟางข้าว หรือสีเหลืองอำพัน
มีความเป็นกรดอ่อนๆ pH ประมาณ 4.6-8.0
ลักษณะใส ไม่ขุ่น ไม่มีตะกอน
มีความถ่วงจำเพาะ (Specific gravity) ประมาณ 1.015-1.025
ปริมาณปัสสาวะปกติในผู้ใหญ่ ประมาณวันละ 800–1,600 มิลลิลิตร
เมื่อตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ (Microscopic examination) ไม่พบ Casts,
Bacteria, Albumin หรือน้ำตาล ไม่พบเม็ดเลือดแดง
ปัสสาวะใหม่มีกลิ่นแอมโมเนียอ่อนๆ ถ้าตั้งทิ้งไว้นานๆ จะได้กลิ่นแอมโมเนียที่แรง
การขับถ่ายปัสสาวะที่ผิดปกติ
ปัสสาวะขัด ปัสสาวะลำบาก (Dysuria)
ถ่ายปัสสาวะบ่อยหรือกะปริบกะปรอย (Pollakiuria)
ปัสสาวะตอนกลางคืน (Nocturia) มากกว่า 2 ครั้งขึ้นไป
ปัสสาวะรดที่นอน (Enuresis)
ปัสสาวะมากกว่าปกติ (Polyuria หรือ Diuresis) มากกว่า 2,500–3,000 มิลลิลิตรต่อวัน
ปัสสาวะคั่ง (Urinary retention)
ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ (Oliguria) เป็นภาวะที่มีปัสสาวะน้อยกว่า 500 มิลลิลิตร
กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือกลั้นปัสสาวะไม่ได้ (Urinary incontinence)
ปัสสาวะเล็ด (Stress incontinence)
ปัสสาวะท้น (Overflow incontinence)
ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ที่เกิดจากภาวะหรือโรคอื่น ๆ (Functional Incontinence)
กลั้นปัสสาวะไม่ทัน หรือ ภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน
(Urge incontinence/Urgency/ Overactive bladder)
กลั้นปัสสาวะไม่อยู่โดยสิ้นเชิง (True Incontinence)
ไม่มีปัสสาวะ ปริมาณปัสสาวะน้อยกว่า 50 มิลลิลิตรต่อวันหรือไม่มีการปัสสาวะเลย
ส่วนประกอบของปัสสาวะที่ผิดปกติ
โปรตีนในปัสสาวะ (Proteinuria หรือ Albuminuria)
คีโตนในปัสสาวะ (Ketonuria)
น้ำตาลในปัสสาวะ (Glycosuria)
ปัสสาวะมีสีเหลืองน้ำตาลของบิลิรูบิน (Bilirubinuria หรือ Choluria)
ปัสสาวะเป็นเลือด (Hematuria)
ปัสสาวะเป็นหนอง (Pyuria)
ปัสสาวะมีสีดำของฮีโมโกลบิน (Hemoglobinuria)
ไขมันในปัสสาวะ (Chyluria)
นิ่วในปัสสาวะ (Calculi)
หลักการส่งเสริมสุขภาพในระบบทางเดินปัสสาวะ
ส่งเสริมให้ได้รับน้ำอย่างเพียงพอ
ในผู้ใหญ่ อย่างน้อยวันละ
6-8 แก้ว หรือประมาณ 1,500-2,000 มิลลิลิตร
ผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ หรือมีนิ่วในทางเดิน
ปัสสาวะ จะต้องได้รับน้ำเพิ่มมากขึ้นประมาณวันละ 2,000-3,000 มิลลิลิตร
ป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
อาบน้ำด้วยฝักบัวแทนอาบในอ่างอาบน้ำ
ใส่ชุดชั้นในที่ทำด้วยผ้าฝ้ายดีกว่าทำด้วยไนล่อน
ดื่มน้ำ 2 แก้วก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์ และปัสสาวะทิ้งทันทีหลังจากมีเพศสัมพันธ์
หลีกเลี่ยงการใส่กางเกงที่แน่นหรือคับเกินไป
ฝึกถ่ายปัสสาวะบ่อยๆ ทุก 2-4 ชั่วโมง
เพิ่มความเป็นกรดของปัสสาวะ
ดื่มน้ำ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
ใช้ Estrogen cream ตามแผนการรักษาของแพทย์
ส่งเสริมให้กล้ามเนื้อทำงานอย่างเต็มที่
การกระตุ้นให้บริหารร่างกายอย่างสม่ำเสมอ
ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ
พยายามระงับอาการไอ และหลีกเลี่ยงการยกของหนัก
การช่วยเหลือผู้ป่วยในการขับถ่ายปัสสาวะ กรณีปัสสาวะไม่ออก
การเปิดก๊อกน้ำให้ได้เห็น หรือได้ยินเสียงน้ำไหล
การใช้ความร้อนช่วยในการขับถ่ายปัสสาวะ
ช่วยให้ผู้ป่วยได้ถ่ายปัสสาวะในท่าที่สะดวกเป็นธรรมชาติ
ให้เวลาในการขับถ่ายปัสสาวะ ไม่เร่งรัดผู้ป่วยเกินไป
จัดให้ผู้ป่วยอยู่คนเดียวในที่มิดชิดขณะถ่ายปัสสาวะ
ช่วยกดหน้าท้องเบาๆ เหนือบริเวณกระเพาะปัสสาวะ
สอนให้นวดกระเพาะปัสสาวะ
ใช้มือนวดเบาๆ ที่ท้องน้อยเหนือกระดูกหัวเหน่า
บอกให้ผู้ป่วยกลั้นหายใจขณะที่กดปลายนิ้วลงไปที่กระเพาะปัสสาวะ
ในระหว่างที่นวดให้ผู้ป่วยขมิบกล้ามเนื้อฝีเย็บสลับกับการนวดด้วย
เสริมสร้างนิสัยของการถ่ายปัสสาวะ
การช่วยเหลือผู้ป่วยในการขับถ่ายปัสสาวะ กรณีที่ไม่สามารถไปห้องน้ำได้
หม้อนอน (Bedpan) ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นผู้หญิง
กระบอกปัสสาวะ (Urinal) ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นผู้ชาย
การสวนปัสสาวะ
วัตถุประสงค์ของการสวนปัสสาวะ
เพื่อสวนล้างกระเพาะปัสสาวะ หรือใส่ยาในกระเพาะปัสสาวะ
เพื่อศึกษาความผิดปกติของท่อปัสสาวะ
เพื่อเก็บน้ำปัสสาวะส่งตรวจเพาะเชื้อ
เพื่อตรวจสอบจำนวนน้ำปัสสาวะที่ขับออกมาในผู้ป่วยอาการหนักอย่างถูกต้อง
เพื่อตรวจสอบจำนวนน้ำปัสสาวะที่เหลือค้างในกระเพาะปัสสาวะ
เพื่อช่วยให้กระเพาะปัสสาวะว่างในผู้ป่วยที่ต้องทำหัตถการต่างๆ
เพื่อระบายเอาน้ำปัสสาวะออก
ชนิดของการสวนปัสสาวะ
การสวนปัสสาวะเป็นครั้งคราว (Intermittent catheterization)
การสวนคาสายสวนปัสสาวะ ( Indwelling catheterization or retained catheterization)
อุปกรณ์
ชุดทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ 1 ชุด หม้อนอน ถุงมือสะอาด 1 คู่ ถุงกระดาษหรือถุงพลาสติก
ชุดสวนปัสสาวะที่ปราศจากเชื้อ (Sterile catheterization set)
ถุงรองรับปัสสาวะปลอดเชื้อและเป็นระบบปิด (Sterile urine bag) 1 ใบ
สารหล่อลื่นสายสวนชนิดละลายน้ำ
โคมไฟ หรือไฟฉาย,พลาสเตอร์, เข็มกลัด, ผ้าปิดตา
น้ำกลั่นปลอดเชื้อ (Sterile water) และน้ำยาทำลายเชื้อ (Antiseptic solution)
กระบอกฉีดยาปลอดเชื้อ (Sterile syringe)
Transfer forceps
สายสวนปัสสาวะ
วิธีการสวนปัสสาวะ
การสวนคาสายสวนปัสสาวะ
(Indwelling หรือ Retention catheter)
บอกผู้ป่วยอธิบายให้เข้าใจ
บอกวิธีทำ บอกวิธีปฏิบัติตัวของผู้ป่วย
บอกประโยชน์ของการสวนปัสสาวะ
บอกความจำเป็นของการสวนปัสสาวะ
ล้างมือให้สะอาด เตรียมของใช้ไปที่เตียงผู้ป่วย
กั้นม่าน และจัดให้มีแสงสว่างเพียงพอ
แขวนถุงรองรับปัสสาวะกับขอบเตียงให้อยู่ต่ำกว่ากระเพาะปัสสาวะ
ใช้ Transfer forceps จัดวางเครื่องใช้เรียงไว้ตามลำดับ วางห่างจากขอบผ้าเข้าไปอย่างน้อยประมาณ 1 นิ้ว
จัดท่า ปิดตา คลุมผ้าผู้ป่วย
เทน้ำยาลงในถ้วย บีบ KY-jelly ลงในผ้าก๊อซ (ถ้ามี) หรือในชามกลมใบใหญ่
ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกให้สะอาด
ฉีกซองใส่สายสวนปัสสาวะ แล้วใช้ Transfer forceps คีบสายสวนออกจากซองวางลงในชามกลม
วางชุดสวนปัสสาวะลงบนเตียงระหว่างขาของผู้ป่วย
ฉีกซองกระบอกฉีดยาลงในชุดสวนปัสสาวะด้วยวิธีปลอดเชื้อ
เปิดซองถุงมือและใส่ถุงมือด้วยวิธีปลอดเชื้อ
ตรวจสอบประสิทธิภาพของบอลลูนที่ปลาย Foley catheter
คลี่และวางผ้าสี่เหลี่ยมเจาะกลางบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
ใช้มือซ้ายแหวก Labia ให้กว้างจนเห็นรูเปิดใช้ Forceps คีบสำลีชุบน้ำเกลือเช็ดบริเวณเปิดของท่อปัสสาวะ
เพศชายให้ทำความสะอาดรูเปิดท่อปัสสาวะและ Glans penis
ค่อยๆ สอดสายสวนปัสสาวะเข้าไปในรูเปิดของท่อปัสสาวะ
ใช้มือข้างที่ถนัดหยิบสายสวนปัสสาวะหล่อลื่น KY-Jelly
ยกภาชนะรองรับปัสสาวะวางบนผ้าสี่เหลี่ยมเจาะกลางระหว่างขาผู้ป่วย
ใช้ Forceps ที่เหลือหรือมือข้างที่ถนัดจับสายสวนปัสสาวะให้มั่นคง ให้ปลายเปิด
ด้านโคนของสายสวนปัสสาวะวางอยู่ในภาชนะรองรับน้ำปัสสาวะ
เมื่อใส่สายสวนจะเห็นปัสสาวะไหลออกมาจากนั้นให้ดันสายสวนเข้าไปให้ลึกอีกถ้ามีแรงต้าน
หยิบกระบอกฉีดยาที่บรรจุน้ำกลั่นอยู่ ดันน้ำกลั่นเข้าไปทางหาง Foleyที่มีแถบสี ไม่เกิน 10 มิลลิลิตร แล้วลองดึงสายสวนเบาๆ พอตึงแล้วดันกลับเล็กน้อย
ถอดถุงมือ ติดพลาสเตอร์ยึดสายสวนกับต้นขาของผู้ป่วย
และใช้เข็มกลัดติดสายของถุงรองรับปัสสาวะกับที่นอน
เช็ดบริเวณ Vulva ให้แห้งด้วยสำลีที่เหลือ
สอดปลายสายของถุงรองรับปัสสาวะลอดบริเวณเจาะกลางออกมา
เก็บ Set สวนปัสสาวะออกจากเตียง จัดท่าผู้ป่วยให้สุขสบาย
ถ้าผ้าขวางเตียงหรือผ้าปูที่นอนเปียกให้เปลี่ยน
เก็บของใช้ไปทำความสะอาด และบันทึกรายงานการสวนคาสายสวนปัสสาวะ
การถอดสายสวนปัสสาวะที่คาไว้
(Removing Indwelling or Retention catheters)
บอกผู้ป่วย ใส่ถุงมือทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ และบริเวณ Urethra meatusให้สะอาด
ใช้กระดาษชำระเช็ดบริเวณ Perineum ให้แห้ง
กระตุ้นให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมาก ๆ สังเกตความผิดปกติของผู้ป่วย
ต่อ Syringe เข้ากับหางของสายสวนปัสสาวะที่ใช้สำหรับใส่น้ำกลั่นแล้วดูดน้ำกลั่นออกจนหมด
สังเกตลักษณะ จำนวนปัสสาวะในถุงก่อนเอาไปเททิ้ง ลงบันทึก
บอกผู้ป่วยให้หายใจเข้าออกลึกๆ ดึงเอาสายสวนออกแล้วใส่ในถุงที่เตรียมไว
เตรียมเครื่องใช้
กระดาษชำระ ชุดทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์
ถุงกระดาษหรือถุงพลาสติก 1 ใบ
ถุงมือสะอาด 1 คู่ Syringe สะอาดขนาด 10 มิลลิลิตร 1 อัน
หลักการพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการใส่ถุงยางอนามัยเพื่อระบายปัสสาวะได้
การวินิจฉัยทางการพยาบาล
การวางแผนการพยาบาล และการปฏิบัติการพยาบาล
Force oral fluid มากกว่า 2,000-3,000 มิลลิลิตรต่อวัน ถ้าไม่มีข้อห้าม
ทำความสะอาดบริเวณฝีเย็บให้สะอาด วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น และหลังถ่ายอุจจาระ
ให้การพยาบาลโดยยึดหลัก Aseptic technique
ใช้สบู่อ่อนและน้ำหรือน้ำยาทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
ประเมินสัญญาณชีพ
รักษาระบบการระบายปัสสาวะให้เป็นระบบปิดอยู่เสมอ
อย่าปล่อยให้ปัสสาวะเต็มถุงรองรับ ควรเททิ้งอย่างน้อยทุก 8 ชั่วโมง
ประเมินอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อ
ดูแลให้ถุงรองรับปัสสาวะอยู่ต่ำกว่าระดับกระเพาะปัสสาวะเสมอ
ส่งเสริมให้ปัสสาวะเป็นกรด
การเปลี่ยนสายสวนปัสสาวะควรทำเมื่อจำเป็น
ตรวจดูสายสวนและท่อระบายของถุงรองรับปัสสาวะเป็นระยะไม่ให้หักพับงอ
กระตุ้นให้ผู้ป่วยลุกขึ้นเคลื่อนไหวและออกกำลังกาย
ถ้าเป็นไปได้ให้แยกห้องผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากการสวนคาสายสวนปัสสาวะออกจาก
ผู้ป่วยที่ไม่ติดเชื้อจากการสวนคาสายสวนหรือไม่ควรอยู่เตียงติดกัน
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
รายงานแพทย์เมื่อพบความผิดปกติ
ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
การประเมิน
การซักประวัติ แบบแผนและลักษณะการขับถ่ายปัสสาวะปกติ
ตรวจร่างกายในระบบทางเดินปัสสาวะ
การคลำและเคาะกระเพาะปัสสาวะ
ตรวจสี ลักษณะ และความตึงตัวของผิวหนังและภาวะบวม
การเคาะบริเวณไต
ประเมินผลการพยาบาล
สัญญาณชีพปกติ
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบเชื้อ
ปัสสาวะสีเหลืองใสไม่มีตะกอน
การเก็บปัสสาวะส่งตรวจ
วิธีการเก็บปัสสาวะจากสายสวนปัสสาวะที่คาไว้
ใช้ Clamp หนีบสายสวนปัสสาวะที่ใต้รอยต่อระหว่างสายต่อของถุงกับสายสวนไว้นาน ประมาณ 15–30 นาที
ใช้กระบอกฉีดยาที่มีเข็มปลอดเชื้อแทงที่สายสวนปัสสาวะ
เตรียม Syringe sterile เข็มปลอดเชื้อ Sterile swab น้ำยาฆ่าเชื้อ
ล้างมือ สวมถุงมือสะอาด เช็ดบริเวณที่จะเก็บปัสสาวะด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
วิธีการเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมง
เริ่มเก็บปัสสาวะเวลา 08.00 น. โดยให้ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะทิ้งก่อนเริ่มเก็บ
ควรแนะนำให้งดโปรตีน คาเฟอีน ก่อนการเก็บปัสสาวะประมาณ 6 ชั่วโมง
เป็นการเก็บปัสสาวะที่มีการรวบรวมไว้จนครบ 24 ชั่วโมง
วิธีการเก็บปัสสาวะแบบรองเก็บปัสสาวะช่วงกลาง (Clean mid-stream urine)
เก็บปัสสาวะในช่วงถัดมาประมาณครึ่งภาชนะ หรือประมาณ 30-50 ml.
โดยห้ามสัมผัสด้านในของภาชนะ แล้วปัสสาวะช่วงสุดท้ายทิ้งไป
ให้ปัสสาวะทิ้งช่วงต้นไปเล็กน้อย
กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมและช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีปัญหาการขับถ่ายปัสสาวะ
เป็นการระบายปัสสาวะภายนอก
การใส่ถุงยางอนามัยจะพิจารณาผู้ที่มีปัญหา
ไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ
เมื่อใส่ถุงยางอนามัยเพื่อระบายปัสสาวะ ต้องเปลี่ยนถุงยางอนามัยอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
ต้องทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ทุกครั้งที่เปลี่ยนถุงยางอนามัย
วัตถุประสงค์
ป้องกันการอักเสบในรายที่มีแผล
ป้องกันการเกิดแผลกดทับในรายที่ต้องรักษาตัวนาน ๆ
เพื่อรักษาความสะอาด และป้องกันการระคายเคืองของผิวหนัง
ป้องกันการติดเชื้อจากการใส่สายสวนปัสสาวะค้างไว้