Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ยาต้านเชื้อรา (Antifungal Drugs) :star: - Coggle Diagram
ยาต้านเชื้อรา
(Antifungal Drugs)
:star:
Systemic drugs for systemic infections
(ยาต้านเชื้อราในร่างกาย)
Amphotericin B/แอมโฟเทอริซิน บี
กลไกลการออกฤทธิ์
เซลล์เมมเบรนของเชื้อรามีคุณสมบัติ ประกอบด้วย sterol ชนิด “Ergosterol” ซึ่งยาออกฤทธิ์ไปจับกับ ergosterol และเปลี่ยน permeability ของเซลล์เมมเบรน โดยที่ amphotericin B จะทำให้เกิด
รู (pore) ที่เซลล์เมมเบรนจึงทำให้สารไหลออกนอกเซลล์ และทำให้เซลล์ตายได้ในที่สุด
ข้อบ่งใช้
Amphotericin B เป็นยาที่ออกฤทธิ์ได้ครอบคลุมและกว้างมากที่สุด
ยานี้เป็น drug of choice ในการรักษาการติดเชื้อราในร่างกายที่รุนแรง เช่นเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อรา ปอดอักเสบจากเชื้อรา เนื่องจากยาสามารถฆ่าเชื้อได้หลายชนิด โดยให้ทาง IV infusion และตามด้วยยากลุ่ม azole drugs
ปัจจุบัน Amphotericin B เป็น local administration เช่น topical drops
รักษาตาอักเสบจากเชื้อรา ชนิดฉีดเข้าข้อโดยตรง ชนิดครีม โลชั่น
ผลข้างเคียง
Infusion related toxicity ยา Infusion เข้าสู่เส้นเลือดดำ ได้แก่ fever, chills, muscle spasms, vomiting, headache, hypotension แก้ไขโดย Infusion ขนาดยาให้ลดลง
Slower toxicity อาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดช้า และเกิดโดยตรง คือ nephrotoxicity หากให้ยานานจะเกิดการทำลายไต ผู้ป่วยมี potassium และ magnesium ต่ำ อาจพบตับวายได้ และการให้ยาทาง intrathecal ทำให้เกิด seizure ได้
ข้อห้ามใช้
ห้ามเริ่มใช้ยา หยุดยา หรือเปลี่ยนแปลงปริมาณการใช้ยาด้วยตนเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์
ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือวางแผนมีบุตรห้ามใช้
ห้ามใช้ในผู้ที่ให้นมบุตร
คำแนะนำในการใช้ยา
ระหว่างที่ใช้ยานี้ ผู้ป่วยต้องเข้ารับการตรวจเลือดตามที่แพทย์สั่ง
ผู้ป่วยบางรายอาจเกิดอาการข้างเคียงภายใน 2-3 ชั่วโมง หลังจากเริ่มใช้ยา
หากพบว่ามีอาการที่รุนแรงต้องรีบแจ้งให้แพทย์ทราบ
ในระหว่างที่ใช้ยานี้ อาจทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาเกี่ยวกับไตและโดยส่วนใหญ่อาการจะหายไปเมื่อหยุดใช้ยา แต่หากอาการยังคงอยู่ ควรไป
Azoles/เอโซล
กลไกการออกฤทธิ์
ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์โดยการยับยั้ง Fungal cytochrome P 450 enzyme ซี่งจะทำให้เกิดการลดลงของการสังเคราะห์ ergosterol ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของเซลล์เมมเบรนของเชื้อรา
ยามีความชอบต่อ fungal enzyme มากกว่า human enzyme แต่ imidazole มีความจำเพาะเจาะจงต่อ fungal enzyme น้อยกว่าจึงมีโอกาสที่จะยับยั้ง human enzyme และก่อให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ได้มากกว่า
ข้อบ่งใช้
ยาในกลุ่มนี้ค่อนข้างมีฤทธิ์ครอบคลุมเชื้อราที่กว้างมีผลต่อทั้ง Candida speices, Cryptococus neoformans, Blastomycosis, Coccidioidomycosis, Histoplasmosis, Dermatophytes (ก่อโรคเชื้อราที่ผิวหนัง) รวมทั้ง Aspergillus
ผลข้างเคียง
Azole drugs โดยมากจะไม่ก่อให้เกิดพิษที่พบ ได้แก่ Gl effects เช่น abnormal Liver enzyme แต่อาจพบว่าทำให้เกิดความเป็นพิษต่อตับได้ ค่าเอนไซม์ตับจะสูงขึ้น อาจทำให้เกิด hepatitis ได้
ข้อห้ามใช้
ห้ามใช้ยาชนิดเม็ดในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับ
ไม่ควรใช้ยาฟลูโคนาโซลร่วมกับยาดังต่อไปนี้ cisapride (Propulsid)หรือ terfenadine (Seldane) เพราะจะทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ
ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ในสตรีมีครรภ์เพราะจากการศึกษาหาก
ได้ยาในขนาดสูงอาจเป็นอันตรายต่อมารดาและตัวอ่อนในครรภ์
คำแนะนำ
การใช้ยาต้านเชื้อราอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน และไม่สบายท้องได้ แพทย์อาจแนะนำให้รับประทานพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที เพื่อลดอาการข้างเคียงดังกล่าว
ผู้ที่มีภาวะโรคตับ ควรระมัดระวังการใช้ยาต้านเชื้อรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งยากลุ่ม Azoles หากจำเป็นต้องใช้ควรปรึกษาแพทย์ และตรวจประเมินตับเป็นประจำหากต้องใช้ยาต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน เนื่องจากยามีผลเพิ่มการทำงานของตับ อาจทำให้เกิดพิษต่อตับได้
Ketoconazole/คีโตนาโซล
กลไกการออกฤทธิ์
คีโตโคนาโซล เป็นยากลุ่มยาต้านเชื้อรา ออกฤทธิ์รบกวนกระบวนการชีวสังเคราะห์ของไตรกลีเซอไรด์ และฟอสโฟลิพิด โดยยับยั้งเอนไซม์ CYPP450 ของเชื้อรา เป็นการรบกวนกระบวนการเลือกผ่านของเชื้อรา นอกจากนี้คีโตโคนาโซยังยับยั้งเอนไซม์ชนิดอื่นของเชื้อรา
เป็นผลให้เกิดการสะสมของไฮโรเจนพอร์ออกไซด์ (hydrogen peroxide) ที่เป็นพิษ
ข้อบ่งใช้
Ketoconazole เป็นยา azole มีแนวโน้มยับยั้งเอนไซม์ cytochrome P 450 ของมนุษย์ได้มาก ซึ่งการยับยั้งเอนไซม์นี้ทำให้เกิดผล 2 ประการ
ยับยั้งการสังเคราะห์สเตียรอยด์ฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตรังไข่และอัณฑะ ซึ่งทำให้เกิด gynecomastia ในเพศชาย และ infertility
ยับยั้งเอนไซม์ที่จะเปลี่ยนแปลงยาหรือทำลายยา ทำให้ยาถูกเปลี่ยนได้น้อยลงและก่อให้เกิดพิษจากยา เช่น ยา cisapride เมื่อให้ร่วมกับ ketoconazole
Ketoconazole ใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อราชนิด edemic mycoses เช่น blastomycosis, coccidioidomycosis และ histoplasmosis โดยให้ใช้เป็นยาทางเลือกเมื่อไม่สามารถใช้ยาอื่นที่ปลอดภัยกว่าได้
ผลข้างเคียง
การหลั่งฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตไม่เพียงพอ รบกวนระบบทางเดินอาหาร เช่น อาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน
เกิดผื่นแดง ระคายเคืองผิวหนัง ผิวหนังอักเสบ รู้สึกแสบร้อน เกิดผื่นคัน ผื่นลมพิษ เกิดอาการบวม การแพ้ยาแบบ anaphylaxis ปวดศีรษะ มึนงง ง่วงนอน เป็นไข้ เกร็ดเลือดต่ำ ป
ประจำเดือนมาไม่ปกติ กดการทำงานของต่อมหมวกไต เต้านมโตในเพศชาย เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เพิ่มความดันในกะโหลก ไวต่อแสง ค่าการทำงานของตับเพิ่มขึ้น
อาการที่ไม่พึงประสงค์รุนแรง ได้แก่ การเกิดพิษต่อตับ
ข้อห้ามใช้
ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่แพ้ยานี้
ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับ
ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่ใช้ยาที่เป็นสารตั้งต้นของเอนไซม์ CYP3A4 เช่นยากลุ่ม เอช เอ็ม จี-โคเอ รีดักเทส อินฮิบิเตอร์ (HMG-CoA reductase inhibitor)
คำแนะนำ
การกินยาคีโตโคนาโซลต้องกินต่อเนื่องจนหมดตามแพทย์สั่ง ถึงแม้จะไม่มีอาการคันแล้วก็ตาม เนื่องจากเชื้อราอาจยังตายไม่หมด
การกินยาคีโตโคนาโซลเพื่อรักษาเชื้อรา ขนาดยาโดยส่วนใหญ่ คือ กินขนาด 200 มิลลิกรัมวันละ 1 ครั้ง ติดต่อกันนาน 2-3 สัปดาห์ หลังอาหารทันทีหรือพร้อมอาหาร เนื่องจากตัวยาจะทำงานได้ดีในสภาวะเป็นกรด ในผู้ป่วยที่มีการกินยาลดกรดต้องเว้นเวลา 2 ชั่วโมง แล้วค่อยกินยาคีโตโคนาโซล
การทาครีมที่มีตัวยาคีโตโคนาโซล ทาบริเวณที่เป็นวันละ 2 ครั้ง ติดต่อกันนาน 2-3 สัปดาห์ หรือทาจนกว่าจะหาย อาจทาต่อไปอีก 1-2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
การใช้แชมพูที่มีตัวยาคีโตโคนาโซล สระสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ติดต่อกันนาน 2-4 สัปดาห์
การใช้ยากินและยาทาร่วมกัน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาแต่ไม่ได้ช่วยลดระยะเวลาในการรักษา
หากมีการติดเชื้อในแผลที่ลึก ยากินรักษาได้ดีกว่ายาทา ส่วนการติดเชื้อบริเวณผิวหนังที่ไม่ลึก การใช้ยาทาค่อนข้างเหมาะสมกับการรักษา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ในการรักษา
itraconazole/ไอทราโคนาโซล
กลไกการออกฤทธิ์
itraconazole ออกฤทธิ์เหมือน imidazoles คือ กดการสร้าง ergosterol โดยยับยั้ง 14α-demethylase เกิดการสะสมของ 14α-methylsterols ทำให้เกิดความผิดปกติ ของโครงสร้างและการทำงานของ membrane เชื้อราหยุดเจริญเติบโต
ข้อบ่งใช้
Itraconazole มีทั้งรูปแบบรับประทานและแบบยาฉีดทางเส้นเลือดดำ ดูดซึมดีในภาวะที่เป็นกรดและให้พร้อมอาหารจะช่วยเพิ่มการดูดซึมได้ดี ยาเข้าสู่ CSF ได้ไม่ดี ยานี้รบกวนเอนไซม์ที่ตับน้อยกว่า ketoconazole และ itraconazole ไม่มีผลต่อการสังเคราะห์สเตียรอยด์ฮอร์โมน และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงยาต่างๆน้อยกว่า ketoconazole
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา
ผลข้างเคียงทั่วไปจากตัวยา เช่น กระหายน้ำ ปากแห้ง มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน
อาการอื่น ๆ
ไม่อยากอาหาร อารมณ์เปลี่ยนปัสสาวะน้อยครั้ง หายใจลำบาก ริมฝีปาก มือหรือเท้าเป็นเหน็บและมีอาการชา เจ็บหรือเกร็งกล้ามเนื้อ การเต้นหัวใจผิดปกติ ชัก หมดแรงหรืออ่อนเพลีย
ข้อห้ามใช้
ผู้ที่แพ้ยา Itraconazole หรือส่วนประกอบอื่น ๆ ในตัวยา
ตั้งครรภ์ มีแนวโน้มจะตั้งครรภ์หรือต้องให้นมบุตร
มีอาการไตวายหรือมีปัญหารุนแรงเกี่ยวกับไต
เป็นโรคตับ โรคปอดหรือโรคระบบทางเดินหายใจ
เป็นโรคหัวใจ รวมไปถึงโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันหรือหัวใจล้มเหลว หรือมีประวัติอัตราการเต้นของหัวใจไม่ปกติ
ผู้ที่ติดเชื้อ HIV ระบบภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรงหรือมีปัญหาเกี่ยวกับปอดหรือการหายใจ เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease: COPD)
คำแนะนำ
รับประทานยาติดต่อกันจนหมด ถึงแม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตามแต่อาจยังไม่หายขาด การหยุดยาก่อนอาจทำให้เชื้อกำเริบได้ ควรพบแพทย์ตามนัด เพื่อประเมินผลการรักษา
ยานี้ทำให้ง่วงนอนควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องจักรหรือการขับรถขณะใช้ยา Itraconazole เพราะอาจทำให้มีอาการเวียนศีรษะ หรือมีปัญหากับการมองเห็น เช่น ภาพไม่ชัดหรือภาพซ้อน
ควรกินทั้งแคปซูลหรือเม็ด ไม่ควรเปิด เคี้ยวหรือบดยา
การกินยาเวลาเดิมทุกวันช่วยให้ยาออกฤทธิ์ได้ดียิ่งขึ้น
ควรกินยาตามแพทย์สั่งให้ครบ เพื่อรักษาการติดเชื้อให้หายขาดและป้องกันการเป็นซ้ำ
หากลืมกินยา ควรรีบกินยาทันทีที่รู้ตัว แต่หากใกล้จะถึงเวลากินยาครั้งต่อไปแล้ว ให้ข้ามยาที่ลืมกินนั้นไป และห้ามเพิ่มปริมาณยาที่จะกินในครั้งต่อไป
Fluconazole/ฟลูโคนาโซล
กลไกการออกฤทธิ์
ฟลูโคนาโซล เป็นยากลุ่มยาต้านแบคทีเรีย ออกฤทธิ์รบกวนกระบวนการชีวสังเคราะห์ของไตรกลีเซอไรด์ และฟอสโฟลิพิด โดยยับยั้งเอนไซม์ CYPP450 ของเชื้อรา เป็นการรบกวนกระบวนการก่อตัวของเยื่อหุ้มเซลล์ของเชื้อรา
ข้อบ่งใช้
ละลายน้ำได้ดีและผ่าน CSF ได้ดี ดูดซึมดีเมื่อให้แบบรับประทาน และสามารถให้ทางการฉีดเข้าเส้นเลือดดำได้ Fluconazole เป็นยาที่มีผลข้างเคียงน้อยกว่ายาตัวอื่นๆ รบกวนเอนไซม์น้อยที่สุด มีพิษต่อตับน้อยที่สุด และมีปฏิกิริยาระหว่างยาน้อยกว่า ketoconazole ยานี้ใช้รักษา cryptococcal meningitis, candidiaemia ในผู้ป่วย ICU เป็นต้น
ผลข้างเคียง
มีอาการของแพ้ยา เช่น มีผื่นขึ้น แน่นหน้าอก หน้าบวม หนังตา ริมฝีปากบวม
มีไข้ต่ำๆร่วมกับ คลื่นไส้อาเจียน ปัสสาวะสีเข้ม อุจาระสีซีด
ไข้ หนาวสั่น ปวดเมื่อตามตัว เหมือนอาการไข้หวัดใหญ่
มีผื่นแดงตามตัว บ่งคนผิวหนังลอก
มีจ้ำเลือด และเลือดออกง่าย
มีอาการชัก
แน่นท้อง คลื่นใส้ อาเจียน
ปวดศีรษะ
มึนงง
ข้อห้ามใช้
หลีกเลี่ยงในการใช้ยากับผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ หรือสตรีให้นมบุตร
ผู้ที่มีประวัติแพ้ยานี้ห้ามใช้ยาดังกล่าวโดยเด็ดขาด
คำแนะนำ
ยา Fluconazole เป็นยาที่ต้องใช้ตามใบสั่งแพทย์เท่านั้น
การใช้ยาชนิดรับประทาน สามารถรับประทานก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ และควรรับประทานห่างจากยาลดกรดอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
ในการรับประทานยา Fluconazole แม้จะหายแล้วก็ควรรับประทานยาให้ครบตามที่แพทย์สั่ง และควรรับประทานอย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้ยาสามารถออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ควรรับประทานยาให้ตรงเวลา และเป็นเวลาเดียวกันในทุก ๆ วัน หากลืมรับประทานยา ควรรีบรับประทานยาให้เร็วที่สุด แต่ถ้าหากใกล้ถึงเวลาที่จะรับประทานครั้งต่อไปแล้ว ควรรอให้ถึงเวลาแล้วค่อยรับประทาน ไม่ควรเพิ่มขนาดของยาหากลืมรับประทานยา
Voriconazole/โวริโคนาโซล
กลไกการออกฤทธิ์
ยับยั้งการสังเคราะห์ ergosterol ของเชื้อรา ยานี้ถูกเปลี่ยนแปลงที่ตับ โดย CYP450,CYP2C19, CYP2C9, CYP3A4 ดังนั้นต้องระวังยาที่ถูกเปลี่ยนแปลงโดยเอนไซม์เหล่านี้
ข้อบ่งใช้
ยาโวริโคนาโซล (Voriconazole) เป็นยาต้านเชื้อรากลุ่มไตรอะโซล (triazole) มักใช้เพื่อรักษาการติดเชื้อรา เช่น การติดเชื้อราแคนดิดาแบบลุกลาม (invasive candidiasis) การติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลาม (invasive aspergillosis) และการติดเชื้อรารุนแรงอื่นๆ ยานี้มักจะใช้กับผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ผลข้างเคียง
สัญญาณของอาการแพ้ ได้แก่ ผดผื่น ลมพิษ อาการคัน รอยแดง อาการบวม แผลพุพอง หรือผิวหนังลอก โดยมีหรือไม่มีไข้ หายใจมีเสียงหวีด แน่นหน้าอกหรือลำคอ หายใจติดขัด หรือมีปัญหากับการพูด เสียงแหบผิดปกติ หรือมีอาการบวมที่ปาก ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น หรือลำคอ
สัญญาณของของปัญหาเกี่ยวกับตับอ่อน เช่น โรคตับอ่อนอักเสบ (pancreatitis) อย่างอาการปวดกระเพาะอาหารอย่างรุนแรง ปวดหลังอย่างรุนแรง หรือท้องไส้ปั่นป่วนอย่างรุนแรงหรืออาเจียน
สัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับตับ เช่น ไม่สามารถปัสสาวะได้
ปริมาณปัสสาวะเปลี่ยนแปลง มีเลือดในปัสสาวะ หรือน้ำหนักขึ้นอย่างมาก
เป็นไข้หรือหนาวสั่น
ปวดหน้าอก มีแรงดัน หรือหัวใจเต้นเร็ว
ปวดกระดูก
วิงเวียนอย่างรุนแรงหรือหมดสติ
หัวใจเต้นผิดปกติ
ข้อห้ามใช้
ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
ผู้ที่กำลังใช้ยาอื่นอยู่ รวมทั้งยาที่ซื้อได้เอง เช่น สมุนไพรหรือยาทางเลือกอื่นๆ
ผู้ที่มีอาการหัวใจเต้นผิดปกติ ยานี้อาจทำให้เกิดการเสียชีวิตแบบเฉียบพลัน
คำแนะนำ
หลีกเลี่ยงในการขับรถหรือทำกิจกรรมที่ต้องการความตื่นตัวหรือการมองเห็นที่ชัดเจนเพราะยาทำให้ง่วงนอน
หากลืมใช้ยาควรรีบใช้ในทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติได้เลย ไม่ควรเพิ่มปริมาณยาเอง
หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที
Flucytocine/ฟลูไซโทซีน (5-FC)
กลไกการออกฤทธิ์
เมื่อเข้าสู่เซลล์แล้ว ยาจะถูกเปลี่ยนแปลงเป็น 5-FU และจะถูกเปลี่ยนแปลงต่อให้อยู่ในรูปของ active form มีฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์ DNA และ RNA
ข้อบ่งใช้
มักจะใช้เพื่อรักษาการติดเชื้อราที่รุนแรงภายในร่างกาย ยานี้อยู่ในกลุ่มของยาต้านเชื้อรา (Antifungal Drugs) มักจะใช้ร่วมกับยาอื่น เช่น combination ของ 5-FC กับ amphotericin B สำหรับ cryptococcal meningitis หรือ combination ของ 5-FC กับ itraconazole
สำหรับ chromoblastomycosis ยานี้ทำงานโดยการชะลอการเจริญเติบโตของเชื้อราบางชนิด
ผลข้างเคียง
กดไขกระดูก
มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน
ผื่นแพ้
ข้อห้ามใช้
ห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์เพราะอาจทำให้ทารกพิการได้
หากให้นมบุตรไม่ควรใช้ยานี้เพราะยาอาจสามารถผ่านเข้าสู่น้ำนมแม่ได้
คำแนะนำในการใช้ยา
รับประทานยานี้ โดยปกติคือวันละ 4 ครั้ง (ทุกๆ 6 ชั่วโมง) หรือตามที่แพทย์กำหนด เพื่อไม่ให้เกิดอาการท้องไส้ปั่นป่วน
รับประทานด้วยการกลืนยาลงไปทั้งเม็ด อย่าเคี้ยว กัด หรือทำให้แคปซูลแตกออกก่อน
หากลืมรับประทานยาให้รับประทานทันที หรือข้ามมื้อนั้นไปเมื่อใกล้ได้เวลารับประทานยา
ครั้งต่อไปแล้ว ห้ามเพิ่มปริมาณยาทดแทน
ยาฟลูออกซิทีนอาจใช้เวลา 4-6 สัปดาห์ อาการจึงจะดีขึ้น ให้รับประทานยาต่อไปให้ครบตามกำหนด หากอาการไม่ดีขึ้นต้องแจ้งให้แพทย์ทราบ
พยายามไปพบแพทย์ตามนัดหมาย เพื่อตรวจดูความคืบหน้าของการรักษา
Systemic Antifungal Drugs for Mucocutaneous Infections
( ยาต้านเชื้อราบริเวณผิวหนังและเยื่อบุชนิดรับประทาน)
Terbinafine (เทอร์บินาฟีน)
กลไกออกฤทธิ์
ยับยั้ง Fungal cytochrome P 450 enzyme ซึ่งจะทำให้เกิดการลดลงของการสังเคราะห์ ergosterol ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของเซลล์เมมเบรนของเชื้อรา Triazole ยามีความชอบต่อ fungal enzyme มากกว่า human enzyme แต่กลุ่ม Imidazole มี ความจาเพาะเจาะจงต่อ fungal enzyme น้อยกว่าจึงก่อให้เกิด อาการไม่พึงประสงค์ได้
ข้อบ่งใช้
เป็น allylamine ใช้ในการรักษาโรคเชื้อราที่เล็บและผิวหนังที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาทาเฉพาะที่
ผลข้างเคียง
คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว ปวดศีรษะ เป็นผื่นที่ผิวหนัง และอาการไม่พึ่งประสงค์ ได้แก่ GI effects, abnormal liver enzyme อาจทำให้เกิด hepatitis ได้
ข้อห้ามใช้
ผู้ที่เคยแพ้ยานี้หรือส่วนประกอบของยานี้
ห้ามใช้ในกรณีเคยเป็นหรือปัจจุบันเป็นโรคตับเรื้อรัง
คำแนะนำในการใช้ยา
ให้กินยานี้ติดต่อกันทุกวันจนครบตามคำแนะนำของ
แพทย์หรือเภสัชกร แม้อาการจะดีขึ้นแล้ว ก็ตามมิฉะนั้นเชื้อจะดื้อยา
ยานี้อาจทำให้ผิวหนังไวต่อแสง ควรทาครีมกันแดด
ล้างมือบ่อยๆเพราะยาอาจทำให้ติดเชื้อง่าย
หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
พบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อติดตาม ผลการรักษาหรืออันตรายจากยา
ห้ามหยุดยาเอง และให้กินยานี้อย่างต่อเนื่องตาม คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร
Griseofulvin(กริซีโอฟุลวิน)
กลไกออกฤทธิ์
ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่อาจเกี่ยวข้องกับการยับยั้งการแบ่งเซลล์ของเชื้อรา
คำแนะนำในการใช้ยา
ควรรับประทานยานี้พร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที
ให้รับประทานยาพร้อมกับดื่มน้ำตาม 1 แก้ว
ต้องรับประทานยานี้จนครบช่วงการรักษา แม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม
ในระหว่างการรักษาด้วยยากริซีโอฟุลวิน ผู้ป่วยควรเฝ้าระวังเรื่องการทำงาน
ของตับและไต โดยควรมีการตรวจสอบผลเลือดกับแพทย์เป็นระยะ ๆ
ควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดหรือแสงจากหลอดไฟฟ้าเมื่อใช้ยานี้ เนื่องจากยานี้จะทำให้ผิวหนังมีความไวต่อแสงแดดมากขึ้น (ทำให้แพ้แดดง่าย) ผู้รับประทานยาจึงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง โดยการสวมเสื้อผ้าที่ป้องกันแสงแดด สวมหมวก แว่นตากันแดด และทาครีมกันแดดเป็นประจำ
ข้อบ่งใช้
เป็นยาที่ใช้ในการรักษา dermatophytosis ที่ให้โดยการรับประทาน ซึ่งการดูดซึมยาจะเพิ่มขึ้นหากให้ร่วมกับอาหารที่มีไขมัน
ผลข้างเคียง
คลื่นไส้ อาเจียน ท้องไส้ปั่นป่วน ท้องเสีย
เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย กระหายน้ำ ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ
ข้อห้ามใช้
ห้ามใช้กับผู้ที่แพ้ยานี้
ห้ามใช้ยานี้ในหญิงตั้งครรภ์ ส่วนในหญิงที่ให้นมบุตรควรระมัดระวังในการใช้ยานี้
ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยโรคตับหรือมีภาวะตับวาย
ผู้ป่วยโรคเอสแอลอี ผู้ที่ติดเชื้อ Candida albican
ห้ามใช้ยานี้ร่วมกับการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้หัวใจเต้นเร็ว มีอาการหน้าแดง และเพิ่มฤทธิ์ของแอลกอฮอล์
ห้ามใช้ยาที่หมดอายุ
Topical drugs for mucocutaneous infection
(ยาต้านเชื้อราชนิดทาภายนอก)
Nystatin/ไนสแตติน
กลไกการออกฤทธิ์
ยา Nystatin เป็น polyene macrolide ที่คล้ายกับ amphotericin B ออกฤทธิ์โดยการทำให้เกิด pore forming และเนื่องจากยาไม่ละลายน้ำทำให้พัฒนาเป็นยาฉีดไม่ได้ และมีความเป็นพิษมาก จึงให้ทาง parental ไม่ได้ นอกจากนี้ยังดูดซึมจากทางเดินอาหารได้น้อยมาก จึงต้องให้ทาง topical เท่านั้น
ข้อบ่งใช้
เป็นยาต้านเชื้อรา ใช้รักษาการติดเชื้อราตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น เชื้อราในช่องปาก ช่องคลอด ลำไส้ ผิวหนัง และเยื่อเมือก
ผลข้างเคียง
ระคายเคืองในปาก ท้องไส้ปั่นป่วน คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย มีผื่นขึ้น เป็นต้น หากอาการหารดังกล่าวไม่หายไปหรือรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันผู้ป่วยควรไปพบแพทย์
หากพบผลข้างเคียงที่รุนแรงจากการใช้ยา Nystatin ดังต่อไปนี้ ควรหยุดใช้ยาและไปพบแพทย์ทันที
ปฏิกิริยาทางผิวหนังชนิดรุนแรง อาจทำให้มีอาการผิดปกติบางอย่าง ได้แก่ มีไข้ เจ็บคอ หน้าบวม ลิ้นบวม แสบตา เจ็บผิว มีผื่นสีแดงหรือสีม่วงกระจายตามร่างกาย ทำให้เกิดแผลพุพองและผิวลอก หรือเกิดกลุ่มอาการสตีเวนส์–จอห์นสัน ซึ่งอาจทำให้เกิดการอักเสบของเซลล์ผิวหนังและเยื่อบุผิวทั่วร่างกาย
หัวใจเต้นเร็ว
มีปัญหาในการหายใจ หลอดลมหดเกร็ง
ลมพิษ
ปวดกล้ามเนื้อ
ข้อห้ามใช้
ห้ามให้เด็กใช้ยานี้โดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์
ห้ามใช้หากมีภาวะภูมิไวเกินต่อยา
คำแนะนำในการใช้ยา
หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ไม่ควรขับขี่ยานพาหนะ เพราะยาอาจทำให้เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน
ให้ใช้ยาติดต่อกันทุกวันจนครบตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร แม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม มิฉะนั้นเชื้อจะดื้อยา
ห้ามหยุดยาหรือปรับขนาดยาเอง
Topical Azoles
กลไกลการออกฤทธิ์
ออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้าง ergosterol ของเชื้อรา โดยไม่ให้เอนไซม์ 14 – alpha demethylase เปลี่ยน lanosterol ไปเป็น ergosterol ได้ เยื่อหุ้มเซลล์ที่ไม่มี ergosterol จะไม่มีสามารถกันการซึมผ่านของสารน้ำได้ เกิดการรั่วของสารต่างๆภายในเซลล์ออกมา ในที่สุดเซลล์จะตาย
ข้อบ่งใช้
Imidazoles รูปแบบยาทาภายนอก สำหรับโรคกลาก – เกลื้อนเฉพาะที่ Glabrous ไม่มีข้อบ่งใช้รักษาโรคผิวหนังติดเชื้อแบคทีเรีย ยกเว้น Ketoconazole เป็นรูปแบบยากิน รักษาโรคติดเชื้อรา และมีรูปแบบครีมและแชมพู
Triazoles รูปแบบยาใช้ภายใน รักษาโรคติดเชื้อราอวัยวะภายใน ยกเว้นTerconazole รูปแบบครีมทาและยาเหน็บสำหรับใช้ภายนอก
ผลข้างเคียง
ผลต่อระบบกระเพาะอาหารและลำไส้ คือ เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง
เอนไซม์การทำงานของตับในเลือดผิดปกติ
ยา Ketocona zole จะยับยั้งการสร้างฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) จึงอาจทำให้เกิดภาวะนมโตในผู้ชาย (Gynecomastia)
ข้อห้ามใช้
ผู้ที่มีภาวะโรคตับ หากใช้ยาต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานจะมีผลเพิ่มการทำงานของตับ ทำให้เกิดพิษต่อตับ
ยา Ketoconazole
ไม่ควรใช้ในเพศหญิงตั้งครรภ์และช่วงให้นมบุตร ระหว่างการใช้ยาห้ามดื่มประเภทแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้เกิด Disulfiram like reaction (อาการหน้าแดง หัวใจเต้นเร็ว คลื่นไส้)
คำแนะนำในการใช้ยา
ยารูปแบบรับประทาน
ผู้ที่มีภาวะโรคตับ ควรระมัดระวังการใช้ยาต้านเชื้อรา หากจำเป็นต้องใช้ควรปรึกษาแพทย์ และตรวจประเมินตับเป็นประจำหากต้องใช้ยาต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน
หากรับประทานยาลดกรด ควรรับประทานก่อนยา Ketoconazole และ Itraconazole อย่างน้อย 1 ชั่วโมง หรือหลังรับประทานยา Ketoconazole และ Itraconazole อย่างน้อย 2 ชั่วโมง
ยารูปแบบครีม (cream)
ก่อนใช้ยาควรทำความสะอาดผิวหนังบริเวณที่จะทำให้สะอาด
ทายาวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 2 สัปดาห์ ทาจนผื่นหายหมดแล้วทาต่ออีก 1 สัปดาห์ การทาให้เลยขอบผื่นออกมาไม่น้อยกว่า 2 ซม.
ควรระมัดระวังไม่ให้ยานี้เข้าไปในตา จมูก ปากหรือเยื่อเมือกอื่นๆ
Topical allylamines
กลไกการออกฤทธิ์
ออกฤทธิ์โดยการยับยั้ง squalene epoxidase ทำให้มีการคั่งของ squaleneออกฤทธิ์โดยการยับยั้ง squalene epoxidase ทำให้มีการคั่งของ squalene ทำให้เซลล์ตาย
ยามีสภาวะเป็น lipophilic สามารถสะสมได้ดีในไขมัน เข้าสู่ผิวหนัง
แล้วขับออกทางต่อมไขมัน ยาจะถูกทำลายที่ตับ และขับออกทางไต
ผลข้างเคียง
Terbinafine ถ้าเป็นแบบกินจะทำให้มีอาการคลื่นไส้ ปวดท้อง ท้องเสีย การรับรสผิดไป
มีผื่น ลมพิษ อาจทำให้ผิวลอกได้
ถ้าใช้ไปนานๆ อาจทำให้มีพิษต่อไต
ข้อบ่งใช้
ใช้รักษาโรคกลาก ให้โดยการทาที่ผิวหนัง
Terbinafine และ Naftifine เป็นยาที่ให้ทางปาก
รักษาโรคสังคังและโรคกลากที่ลำตัว
ใช้รักษาเชื้อราที่ผิวหนังและเล็บ
คำแนะนำการใช้ยา
เมื่อเกิดอาการคัน ให้เปลี่ยนยาต้านเชื้อรา เพื่อป้องกันผลข้างเคียงของผิวหนัง