Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การส่งเสริมการขับถ่ายปัสสาวะ - Coggle Diagram
การส่งเสริมการขับถ่ายปัสสาวะ
ปัจจัยที่มีผลต่อการขับถ่ายปัสสาวะ
อายุ หรือ พัฒนาการในวัยต่าง ๆ (Developmental growth)
1) วัยเด็ก เด็กทารกกระเพาะปัสสาวะมีความจุน้อย
2) ผู้สูงอายุ จากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตามวัย
น้ำและอาหาร (Food and fluid)
1) จำนวนน้ำที่ร่างกายได้รับ (Fluid intake) ถ้าร่างกายได้รับน้ำมากจำนวนครั้งของการ
ขับถ่ายและปริมาณปัสสาวะก็จะมาก ลักษณะของปัสสาวะก็จะเจือจางตามปริมาณน้ำที่ร่างกายได้รับ
2) จำนวนน้ำที่ร่างกายสูญเสีย (Loss of body fluid) เช่น การสูญเสียเหงื่อ มีไข้สูง เสีย
เลือดมาก อาเจียน ท้องเสีย เป็นต้น ก็มีผลต่อลักษณะ จำนวนครั้ง และปริมาณปัสสาวะเช่นเดียวกัน
3) อาหารที่ร่างกายได้รับ (Food intake) เช่น อาหารที่มีความเค็มมาก (มีปริมาณโซเดียม
สูง) ปัสสาวะจะออกน้อยลงและเข้มข้นมาก เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนจะทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น เป็นต้น
ยา (Medication)
เช่น ยาที่ขับออกทางระบบปัสสาวะจะส่งผลให้สีของน้ำปัสสาวะ
เปลี่ยนแปลง ยาที่มีผลต่อระบบประสาทอัตโนมัติจะรบกวนการขับถ่ายปัสสาวะทำให้ปัสสาวะคั่ง เป็นต้น
ด้านจิตสังคม (Psychosocial factors)
เช่น ความเครียดและความวิตกกังวลให้อยากถ่ายปัสสาวะบ่อยขึ้น ความกลัวที่รุนแรงอาจทำให้กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ความปวดมีผลยับยั้งการถ่ายปัสสาวะความรู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะเมื่อได้ยินคนพูดเรื่องถ่ายปัสสาวะหรือได้ยินเสียงน้ำไหล เป็นต้น
5 สังคมและวัฒนธรรม (Sociocultural factor)
สังคมและวัฒนธรรมรวมถึงการอบรมเลี้ยงดูในครอบครัวมีอิทธิพลต่อนิสัยการขับถ่ายของบุคคล เช่น วัฒนธรรมที่ถือความส่วนตัวสูง การขับถ่ายปัสสาวะเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่ต้องการให้ใครเห็น เป็นต้น
ลักษณะท่าทาง (Body position)
โดยปกติผู้ชายจะใช้ท่ายืนซึ่งพบว่าผู้ชายบางรายจะปัญหาในการขับถ่ายปัสสาวะเมื่ออยู่ในท่านอนราบ ส่วนผู้หญิงจะใช้ท่านั่ง ถ้าจำเป็นต้องใช้หม้อนอนเตียงราบก็อาจจะไม่สามารถขับถ่ายปัสสาวะได้หมดเช่นเดียวกัน
7 กิจกรรมและความตึงตัวของกล้ามเนื้อ (Activity and Muscle tone)
1) การออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำให้การเผาผลาญอาหารเพิ่มขึ้น ทำให้มีการผลิตปัสสาวะ
มากขึ้นและถ่ายปัสสาวะบ่อยขึ้น และกล้ามเนื้อหูรูดทำหน้าที่ได้ดี
2) ผู้ป่วยที่คาสายสวนปัสสาวะไว้เป็นเวลานาน ทำให้กระเพาะปัสสาวะตึงตัวน้อยลงเนื่องจาก
ปัสสาวะไหลตลอดเวลา ทำให้กระเพาะปัสสาวะไม่มีโอกาสยืดขยาย
3) สตรีในภาวะหมดประจำเดือน ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ก็ทำให้กระเพาะปัสสาวะตึงตัว
ลดลงด้วยเช่นกัน
4) ผู้ที่นอนอยู่บนเตียงนาน ๆ ร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหว มีผลทำให้ความตึงตัวของกล้ามเนื้อ
กระเพาะปัสสาวะและกล้ามเนื้อหูรูดลดลง การควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะไม่ดีและมีปัสสาวะตกตะกอนได้
1.8 พยาธิสภาพ (Pathologic conditions)
พยาธิสภาพของโรคหลายชนิดมีผลต่อการสร้างปัสสาวะทั้งปริมาณและคุณภาพ เช่น นิ่ว ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ภาวะหัวใจล้มเหลว รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของอวัยวะต่าง ๆ
การผ่าตัดและการตรวจเพื่อการวินิจฉัยต่าง ๆ (Surgical and diagnostic procedure)
1) ความเครียดและความวิตกกังวลในกระบวนการรักษาทำให้ร่างกายหลั่ง ADH และยังทำ
ให้มีการเพิ่มขึ้นของ Aldosterone ทำให้เกิดการคั่งของโซเดียมและน้ำ
2) การตรวจวินิจฉัยในระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น การส่องกล้องเพื่อตรวจในระบบทางเดิน
ปัสสาวะส่วนล่าง (Cystoscopy) อาจมีผลทำให้มีเลือดออกในปัสสาวะ เป็นต้น
3) การฉีดยาชาที่ไขสันหลัง ส่งผลต่อการขับถ่ายปัสสาวะของผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกถ่ายปัสสาวะ การได้รับยาสลบ ยาแก้ปวดชนิดเสพติด (Narcotic analgesics) ทำให้อัตราการกรองโกลเมอรูสัส (Glomerulus) ลดลง ส่งผลให้ปริมาณปัสสาวะลดลง
แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะและการขับถ่ายปัสสาวะที่ผิดปกต
แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะ
1) แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะในคนปกติ พบได้ดังนี้(สุปาณี เสนาดิสัย และวรรณภา
ประไพพานิช, 2558; Shirey, 2017)
(2) กรณีอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถถ่ายปัสสาวะได้ทันที ต้องสามารถกลั้นได้ และเมื่อจะ
ปัสสาวะก็สามารถปัสสาวะได้ทันที
(3) เวลาที่ใช้ในการถ่ายปัสสาวะแต่ละครั้งมักไม่เกิน 30 วินาที
(4) ตลอดการถ่ายปัสสาวะจะไม่มีอาการเจ็บปวด
(5) ลำปัสสาวะช่วงแรกจะพุ่งแรงและใหญ่กว่าตอนสุด
(6) ปัสสาวะประมาณ 4-6 ครั้งต่อวัน และปัสสาวะกลางวันบ่อยกว่ากลางคืน
(7) มักถ่ายปัสสาวะก่อนนอน ตอนเช้าหลังตื่นนอน ก่อนหรือหลังรับประทานอาหาร
(8) การถ่ายปัสสาวะจะเว้นช่วงห่างประมาณ 2–4 ชั่วโมงในเวลากลางวัน และ
6-8 ชั่วโมง ในเวลากลางคืน
(9) จำนวนปัสสาวะประมาณ 250-400 มิลลิลิตรต่อครั้ง หรือไม่ควรน้อยกว่า
30 มิลลิลิตร ใน 1 ชั่วโมง (ในคนปกติทั่วไปร่างกายจะผลิตน้ำปัสสาวะในอัตรา 0.5-1 ml./kg./hr.)
(10) Residual urine ไม่ควรเกิน 50 มิลลิลิตร ในผู้ใหญ่ และไม่ควรเกิน
100 มิลลิลิตรในผู้สูงอายุ (วันทิน ศรีเบญจลักษณ์ และปณิตา ลิมปิวัฒนะ, 2556)
ลักษณะของปัสสาวะที่ปกติมีดังนี
(4) มีความเป็นกรดอ่อนๆ pH ประมาณ 4.6-8.0
(5) มีความถ่วงจำเพาะ (Specific gravity) ประมาณ 1.015-1.025
(3)สีเหลืองจางจนถึงสีเหลืองเข้ม สีเหลืองฟางข้าว หรือสีเหลืองอำพัน
(6) เมื่อตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ (Microscopic examination) ไม่พบ Casts,
Bacteria, Albumin หรือน้ำตาล ไม่พบเม็ดเลือดแดง
(2)ลักษณะใส ไม่ขุ่น ไม่มีตะกอน
(7)ปัสสาวะใหม่มีกลิ่นแอมโมเนียอ่อนๆ ถ้าตั้งทิ้งไว้นานๆ จะได้กลิ่นแอมโมเนียที่แรง
(1)ปริมาณปัสสาวะปกติในผู้ใหญ่ ประมาณวันละ 800–1,600 มิลลิลิตร
การขับถ่ายปัสสาวะที่ผิดปกติ
1) ไม่มีปัสสาวะ (Anuria/Urinary suppression) เป็นภาวะที่มีปริมาณปัสสาวะน้อยกว่า
50 มิลลิลิตรต่อวันหรือไม่มีการปัสสาวะเลย จากภาวะไตสูญเสียหน้าที่จึงไม่มีปัสสาวะหรือมีน้อยมากจนไม่
สามารถกระตุ้นผนังกระเพาะปัสสาวะให้เกิดความรู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะได้
2) ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ (Oliguria) เป็นภาวะที่มีปัสสาวะน้อยกว่า 500 มิลลิลิตร ใน 24
ชั่วโมง หรือน้อยกว่า 30 มิลลิลิตรต่อชั่วโมง
3) ปัสสาวะมากกว่าปกติ (Polyuria หรือ Diuresis) เป็นภาวะที่ไตผลิตปัสสาวะออกมา
จำนวนมากกว่าปกติ (มากกว่า 2,500–3,000 มิลลิลิตรต่อวัน)
4) ปัสสาวะตอนกลางคืน (Nocturia) เป็นภาวะที่มีการถ่ายปัสสาวะในตอนกลางคืน
มากกว่า 2 ครั้งขึ้นไป ถือเป็นความผิดปกติที่ต้องสังเกต มักพบในผู้สูงอายุชายที่มีต่อมลูกหมากโต
ท่อปัสสาวะตีบแคบ ทำให้ปัสสาวะไม่สุดและมีปัสสาวะตกค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะบ่อย
ทั้งในเวลากลางวันและเวลากลางคืน นอกจากนี้อาจพบได้ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว
5) ปัสสาวะขัด ปัสสาวะลำบาก (Dysuria) เป็นภาวะที่มีการเบ่งถ่ายปัสสาวะ ผู้ป่วยจะรู้สึก
ปวดเวลาถ่ายปัสสาวะ ถ่ายลำบาก
6) ถ่ายปัสสาวะบ่อยหรือกะปริบกะปรอย (Pollakiuria) เป็นภาวะที่มีการถ่ายปัสสาวะ
บ่อยครั้งกว่าปกติ และมีจำนวนปัสสาวะที่ถ่ายออกแต่ละครั้งลดน้อยลงอาจเนื่องจากกระเพาะปัสสาวะมี
ความจุลดลงจากก้อนเนื้องอก นิ่ว หรือมีการหดตัวตลอดเวลาจากการอักเสบติดเชื้อ
7) ปัสสาวะรดที่นอน (Enuresis) เป็นภาวะที่มีปัสสาวะไหลออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจในเด็กที่มีอายุมากกว่า 5 ปีขึ้นไป แต่ถ้าเกิดกับเด็กอายุน้อยกว่านี้ถือว่าปกติ เพราะประสาทที่ควบคุมการขับถ่ายยังเจริญไม่เต็มที่
ส่วนประกอบของปัสสาวะที่ผิดปกติ
ปัสสาวะเป็นเลือด (Hematuria)
หมายถึง ภาวะที่มีเม็ดเลือดแดงปนออกมาในน้ำปัสสาวะ
ทำให้ปัสสาวะเป็นสีแดง อาจเห็นชัดเป็นเลือดสดๆหรือเห็นเมื่อดูจากกล้องจุลทรรศน์พบเม็ดเลือดแดง
มากกว่า 3 ตัวต่อ 1 ช่อง (RBC>3cells/HPF) (ณัฐพงศ์ บิณษรี, 2554) มักมีสาเหตุที่ไต ท่อไต กรวยไตกระเพาะปัสสาวะ ต่อมลูกหมาก และท่อปัสสาวะ
น้ำตาลในปัสสาวะ (Glycosuria
หมายถึง ภาวะที่มีน้ำตาลปนออกมาในน้ำปัสสาวะ โดย
คนปกติจะตรวจไม่พบน้ำตาลในปัสสาวะ เนื่องจากน้ำตาล ที่ Filtrate ผ่าน Glomerulus ทั้งหมดจะมีการ
Reabsorb กลับที่ Proximal tubules แต่ถ้าน้ำตาลในกระแสเลือดสูงเกินกว่า Renal threshold (160-
180 mg/dL) ที่ไตจะดูดกลับได้แล้วจะพบน้ำตาลปนออกมาในน้ำปัสสาวะ มักจะพบในผู้ป่วยเบาหวาน
โปรตีนในปัสสาวะ (Proteinuria หรือ Albuminuria)
หมายถึง ภาวะที่มีโปรตีนหรือ
แอลบูมิน ในปัสสาวะมากกว่า 150 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งในทางปฏิบัติอนุโลมใช้การตรวจโปรตีนในปัสสาวะ
ในเชิงกึ่งปริมาณวิเคราะห์ โดยใช้แผ่นทดสอบเทียบสี
คีโตนในปัสสาวะ (Ketonuria)
หมายถึง ภาวะที่ตรวจพบคีโตนในน้ำปัสสาวะโดยคีโตนเป็น
ผลจากการเผาผลาญไขมันให้เป็นพลังงาน แทนพลังงานที่ได้จากน้ำตาล พบในผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับการ
รักษาไม่ดี ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้และพบในผู้ป่วยที่ขาดอาหารรุนแรง
ปัสสาวะมีสีเหลืองน้ำตาลของบิลิรูบิน (Bilirubinuria หรือ Choluria
หมายถึง ภาวะที่
ตรวจพบบิลิรูบินในน้ำปัสสาวะ โดย bilirubin เป็น Breakdown product ของ Hemoglobin ซึ่งปกติจะ
ไม่พบในปัสสาวะ ถ้าพบ Conjugated bilirubin ในปัสสาวะ
6 ปัสสาวะมีสีดำของฮีโมโกลบิน (Hemoglobinuria)
หมายถึง ภาวะที่มีการสลายตัวของ
เม็ดเลือดแดงทำให้เกิด oxyhemoglobin หรือ Methemoglobin ในปัสสาวะ อาจเกิดจากการได้รับ
เลือดผิดกลุ่มติดเชื้อ ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก เม็ดเลือดแดงอายุสั้นกว่าปกติ เช่น คนที่ขาดเอ็นไซม์ G6PD เป็น
ต้น ทำให้ปัสสาวะมีสีดำคล้ายสีน้ำปลาหรือสีโค้ก
ปัสสาวะเป็นหนอง (Pyuria)
หมายถึง ภาวะปัสสาวะที่มีเซลล์หนอง เม็ดเลือดขาวในน้ำ
ปัสสาวะบางครั้ง อาจพบมีแบคทีเรียร่วมด้วย จะเห็นปัสสาวะเป็นตะกอนสีขาวคล้ายน้ำนม พบในผู้ป่วย
ที่มีการอักเสบติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
นิ่วในปัสสาวะ (Calculi)
หมายถึง ภาวะที่มีก้อนนิ่วปนออกมากับน้ำปัสสาวะเนื่องจากมี
การตกตะกอนของเกลือแร่ในร่างกาย
ไขมันในปัสสาวะ (Chyluria)
หมายถึง ภาวะปัสสาวะที่มีไขมันออกมาในน้ำปัสสาวะทำให้
เห็นปัสสาวะเป็นสีขาวขุ่น แยกสีขาวขุ่นจากหนองโดยการใส่อีเธอร์ลงในปัสสาวะถ้าปัสสาวะเปลี่ยนเป็น
ใส แสดงว่าเป็นไขมัน ถ้ายังขุ่นเหมือนเดิม แสดงว่าอาจเป็นหนองหรือแบคทีเรีย
หลักการส่งเสริมสุขภาพในระบบทางเดินปัสสาวะ
ส่งเสริมให้ได้รับน้ำอย่างเพียงพอ
อ ในผู้ใหญ่ควรได้รับน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ
6-8 แก้ว หรือประมาณ 1,500-2,000 มิลลิลิตร อาจต้องเพิ่มขึ้นให้สัมพันธ์กับจำนวนน้ำที่สูญเสีย
ออกจากร่างกาย นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ หรือมีนิ่วในทางเดิน
ปัสสาวะ จะต้องได้รับน้ำเพิ่มมากขึ้นประมาณวันละ 2,000-3,000 มิลลิลิตร
ป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
เป็นการติดเชื้อที่พบได้บ่อยที่สุดในโรงพยาบาล พยาบาลควรสอนและแนะนำผู้ป่วยในการป้องกัน
การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
3) ดื่มน้ำ 2 แก้วก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์ และปัสสาวะทิ้งทันทีหลังจากมีเพศสัมพันธ์
เพื่อป้องกันแบคทีเรียเข้าสู่ทางเดินปัสสาวะ
2) ฝึกถ่ายปัสสาวะบ่อยๆ ทุก 2-4 ชั่วโมง เพื่อชะล้างแบคทีเรียออกจากท่อปัสสาวะและ
ป้องกันจุลชีพเคลื่อนขึ้นไปยังกระเพาะปัสสาวะ
5) ใส่ชุดชั้นในที่ทำด้วยผ้าฝ้ายดีกว่าทำด้วยไนล่อน เนื่องจากผ้าฝ้ายทำให้อากาศถ่ายเท
ได้สะดวก ช่วยลดความอับชื้นบริเวณฝีเย็บได้ดี เนื่องจากความอับชื้นทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดี
1) ดื่มน้ำ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว (แก้วละ 240 มิลลิลิตร) เพื่อชะล้างแบคทีเรียออกจาก
ระบบทางเดินปัสสาวะ
6) หลีกเลี่ยงการใส่กางเกงที่แน่นหรือคับเกินไป เพราะทำให้ระคายเคืองบริเวณรูเปิด
ท่อปัสสาวะ
เพิ่มความเป็นกรดของปัสสาวะ โดยการรับประทานวิตามินซี และดื่มน้ำผลไม้ที่เป็นกเช่น น้ำกระเจี๊ยบแดง แครนเบอรี่ เป็นต้น หรือรับประทานอาหารที่เป็นกรด เช่น ข้าว ข้าวโพด ขนมปัง
ไข่ ปลา เนื้อสัตว์ต่างๆ ถั่วลิสง ลูกพรุน
8) ใช้ Estrogen cream ตามแผนการรักษาของแพทย์ สำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
ที่มีแนวโน้มจะติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะได้ง่าย
อาบน้ำด้วยฝักบัวแทนอาบในอ่างอาบน้ำ หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ที่แรง การแช่ฟองสบู่
ในอ่างอาบน้ำ การใช้แป้งหรือสเปรย์บริเวณฝีเย็บ เนื่องจากทำให้ระคายเคืองบริเวณรูเปิดท่อปัสสาวะ
(urethral meatus) และกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อแบคทีเรียได้
ส่งเสริมให้กล้ามเนื้อทำงานอย่างเต็มที
ถ้ากล้ามเนื้อภายในอุ้งเชิงกรานและช่องคลอดหย่อน
สมรรถภาพ จะทำให้ปัสสาวะไม่ออกและกลั้นปัสสาวะไม่ได้
การช่วยเหลือผู้ป่วยในการขับถ่ายปัสสาวะ กรณีปัสสาวะไม่ออก
3) การเปิดก๊อกน้ำให้ได้เห็น หรือได้ยินเสียงน้ำไหลจะช่วยในด้านองค์ประกอบทางอารมณ์
ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการทำให้ถ่ายปัสสาวะได้
2) ช่วยให้ผู้ป่วยได้ถ่ายปัสสาวะในท่าที่สะดวกเป็นธรรมชาติ
5) ให้เวลาในการขับถ่ายปัสสาวะ ไม่เร่งรัดผู้ป่วยเกินไป
1) จัดให้ผู้ป่วยอยู่คนเดียวในที่มิดชิดขณะถ่ายปัสสาวะ สิ่งแวดล้อมในห้องน้ำสะอาดและ
ปลอดภัย เช่น มีแสงสว่างเพียงพอ พื้นไม่ลื่น เป็นต้น
6) ช่วยกดหน้าท้องเบาๆ เหนือบริเวณกระเพาะปัสสาวะจะช่วยให้ปัสสาวะสะดวก
4) การใช้ความร้อนช่วยในการขับถ่ายปัสสาวะ เช่น การใช้น้ำอุ่นราดบริเวณฝีเย็บ การวาง
กระเป๋าน้ำร้อนที่ท้อง เป็นต้น ผลของความร้อนจะไปกระตุ้นประสาทสัมผัสทำให้เกิดปฏิกิริยาสะท้อน
และรู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะ
4.5 สอนให้นวดกระเพาะปัสสาวะ
การนวดกระเพาะปัสสาวะเป็นเทคนิคที่ช่วยทำให้กระเพาะ
ปัสสาวะว่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่มีความบกพร่องที่ระบบประสาทควบคุมการถ่ายจน ทำให้มีปัสสาวะจำนวนมาก คั่งอยู่ในกระเพาะปัสสาวะแต่ถ่ายไม่ออก วิธีการนวดกระเพาะปัสสาวะ ให้
ใช้มือนวดเบาๆ ที่ท้องน้อยเหนือกระดูกหัวเหน่าและบอกให้ผู้ป่วยกลั้นหายใจขณะที่กดปลายนิ้วลงไปที่กระเพาะปัสาวะ ในระหว่างที่นวดให้ป่วยขมิบกล้ามเนื้อฝีเย็บสลับกับการนวดด้วย
4.6 เสริมสร้างนิสัยของการถ่ายปัสสาวะ
เป็นวิธีที่ใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีความบกพร่องเกี่ยวกับ
ความรู้ความเข้าใจในช่วงเวลาถ่ายปัสสาวะที่ยาวนานจนเป็นผลให้เกิดการกลั้นปัสสาวะ วิธีการคือ
ใช้วิธีกระตุ้นให้ผู้ป่วยไปปัสสาวะ ชมเชย และให้กำลังใจ ความสำเร็จขึ้นอยู่กับความเต็มใจและความขยัน
ของผู้ป่วย
การช่วยเหลือผู้ป่วยในการขับถ่ายปัสสาวะ กรณีที่ไม่สามารถไปห้องน้ำได้
พยาบาลอาจต้องนำหม้อนอน (Bedpan) ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นผู้หญิง หรือ กระบอกปัสสาวะ (Urinal) ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นผู้ชายมาให้ผู้ป่วยที่เตียง
การสวนปัสสาวะ
การสวนปัสสาวะ เป็นการใส่สายสวนปัสสาวะ (Urinary catheter) ที่ปลอดเชื้อผ่านท่อเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะเพื่อระบายปัสสาวะออกมา โดยมีวัตถุประสงค์ของการใส่สายสวนชนิดของการสวนปัสสาวะ อุปกรณ์ และวิธีการสวนปัสสาวะ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
วัตถุประสงค์ของการสวนปัสสาวะ
เพื่อช่วยให้กระเพาะปัสสาวะว่างในผู้ป่วยที่ต้องทำหัตถการต่างๆ
เพื่อตรวจสอบจำนวนน้ำปัสสาวะที่เหลือค้างในกระเพาะปัสสาวะ
เพื่อระบายเอาน้ำปัสสาวะออกในผู้ป่วยที่ไม่สามารถถ่ายปัสสาวะเองได้
เพื่อเก็บน้ำปัสสาวะส่งตรวจเพาะเชื้อ
เพื่อสวนล้างกระเพาะปัสสาวะ หรือใส่ยาในกระเพาะปัสสาวะ
เพื่อศึกษาความผิดปกติของท่อปัสสาวะ
เพื่อตรวจสอบจำนวนน้ำปัสสาวะที่ขับออกมาในผู้ป่วยอาการหนักอย่างถูกต้อง
ชนิดของการสวนปัสสาวะ
1) การสวนปัสสาวะเป็นครั้งคราว (Intermittent catheterization)
เป็นการใส่สายสวน
ปัสสาวะผ่านทางท่อปัสสาวะเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ เพื่อระบายน้ำปัสสาวะออกจากกระเพาะปัสสาวะ
การสวนคาสายสวนปัสสาวะ
เป็นการสอดใส่สายสวนปัสสาวะชนิด Foley catheter ผ่านทางท่อปัสสาวะเข้าสู่
กระเพาะปัสสาวะแล้วคาสายสวนสวนปัสสาวะไว้
อุปกรณ์อุปกรณ์สำหรับการสวนปัสสาวะประกอบด้วย
1) ชุดทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ 1 ชุด หม้อนอน ถุงมือสะอาด 1 คู่ ถุงกระดาษหรือ
ถุงพลาสติกสำหรับทิ้งสำลีใช้แล้ว
2) ชุดสวนปัสสาวะที่ปราศจากเชื้อ (Sterile catheterization set) ประกอบด้วย
ผ้าสี่เหลี่ยมเจาะกลาง 1 ผืน
ชามกลมใหญ่ 1 ใบ
ถุงมือปลอดเชื้อ (บางโรงพยาบาลอาจแยกออกจากชุดสวนปัสสาวะ)
ถ้วย 2 ใบ สำหรับใส่สำลี 6-8 ก้อน และผ้าก๊อส 1-2 ผืน
Forceps 1-2 อัน
3) สารหล่อลื่นสายสวนชนิดละลายน้ำได้ เช่น KY-jelly เป็นต้น
4) น้ำกลั่นปลอดเชื้อ (Sterile water) และน้ำยาทำลายเชื้อ (Antiseptic solution) เช่น
Povidone-iodine (บางโรงพยาบาลไม่ใช้) เป็นต้น
5) กระบอกฉีดยาปลอดเชื้อ (Sterile syringe) ขนาด 10 มิลลิลิตร 1 อัน
6) Transfer forceps
7) ถุงรองรับปัสสาวะปลอดเชื้อและเป็นระบบปิด (Sterile urine bag) 1 ใบ
8) โคมไฟ หรือไฟฉาย
9) พลาสเตอร์, เข็มกลัด, ผ้าปิดตา
10) สายสวนปัสสาวะ การเลือกใช้สายสวนปัสสาวะควรพิจารณาวัตถุประสงค์ของการใช้งาน
และขนาดของสายสวนปัสสาวะ ดังนี้
สายสวนปัสสาวะที่ใช้สวนเป็นครั้งคราว ควรเลือกใช้แบบ Straight catheter.ส่วนการสวนคาสายสวนปัสสาวะควรใช้Foley catheter เพราะมีบอลลูนอยู่ส่วนปลายสาย ช่วยให้สาย
สวนปัสสาวะไม่เลื่อนหลุดออกมา สายสวนปัสสาวะที่ใช้สวนคาไว้มี 2 ชนิด คือ แบบ 2 หาง หางหนึ่งใส่น้ำ
กลั่นบริสุทธิ์เพื่อให้บอลลูนโป่ง อีกหางหนึ่งสำหรับให้ปัสสาวะไหลออกมา ส่วนอีกชนิดหนึ่งเป็น 3 หางเพิ่มขึ้นอีกหางสำหรับเป็นทางให้ใส่น้ำหรือน้ำยาเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะเพื่อสวนล้างกระเพาะปัสสาวะ
ขนาดของสายสวนปัสสาวะ วัดจากเส้นผ่าศูนย์กลางรอบนอกของสายสวน
โดยเรียกเป็นมาตราฝรั่งเศส (French scale หรือย่อว่า Fr.) ซึ่ง 1 Fr. เท่ากับ 1/3 มิลลิเมตร การเลือก
ขนาดของสายสวนปัสสาวะ ในผู้หญิงใช้ขนาด 14-16 Fr. ผู้ชายใช้ขนาด 16-20 Fr. เด็กใช้ขนาด 8-10 Fr.
และผู้สูงอายุใช้ขนาด 22-24 Fr. ขนาดของบอลลูนบริเวณปลายสายสวนปัสสาวะจะมีตัวเลขระบุไม่ควรใช้ 0.9% NaCl ใส่ในบอลลูน เนื่องจากเกลืออาจปิดกั้นช่องที่ใช้ใส่น้ำเพื่อทำให้บอลลูนขยาย ทำให้
บอลลูนไม่แฟบเมื่อดูดน้ำออก
วิธีการสวนปัสสาวะ
การถอดสายสวนปัสสาวะที่คาไว้
การสวนคาสายสวนปัสสาวะ
หลักการพยาบาลผู้ป่วยได้รับการใส่ถุงยางอนามัยเพื่อระบายปัสสาวะ (Condom
catheter)
วัตถุประสงค์
ป้องกันการเกิดแผลกดทับในรายที่ต้องรักษาตัวนาน ๆ
ป้องกันการติดเชื้อจากการใส่สายสวนปัสสาวะค้างไว้
เพื่อรักษาความสะอาด และป้องกันการระคายเคืองของผิวหนัง เนื่องจากเปียกปัสสาวะ
บ่อย ๆ
ป้องกันการอักเสบในรายที่มีแผล
การเก็บปัสสาวะส่งตรวจ
วิธีการเก็บปัสสาวะแบบรองเก็บปัสสาวะช่วงกลาง (Clean mid-stream urine)
โดย
ให้ผู้ป่วยทำความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ด้วยน้ำสะอาด ล้างมือให้สะอาด และเช็ดให้แห้ง ให้ัสสาวะทิ้งช่วงต้นไปเล็กน้อย เก็บปัสสาวะในช่วงถัดมาประมาณครึ่งภาชนะ หรือประมาณ 30-50 ml.
โดยห้ามสัมผัสด้านในของภาชนะ แล้วปัสสาวะช่วงสุดท้ายทิ้งไป นำปัสสาวะไปส่งให้เจ้าหน้าที่โดยเร็วที่สุด
วิธีการเก็บปัสสาวะจากสายสวนปัสสาวะที่คาไว้
2) เตรียม Syringe sterile เข็มปลอดเชื้อ Sterile swab น้ำยาฆ่าเชื้อ
3) ล้างมือ สวมถุงมือสะอาด เช็ดบริเวณที่จะเก็บปัสสาวะด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
1) ใช้Clamp หนีบสายสวนปัสสาวะที่ใต้รอยต่อระหว่างสายต่อของถุงกับสายสวนไว้นาน
ประมาณ 15–30 นาทีเพื่อให้มีปัสสาวะใหม่เก็บอยู่ก่อน
4) ใช้กระบอกฉีดยาที่มีเข็มปลอดเชื้อแทงที่สายสวนปัสสาวะตรงตำแหน่งที่ทำความสะอาด
ฆ่าเชื้อไว้แล้ว ดูดปัสสาวะออกมาประมาณ 10 มล. ส่งตรวจเพาะเชื้อทันที
วิธีการเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมง
็นการเก็บปัสสาวะที่มีการรวบรวมไว้จนครบ 24 ชั่วโมงแล้ว
ส่งตรวจ เริ่มเก็บปัสสาวะเวลา 08.00 น.โดยให้ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะทิ้งก่อนเริ่มเก็บ และรวบรวม
น้ำปัสสาวะที่เก็บได้หลัง 08.00 น. จนครบกำหนด 24 ชั่วโมง แล้วถ่ายปัสสาวะเก็บเป็นครั้งสุดท้ายคือ
เวลา 08.00 น. เช้าวันรุ่งขึ้น ควรแนะนำให้งดโปรตีน คาเฟอีน ก่อนการเก็บปัสสาวะประมาณ 6 ชั่วโมง
และให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมากๆ ก่อนและระหว่างการเก็บ (ถ้าไม่มีข้อห้าม)
. กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมและช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีปัญหาการขับถ่ายปัสสาวะ
การประเมิน
ตรวจร่างกายในระบบทางเดินปัสสาวะ ได้แก่ การเคาะบริเวณไต เพื่อหาตำแหน่งที่
ปวด การคลำและเคาะกระเพาะปัสสาวะ ตรวจสีลักษณะ และความตึงตัวของผิวหนัง และภาวะบวม
วิเคราะห์ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การซักประวัติแบบแผนและลักษณะการขับถ่ายปัสสาวะปกติ จำนวนครั้งใน 24 ชั่วโมง
ลักษณะและสีของปัสสาวะ ปริมาณน้ำดื่มต่อวันยาที่รับประทานประจำ โรคประจำตัว เบาหวาน
ความดันความเครียด กิจกรรมที่ทำประจำวัน เช่น การออกกำลังกาย ลักษณะอาหารที่รับประทานประจำ
ความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน เป็นต้น
การวินิจฉัยทางการพยาบาล
มีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
การวางแผนการพยาบาล และการปฏิบัติการพยาบาล
10) การเปลี่ยนสายสวนปัสสาวะควรทำเมื่อจำเป็น ระยะเวลาในการเปลี่ยนไม่เจาะจึงขึ้นอยู่กับผู้ป่วยแต่ละคนอาจอยู่ระหว่าง 5 วัน ถึง 2 สัปดาห์
9) ส่งเสริมให้ปัสสาวะเป็นกรด เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ และป้องกันการเกิดนิ่ว
8) อย่าปล่อยให้ปัสสาวะเต็มถุงรองรับ ควรเททิ้งอย่างน้อยทุก 8 ชั่วโมง ด้วยวิธีที่ถูกต้อง
คือ ก่อนและหลังเทปัสสาวะออกจากถุงควรใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ 70เช็ดบริเวณปลายท่อเปิดของ
ถุงรองรับปัสสาวะ
12) ตรวจดูสายสวนและท่อระบายของถุงรองรับปัสสาวะเป็นระยะไม่ให้หักพับงอ
6) ใช้สบู่อ่อนและน้ำหรือน้ำยาทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก ในการทำความ
สะอาดบริเวณฝีเย็บ หลีกเลี่ยงการใช้แป้งหรือโลชั่น
11) ดูแลให้ถุงรองรับปัสสาวะอยู่ต่ำกว่าระดับกระเพาะปัสสาวะเสมอ จะทำให้ปัสสาวะ
ไหลสะดวกตามหลังแรงโน้มถ่วงของโลก และป้องกันไม่ใช้เชื้อโรคจากถุงปัสสาวะย้อนขึ้นไปสู่กระเพาะ
ปัสสาวะ
7) รักษาระบบการระบายปัสสาวะให้เป็นระบบปิดอยู่เสมอ ไม่ปลดสายสวนและ
ท่อสายยางของถุงรองรับปัสสาวะออกจากกัน เพื่อเก็บปัสสาวะส่งตรวจ
13) กระตุ้นให้ผู้ป่วยลุกขึ้นเคลื่อนไหวและออกกำลังกาย จะทำให้ปัสสาวะไหลสะดวก
และป้องกันการอุดตันของสายสวนปัสสาวะ
5) ทำความสะอาดบริเวณฝีเย็บให้สะอาด วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น และหลังถ่ายอุจจาระ
ทุกครั้ง โดยเฉพาะรอบ รูเปิดของท่อปัสสาวะ ระวังอย่าดึงสายสวนขณะทำความสะอาดเพราะจะทำให้
ท่อปัสสาวะและผนังกระเพาะปัสสาวะได้รับบาดเจ็บ
15) ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
4) Force oral fluid มากกว่า 2,000-3,000 มิลลิลิตรต่อวัน ถ้าไม่มีข้อห้าม
14) ถ้าเป็นไปได้ให้แยกห้องผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากการสวนคาสายสวนปัสสาวะออกจากผู้ป่วยที่ไม่ติดเชื้อจากการสวนคาสายสวนหรือไม่ควรอยู่เตียงติดกัน
3) ให้การพยาบาลโดยยึดหลัก Aseptic technique
16) ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
2) ประเมินสัญญาณชีพ
17) รายงานแพทย์เมื่อพบความผิดปกติ
1) ประเมินอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะทั้งก่อนและ
หลังให้การพยาบาล ได้แก่ ปัสสาวะสีขาว ขุ่น มีตะกอน