Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การส่งเสริมการขับถ่ายปัสสาวะ - Coggle Diagram
การส่งเสริมการขับถ่ายปัสสาวะ
ปัจจัยที่มีผลต่อการขับถ่ายปัสสาวะ
อายุ หรือพัฒนาการในวัยต่างๆ
วัยเด็ก เด็กทารกกระเพาะปัสสาวะมีความจุน้อย การขับถ่ายปัสสาวะจึงบ่อยคร้ังกว่า
ผู้สูงอายุ เมื่อมีน้ําปัสสาวะ 150-200 กระเพาะปัสสาวะก็จะบีบตัวทําให้รู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น
น้ําและอาหาร (Food and fluid)
จํานวนน้ําที่ร่างกายได้รับ ถ้าร่างกายได้รับน้ํามาก จำนวนครั้งการขับถ่ายและปริมาณปัสสาวะก็จะมาก
จํานวนน้ําที่ร่างกายสูญเสีย จํานวนครั้งและปริมาณปัสสาวะก็จะน้อย
อาหารที่ร่างกายได้รับ (Food intake) เช่น อาหารที่มีปริมาณโซเดียมสูงปัสสาวะจะออกน้อยลงและเข้มข้นมาก ป็นต้น
ยา (Medication)
เช่น ยาที่ขับออกทางระบบปัสสาวะจะส่งผลให้สีของน้ําปัสสาวะเปลี่ยนแปลง
ด้านจิตสังคม (Psychosocial factors)
เช่น ความเครียดและความวิตกกังวลกระตุ้น ให้อยากถ่ายปัสสาวะบ่อยขึ้น
สังคมและวัฒนธรรม (Sociocultural factor)
รวมถึงการอบรมเลี้ยงดูในครอบครัวมีอิทธิพลต่อนิสัยการขับถ่ายของบุคคล
เช่น วัฒนธรรมที่ถือความเป็นส่วนตัวสูง การขับถ่ายปัสสาวะเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่ต้องการให้ใครเห็น
ลักษณะท่าทาง (Body position)
โดยปกติผู้ชายจะใช้ท่ายืนซึ่งพบว่าผู้ชายบางรายจะมีปัญหาในการขับถ่ายปัสสาวะเมื่ออยู่ในท่านอนราบ ส่วนผู้หญิงจะใช้ท่านั่ง ถ้าจําเป็นต้องใช้หม้อนอนบน เตียงราบก็อาจจะไม่สามารถขับถ่ายปัสสาวะได้
กิจกรรมและความตึงตัวของกล้ามเนื้อ (Activity and Muscle tone)
การออกกําลังกายสม่ำเสมอ ทําให้การเผาผลาญอาหารเพิ่มขึ้น ทําให้มีการผลิตปัสสาวะ มากขึ้นและถ่ายปัสสาวะบ่อยขึ้น
ผู้ป่วยที่คาสายสวนปัสสาวะไว้เป็นเวลานาน ทําให้กระเพาะปัสสาวะตึงตัวน้อยลงเนื่องจาก ปัสสาวะไหลตลอดเวลา ทําให้กระเพาะปัสสาวะไม่มีโอกาสยืดขยาย
สตรีในภาวะหมดประจําเดือน ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ก็ทําให้กระเพาะปัสสาวะตึงตัวลดลง
ผู้ที่นอนอยู่บนเตียงนาน ๆ ร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหว มีผลทําให้ความตึงตัวของกล้ามเนื้อ กระเพาะปัสสาวะและกล้ามเนื้อหูรูดลดลง การควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะไม่ดีและมีปัสสาวะตกตะกอนได้
พยาธิสภาพ (Pathologic conditions)
รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น ในสตรีตั้งครรภ์มดลูกมีการขยายตัวขึ้นทําให้กด ทับกระเพาะปัสสาวะ ส่งผลให้ความจุของกระเพาะปัสสาวะลดลงจึงรู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะบ่อย เป็นต้น
การผ่าตัดและการตรวจเพื่อการวินิจฉัยต่าง ๆ
(Surgical and diagnostic procedure)
ความเครียดและความวิตกกังวลในกระบวนการรักษาทําให้ร่างกายหลั่ง ADH และยังทํา ให้มีการเพิ่มขึ้นของ Aldosterone ทําให้เกิดการคั่งของโซเดียมและน้ํา
การตรวจวินิจฉัยในระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น การส่องกล้องเพื่อตรวจในระบบทางเดิน ปัสสาวะส่วนล่างอาจทำให้มีเลือดออกในปัสสาวะ เป็นต้น
การฉีดยาชาที่ไขสันหลัง ส่งผลต่อการขับถ่ายปัสสาวะของผู้ป่วย ทําให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะ
แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะและการขับถ่ายปัสสาวะที่ผิดปกติ
แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะ
1) แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะในคนปกติ
(1) อยากถ่ายปัสสาวะเมื่อมีปริมาณปัสสาวะอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ 100-400 ml
(2) กรณีอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถถ่ายปัสสาวะได้ทันที ต้องสามารถกลั้นได้ และเมื่อจะปัสสาวะก็สามารถปัสสาวะได้ทันที
(3) เวลาที่ใช้ในการถ่ายปัสสาวะแต่ละครั้งมักไม่เกิน 30 วินาที
(4) ตลอดการถ่ายปัสสาวะจะไม่มีอาการเจ็บปวด
(5) ลําปัสสาวะช่วงแรกจะพุ่งแรงและใหญ่กว่าตอนสุด
(6) ปัสสาวะประมาณ 4-6 ครั้งต่อวัน และปัสสาวะกลางวันบ่อยกว่ากลางคืน
(7) มักถ่ายปัสสาวะก่อนนอน ตอนเช้าหลังตื่นนอน ก่อนหรือหลังรับประทานอาหาร
(9) ปัสสาวะ 200-450 ml ต่อครั้งควรน้อยกว่า 30 มิลลิลิตร ใน 1 ชั่วโมง
(10)Residual urine ไม่ควรเกิน 50 ml ในผู้ใหญ่ และ 100 ml ในผู้สูงอายุ
(8) การถ่ายปัสสาวะจะเว้นช่วงห่างประมาณ 2–4 ชั่วโมงในเวลากลางวัน และ 6-8 ชั่วโมง ในเวลากลางคืน
2) ลักษณะของปัสสาวะที่ปกติ
(1) ปริมาณปัสสาวะปกติในผู้ใหญ่ ประมาณวันละ 800–1,600 มิลลิลิตร
(2) ลักษณะใส ไม่ขุ่น ไม่มีตะกอน
(3) สีเหลืองจางจนถึงสีเหลืองเข้ม สีเหลืองฟางข้าว หรือสีเหลืองอําพัน
(4) มีความเป็นกรดอ่อนๆ pH ประมาณ 4.6-8.0
(5) มีความถ่วงจําเพาะ (Specific gravity) ประมาณ 1.015-1.025
(6)เมื่อตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ไม่พบ Casts, Bacteria, Albumin หรือน้ําตาล ไม่พบเม็ดเลือดแดง
(7) ปัสสาวะใหม่มีกลิ่นแอมโมเนียอ่อนๆ ถ้าตั้งทิ้งไว้นานๆ จะได้กลิ่นที่แรง
การขับถ่ายปัสสาวะที่ผิดปกติ
1) ไม่มีปัสสาวะ เป็นภาวะที่มีปริมาณปัสสาวะน้อยกว่า 50 มิลลิลิตรต่อวันหรือไม่มีการปัสสาวะเลย จากภาวะไตสูญเสียหน้าที่ไม่ สามารถกระตุ้นผนังกระเพาะปัสสาวะให้เกิดความรู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะได้
2) ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ เป็นภาวะที่มีปัสสาวะน้อยกว่า500ml.ใน24 ชั่วโมง หรือน้อยกว่า 30ml.ต่อชั่วโมง
3) ปัสสาวะมากกว่าปกติ เป็นภาวะที่ไตผลิตปัสสาวะออกมา จํานวนมากกว่าปกติ อาจเป็นภาวะที่เกิดขึ้นชั่วคราว เนื่องจาก ดื่มน้ํามาก ได้รับยาขับปัสสาวะ หรืออาจเป็นอาการเรื้อรังเนื่องจากโรค เช่น เบาหวาน เบาจืด เป็นต้น
4) ปัสสาวะตอนกลางคืน มีการถ่ายปัสสาวะในตอนกลางคืน มากกว่า 2 ครั้งขึ้นไป
5) ปัสสาวะขัดปัสสาวะลําบาก เป็นภาวะที่มีการเบ่งถ่ายปัสสาวะผู้ป่วยจะรู้สึก ปวดเวลาถ่ายปัสสาวะ ถ่ายลําบาก ต้องใช้เวลาและใช้แรงในการเบ่งเพิ่มขึ้น มีอาการปวดแสบปวดร้อนขณะถ่ายปัสสาวะ มักปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะไม่สุด อยากถ่ายปัสสาวะแบบทันทีทันใด
6) ถ่ายปัสสาวะบ่อยหรือกะปริบกะปรอย มีการถ่ายปัสสาวะบ่อยครั้งกว่าปกติ และมีจํานวนปัสสาวะที่ถ่ายออกแต่ละครั้งลดน้อยลง
7)ปัสสาวะรดที่นอน มีปัสสาวะไหลออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจในเด็กอายุมากกว่า 5 ปีขึ้นไป แต่ถ้าเกิดกับเด็กอายุน้อยกว่านี้ถือว่าปกติ
8) ปัสสาวะคั่ง เป็นภาวะที่มีน้ําปัสสาวะคั่งอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ เป็นจํานวนมากกว่าปกติและไม่สามารถจะถ่ายปัสสาวะออกมาได้ หรือภาวะที่ไม่มีการถ่ายปัสสาวะใน ระยะเวลา 8–10 ชั่วโมง กระเพาะปัสสาวะจะตึงแข็งเหนือหัวเหน่าคลําได้เป็นก้อน
9) กลั้นปัสสาวะไม่อยู่หรือกลั้นปัสสาวะไม่ได้ เป็นภาวะที่ไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะได้
กลั้นปัสสาวะไม่อยู่โดยสิ้นเชิง ปัสสาวะจะไหลตลอดเวลาโดยไม่มีความรู้สึกปวดอยากถ่ายปัสสาวะ
กลั้นปัสสาวะไม่ทัน เป็นภาวะที่เมื่อรู้สึกปวดอยากถ่ายปัสสาวะก็มีปัสสาวะเล็ดหรือราด ออกมาทันทีไม่สามารถควบคุมได้
ปัสสาวะเล็ดคือการที่มีปัสสาวะไหลซึมออกมาโดยไม่ตั้งใจ
ปัสสาวะท้น เป็นภาวะที่มีปัสสาวะจํานวนมากเกินกว่าที่กระเพาะปัสสาวะจะเก็บกักไว้ได้
ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ที่เกิดจากภาวะหรือโรคอื่น ๆ
ส่วนประกอบของปัสสาวะที่ผิดปกติ
ปัสสาวะเป็นเลือด (Hematuria)
หมายถึง ภาวะที่มีเม็ดเลือดแดงปนออกมาในน้ําปัสสาวะ
ทําให้ปัสสาวะเป็นสีแดง อาจเห็นเป็นเลือดสดๆ หรือเห็นเมื่อดูจากกล้องจุลทรรศน์พบเม็ดเลือดแดง มากกว่า 3:1 ช่อง
น้ำตาลในปัสสาวะ (Glycosuria)
หมายถึง ภาวะที่มีน้ำตาลปนออกมาในน้ำปัสสาวะ น้ำตาลในกระแสเลือดสูงเกินกว่า Renal threshold (160 180 mg / dL) ที่โตจะดูดกลับได้แล้วจะพบน้ำตาลปนออกมาในน้ำปัสสาวะมักจะพบในผู้ป่วยเบาหวาน
โปรตีนในปัสสาวะ (Proteinuria หรือ Albuminuria)
หมายถึง ภาวะที่มีโปรตีนหรือแอลบูมินในปัสสาวะมากกว่า 150 มิลลิกรัมต่อวัน
โปรตีนในน้ำปัสสาวะแสดงถึงภาวะไตเป็นโรคทำให้การกรองของกรวยไตไม่ดีซึ่งอาจเกิดจากกรวยไตอักเสบ (Glomerulonephritis)
คีโตนในปัสสาวะ (Ketonuria)
หมายถึง ภาวะที่ตรวจพบคีโตนในน้ําปัสสาวะโดยคีโตนเป็นผลจากการเผาผลาญไขมันให้เป็นพลังงาน แทนพลังงานที่ได้จากน้ําตาล พบในผู้ป่วยเบาหวานและในผู้ป่วยที่ขาดอาหารรุนแรง
ปัสสาวะมีสีเหลืองน้ําตาลของบิลิรูบิน (Bilirubinuria หรือ Choluria)
หมายถึง ภาวะที่ ตรวจพบบิลิรูบินในน้ําปัสสาวะ
มีการอุดตันของทางเดินน้ําดีจาก การมี Hemolytic jaundice แต่ถ้าพบ Urobilirubin ในปัสสาวะแสดงว่าเซลล์ตับถูกทําลาย กรณีที่มีการ อุดตันของท่อน้ําดีจากตับสู่ลําไส้เล็ก น้ําดีจะไหลย้อนเข้าเซลล์ตับและขับถ่ายออกโดยเปลี่ยนสภาพเป็น เกลือชนิดที่สามารถละลายน้ําได้ขับออกทางปัสสาวะทําให้ปัสสาวะมีสีเหลืองน้ําตาลเข้มของน้ําดี และมีความถ่วงจําเพาะสูง
ปัสสาวะมีสีดําของฮีโมโกลบิน (Hemoglobinuria)
หมายถึง ภาวะที่มีการสลายตัวของ เม็ดเลือดแดงทําให้เกิด Oxyhemoglobin หรือ Methemoglobin ในปัสสาวะ อาจเกิดจากการได้รับ เลือดผิดกลุ่ม ติดเชื้อ ไฟไหม้ น้ําร้อนลวก เม็ดเลือดแดงอายุสั้นกว่าปกติ
ปัสสาวะเป็นหนอง (Pyuria)
หมายถึง ภาวะปัสสาวะที่มีเซลล์หนอง เม็ดเลือดขาวในน้ําปัสสาวะบางครั้ง อาจพบมีแบคทีเรียร่วมด้วย จะเห็นปัสสาวะเป็นตะกอนสีขาวคล้ายน้ํานม พบในผู้ป่วย ที่มีการอักเสบติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
นิ่วในปัสสาวะ (Calculi)
หมายถึง ภาวะที่มีก้อนนิ่วปนออกมากับน้ําปัสสาวะเนื่องจากมี การตกตะกอนของเกลือแร่ในร่างกาย
ไขมันในปัสสาวะ (Chyluria)
หมายถึง ภาวะปัสสาวะที่มีไขมันออกมาในน้ําปัสสาวะทําให้ เห็นปัสสาวะเป็นสีขาวขุ่น
หลักการส่งเสริมสุขภาพในระบบทางเดินปัสสาวะ
ส่งเสริมให้ได้รับน้ําอย่างเพียงพอ
ในผู้ใหญ่ควรได้รับน้ําสะอาดอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว หรือประมาณ 1,500-2,000 มิลลิลิตร อาจต้องเพิ่มขึ้นให้สัมพันธ์กับจํานวนน้ําที่สูญเสีย ปัสสาวะจํานวนที่มากพอจะช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะให้ทํางานได้ดี
ป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
1) ดื่มน้ําอย่างน้อยวันละ8แก้ว เพื่อชะล้างแบคทีเรีย
2) ฝึกถ่ายปัสสาวะบ่อยๆทุก2-4ชั่วโมงเพื่อชะล้างแบคทีเรียและป้องกันจุลชีพเคลื่อนขึ้นไปยังกระเพาะปัสสาวะ
3) ดื่มน้ํา2แก้วก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์และปัสสาวะทิ้งทันทีหลังจากมีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันแบคทีเรียเข้าสู่ทางเดินปัสสาวะ
4) อาบน้ําด้วยฝักบัวแทนอาบในอ่างอาบน้ํา หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ที่แรงการการใช้แป้งหรือสเปรย์บริเวณฝีเย็บ เนื่องจากทําให้ระคายเคืองบริเวณรูเปิดท่อปัสสาวะและกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อแบคทีเรียได้
5) ใส่ชุดชั้นในที่ทําด้วยผ้าฝ้าย อากาศถ่ายเทได้สะดวก ช่วยลดความอับชื้น
6) หลีกเลี่ยงการใส่กางเกงที่แน่นหรือคับเกินไปเพราะทําให้ระคายเคืองบริเวณรูเปิด ท่อปัสสาวะ
7) เพิ่มความเป็นกรดของปัสสาวะโดยการรับประทานวิตามินซีและดื่มน้ําผลไม้ที่เป็นกรด และควรลดอาหารรสเค็ม เนื่องจากโซเดียมทําให้ปัสสาวะเป็นด่าง
8) ใช้ Estrogen cream ตามแผนการรักษาของแพทย์
ส่งเสริมให้กล้ามเนื้อทํางานอย่างเต็มที่
ถ้ากล้ามเนื้อภายในอุ้งเชิงกรานและช่องคลอดหย่อน
สมรรถภาพ จะทําให้ปัสสาวะไม่ออกและกลั้นปัสสาวะไม่ได้ การกระตุ้นให้บริหารร่างกายอย่างสม่ำเสมอ
จะช่วยป้องกันกล้ามเนื้อหย่อนสมรรถภาพได้ โดยการทํา Kegel exercise ด้วยการขมิบก้น นับ 1 ถึง 10 แล้วคลาย
การช่วยเหลือผู้ป่วยในการขับถ่ายปัสสาวะ กรณีปัสสาวะไม่ออก
1) จัดผู้ป่วยให้อยู่ในที่ที่มีคิดก่อนถ่ายปัสสาวะ
2) ช่วยให้ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะในท่าที่สะดวก
3) เปิดก๊อกน้ำให้มีเสียงน้ำไหลเป็นองค์ประกอบทางอารมณ์
4) ใช้ความร้อนกระตุ้นการขับถ่าย
5).ให้เวลาผู้ป่วยไม่เร่งรัดจนเกินไป
สอนให้นวดกระเพาะปัสสาวะ
วิธีการนวดกระเพาะปัสสาวะ ให้ใช้มือนวดเบาๆ ที่ท้องน้อยเหนือกระดูกหัวเหน่าและบอกให้ผู้ป่วยกลั้นหายใจขณะที่กดปลายนิ้วลงไปที่กระเพาะปัสสาวะ ในระหว่างนี้ให้ผู้ป่วยขมิบกล้ามเน้ือฝีเย็บสลับกับการนวดด้วย
เสริมสร้างนิสัยของการถ่ายปัสสาวะ
ใช้วิธีกระตุ้นให้ผู้ป่วยไปปัสสาวะ ชมเชยและให้กําลังใจ
ความสําเร็จขึ้นอยู่กับความเต็มใจและความขยันของผู้ป่วย
การช่วยเหลือผู้ป่วยในการขับถ่ายปัสสาวะ
กรณีท่ีไม่สามารถไปห้องน้ําได้ พยาบาลอาจต้องนําหม้อนอน (Bedpan)
ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นผู้หญิง หรือ กระบอกปัสสาวะ (Urinal) ในกรณีที่ผู้ป่วย เป็นผู้ชายมาให้ผู้ป่วยที่เตียง
การสวนปัสสาวะ
วัตถุประสงค์ของการสวนปัสสาวะ
1) เพื่อระบายเอาน้ําปัสสาวะออกในผู้ป่วยที่ไม่สามารถถ่ายปัสสาวะเองได้
3) เพื่อตรวจสอบจํานวนน้ําปัสสาวะท่ีเหลือค้างในกระเพาะปัสสาวะ
4) เพื่อเก็บน้ําปัสสาวะส่งตรวจเพาะเชื้อ
5) เพื่อสวนล้างกระเพาะปัสสาวะ หรือใส่ยาในกระเพาะปัสสาวะ
6) เพื่อศึกษาความผิดปกติของท่อปัสสาวะ
7) เพื่อตรวจสอบจํานวนน้ําปัสสาวะท่ีขับออกมาในผู้ป่วยอาการหนักอย่างถูกต้อง
2) เพื่อช่วยให้กระเพาะปัสสาวะว่างในผู้ป่วยท่ีต้องทําหัตถการต่างๆ
ชนิดของการสวนปัสสาวะ
การสวนปัสสาวะเป็นครั้คราว(Intermittentcatheterization)
เป็นการใส่สายสวนเพื่อระบายน้ําปัสสาวะออกจากกระเพาะปัสสาวะ เมื่อกระเพาะปัสสาวะว่างไม่มีน้ําปัสสาวะไหลออกมาแล้วจะถอดสายสวนปัสสาวะออก
การสวนคาสายสวนปัสสาวะ (Indwelling catheterization or retained catheterization)
เป็นการสอดใส่สายสวนปัสสาวะชนิด Foley catheter ผ่านทางท่อปัสสาวะเข้าสู่ กระเพาะปัสสาวะแล้วคาสายสวนสวนปัสสาวะไว้
การเก็บปัสสาวะส่งตรวจ
วิธีการเก็บปัสสาวะแบบรองเก็บปัสสาวะช่วงกลาง (Clean mid-stream urine)
ให้ผู้ป่วยทําความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ด้วยน้ําสะอาด ล้างมือให้สะอาด และเช็ดให้แห้ง ให้ปัสสาวะทิ้งช่วงต้นไปเล็กน้อย
เก็บปัสสาวะในช่วงถัดมาประมาณครึ่งภาชนะ หรือประมาณ 30-50 ml. โดยห้ามสัมผัสด้านในของภาชนะ
แล้วปัสสาวะช่วงสุดท้ายทิ้งไป นําปัสสาวะไปส่งให้เจ้าหน้าที่โดยเร็วที่สุด
วิธีการเก็บปัสสาวะจากสายสวนปัสสาวะที่คาไว้
1) ใช้ Clamp หนีบสายสวนปัสสาวะที่ใต้รอยต่อระหว่างสายต่อของถุงกับสายสวนไว้นาน ประมาณ 15–30 นาที เพื่อให้มีปัสสาวะใหม่เก็บอยู่ก่อน
2) เตรียม Syringe sterile เข็มปลอดเชื้อ Sterile swab น้ํายาฆ่าเชื้อ
3) ล้างมือ สวมถุงมือสะอาด เช็ดบริเวณที่จะเก็บปัสสาวะด้วยน้ํายาฆ่าเชื้อ
4) ใช้กระบอกฉีดยาที่มีเข็มปลอดเชื้อแทงที่สายสวนปัสสาวะตรงตําแหน่งที่ทําความสะอาด ฆ่าเชื้อไว้แล้ว ดูดปัสสาวะออกมาประมาณ 10 มล. ส่งตรวจเพาะเชื้อทันที
วิธีการเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมง
เป็นการเก็บปัสสาวะที่มีการรวบรวมไว้จนครบ 24 ชั่วโมงแล้ว ส่งตรวจ เริ่มเก็บปัสสาวะเวลา 08.00 น. โดยให้ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะทิ้งก่อนเริ่มเก็บ และรวบรวมน้ําปัสสาวะที่เก็บได้หลัง 08.00 น. จนครบกําหนด 24 ชั่วโมง แล้วถ่ายปัสสาวะเก็บเป็นครั้งสุดท้าย คือ เวลา 08.00 น. เช้าวันรุ่งขึ้น