Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 6การพยาบาลผู้ป่วยที่มีแผล - Coggle Diagram
บทที่ 6การพยาบาลผู้ป่วยที่มีแผล
ชนิดของแผลและปัจจัยการส่งเสริมการหายของแผล
ชนิดของแผล (Type of wound)
แบ่งตามลำดับความสะอาด
Class II: Clean-contaminated ประเภทที่ 2 แผลสะอาดกึ่งปนเปื้อน
ลักษณะแผลที่มีการผ่ําตัดผ่านระบบทางเดินหายใจ, ระบบทางเดินอาหาร, ระบบทางเดินปัสสาวะ,เป็นการผ่าตัดที่เกี่ยวกับท่อน้eดี, อวัยวะสืบพันธุ์ และช่องoropharynx ที่ควบคุมการเกิดปนเปื้อนได้ขณะทeผ่าตัด
Class III: Contaminated ประเภทที่ 3 แผลปนเปื้อน
ลักษณะแผลเปิด (open wound) แผลสด (fresh wound) แผลจากการได้รับอุบัติเหตุแผลที่เกิดการปนเปื้อนสารคัดหลั่งจากระบบทางเดินอาหาร เป็นแผลที่มีการอักเสบเฉียบพลัน
Class I: Clean wound ประเภทที่ 1 แผลผ่าตัดสะอาด
เป็นแผลที่ไม่มีการติดเชื้อ,ไม่มีการอักเสบมาก่อน
Class IV: Dirty/Infected ประเภทที่ 4 แผลสกปรก/แผลติดเชื้อ
ลักษณะแผลเก่า (old traumatic wound) แผลมีเนื้อตาย (gangrene)แผลมีการติดเชื้อมาก่อน แผลกระดูกหักเกิน 6 ชั่วโมง เช่น แผลไส้ติ่งแตก (Ruptured appendicitis)
แบ่งตามระยะเวลาการเกิด
แผลท่อระบาย เป็นแผลผ่าตัดซึ่งศัลยแพทย์เจาะผิวหนังเพื่อใส่ท่อระบายของเสียจากการผ่าตัดเป็นท่อระบายระบบปิดและท่อระบายปิด
แผลท่อหลอดคอ (tracheostomy tube) เป็นแผลท่อระบายที่ศัลยแพทย์ ทำการผ่าตัดเปิดหลอดลมเพื่อใส่ท่อช่วยหายใจในผู้ป่วยที่มีปัญหาของระบบทางเดินหายใจ
การรักษาแผลด้วยสุญญากาศ(Negative Pressure Wound Therapy: NPWT)เป็นการรักษาแผลที่มีเนื้อตาย หรือแผลเรื้อรังโดยการปิดแผลสุญญากาศ
เพิ่มปริมาณเลือดมาสู่แผล ผลจากแรงระหว่างเนื้อเยื่อแผลกับแผ่นโฟมทำให้เลือดไหลมาสู่แผล
กระตุ้นการงอกใหม่ของเซลล์ แรงจากการยืด(mechanical stretching)
ลดการบวมของแผลและเนื้อเยื่อใกล้เคียงทันทีที่เปิดเครื่องดูดสุญญากาศ
ลดแบคทีเรียในแผล
แผลท่อระบายทรวงอก (chest drain) เป็นแผลท่อระบายที่ศัลยแพทย์ททำการเจาะปอด เพื่อใส่ท่อระบายของเสียออกจากปอดในผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพของปอด
การรักษาผู้ป่วยศัลยกรรมกระดูกด้วยวิธีการจัดกระดูกให้อยู่นิ่ง(retention) ด้วยการดามกระดูกด้วยเหล็กหรือแผ่นเหล็กและตะปูเกลียว(plate and screw) หรือการใช้เครื่องตรึงกระดูกภายนอกร่างกาย (external fixator)
แผลทวารเทียมหน้าท้อง (colostomy) เป็นแผลท่อระบายที่ศัลยแพทย์ททำผ่าตัดเปิดลำไส้ใหญ่ออกทางหน้าท้อง เพื่อระบายอุจจาระในผู้ป่วยที่มีปัญหาของระบบทางเดินอาหาร
แบ่งตามลักษณะผิว
แผลลักษณะแห้ง (dry wound)
ลักษณะของแผลมีขอบแผลติดกัน อาจเกิดการติดกันเอง หรือจากการเย็บด้วยวัสดุเย็บแผล ไม่มีสารคัดหลั่ง เช่น แผลผ่าตัดเย็บปิด
แผลลักษณะเปียกชุ่ม (wet wound)
ลักษณะของขอบแผลไม่ติดกัน หรือขอบแผลกว้าง มีสารคัดหลั่ง เช่น แผลผ่าตัดยังไม่เย็บปิด (delayedsuture)
แบ่งตามการรักษา
ปัจจัยเฉพาะที่ (Local factors)
การติดเชื้อ (infection)
ภาวะเนื้อตาย (necrosis)
eschar มีลักษณะหนา เหนียว (thick) คล้ายหนังสัตว์มีสีดe (black) ลักษณะเนื้อตายนี้ต้องตัดออกก่อนการท eความสะอาดแผล
slough มีลักษณะเปียก (moist) สีเหลือง (yellow)เหนียว (stringy) หลวมยืดหยุ่น (loose) ปกคลุมบําดแผล
การได้รับอันตรายและอาการบวม (trauma and edema)
ความไม่สุขสบาย (incontinence)
ภาวะแวดล้อมแห้ง (dry environment)
แรงกด (pressure)
ปัจจัยระบบ (Systemic factors)
น้ำในร่างกาย (body fluid)
การไหลเวียนของโลหิตบกพร่อง (vascular insufficiencies)
โรคเรื้อรัง(chronic disease)
โรคที่มีผลกระทบต่อการหายของแผล
ภาวะกดภูมิคุ้มกันและรังสีรักษา(immunosuppression and radiation therapy)
อายุ (age)
คนที่มีอายุน้อยบาดแผลจะหายได้เร็วกว่าคนที่มีอายุมาก
ภาวะโภชนาการ (nutritional status)
แบ่งตามสาเหตุ
แผลที่เกิดจากการติดเชื้อมีหนอง
แผลที่เกิดจากการตัดอวัยวะบํางส่วน
แผลที่เกิดจากการถูไถลถลอก
แผลที่มีขอบแผลขาดกะรุ่งกะริ่ง
แผลที่เกิดจากถูกยิง
แผลที่เกิดจากการกดทับ
แผลที่เกิดจากการกระแทกด้วยวัตถุลักษณะมน
แผลที่เกิดจากถูกบดขยี้
แผลที่เกิดจากโดนระเบิด
แผลที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและเคมี
จากถูกความเย็นจัด(frost bite)
จากไฟฟ้ําช็อต (electrical burn)
จากสารเคมีที่เป็นกรด(acid burn)
จากรังสี(radiation burn)
จากสารเคมีที่เป็นด่าง(alkaline burn)
จากไฟไหม้น้ำร้อนลวก (burn and scald)
แผลที่เกิดจากถูกของมีคมทิ่มแทง
แผลที่เกิดจากถูกของมีคมตัด
แผลที่เกิดจากการปลูกผิวหนัง
แผลที่เกิดจากการผ่าตัด
ปัจจัยที่ทำให้เกิดแผลกดทับ ระยะของแผลกดทับและการป้องกันแผลกดทับ
ปัจจัยส่งเสริมการเกิดแผลกดทับ
ปัจจัยภายนอกร่างกาย
แรงเสียดทาน
แรงเฉือน
แรงกด
ความชื้น
บริเวณที่อาจเกิดแผลกดทับได้ง่ายในท่าทางต่าง ๆ
ท่านอนคว่ำ
บริเวณที่เกิดคือ ใบหูและแก้มหน้ําอกและใต้ราวนม หน้าท้อง หัวไหล่ สันกระดูกตะโพก หัวเข่าปลายเท้า
ท่านอนตะแคง
บริเวณที่เกิดคือ ศีรษะด้านข้าง หัวไหล่ กระดูกก้น ปุ่มกระดูกต้นขาฝีเย็บ หัวเข่าด้านหน้า ตาตุ่ม
ท่านอนหงาย
บริเวณที่เกิดคือ ท้ายทอย ใบหูหลังส่วนบน ก้นกบ ข้อศอก ส้นเท้า
ท่านั่ง
บริเวณที่เกิดคือ ก้นกบปุ่มกระดูกก้น หัวเข่าด้านหนัง กระดูกสะบัก เท้า ข้อเท้าด้านนอก
ปัจจัยภายในร่างกาย
อายุ
ภาวะโภชนาการ
ยาที่ได้รับการักษา
การผ่าตัด
การป้องกันการเกิดแผลกดทับ
เฝ้าระวังการเกิดแผลกดทับโดยใช้เครื่องมือประเมินความเสี่ยงของการเกิดแผลกดทับ(Braden risk assessment scale)
ประเมินความเสี่ยงตามแบบประเมินความเสี่ยงของการเกิดแผลกดทับ
เฝ้าระวังความเสี่ยงและควรการประเมินซ้ำเมื่อมีปัจจัยเสี่ยง
ลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับและเพิ่มปัจจัยเสริมการหายของแผล
ให้การดูแลช่วยเหลือและคำแนะนำทั่วไป
การดูแลและคำแนะนำเรื่องอาหารและโภชนาการ
การดูแลและคำแนะนำเรื่องยาที่ใช้ในการรักษา
การดูแลและคำแนะนะสำหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้อุปกรณ์
การดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีปัญหาการขับถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระ
พยาธิสภาพของการเกิดแผลกดทับ
เมื่อมีแรงกดทับผิวหนังที่ทำกับปุ่มกระดูกเป็นเวลานานทำให้ผิวหนังและเนื้อเยื่อรอบ ๆ ขาดออกซิเจนจากโลหิตมาเลี้ยงไม่ได้ ทำให้เกิดการตายของผิวหนังและเนื้อเยื่อต่าง ๆ
วิธีการพันแผลชนิดต่างๆ
หลักการพันแผล
ต้องทำความสะอาดบาดแผลและปิดผ้าปิดแผลให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงพันผ้าปิดทับต้องระวังหากพันแน่นเกินไปผู้ป่วยอาจเจ็บแผล
ตำแหน่งที่บาดเจ็บ เช่น นิ้วมือ นิ้วเท้า ต้องใช้ผ้าก๊อสคั่นระหว่างนิ้วก่อนป้องกันการเสียดสีของผิวหนังอาจทำให้เกิดแผลระหว่างนิ้วได้
การลงน้ำหนักมือเพื่อดึงผ้าพันแผลควรระวังใช้น้ำหนักให้เหมาะสม ถ้าลงน้ำหนักมือมากอาจทำให้แน่นเกินไป
การพันผ้าบริเวณเท้า ขา ตะโพก ต้องมีผู้ช่วยคอยประคองอวัยวะส่วนนั้นไว้ เพื่อช่วยให้ผู้พันผ้าสะดวกและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการพันผ้าในตำแหน่งนั้น ๆ
ตำแหน่งที่ต้องการจะพันผ้าผิวหนังบริเวณนั้นต้องสะอาดและแห้ง
การพันผ้าใกล้ข้อ ต้องพันผ้า โดยคำนึงถึงการขยับเคลื่อนไหวของข้อนั้นด้วย
ผู้พันผ้าและผู้บาดเจ็บหันหน้าเข้าหากัน จัดท่าให้ผู้บาดเจ็บอยู่ในท่าที่สบายวางอวัยวะส่วนที่จะพันผ้าให้รู้สึกผ่อนคลาย
วิธีการพันแผล
การพันผ้าแบบชนิดม้วน
การพันแบบเกลียว (spiral turn)
เหมาะสำหรับพันอวัยวะที่มีรูปทรงกระบอก เช่น แขน ขา นิ้วมือ นิ้วเท้า
การพันแบบเกลียวพับกลับ(spiral reverse)
เหมาะสำหรับอวัยวะที่เป็นทรงกระบอก การพันแบบนี้ใช้พันเมื่อต้องการความอบอุ่นหรือต้องการแรงกด
การพันแบบวงกลม(circular turn)
เหมาะสำหรับพันอวัยวะที่มีรูปทรงกระบอก เช่น แขน ขา นิ้วมือ นิ้วเท้า
การพันเป็นรูปเลข 8(figure ofeight)
เหมาะสำหรับพันบริเวณข้อพับ เช่น ข้อศอก ข้อเข่าข้อเท้า เพื่อให้ข้อดังกล่าวเคลื่อนไหวได้
การพันแบบกลับไปกลับมา (recurrent)
เหมาะสำหรับการพันเพื่อยึดผ้าปิดแผลที่ศีรษะ หรือการพันแผลที่เกิดจากการถูกตัดแขน ขา (stump) เพื่อบรรเทาอาการบวมและทำให้คงรูปทรงเดิมซึ่งเตรียมตอแขนหรืตอขาไว้ใส่อวัยวะเทียม(prosthesis)
การใช้ผ้าพันแผลชนิดม้วน มีหลักการพันผ้า ได้แก่ เริ่มต้นพันผ้าจากส่วนเล็กไปหาส่วนใหญ่ พันผ้าเข้ําหาตัวผู้ป่วย ตั้งต้นและจบผ้าพันด้วยการพันรอบทุกครั้งเพื่อให้ผ้าไม่เลื่อนหลุด การเริ่มต้น การต่อผ้า หรือการจบของการพันผ้า ต้องระวังไม่ตำแหน่งที่เริ่มหรือจบผ้านั้นต้องไม่ตรงกับบริเวณที่เป็นแผลหรือบริเวณที่มีการอักเสบ
การใช้ผ้าสามเหลี่ยม ผ้าสามเหลี่ยมเป็นสามเหลี่ยมที่มีมุมยอดเป็นมุมฉาก ขนาดของผ้าที่ใช้ขึ้นอยู่กับขนาดของตัวผู้ป่วยและอวัยวะที่ต้องการพันผ้า
ชนิดของผ้าพันแผล
ผ้าพันแผลชนิดม้วน(roller bandage)
ผ้าพันแผลชนิดพิเศษ (special bandage)
ผ้าสามเหลี่ยม (triangular bandage)
ลักษณะและกระบวนการหายของแผล
การหายของแผลแบบทุติยภูมิ(Secondaryintentionhealing)
เป็นแผลขนาดใหญ่ที่เนื้อเยื่อถูกทำลาย
การหายของแผลแบบตติยภูมิ(Tertiaryintentionhealing)
เป็นแผลชนิดเดียวกับแผลทุติยภูมิ เมื่อทำการรักษาโดยการทำแผลจนมีเนื้อเยื่อเกิดใหม่ปกคลุมสีแดงสด และไม่มีอาการการแสดงภาวะติดเชื้อแล้ว
การหายของแผลแบบปฐมภูมิ(Primaryintentionhealing)
แผลผ่าตัด การรักษาโดยการเย็บดึงขอบแผลเข้าหากัน
กระบวนการหายของแผล(Stage of wound healing)
ระยะ2: การสร้างเนื้อเยื่อ (Proliferate phase)
เป็นระยะการสร้างเนื้อเยื่อใหม่จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 4-12 วัน
จะเห็น fibroblast (เป็นconnective tissueชนิดหนึ่ง) เกิดขึ้นในแผล
เริ่มมีเนื้อเยื่อเกิดใหม่ (granulation tissue) macrophage ยังคงทำหน้าที่สร้าง growth factor ต่อไป
ระยะ3: การเสริมความแข็งแรง (Remodeling phase)
เป็นระยะสุดท้ายของการสร้างและความสมบูรณ์ของคอลลาเจน
fibroblast จะเปลี่ยนเป็น myofibroblast (เป็นเนื้อเยื่อลักษณะเป็นกล้ํามเนื้อ)ที่มีควํามแข็งแรงเพิ่มมํากขึ้นกว่า
ระยะ1: ห้ามเลือดและอักเสบ (Hemostasis and Inflammatory phase)
การห้ามเลือด(hemostasis)จะเกิดขึ้นก่อน ในเวลา 5-10 นาที
เซลล์ที่มีความสำคัญของระยะนี้ ได้แก่ platelets, neutrophils, and macrophages
การบันทึกลักษณะบาดแผล
ขนาด ควรระบุเป็นเซนติเมตร
สี
ตำแหน่ง/บริเวณ เช่น ตำแหน่ง RLQ
ลักษณะผิวหนัง
ชนิดของบาดแผล
ขั้นหรือระยะความรุนแรงของบาดแผล
สิ่งที่ปกคลุมบาดแผลหรือสารคัดหลั่ง (discharge)
วิธีการเย็บแผลและวัสดุที่ใช้ในการเย็บแผล
ดึงขอบแผลเข้าหากัน
ส่งเสริมการหายของแผล
ห้ามเลือด
ป้องกันมิให้เชื้อโรคเข้าไปในแผล
รักษาสภาพปกติของผิวหนัง
วิธีการเย็บแผล
Interrupted method
Simple interrupted method
เป็นวิธีการเย็บแผลเพื่อดึงรั้งให้ขอบแผลทั้งสองติดกัน เหมาะสำหรับเย็บบาดแผลผิวหนังทั่วไป
Interrupted mattress method
เป็นวิธีการเย็บแผลโดยการตักเข็มเย็บที่ขอบแผลสองครั้ง ใช้ในรายที่ต้องการความแข็งแรงของแผล เหมาะสำหรับเย็บแผลที่ลึกและยาว
Subcuticular method
เป็นการเย็บแผลแบบ continuous methodแต่ใช้เข็มตรงในการเย็บ และซ่อนวัสดุเย็บแผลไว้ในชั้นใต้ผิวหนัง เหมาะสำหรับการเย็บด้านศัลยกรรมตกแต่งเพื่อความสวยงาม
Continuous method
เป็นวิธีการเย็บแผลแบบต่อเนื่องตลอดความยาวของแผล
Retention method (Tension method)
เป็นวิธีการเย็บรั้งแผลเข้าหากัน เพื่อพยุงแผลในกรณีผู้ที่มีชั้นไขมันหน้าท้องหนาหรือแผลที่ตึงมาก และแผลที่ต้องการทำsecondary suture
วัสดุที่ใช้ในการเย็บแผล
วัสดุที่ละลายได้เอง (Absorbable sutures)
เส้นใยสังเคราะห์
เส้นใยธรรมชาติ
วัสดุที่ไม่ละลายเอง (Non-absorbable sutures)
เส้นใยตามธรรมชาติ
เส้นใยสังเคราะห์
วัสดุที่เย็บเป็นโลหะ
กระบวนการพยาบาลในการพยาบาลผู้ป่วยที่มีแผล
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing diagnosis)
การปฏิบัติการพยาบาลแบบองค์รวม (Holistic nursing care)
ด้านร่างกาย
ช่วยทำความสะอาดร่างกายบางส่วนเท่าที่จำเป็น
จัดสิ่งแวดล้อมสถานที่ให้สะอาด
แนะนำไม่ให้แผลเปียกน้ำ
จัดท่านอนศีรษะสูงเพื่อช่วยลดอาการตึงของกล้ามเนื้อหน้าท้องบรรเทาอาการปวดแผลและส่งเสริมความสุขสบายของผู้ป่วย
กระตุ้นให้ผู้ป่วยได้รับน้ำอย่างน้อยวันละ 2,000 มิลิลิตร
ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษาและติดตามอาการแพ้ยาที่อาจเกิดได้
แนะนำและกระตุ้นให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง
ติดตามอาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นได้
ทำแผล dry dressingODด้วยวิธีaseptic technique
ลงบันทึกทางการพยาบาล
ประเมินประเภทแผลผ่าตัดและขั้นตอนการหายของแผล
ด้านจิตใจ
การพยาบาลแบบเอื้ออาทร
การพยาบาลด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์
การพยาบาลแบบองค์รวม
การพยาบาลด้วยน้ำใจไมล์ที่สอง
ด้านสังคม
ผู้ให้การพยาบาลสามารถถ่ายทอดความรู้สึกจากน้ำมือ น้ำคำ และน้ำใจ สู่ความรู้สึกที่ผู้ใช้บริการรับรู้สึกได้
ด้านจิตวิญญาณ
แนะนำให้สวดมนต์ทำสมาธิก่อนนอน
แนะนำให้ทำใจปล่อยวางกับความเจ็บป่วยที่เป็นสัจธรรมและทุกขเวทนา
ขณะนอนพักบนเตียงให้ฟังเพลงหรืออ่านหนังสืออ่านเล่นหรือหนังสือธรรมะ
การประเมินผล (Evaluation)
การประเมินผลกิจกรรมการพยาบาล
ประเมินการจัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องใช้ครบถ้วนเพียงพอหรือไม่
ประเมินการปฏิบัติการพยาบาลตามแผนที่วางไว้
การประเมินผลคุณภาพการบริการ
ประเมินคุณภาพของการให้บริการทุกข้ออยู่ในระดับใด
การประเมินผลการพยาบาล
ประเมินอาการแทรกซ้อนและปลอดภัยตามหลักSIMPLE
ประเมินสัญญําณชีพ (โดยการใช้เครื่องมือในการวัดสัญญาณชีพ)
ประเมินการหายของแผลผ่าตัดเป็นไปตามstage of wound healing
ประเมินความสุขสบายของผู้ป่วย
ประเมินความพึงพอใจด้านจิตใจและจิตวิญญาณ
ประเมินความพึงพอใจและประทับใจในการบริการพยาบาล
การประเมินภาวะสุขภาพ (Assessment)
การวางแผนให้การพยาบาล (Planning)
การให้การพยาบาลตามแผนการพยาบาลที่วางไว้
การใช้อุปกรณ์กดแรงกด (pressure-relieving device)
การจัดโปรแกรมการให้ความรู้ (educational programs)
การจัดท่าทาง (positioning)
การประเมินผลการพยาบาล
วิธีการทำแผลชนิดต่างๆและการตัดไหม
ชนิดของการทำแผล
การทำแผลแบบแห้ง(Dry dressing)
การทำแผลที่ไม่ต้องใช้ความชุ่มชื้นในการหายของแผล ใช้ทำแผลสะอาดแผลปิด
การทำแผลแบบเปียก (Wet dressing)
การทำแผลที่ต้องใช้ควํามชุ่มชื้นในการหายของแผล ใช้ทำแผลเปิด แผลอักเสบติดเชื้อ
อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำแผล
อุปกรณ์ทำความสะอาดแผล
ชุดทำแผล (dressing set)
ปากคีบมีเขี้ยว (tooth forceps)
ถ้วยใส่สารละลาย(iodine cup)
ปากคีบไม่มีเขี้ยว (non-tooth forceps)
สำลี (cotton ball)
gauze
สารละลาย(solution)
น้ำเกลือล้างแผล(normal saline solution) 0.9% NSS external use
เบตาดีน หรือโปรวิโดน ไอโอดีน(betadine, providone-iodine solution)
แอลกอฮอล์ที่นิยมใช้ คือ alcohol 70%
วัสดุสำหรับปิดแผล
ผ้าก๊อซหุ้มสำลี (top dressing)
ผ้าซับเลือด (abdominal swab)
ผ้าก๊อซ (gauze dressing)
วายก๊อซ (y-gauze)
antibacterial gauze dressing
วาสลินก๊อซ (vaseline gauze)
ก๊อซเดรน (drain gauze)
transparent film
แผ่นเทปผ้าปิดแผล
วัสดุสำหรับยึดติดผ้าปิดแผล
plasterชนิดธรรมดา
transporeเพรําะง่าย สะดวก
ง่าย สะดวก แต่มีข้อเสียคือ ระคายเคืองผิวหนัง และเจ็บขณะดึงออกจากแผลในผู้ป่วยสูงอายุ หรือผู้ที่ผิวหนังแพ้
plaster ชนิดพิเศษ
micropore tape, fixomull
ไม่ระคายเคืองผิวหนัง หรือใช้ก๊อซพันแผล (gauze bandage) หรือผ้าพันแผลชนิดยืด(elastic bandage) ใช้เพื่อกดรัดและช่วยในการห้ามเลือด
อุปกรณ์อื่น ๆ
กรรไกรตัดเชื้อเนื้อ (Metzenbaum)
ช้อนขูดเนื้อตาย (curette)
กรรไกรตัดไหม (operating scissor)
อุปกรณ์วัดความลึกของแผล (probe)
ภาชนะสำหรับทิ้งสิ่งสกปรก
ถุงพลาสติก
หลักการทำแผล
ต้องสะอาดและปลอดภัย
ใช้หลัก aseptic technique
ต้องสะอาดและปลอดภัย
จะต้องทำแผลสะอาดกว่าก่อนทำแผลสกปรกหรือติดเชื้อเสมอ
ชามรูปไต
การทำแผลผ่าตัดแบบแห้ง (Dry dressing)
หยิบสำลีชุบ alcohol 70% เช็ดรอบๆ แผลวนจากในออกนอกห่างแผล 1นิ้วเป็นบริเวณกว้าง 2 นิ้ว
หยิบสำลีชุบ 0.9% NSS เช็ดจากบนลงล่างจนแผลสะอาดแล้วเช็ดด้วยสำลีแห้ง
หยิบtooth forceps ใช้รับของsterile ทำหน้าที่เป็นdressing forceps
ทำแผลด้วย antiseptic solutionตามแผนการรักษา (ถ้ามี)
หยิบnon-tooth forceps ใช้คีบส่งของsterile ทำหน้าที่เป็น transfer forceps
ปิดแผลด้วยgauze ติดพลําสเตอร์ตํามแนวขวํางของล ําตัวโดยเริ่มติดชิ้นแรกตรงกึ่งกลํางของแผลและไล่ขึ้น-ลงตํามล ําดับ ส่วนหัวและท้ํายต้องปิดทับผ้ําgauzeกับผิวหนังให้สนิท
เปิดชุดทำแผล (ตามหลักการของ IC) หยิบforceps ตัวแรกโดยใช้มือจับด้านนอกของผ้าห่อชุดทำแผล หยิบขึ้นแล้วใช้ forcepsตัวแรกหยิบforceps ตัวที่สอง วาง forceps ไว้ด้านข้างถาดของชุดทำแผล (กรณีใส่ถุงมือปลอดเชื้อให้ใช้มือหยิบforceps ได้เลย)
เก็บอุปกรณ์ ถอดถุงมือ ถอดmask และล้างมือ ทิ้งขยะในถังขยะติดเชื้อทุกครั้ง
เปิดแผลโดยใช้มือ(ใส่ถุงมือ) หยิบผ้าปิดแผลโดยพับส่วนที่สัมผัสแผลอยู่ด้านในทิ้งลงชามรูปไตหรือถุงพลาสติก
การทำแผลผ่าตัดแบบเปียก (Wet dressing)
ใช้สำลีชุบน้ำเกลือหรือน้ำยาตามแผนการรักษาเช็ดภายในแผลจนสะอาด
ใช้ผ้าgauze ชุบน้ำยา(solution) ใส่ในแผล(packing)เพื่อฆ่าเชื้อและดูดซับสารคัดหลั่งให้ความชุ่มชื้นแก่เนื้อเยื่อ
ทำความสะอาดริมขอบแผลเช่นเดียวกับการทำ dry dressing
ปิดแผลด้วยผ้าgauzeและปิดพลาสเตอร์ตามแนวขวางของลำตัว
เปิดแผลโดยใช้มือ(ใส่ถุงมือ)
การทำแผลผ่าตัดที่มีท่อระบาย (Tube drain)
ใช้สำลีชุบalcohol70% เช็ดท่อระบายจากเหนือแผลออกมาด้านปลายท่อระบาย เช็ดด้วยสำลีแห้ง
กรณี Penrose drain และแพทย์มีแผนการรักษาให้ตัดท่อยางให้สั้น (short drain) หยิบgauze 1ผืน เพื่อจับเข็มกลัดซ่อนปลาย ใช้ forceps บีบเข็มกลัดให้อ้าออก จับไว้ในมือข้างที่ถนัด ใช้มืออีกข้ํางถือ forceps จับท่อระบายดึงท่อระบายออกมา1 นิ้ว (อย่างนุ่มนวลด้วยความระวัง)แทงเข็มกลัดเข้ํากับท่อระบายกลัดเข็มกลัดเข้าที่แล้วตัดท่อระบายส่วนที่อยู่เหนือเข็มกลัดซ่อนปลายทิ้งท่อระบายที่ตัดออกลงชามรูปไตหรือถุงพลาสติกใช้สำลีเช็ดผิวหนังรอบๆ
ใช้สำลีชุบ NSS เช็ดตรงกลางแผลท่อระบาย แล้วเช็ดด้วยสำลีแห้ง
พับครึ่งผ้าgauzeวํางสองข้างของท่อระบายแล้ววางผ้า gauzeปิดทับท่อระบายอีกชั้น และปิดพลาสเตอร์ให้เรียบร้อย
ใช้non-tooth forceps (ท ําหน้ําที่เป็น transfer forceps)หยิบส ําลีชุบalcohol70% ส่งต่อให้ tooth forceps (ท ําหน้ําที่เป็น dressing forceps) เช็ดผิวหนังรอบท่อระบํายวนจํากในออกนอกแบบครึ่งวงกลม
หลังการทำแผลเสร็จแล้วจัดท่าให้ผู้ป่วยสุขสบาย และดูแลสภาพแวดล้อม
ระวังไม่ให้แผลถูกน้ำ หรือเปียกชื้น
รับประทานอาหารให้ครบ5 หมู่และน้ำวันละ 2,000 มิลิลิตร เสริมโปรตีนวิตามิน และเกลือแร่ เพื่อสร้ํางเนื้อเยื่อและเสริมความแข็งแรงให้กับแผล
เกิดอาการคันหรือแพ้พลาสเตอร์ ควรแจ้งให้พยาบาลทราบ ไม่ควรแคะแกะหรือเกาเพราะจะทำให้ผิวหนังรอบแผลช้ำถลอกเกิดการอักเสบติดเชื้อ ลุกลามขยายเป็นแผลกว้างได้
การเตรียมเครื่องใช้ในการทำแผล เช่นเดียวกับการทำแผลแบบแห้ง
การตัดไหม (Sutureremoval)
วิธีทำการตัดไหม
การตัดไหมที่เย็บแผลชนิดinterrupted method โดยใช้ไหมผูกเป็นปมแยกเป็นอัน ๆ โดยใช้tooth forceps จับชายไหมส่วนที่อยู่เหนือปมที่ผูกไว้ ดึงขึ้นพอตึงมือจะเห็นไหมใต้ปมโผล่พ้นผิวหนังขึ้นมาและสอดปลายกรรไกรตัดไหมในแนวราบขนาดกับผิวหนังเล็กตัดไหมส่วนที่อยู่ชิดผิวหนังซึ่งอยู่ใต้ปมที่ผูกแล้วดึงไหมในลักษณะดึงเข้ําหาแผลเพื่อป้องกันแผลแยก
การตัดไหมที่เย็บแผลชนิด interrupted mattress โดยใช้ไหมผูกปมเป็นอัน ๆ ชนิดสองชั้น ให้ตัดไหมส่วนที่มองเห็นและอยู่ชิดผิวหนังมากที่สุด
ทำความสะอาดแผลใช้alcohol 70% เช็ดรอบแผล เช็ดรอยพลาสเตอร์ออกด้วยเบนซิน และเช็ดตามด้วยalcohol 70% และน้ำเกลือล้ํางแผลแล้วเช็ดแห้งก่อนทำการลงมือตัดไหม หยิบผ้า gauze วางเหนือแผล เมื่อตัดไหมทีละเข็มให้วางวัสดุเย็บแผลลงบน ผ้า gauze เพื่อนับจำนวนเข็ม
การตัดไหมที่เย็บแผลแบบต่อเนื่อง continuous method ให้ตัดไหมส่วนที่อยู่ชิดผิวหนังด้านตรงกันข้ามกับปมที่ผูกอันแรกและอันถัดไปด้านเดิม เมื่อดึงไหมออกส่วนที่เป็นปมผูกไว้อันแรก และส่วนที่อยู่ชิดผิวหนัง ซึ่งติดกับไหมที่เย็บอันที่สองจะหลุดออก ส่วนไหมปมอันถัดไปให้ตัดไหมส่วนที่อยู่ชิดผิวหนังด้านเดิม
กรณีที่ใช้ลวดเย็บเป็นวัสดุเย็บแผล ทำความสะอาดแผลผ่าตัดตามปกติ การตัดลวดเย็บแผลต้องใช้เครื่องมือตัด เรียกว่ํา “removal staple”
ภายหลังตัดไหมครบทุกเส้นแล้ว เช็ดแผลด้วย normal saline 0.9% และเช็ดให้แห้งอีกครั้ง ปิดแผลต่อไว้อีก 1 วัน (ถ้าแผลแห้งดี)ถ้าแผลยังติดไม่ดีแพทย์อาจติด sterile strip แล้วจึงปิดด้วยผ้า gauze และปิดพลาสเตอร์อีกครั้ง
หลักการตัดไหม
เศษไหมที่เย็บแผลส่วนที่มองเห็นเป็นส่วนที่มีการสัมผัสเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ตามผิวหนังในการตัดและดึงไหมออกจึงไม่ควรดึงไหมส่วนที่มองเห็นลอดผ่านใต้ผิวหนัง และจะต้องดึงไหมออกให้หมด
ขณะตัดไหมหากพบว่ามีขอบแผลแยกให้หยุดทำและปิดแผลด้วยวัสดุที่ช่วยดึงรั้งให้ขอบแผลติดกัน (sterile strip)
ตรวจสอบคำสั่งการรักษาของแพทย์ทุกครั้งว่ามีจุดประสงค์ให้ตัดไหมทุกอัน (total stitches off) หรือตัดอันเว้นอัน (partial stitches off)