Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่5 การพยาบาลผู้ป่วยในระยะก่อน-หลังผ่าตัดการเคลื่อนไหวและการออกกำลังกา…
บทที่5
การพยาบาลผู้ป่วยในระยะก่อน-หลังผ่าตัดการเคลื่อนไหวและการออกกำลังกาย
5.1 การพยาบาลผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
5.1.1 การประเมินผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
5.1.1.2 การตรวจร่างกาย
การส่งตรวจอื่นๆ เพิ่มเติม
2)การชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง
3)การตรวจประเมินทางระบบหายใจ
1)สัญญาณชีพ
4)การตรวจร่างกายตามระบบ
โดยเน้นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโรค
หรือบริเวณที่จะทำการผ่าตัด
5.1.1.3 การส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1)ข้อบ่งชี้ของการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษอื่นๆ
2)ข้อแนะนำการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ (Screening tests)
5.1.1.1 การซักประวัติ
5)ประวัติของคนในครอบครัวหรือญาติที่มีปัญหาเกี่ยวกับการได้รับยา
6)ประวัติเกี่ยวกับโรคของระบบต่างๆ ของร่างกาย
4)การใช้ยา สารเสพติด การสูบบุหรี่ และดื่มสุรา
3)ประวัติการแพ้ยาหรืออาหาร
2)ประวัติการผ่าตัด
1)ประวัติโรคประจำตัว
5.1.2 การเตรียมผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
5.1.2.1 การเตรียมผู้ป่วย
2)ด้านจิตใจ
ผู้ป่วยและครอบครัวส่วนใหญ่จะมีความวิตกกังวลเมื่อรู้ว่าตนเอง
หรือบุคคลในครอบครัวต้องผ่าตัดดังนั้นผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัด
ควรได้รับการเตรียมทางจิตใจทุกคนโดยการเยี่ยมผู้ป่วย
ก่อนผ่าตัดประเมินความวิตกกังวลก่อนผ่าตัด
3) การให้คำแนะนำ
การปฏิบัติหลังผ่าตัด
(4)Range of Motion (ROM)
(5)Deep-breathing exercises
(3)Straight Leg Raising Exercise (SLRE)
(6)Effective cough
(2)Quadriceps Setting Exercise (QSE)
(7)Abdominal breathing
(1)Early ambulation
(8)Turning and ambulation
(9)Extremity exercise
(10)Pain management
1) ด้านร่างกาย
(4)ประเมินความสมบูรณ์ของร่างกาย
ในการได้รับอาหารที่พอเหมาะ
(5)ภาวะสารน้ำและอีเล็คโทรลัยต์ในร่างกาย
(3)ระบบทางเดินปัสสาวะ
(6)การพักผ่อนและการออกกำลังกาย
(2)ระบบทางเดินหายใจ
(7)ให้คำแนะนำและข้อมูลต่างๆ
ที่ผู้ป่วยควรทราบเพื่อลดความวิตกกังวล
(1)ระบบหัวใจและหลอดเลือด
5.1.2.2การเตรียมผู้ป่วยก่อนวันที่ผ่าตัด
2)การขับถ่าย
3)การเตรียมผิวหนังก่อนผ่าตัด
1) อาหารและน้ำดื่ม
4)การดูแลสภาพร่างกายทั่วไป
5)การให้ยาแก่ผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
6)เตรียมเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆที่พิเศษ
7)แผ่นบันทึกรายงานต่างๆ
8)การส่งผู้ป่วยไปห้องผ่าตัด
9)การดูแลครอบครัวผู้ป่วย
10) การเตรียมผ่าตัดผู้ป่วยฉุกเฉิน
5.3 การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วย
5.3.2 การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
5.3.2.2การประเมินผู้ป่วยก่อนการเคลื่อนย้าย
4)ความมั่นคงในการคงท่าของผู้ป่วย
5)ส่วนที่จำเป็นต้องให้อยู่นิ่งๆ
3)ส่วนที่อ่อนแรงหรือพิการ
6)ผู้ป่วยอ่อนเพลียมากน้อยแค่ไหน
2)ท่าที่เป็นข้อห้ามของผู้ป่วย
7)ความต้องการการเคลื่อนย้ายเปลี่ยนท่า
และความสุขสบายของผู้ป่วย
1)ความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง
5.3.2.3วิธีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
2)นำหมอนหนุนศีรษะของผู้ป่วยออก วางหมอนที่พนักหัวเตียง
อุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นเอาออกจากเตียง
3)พยาบาลยืนในท่าที่ถูกต้องมั่นคงและใช้หลักการของกลไกการเคลื่อนไหวร่างกาย
1)แจ้งให้ผู้ป่วยทราบและบอกวิธีการให้ความร่วมมือถ้าทำได้
4)พยุงผู้ป่วยด้วยความนุ่มนวลและมั่นคง โดยใช้วิธีสอดมือเข้าไปในตำแหน่งของร่างกายที่จะยกเพื่อรองรับน้ำหนักร่างกายส่วนนั้น
5.3.2.1หลักการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
6)ย่อเข่าและสะโพก
7)หาวิธีที่เหมาะสมเพื่อผ่อนแรงในการยกหรือเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
5)หลังตรง ป้องกันการปวดหลัง
8)ผู้ป่วยควรอยู่ใกล้พยาบาลมากที่สุด
4)ยืนแยกเท้าทั้งข้างห่างกันพอสมควร และเฉียงปลายเท้าไปตามทิศทางที่ต้องการเคลื่อนย้าย และอยู่ในสมดุลเมื่อต้องการเคลื่อนไปทางหัวเตียงหรือปลายเตียง
9)ยกตัวผู้ป่วยให้พ้นจากที่นอนเล็กน้อยเพื่อลดแรงเสียดทาน
3)ควรยืนในท่าที่ถูกต้องและมั่นคง
10)ใช้ผ้าขวางเตียงช่วยในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแทนการเลื่อนผู้ป่วย
2)หันหน้าเข้าหาผู้ป่วยและไปในทิศทางที่จะเคลื่อนย้าย
11)ให้สัญญาณเพื่อความพร้อมเพรียง
1)ควรจัดท่าผู้ป่วยให้นอนหงายราบอยู่ในท่าที่สบาย
12)ผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ควรหาผู้ช่วยเหลือตั้งแต่ 2คนขึ้นไปและให้สัญญาณขณะยก หรือใช้อุปกรณ์ที่ช่วยผ่อนแรงมาใช้เมื่อจำเป็น
5.3.3 การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดิน
5.3.3.1 การออกกำลังกายเพื่อเตรียมผู้ป่วยเดิน
การออกกำลังกายให้ผู้ปุวยนั้นเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับผู้ป่วยให้กล้ามเนื้อมีความตึงตัว แข็งแรง และข้อเคลื่อนที่ได้ตามปกติ
5.3.3.2 การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดิน
การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดินโดยพยาบาล 1คน
(1)กรณีใช้เข็มขัดหรือผ้าคาดเอว
เมื่อช่วยผู้ป่วยลงจากเตียงแล้ว พยาบาลยืนเยื้องด้านหลังผู้ป่วย ใช้มือ 2 ข้างยืดเข็มขัดหรือผ้าคาดเอวเพื่อพยุงผู้ป่วยขณะผู้ป่วยเดิน วิธีนี้จะช่วยคงจุดศูนย์ถ่วงหรือใช้มือหนึ่งจับเข็มขัดบริเวณกึ่งกลางเอว อีกมือหนึ่งจับบริเวณต้นแขนของผู้ปุวยก้าวเดินช้า ๆ พร้อมกัน
(2)กรณีไม่ใช้เข็มขัด
ให้ใช้มือด้านใกล้ตัวจับที่ต้นแขนของผู้ป่วย มือไกลตัวจับที่ปลายแขนของผู้ป่วย ถ้าผู้ป่วยเป็นลมให้สอดแขนเข้าใต้รักแร้รับน้ำหนักตัวผู้ป่วยและแยกเท้ากว้าง ดึงตัวผู้ป่วยขึ้นมาข้างตัวพยาบาลโดยใช้ สะโพกรับน้ำหนักตัวผู้ป่วย และค่อยๆ วางตัวผู้ป่วยลงบนพื้น
2)การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดินโดยพยาบาล 2คน
ให้พยาบาลยืนข้างผู้ปุวยคนละด้าน มือพยาบาลข้างใกล้ตัวผู้ป่วยสอดใต้รักแร้ผู้ป่วย อีกข้างหนึ่งจับปลายแขนหรือมือผู้ป่วยข้างเดิม ผู้ป่วยและพยาบาลทั้ง 2 คนเดินพร้อมกัน ถ้าผู้ป่วยเป็นลมพยาบาลทั้ง 2 คนเลื่อนมือข้างที่พยุงใต้รักแร้ไปข้างหน้าให้ลำแขนสอดอยู่ใต้รักแร้ น้ำหนักตัวผู้ป่วยไว้พร้อมกับใช้สะโพกยันผู้ป่วยไว้แล้วค่อย ๆ พยุงผู้ป่วยลงบนพื้น
5.3.1การช่วยเหลือผู้ป่วยเคลื่อนไหวบนเตียง
5.3.1.1การประเมินผู้ป่วย พยาบาลจะให้การช่วยเหลือผู้ป่วยนั้น
ควรทราบข้อมูลต่างๆ ของผู้ป่วย
2)ท่าที่เหมาะสมและระยะเวลาที่ผู้ป่วยจะคงอยู่ในท่าที่เปลี่ยนให้ใหม่
3)ความยากลำบากและไม่สุขสบายในขณะเปลี่ยนท่า
หรือเมื่ออยู่ในท่าที่จัดให้
1)ความสามารถของผู้ป่วยในการช่วยเหลือตนเอง
4)ปัญหาอื่นๆ ที่พบในผู้ป่วย เช่น ความผิดปกติเกี่ยวกับผิวหนัง
กระดูก หลอดเลือด เป็นต้น
5.3.1.2 ปฏิบัติการพยาบาลในการ
ให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยบนเตียง
2) การเตรียมตัวพยาบาล
3) การจัดท่าผู้ป่วย
(5) ท่านั่งบนเตียง (Fowler’s position)
(6) ท่านอนหงายชันเข่า (Dorsal recumbent position)
(4) ท่านอนตะแคงกึ่งคว่ำ (Semiprone position)
(7) ท่านอนหงายพาดเท้าบนขาหยั่ง (Lithotomy position)
(8) ท่านอนคว่ำคุกเข่า (Knee-chest position)
(3) ท่านอนคว่ำ (Prone position)
(2) ท่านอนตะแคง (Lateral or Slide-lying position)
(9) ท่านอนศีรษะต่ำปลายเท้าสูง (Trendelenburg position)
(1)ท่านอนหงาย (Dorsal orSupine position)
1)การเตรียมผู้ป่วย
5.3.4 การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดินด้วยอุปกรณ์ช่วยเดิน
5.3.4.3 การเตรียมผู้ป่วยก่อนการฝึกใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน
2)การฝึกในท่าตั้งตรง (Upright) บนเตียงหรือเบาะ
3)การฝึกในราวคู่ขนาน
1)การฝึกความแข็งแรง (Strength) ความทนทาน(Endurance) และการประสานสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อ(Co –ordination) ที่ใช้ในการเดินด้วยอุปกรณ์ช่วยเดิน
5.3.4.4 การลงน้ำหนักที่ขาเวลาเดิน (Weight BearingStatus)
ผู้ป่วยจะต้องลงน้ำหนักตามแผนการรักษา
5.3.4.2 ประโยชน์ของอุปกรณ์ช่วยเดิน
2)ช่วยแบ่งเบาหรือรับน้ำหนักแทนขา 1 หรือ 2ข้าง เมื่อมีข้อห้ามหรือมีการอ่อนแรงจนขาไม่สามารถรับน้ำหนักได้ (Non –weight bearing)
3)เพิ่มการพยุงตัว (Support) เพื่อให้สามารถทรงตัวได้ (Balance)
1)ช่วยแบ่งเบาหรือรับน้ำหนักแทนขา 1 หรือ 2ข้าง เมื่อมีข้อห้ามในการรับน้ำหนักเต็มทั้งขา (Partial weight bearing) ข้างนั้น
5.3.4.5 รูปแบบการเดิน (Gait pattern)การฝึกเดินไม่ว่าจะใช้อุปกรณ์ช่วยเดินแบบใด จะใช้รูปแบบการเดินแบบใดแบบหนึ่ง
2)Two –point gait
3)Three –point gait
1)Four –point gait
4)Swing –to gait
5)Swing –through gait
5.3.4.1 ชนิดของอุปกรณ์ช่วยเดิน
2)Walker หรือ Pick –up frames มีหลายชนิด
3)Cane มีหลายชนิด
1)Parallel bar = ราวคู่ขนาน ราวเดิน
4)Crutches ( ไม้ยันรักแร้ , ไม้ค้ำยัน ) มีหลายชนิด
5.3.4.6 วิธีการฝึกผู้ป่วยใช้อุปกรณ์ช่วยเดินมีวิธีการวัดขนาด
และการสอนเดินโดยอุปกรณ์ช่วยการเดิน
1)ไม้ค้ำยันรักแร้(Auxiliary crutches)
2)Lofstrand crutch
4)ไม้เท้า(Cane)
3)Platform crutch
5)ไม้เท้า3 ขา(Tripod cane)
5.4การออกกำลังกายและการเคลื่อนไหวร่างกาย
5.4.2 การเคลื่อนไหวร่างกาย
การเคลื่อนไหวร่างกายใดๆ ในชีวิตประจำวัน
ไม่ว่าจะในบ้านที่ทำงาน หรือแม้แต่สันทนาการใดๆ
กลไกการเคลื่อนไหวร่างกาย
การใช้ร่างกายอย่างปลอดภัยมีประสิทธิภาพ มีการประสานงานกันในการเคลื่อนไหวและดำรงความสมดุลระหว่างการมีกิจกรรม
การที่ร่างกายมีการทรงตัวที่ดีและมีการเคลื่อนไหว
ได้อย่างถูกต้องทำให้เกิดผลดีต่อร่างกาย
ป้องกันไม่ให้เกิดอันตราย หรือมีความพิการของกระดูกและกล้ามเนื้อ
ลดการเมื่อยล้าหรือการใช้พลังงานมากเกินไป
ส่งเสริมและสนับสนุนการทำงานของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ
5.4.3 ผลกระทบจากการไม่เคลื่อนไหวร่างกาย
5.4.3.4 ระบบทางเดินหายใจ
1)ปอดขยายตัวลดลง (Decrease lung expansion)
2)มีการคั่งของเสมหะมากขึ้น
5.4.3.5ระบบทางเดินอาหาร
1)มีผลต่อการรับประทานอาหาร ทำให้เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย กังวลใจจากการนอนเฉยๆ และโรคที่ เป็นอยู่ความต้องการพลังงานลดลง เป็นสาเหตุให้เกิดการขาดสารอาหาร
2)มีผลต่อการขับถ่าย ทำให้ท้องผูก (Constipation)เนื่องจากการบีบตัวของลำไส้ลดลงจากการหลั่งAdrenaline ลดลง กล้ามเนื้อหน้าท้อง
กระบังลม และกล้ามเนื้อฝีเย็บที่ช่วยในการขับถ่ายอ่อนแรง
5.4.3.3 ระบบหัวใจและหลอดเลือด
2)มีการคั่งของเลือดในหลอดเลือดดำที่ขา
3)เกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ(Thrombus)
1)หัวใจทำงานมากขึ้น
4)ความดันต่ำขณะเปลี่ยนท่า (Orthostatic Hypotension)
5.4.3.6ระบบทางเดินปัสสาวะ
2)มีการคั่งของปัสสาวะในไตและกระเพาะปัสสาวะ (Urinary stasis)
3)เกิดนิ่วในไตและกระเพาะปัสสาวะ (Renal Calculi)
1)การถ่ายปัสสาวะมากกว่าปกติในระยะแรกๆ (Diuresis)
5.4.3.2 ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
1)กระดูกผุ เปราะบาง (Osteoporosis)
2)การประสานงานของกล้ามเนื้อแขนขาลดลงหรือไม่สัมพันธ์กัน
4)อาการปวดหลัง (Back pain)
3)กล้ามเนื้ออ่อนแรง ลีบเล็ก (Muscle atrophy)
5.4.3.7 ระบบเมตาบอลิซึมและการเผาผลาญอาหาร
2)มีระดับโปรตีนในกระแสเลือดลดต่ำลง (Hypoproteinemia)
3)มีความผิดปกติด้านอัตมโนทัศน์และภาพลักษณ์
(Self concept and Body image)
1)การเผาผลาญอาหารลดลง
5.4.3.1 ระบบผิวหนังผิวหนังเสียหน้าที่ทำให้เกิดแผลกดทับ
(Bedsoreor Pressure sore or Decubitusulcer)
2) เซลล์ตายและลุกลามกลายเป็นแผล
3) การเสียดทาน (Friction) เมื่อผู้ปุวยถูกลากหรือเลื่อนตัว
ทำให้ผิวหนังขูดกับที่นอน
1)เกิดแรงกดทับ (Pressure)ระหว่างปุ่มกระดูกกับที่นอนที่รองรับในการนอนในท่าต่าง ๆ ทำให้เซลล์ขาดออกซิเจน
4)แรงดึงรั้ง (Shearing force)เกิดจากแรงกดทับ
และการเสียดทานที่เกิดขึ้นพร้อมกัน
5.4.1 การออกกำลังกาย
5.4.1.3 การออกกำลังกายชนิดที่ให้ผู้ป่วยทำ
ร่วมกับความช่วยเหลือของผู้อื่น (Active assistive exercise)
วิธีนี้ให้ผลดีกว่าวิธีที่ให้ผู้อื่นทำให้ผู้ป่วย
เพราะเป็นการกระตุ้นให้กล้ามเนื้อมีการทำงานร่วมด้วย
5.4.1.4 การออกกำลังกายโดยให้กล้ามเนื้อทำงาน
แต่ข้อไม่เคลื่อน (Isometric or Static exercise)
เพื่อเพิ่มความตึงตัวและแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ป้องกันกล้ามเนื้อลีบ โดยให้ผู้ป่วยเกร็งกล้ามเนื้อ เพื่อให้กล้ามเนื้อมีการหดรัดตัวชั่วระยะหนึ่ง ประมาณ 6วินาทีแล้วจึงผ่อนคลาย โดยที่ส่วนของร่างกายตำแหน่งที่กล้ามเนื้อหดรัดตัวไม่เคลื่อน
5.4.1.2 การออกกำลังกายโดยให้ผู้อื่นทำให้ผู้ป่วย
(Passive exercise)
เป็นการออกกำลังกายโดยการเคลื่อนไหวข้อต่างๆ ให้กับผู้ป่วยที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายด้วยตนเองได้หรือมีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว การออกกำลังกายชนิดนี้ให้ผลดี
5.4.1.5 การออกกำลังกายให้ผู้ป่วยออกแรงต้าน
กับแรงอื่น (Resistive exercise)
เป็นการใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ให้ผู้ป่วยออกแรงต้าน วิธีนี้ช่วยให้กล้ามเนื้อมีขนาดใหญ่ขึ้นมีความแข็งแรง และทำงานได้ดี จึงเป็นการกระตุ้นกล้ามเนื้อให้แข็งแรงเร็วขึ้น ในผู้ป่วยที่ต้องพักรักษาตัวอยู่บนเตียงนานๆ และมีภาวะกล้ามเนื้อลีบเกิดขึ้น
5.4.1.1 การออกกำลังกายชนิดให้ผู้ป่วยทำเอง
(Active or Isotonic Exercise)
ผู้ปุวยจะเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายด้วยตนเอง การออกกำลังกายชนิดนี้ให้ผลดีเพราะข้อต่างๆ ของร่างกายมีการเคลื่อนไหวและกล้ามเนื้อหดรัดตัว ทำให้กล้ามเนื้อมีความตึงตัวและแข็งแรง การไหลเวียนโลหิตดี
5.2การพยาบาลผู้ป่วยหลังผ่าตัด
5.2.1การประเมินสภาพผู้ป่วย
5.2.1.3 แบบแผนการขับถ่าย
ลักษณะการเปลี่ยนแปลงในแบบแผนการขับถ่ายปัจจุบัน
การทำงานของไต
ประวัติการเสียเลือด สารน้ำทางปัสสาวะ
การขับถ่ายที่ปกติก่อนและหลังผ่าตัด
5.2.1.4 แบบแผนการรับรู้
และการดูแลสุขภาพ
ประเมินความรู้ความเข้าใจ และการยอมรับในการผ่าตัดที่เกิดขึ้น
ความร่วมมือในการปฏิบัติการรักษาพยาบาล และการปฏิบัติตนเพื่อ
ส่งเสริม ฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายของตนเอง
5.2.1.2 แบบแผนอาหารและการเผาผลาญ
ประวัติการได้รับและสูญเสียสารน้ำและเกลือแร่
แบบแผนการปรับตัวและการเผชิญกับความเครียด ประเมินการรับรู้ และวิธีการเปลี่ยนแปลงความเครียด สังเกตพฤติกรรมตอบสนองต่อความเครียด
5.2.1.1 แบบแผนกิจกรรมและการออกกำลังกาย
1)ประวัติโรคหัวใจ โรคปอด เบาหวาน ความดันโลหิตสูงที่มีก่อนผ่าตัด
2)การเปลี่ยนแปลงสัญญาณชีพ ซึ่งบ่งบอกการทำงาน
ของหัวใจและหลอดเลือด
5.2.2 กิจกรรมการพยาบาลหลังผ่าตัด
5.2.2.4 การพยาบาลเพื่อส่งเสริมภาวะโภชนาการของผู้ป่วย
เพื่อลดอาการท้องอืด แน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียน
และส่งเสริมภาวะโภชนาการที่ดีหลังผ่าตัด
2)ดูแลให้ได้รับสารอาหารและพลังงานอย่างเพียงพอ
ในรายที่ไม่มีปัญหาในการรับประทานอาหาร
3)สังเกตและบันทึกอาการเปลี่ยนแปลงที่บ่งชี้ถึงการย่อย
และดูดซึมอาหารผิดปกติ
1)กระตุ้นให้ผู้ป่วยลุกออกจากเตียง หรือจัดท่านอนศีรษะสูง
เพื่อลดอาการแน่นท้อง ท้องอืด
5.2.2.5 การพยาบาลเพื่อส่งเสริมความสุขสบาย
และความปลอดภัยของผู้ป่วย
2)การดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลเกี่ยวกับความสะอาดของร่างกายทั่วไป โดยเฉพาะช่องปาก อวัยวะสืบพันธุ์ และระบบขับถ่าย
3)ดูแลความปลอดภัยในรายที่ยังไม่ฟื้นจากยาสลบ หรือระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง ควรยกราวกั้นเตียงผู้ป่วยขึ้นก่อนออกจากเตียงผู้ป่วย
1)ดูแลความสุขสบายทั่วไป
5.2.2.3 การพยาบาลเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดจากแผลผ่าตัด โดยพยาบาลประเมินความเจ็บปวดของผู้ป่วยโดยใช้ Pain scale ดูและให้ได้รับยาแก้ปวดตามแผนการรักษา ดูแลจัดท่าที่เหมาะสม
เพื่อลดการดึงรั้งของแผลผ่าตัด
5.2.2.6 การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการหายของแผล
2)สังเกตลักษณะแผลที่ผิดปกติ โดยเฉพาะแผลมีการติดเชื้อ
3)ทำความสะอาดแผลด้วยหลักปราศจากเชื้อ
เพื่อป้องกันการติดเชื้อของแผลซึ่งจะทำให้แผลหายช้า
1)สังเกตและประเมินปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการหายของแผล
4)สอนและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลแผล
และวิธีการส่งเสริมการหายของแผล
5.2.2.2 การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการทำงานของระบบหัวใจ
และไหลเวียน ปัญหาด้านระบบไหลเวียนที่พบบ่อยหลังผ่าตัด
4)ควรให้ผู้ป่วยนอนพักนิ่งๆ ในบริเวณที่มีเลือดออกมากๆ เพื่อลดการเคลื่อนไหวซึ่งจะมีผลทำให้เลือดออกมากขึ้น
5)เตรียมเครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นให้พร้อมในรายที่มีภาวะช็อก
3)ดูแลให้ได้รับสารน้ำ เลือด หรือพลาสมาทดแทนทางหลอดเลือดดำ ตามแผนการรักษา และติดตามอาการของผู้ปุวยอย่างต่อเนื่อง
6)สังเกต บันทึก และติดตามผลการตรวจคลื่นหัวใจโดยเฉพาะในรายที่มีการเต้นหัวใจผิดปกติ กล้ามเนื้อหัวใจตายหลังผ่าตัด
2)สังเกตลักษณะบาดแผลและปริมาณสิ่งคัดหลั่งต่างๆ ที่ออกจากร่างกายผู้ป่วย รวมถึงประเมินการสูญเสียสารน้ำที่เกิดขึ้นหากพบความผิดปกติให้รายงานแพทย์
7)ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนทั้งร่างกาย และจิตใจ จัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบสงบ อยู่เป็นเพื่อน คอยใจกำลังใจ เพื่อลดความวิตกกังวลที่เกิดขึ้น เป็นส่วนช่วยลดการใช้ออกซิเจนในร่างกายของผู้ป่วย
1)ตรวจวัดสัญญาณชีพทุก 15นาที 4ครั้ง ทุก 30นาที 4 ครั้ง
และทุก 1ชั่วโมงจนสัญญาณชีพสม่ำเสมอ
5.2.2.7 การให้คำแนะนำก่อนกลับบ้าน
สำหรับผู้ป่วยหลังผ่าตัด
3)การส่งเสริมภาวะโภชนาการของผู้ป่วย อาหารที่ควรรับประทานหรือควรงด การรับประทานยา การสังเกตอาการข้างเคียงของยาที่ได้รับ
4)การดูแลความสะอาดของร่างกาย
2)การเคลื่อนไหวหรือกิจกรรมต่างๆ
ที่เป็นข้อจำกัดหลังผ่าตัด
5)การมาตรวจตามแพทย์นัด
1)เรื่องการดูแลแผล การสังเกตอาการ
และอาการแสดงของการติดเชื้อ
5.2.2.1 การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการหายใจให้โล่ง และคงไว้ซึ่งการทำงานระบบหายใจ ภายหลังการผ่าตัดระยะแรก ภาวะพร่องออกซิเจนเป็นภาวะที่พบได้บ่อย
4)เปลี่ยนท่านอนหรือพลิกตะแคงตัวบ่อยๆ ในรายที่ไม่รู้สึกตัวควรพลิกตะแคงให้ทุก 1-2 ชั่วโมง และในรายที่รู้สึกตัวดีควรจัดให้นอนในท่าศีรษะสูง
5)กระตุ้นให้ทำกิจวัตรประจำวันด้วยตนเองเพื่อเพิ่มกิจกรรมการเคลื่อนไหวขณะอยู่บนเตียงและลดภาวะแทรกซ้อนจากการนอนท่าเดียวนานๆ
3)กระตุ้นให้ผู้ปุวยหายใจเข้าออกลึกๆ และไออย่างมีประสิทธิภาพตามวิธีที่สอนผู้ป่วยก่อนการผ่าตัดและติดตามการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยหลังผ่าตัด
6)ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา
2)สังเกตการหายใจของผู้ป่วย
7)สังเกตอาการบ่งชี้ภาวะแทรกซ้อนทางเดินหายใจ
อาการผิดปกติที่เกิดขึ้น สัญญาณชีพ รวมถึงค่าออกซิเจนในเลือด
1)การจัดท่านอน
8)ถ้าผู้ป่วยมีอาการผิดปกติให้รีบรายงานแพทย์
และให้ออกซิเจนตามแผนการรักษา
5.5 กระบวนการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วย
ก่อนและหลังผ่าตัด
5.5.2 ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
จะสอดคล้องกับข้อมูลสนับสนุนที่รวบรวม
ได้จากการประเมินสภาพผู้ป่วย
5.5.2.2 วิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและแผนการรักษา
5.5.2.1 วิตกกังวลเนื่องจากกลัวการผ่าตัด
5.5.3 การวางแผนการพยาบาล ให้การพยาบาล
และประเมินผลหลังให้การพยาบาล
เพื่อให้ผู้ป่วยมีความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ ไม่มีอันตรายและภาวะแทรกซ้อนในระหว่างการผ่าตัด พยาบาลจะต้องตระหนักถึงปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วย และเตรียมผู้ป่วยให้พร้อม
5.5.3.3 ร่วมกันหาทางแก้ไขสาเหตุของความวิตกกังวล
ร่วมกับผู้ป่วยและญาติ
5.5.3.4 ดูแลความสุขสบายทั่วไป
5.5.3.2 เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยระบายความรู้สึก
และค้นหาสาเหตุของความวิตกกังวล
5.5.3.5 จัดหมวดหมู่กิจกรรมการพยาบาล
เพื่อลดการรบกวนผู้ป่วยและให้ผู้ป่วยได้พัก
5.5.3.1 ประเมินระดับความวิตกกังวล
5.5.3.6 รายงานแพทย์เมื่อพบอาการผิดปกติ
5.5.1การประเมินสภาพผู้ป่วย
รวบรวมข้อมูลที่จำเป็นเพื่อนำไปสู่การวางแผนการพยาบาล เช่น การปรับตัวและความทนทานต่อความเครียด ความรู้สึกของผู้ป่วยเมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลความยินยอมที่จะเข้ารับการผ่าตัดความรู้เกี่ยวกับโรคและการผ่าตัด เป็นต้น