Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยในระยะก่อน-หลังผ่าตัดการเคลื่อนไหวและการออกกำลังกาย -…
การพยาบาลผู้ป่วยในระยะก่อน-หลังผ่าตัดการเคลื่อนไหวและการออกกำลังกาย
การพยาบาลผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
การประเมินผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
เป็นการประเมินความพร้อมทั้งด้านร่างกาย และสภาพจิตใจของผู้ปุวย เพื่อลดความเสี่ยงของการผ่าตัดและการให้ยาระงับความรู้สึก
การซักประวัติ โดยการสอบถามข้อมูลจากผู้ปุวยและญาติ รวมถึงการทบทวนแฟูมประวัติของผู้ป่วย
ประวัติโรคประจำตัว
ประวัติการผ่าตัด และการได้รับยาระงับความรู้สึกก่อนหน้านี้
ประวัติการแพ้ยาหรืออาหาร
การใช้ยา สารเสพติด การสูบบุหรี่ และดื่มสุรา
ประวัติของคนในครอบครัวหรือญาติที่มีปัญหาเกี่ยวกับการได้รับยาระงับความรู้สึก ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคทางพันธุกรรมที่มีผลต่อการได้รับยาระงับความรู้สึก
ประวัติเกี่ยวกับโรคของระบบต่างๆ ของร่างกาย
การตรวจร่างกาย เป็นการประเมินผู้ปุวยเพิ่มเติมจากการซักประวัติ
1)สัญญาณชีพ
2)การชั่งน้ าหนัก วัดส่วนสูง
3)การตรวจประเมินทางระบบหายใจ
4)การตรวจร่างกายตามระบบ โดยเน้นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโรคหรือบริเวณที่จะทำการผ่าตัด
การส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อให้ได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากการซักประวัติ และตรวจร่างกาย
สามารถใช้เป็น Screening tests
การเตรียมผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
การเตรียมผู้ปุวยก่อนวันที่ผ่าตัด
1) อาหารและน้าดื่ม
ควรงดอาหารผู้ปุวยก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 8 ชั่วโมง สาหรับ
อาหารเหลวใสให้ได้ 6 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด
ถ้าผู้ป่วยปากแห้ง ให้ผู้ป่วยบ้วนปากบ่อยๆ
ถ้าผู้ป่วยได้รับอาหารหรือน้ำเข้าไปในระยะเวลาที่ห้ามนี้ ต้องรีบรายงานให้แพทย์ทราบทันที
2) การขับถ่าย
ถ้าเป็นการผ่าตัดเล็ก หรือการผ่าตัดที่ไม่เกี่ยวข้องกับอวัยวะในช่อง
ท้อง แพทย์อาจให้สวนอุจจาระหรือไม่ก็ได้ หรือให้รับประทานยาระบายก่อนวันผ่าตัด
ถ้าเป็นการผ่าตัดใหญ่หรือผ่าตัดเปิดสู่ช่องท้องแพทย์จะให้มีการสวนอุจจาระก่อนผ่าตัด
สำหรับกระเพาะปัสสาวะควรว่าง เมื่อจะเข้าห้องผ่าตัดโดยให้ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะก่อนผ่าตัด หรือคาสายสวนปัสสาวะไว้ตามแผนการรักษา
3) การเตรียมผิวหนังก่อนผ่าตัด
ต้องมีการเตรียมความสะอาดผิวหนังบริเวณที่จะผ่าตัด เพื่อเป็นการ
ลดจานวนจุลินทรีย์
บริเวณที่จะผ่าตัดต้องเตรียมให้กว้างกว่าบริเวณที่จะผ่าตัดจริง กาจัดขน
และสิ่งสกปรกต่างๆ
ถ้าผิวหนังบริเวณที่จะผ่าตัดมีเม็ดผื่นหรือมีการติดเชื้อเกิดขึ้น แพทย์อาจต้องเลื่อนการผ่าตัดออกไปจนกระทั่งการติดเชื้อนั้นหายไป
การเตรียมผิวหนังก่อนผ่าตัด
1) บริเวณศีรษะ
โกนผมบริเวณศีรษะออก เช็ดใบหู และทาความสะอาดช่องหู ภายนอกด้วยไม้พันสาลีที่ปราศจากเชื้อ เตรียมบริเวณลงมาถึงแนวกระดูกไหปลาร้าทั้งหน้าและหลัง ไม่ต้องเตรียมบริเวณใบหน้า
2) บริเวณหูและปุมกระดูกมาสตอยด์
ให้ เตรียมบริเวณกว้างเป็นวงรอบออกไปจากหูประมาณ 1 – 2 นิ้ว โกนขนอ่อน ที่ใบหูด้วย
3) บริเวณคอ เช่น ผ่าตัดต่อมไทรอยด์ เป็นต้น
เตรียมบริเวณจากใต้คางลงมาถึงระดับราวหัวนม และจากหัวไหล่ข้างขวาถึงข้างซ้าย
4) บริเวณทรวงอก เช่น ผ่าตัดเต้านม เป็นต้น เตรียมด้านหน้าจากคอตอนบน
จนถึงระดับสะดือจากแนวยาวของหัวนมข้างที่ไม่ได้ทาผ่าตัดไปจนถึงกึ่งกลางหลังของข้างที่ทา และขนอ่อนของต้นแขนจนถึงต่ากว่าข้อศอก 1 นิ้ว
5) บริเวณช่องท้อง เช่น ผ่าตัดท่อน้าดี ถุงน้าดี กระเพาะอาหาร ลาไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ผ่าตัดคลอดเด็กทางหน้าท้อง (C/S) เป็นต้น
เตรียมตั้งแต่ระดับรักแร้ลงมาถึงฝีเย็บ
6) บริเวณท้องต่ากว่าสะดือ เช่น ไส้ติ่ง ไส้เลื่อน เป็นต้น
เตรียมบริเวณตั้งแต่ระดับราวนมลงมาถึงต้นขา รวมทั้งบริเวณฝีเย็บด้วย
7) ไต
เตรียมด้านหน้าจากบริเวณรักแร้จนถึงบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์และต้นขา ทั้ง 2 ข้าง ด้านข้างจากรักแร้ถึงตะโพก ด้านหลังจากแนวกึ่งกลางลาตัวด้านหน้าอ้อมไปจนถึงกระดูกสันหลังซีกของ ไตข้างที่จะทาการผ่าตัดนั้น
8) บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์และทวารหนัก เช่น
ทวารหนัก ช่องคลอด ต่อมลูกหมาก เป็นต้น
เตรียมตั้งแต่ระดับสะดือ ลงมาถึงฝีเย็บ และด้านในของต้นขาและก้น
9) แขน ข้อศอก และมือ
เตรียมบริเวณแขนข้างที่จะทาผ่าตัดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง จากหัวไหล่ถึงปลายนิ้วมือ รวมทั้งโกนขนรักแร้ ตัดเล็บให้สั้นและทาความสะอาดด้วย
10) ตะโพกและต้นขา
เตรียมบริเวณจากระดับเอวลงมาถึงระดับต่ากว่า หัวเข่าข้างที่จะทา 6 นิ้ว ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง ด้านข้าง รวมทั้งเตรียมบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกด้วย
11) การทำ Skin graft
ทำความสะอาดผิวหนังทั้งบริเวณ Donor site และ
Recipient site ให้กว้าง
12) หัวเข่า
เตรียมจากขาหนีบถึงข้อเท้าข้างที่จะทาผ่าตัดโดยรอบ
13) ปลายขา
เตรียมจากเหนือหัวเข่า ประมาณ 8 นิ้ว ลงมาถึงเท้าข้างที่จะผ่าตัด
ตัดเล็บเท้าให้สั้น และทาความสะอาดเล็บด้วย
14) เท้า
เตรียมจากใต้หัวเข่าลงไปถึงเท้าข้างที่จะทาผ่าตัด ตัดเล็บเท้าให้สั้นและ
ทาความสะอาดเล็บด้วย
การเตรียมผู้ปุวยซึ่งระยะเวลาก่อนผ่าตัด
1) ด้านร่างกาย
ให้คำแนะนำและข้อมูลต่างๆที่ผู้ป่วยควรทราบเพื่อลดความวิตกกังวล
การพักผ่อนและการออกกำลังกายต้องได้รับการพักผ่อนที่ดีและมีการออกกำลังกายที่พอเหมาะ
ภาวะสารน้ำและอีเล็คโทรลัยต์ในร่างกายต้องประเมินสภาวะความสมดุลของสารน้ำและอีเล็คโทรลัยต์ในร่างกาย
ประเมินความสมบูรณ์ของร่างกายในการได้รับอาหารที่พอเหมาะ การได้รับอาหารที่ดีมีประโยชน์ที่เพียงพอและถูกส่วน
ระบบทางเดินปัสสาวะ ต้องประเมินสภาวะของไต
ระบบทางเดินหายใจ ต้องประเมินสภาวะของปอดและหลอดลมดูการทำงานของระบบทางเดินหายใจ
ระบบหัวใจและหลอดเลือดต้องประเมินความสามารถในการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด
ผู้ปุวยควรได้รับการเตรียมตัวก่อนผ่าตัดให้พร้อมที่สุดทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
ระยะเวลาตั้งแต่ผู้ปุวยเริ่มตระหนักว่ามีบางสิ่งผิดปกติและแพทย์วินิจฉัยว่าต้องผ่าตัด
2)ด้านจิตใจ
3) การให้คำแนะนำการปฏิบัติหลังผ่าตัด
ช่วยป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดที่อาจเกิดขึ้นได้
การฝึกทักษะการปฏิบัติตัวในระยะหลังผ่าตัดเพื่อทำให้การพักฟื้นหลังผ่าตัดเร็วขึ้น
(1)Early ambulation
ยกเว้นมีข้อห้ามหรือการผ่าตัดบางอย่างที่ต้องให้ผู้ปุวยAbsolute bed restก่อนลุกจากเตียงควรมีการเตรียมพร้อมกล้ามเนื้อขา เพื่อช่วยในการลุกเดิน ได้แก่ SLRE QSE ROM
(2)Quadriceps Setting Exercise (QSE)
เป็นการออกกำลังกายกล้ามเนื้อต้นขา
(3)Straight Leg Raising Exercise (SLRE)
เป็นการออกกำลังขา ข้อสะโพก และกล้ามเนื้อต้นขาแบบยกขาขึ้นตรงๆ
(4)Range of Motion (ROM)
เป็นการออกกำลังข้อโดยมีการเคลื่อนไหวในทุกทิศทางปกติของข้อต่าง ๆ
(5)Deep-breathing exercises
ฝึกวันละ2 ครั้งก่อนผ่าตัด
(6)Effective cough
พื่อช่วยทำให้แผลอยู่นิ่งเป็นการลดอาการเจ็บแผลขณะที่ไอ
(7)Abdominal breathing
เพื่อให้ทรวงอกเคลื่อนไหวน้อยลงในระยะแรกหลังผ่าตัด ทำ8-10 ครั้ง ทุก 2 ชั่วโมง
(8) Turning and ambulation
ควรทำทุก 2 ช.ม.
พลิกตัวไปทางขวาให้ขยับตัวไปทางซ้าย ใช้มือซ้ายจับราวกั้นเตียงซ้าย แล้วพลิกมาทางขวา
การลุกนั่ง ให้ผู้ช่วยเหลือไขหัว เตียงขึ้น ประมาณ 45-60 องศา ผู้ป่วยใช้มือที่ไม่มีน้ำเกลือ ยันที่นอนและพยุงตัวขึ้น ลุกนั่งด้วยตนเองให้ ตะแคงข้างที่ไม่มีน้าเกลือและใช้แขนข้างนั้น ยันที่นอนและพยุงตัวขึ้น ควรทำทันทีที่อาการดีขึ้น
(9) Extremity exercise
ให้ผู้ป่วยนอนในท่าหัวสูงเล็กน้อยหรือนอนในท่าที่สบาย ทำการออกกาลังแขนหรือขาทีละข้างโดยเฉพาะการเหยียดออกและงอเข้าของทุกข้อ
ยกเว้น ในรายที่มีข้อจากัดในการเคลื่อนไหวหลังผ่าตัด
(10) Pain management
หลังผ่าตัดผู้ปุวยจะได้รับการระงับความเจ็บปวด
ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง
การได้รับยาแก้ปวดทางหลอดเลือดดา พยาบาลควรสอนที่ช่วยในการระงับความเจ็บปวดควบคู่กันไป
การใช้หมอนหรือฝ่ามือทั้งสองข้างในการพยุงแผลขณะไอ เพื่อลดการ
กระทบกระเทือนของแผล
การจัดท่านอนศีรษะสูง หรือการยกเท้าสูง (ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ผ่าตัด) เพื่อลดบวม การเบี่ยงเบนความสนใจโดยการฝึกหายใจ
4) การดูแลสภาพร่างกายทั่วไป
1) ในคืนก่อนวันผ่าตัด
ให้ผู้ปุวยทาความสะอาดปาก ฟัน ถ้ามีฟันปลอมให้ถอดฟันปลอมออก เพราะขณะที่ดมยากล้ามเนื้อคลายตัว ฟันปลอมอาจหลุดและตกลงไปในหลอดลมได้
ของปลอม ของมีค่าต่างๆ ถอดเก็บไว้ให้ญาติดูแลรักษา
สื่อไฟฟูาต่างๆ เช่น กิ๊บที่ทาด้วยโลหะ ที่คาดผมที่ทาด้วยโลหะ เป็นต้น ให้
ถอดออก เนื่องจากสื่อไฟฟูาต่างๆ จะทาให้เกิดไฟฟูาสปาร์คขึ้นขณะทาการผ่าตัด
ไม่ให้ผู้ปุวยแต่งหน้า ทาปาก ทาเล็บ เพราะบริเวณเหล่านี้จะเป็นที่สังเกต
อาการเขียวคล้า ซึ่งเป็นอาการแสดงแรกเริ่มของการขาดออกซิเจน
2) ในเช้าวันที่จะผ่าตัด
ให้ผู้ปุวยทาความสะอาดร่างกาย เปลี่ยนชุดสาหรับใส่เพื่อผ่าตัด และหวีผม
เก็บผมให้เรียบร้อย แล้วนอนพักอยู่บนเตียงตลอดเวลาจนกว่าจะไปห้องผ่าตัด
สังเกตภาวะทางอารมณ์ของผู้ปุวย
สังเกตสภาพร่างกายทั่วไป
3) การให้ยาแก่ผู้ปุวยก่อนผ่าตัด
แพทย์มักจะให้ยาในคืนวันก่อนผ่าตัดเพื่อช่วยให้
ผู้ปุวยคลายความวิตกกังวลและนอนหลับพักผ่อนได้ดี
ก่อนผ่าตัดประมาณ 45-90 นาที เพื่อลดรีเฟล็กซ์ที่ไวต่อการกระตุ้น ซึ่งเกิดได้จากความเจ็บปวด ความกลัว
4) เตรียมเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ที่พิเศษ
เครื่องมือผ่าหลอดเลือด
สายใส่จมูกถึงกระเพาะอาหาร ชุดให้
สารน้ำทางหลอดเลือดดำ
เครื่องดูดของเหลวจากกระเพาะอาหาร
เครื่องดูดเสมหะ
5)แผ่นบันทึกรายงานต่างๆ ต้องบันทึกให้ครบ และรวบรวมให้เรียบร้อย
6)การส่งผู้ปุวยไปห้องผ่าตัด ให้ผู้ปุวยนอนบนรถนอน (Stretcher) ห่มผ้าให้เรียบร้อย ยกไม้กั้นเตียงขึ้น เจ้าหน้าที่ที่เข็นรถนอนต้องเข็นรถด้วยความนุ่มนวล
7) การดูแลครอบครัวผู้ป่วย พยาบาลต้องแจ้งให้ครอบครัวทราบถึงเวลาที่ผู้ป่วยจะ
เข้าห้องผ่าตัด ควรให้ญาติมาดูแล ให้กาลังผู้ปุวย คอยรับผู้ปุวยเมื่อออกจากห้องผ่าตัด พยาบาลควรพูด
ปลอบโยนญาติในกรณีที่ญาติมีความวิตกกังวล
8)การเตรียมผ่าตัดผู้ปุวยฉุกเฉิน ในรายที่ต้องผ่าตัดฉุกเฉินจากสาเหตุใดก็ตาม
(1) เจาะเลือดเพื่อส่งตรวจ CBC และ Blood group ทันที ให้สารน้าทางหลอด เลือดดา ใส่สายยางทางจมูกเข้าไปในกระเพาะอาหาร ตามแผนการรักษา
(2) ให้ผู้ปุวยถ่ายปัสสาวะให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทาได้ เพื่อตรวจปัสสาวะ และให้กระเพาะปัสสาวะว่าง ถ้าผู้ปุวยไม่สามารถถ่ายปัสสาวะได้ แพทย์อาจให้สวนปัสสาวะ
(3) ทาความสะอาดและเตรียมผิวหนังบริเวณที่จะผ่าตัดให้เรียบร้อย ถอดฟันปลอม อวัยวะปลอมต่างๆ ของมีค่า เครื่องประดับ สื่อไฟฟูาออก ล้างสีเล็บออกให้หมด
(4) ให้ผู้ปุวยหรือญาติที่มีสิทธิทางกฎหมายเซ็นใบยินยอมผ่าตัด
(5) ถ้าผู้ปุวยไม่มีญาติมาด้วย พยาบาลต้องถามหรือหาที่อยู่ของครอบครัว เบอร์โทรศัพท์ของ ครอบครัว และรีบแจ้งให้ครอบครัวทราบโดยเร็วที่สุด
(6) วัดและบันทึกอาการ สัญญาณชีพ รวมทั้งการให้ยาก่อนผ่าตัด ลงในใบโทรศัพท์ของ ครอบครัว และรีบแจ้งให้ครอบครัวทราบโดยเร็วที่สุด
(7) สังเกตสภาพร่างกายทั่วไป อาการ และ สัญญาณชีพ ถ้าผิดปกติให้รีบรายงานแพทย์ทราบ
การพยาบาลผู้ป่วยหลังผ่าตัด
การประเมินสภาพผู้ป่วย
แบบแผนกิจกรรมและการออกกาลังกาย
1) ประวัติโรคหัวใจ โรคปอด เบาหวาน ความดันโลหิตสูงที่มีก่อนผ่าตัด
2) การเปลี่ยนแปลงสัญญาณชีพ ซึ่งบ่งบอกการทางานของหัวใจแลหลอดเลือด
แบบแผนอาหารและการเผาผลาญ
ประวัติการได้รับและสูญเสียสารน้าและเกลือแร่ ตั้งแต่ก่อนผ่าตัดจนถึงหลังผ่าตัด
ชนิดและปริมาณของสารน้าที่ได้รับ
และออกจากร่างกาย
ภาวะโภชนาการ
แบบแผนการขับถ่าย
ประวัติการเสียเลือด สารน้าทางปัสสาวะ การขับถ่ายที่ปกติก่อนและหลังผ่าตัด
ลักษณะการเปลี่ยนแปลงในแบบแผนการขับถ่ายปัจจุบัน
การทางานของไต
แบบแผนการรับรู้และการดูแลสุขภาพ
ประเมินความรู้ความเข้าใจ
การยอมรับในการผ่าตัดที่เกิดขึ้น
ความร่วมมือในการปฏิบัติการรักษาพยาบาล
แบบแผนการปรับตัวและการเผชิญกับความเครียด
ประเมินการรับรู้ และวิธีการเปลี่ยนแปลงความเครียด สังเกตพฤติกรรมตอบสนองต่อความเครียด
กิจกรรมการพยาบาลหลังผ่าตัด
การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการหายใจให้โล่ง
การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการทางานของระบบหัวใจและไหลเวียน ปัญหาด้านระบบไหลเวียนที่พบบ่อยหลังผ่าตัด
การพยาบาลเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดจากแผลผ่าตัด โดยพยาบาลประเมินความเจ็บปวดของผู้ปุวยโดยใช้ Pain scale
การพยาบาลเพื่อส่งเสริมภาวะโภชนาการของผู้ปุวย เพื่อลดอาการท้องอืด แน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียน และส่งเสริมภาวะโภชนาการที่ดีหลังผ่าตัด
การพยาบาลเพื่อส่งเสริมความสุขสบายและความปลอดภัยของผู้ป่วย
1) ดูแลความสุขสบายทั่วไป
2) การดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลเกี่ยวกับความสะอาดของร่างกายทั่วไป โดยเฉพาะช่องปาก อวัยวะสืบพันธุ์ และระบบขับถ่าย
3) ดูแลความปลอดภัยในรายที่ยังไม่ฟื้นจากยาสลบ หรือระดับความรู้สึกตัว เปลี่ยนแปลง ควรยกราวกั้นเตียงผู้ป่วยขึ้นก่อนออกจากเตียงผู้ป่วย
การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการหายของแผล
1) เรื่องการดูแลแผล การสังเกตอาการ และอาการแสดงของการติดเชื้อ
2) การเคลื่อนไหวหรือกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นข้อจากัดหลังผ่าตัด
3) การส่งเสริมภาวะโภชนาการของผู้ปุวย อาหารที่ควรรับประทานหรือควรงด การรับประทานยา การสังเกตอาการข้างเคียงของยาที่ได้รับ
4) การดูแลความสะอาดของร่างกาย
5) การมาตรวจตามแพทย์นัด
การให้คาแนะนาก่อนกลับบ้านสาหรับผู้ปุวยหลังผ่าตัด
การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วย
การช่วยเหลือผู้ป่วยเคลื่อนไหวบนเตียง
การประเมินผู้ปุวย พยาบาลจะให้การช่วยเหลือผู้ปุวยนั้นควรทราบข้อมูลต่างๆของผู้ปุวย
4) ปัญหาอื่นๆ ที่พบในผู้ปุวย
3) ความยากลาบากและไม่สุขสบายในขณะเปลี่ยนท่าหรือเมื่ออยู่ในท่าที่จัดให้
2) ท่าที่เหมาะสม และระยะเวลาที่ผู้ปุวยจะคงอยู่ในท่าที่เปลี่ยนให้ใหม่
1) ความสามารถของผู้ปุวยในการช่วยเหลือตนเอง
ปฏิบัติการพยาบาลในการให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยบนเตียง
การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
หลักการเคลื่อนย้ายผู้ปุวย
1) ควรจัดท่าผู้ปุวยให้นอนหงายราบอยู่ในท่าที่สบาย
2) หันหน้าเข้าหาผู้ป่วยและไปในทิศทางที่จะเคลื่อนย้าย
3) ควรยืนในท่าที่ถูกต้องและมั่นคง
4) ยืนแยกเท้าทั้งข้างห่างกันพอสมควร และเฉียงปลายเท้าไปตามทิศทางที่ต้องการเคลื่อนย้าย และอยู่ในสมดุลเมื่อต้องการเคลื่อนไปทางหัวเตียงหรือปลายเตียง
5) หลังตรง ปูองกันการปวดหลัง
6) ย่อเข่าและสะโพก
7) หาวิธีที่เหมาะสมเพื่อผ่อนแรงในการยกหรือเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
8) ผู้ป่วยควรอยู่ใกล้พยาบาลมากที่สุด
9) ยกตัวผู้ป่วยให้พ้นจากที่นอนเล็กน้อยเพื่อลดแรงเสียดทาน
10) ใช้ผ้าขวางเตียงช่วยในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแทนการเลื่อนผู้ป่วย
11) ให้สัญญาณเพื่อความพร้อมเพรียง
12) ผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ควรหาผู้ช่วยเหลือตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปและให้สัญญาณขณะยก หรือใช้อุปกรณ์ที่ช่วยผ่อนแรงมาใช้เมื่อจาเป็น
การประเมินผู้ป่วยก่อนการเคลื่อนย้าย
1) ความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง
2) ท่าที่เป็นข้อห้ามของผู้ป่วย
3) ส่วนที่อ่อนแรงหรือพิการ
4) ความมั่นคงในการคงท่าของผู้ป่วย
5) ส่วนที่จาเป็นต้องให้อยู่นิ่งๆ
6) ผู้ปุวยอ่อนเพลียมากน้อยแค่ไหน
7) ความต้องการการเคลื่อนย้ายเปลี่ยนท่าและความสุขสบายของผู้ป่วย
วิธีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
1) แจ้งให้ผู้ปุวยทราบและบอกวิธีการให้ความร่วมมือถ้าทาได้
2) นาหมอนหนุนศีรษะของผู้ปุวยออก วางหมอนที่พนักหัวเตียง อุปกรณ์ที่ไม่จาเป็นเอาออกจากเตียง
3) พยาบาลยืนในท่าที่ถูกต้องมั่นคงและใช้หลักการของกลไกการเคลื่อนไหวร่างกาย
4) พยุงผู้ปุวยด้วยความนุ่มนวลและมั่นคง โดยใช้วิธีสอดมือเข้าไปในตาแหน่งของร่างกายที่จะยกเพื่อรองรับน้าหนักร่างกายส่วนนั้น
การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดิน
การออกกาลังกายเพื่อเตรียมผู้ป่วยเดิน
เป็นสิ่งจาเป็นเพื่อเตรียมความพร้อมสาหรับผู้ป่วย
ให้กล้ามเนื้อมีความตึงตัว แข็งแรง และข้อเคลื่อนที่ได้ตามปกติ
การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดิน
การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดินโดยพยาบาล 1 คน
1) กรณีใช้เข็มขัดหรือผ้าคาดเอว เมื่อช่วยผู้ปุวยลงจากเตียงแล้ว พยาบาลยืนเยื้องด้านหลังผู้ปุวย ใช้มือ 2 ข้างยืดเข็มขัดหรือผ้าคาดเอวเพื่อพยุงผู้ปุวยขณะผู้ปุวยเดิน วิธีนี้จะช่วยคงจุดศูนย์ถ่วงหรือใช้มือหนึ่งจับเข็มขัดบริเวณกึ่งกลางเอว อีกมือหนึ่งจับบริเวณต้นแขนของผู้ปุวยก้าวเดินช้าๆ พร้อมกัน
2) กรณีไม่ใช้เข็มขัด ให้ใช้มือด้านใกล้ตัวจับที่ต้นแขนของผู้ป่วย มือไกลตัวจับที่ปลายแขนของผู้ป่วย ถ้าผู้ป่วยเป็นลมให้สอดแขนเข้าใต้รักแร้รับน้าหนักตัวผู้ป่วยและแยกเท้ากว้าง ดึงตัวผู้ป่วยขึ้นมาข้างตัวพยาบาลโดยใช้ สะโพกรับน้าหนักตัวผู้ป่วย และค่อยๆ วางตัวผู้ป่วยลงบนพื้น
การช่วยเหลือผู้ปุวยหัดเดินโดยพยาบาล 2 คน
ถ้าผู้ป่วยเป็นลมพยาบาลทั้ง 2 คนเลื่อนมือข้างที่พยุงใต้รักแร้ไปข้างหน้าให้ลำแขนสอดอยู่ใต้รักแร้ น้ำหนักตัวผู้ป่วยไว้พร้อมกับใช้สะโพกยันผู้ป่วยไว้แล้วค่อย ๆ พยุงผู้ป่วยลงบนพื้น
ให้พยาบาลยืนข้างผู้ป่วยคนละด้าน มือพยาบาลข้างใกล้ตัวผู้ป่วยสอดใต้รักแร้ผู้ป่วย อีกข้างหนึ่งจับปลายแขนหรือมือผู้ป่วยข้างเดิมผู้ป่วยและพยาบาลทั้ง 2 คนเดินพร้อมกัน
การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดินด้วยอุปกรณ์ช่วยเดิน
ชนิดของอุปกรณ์ช่วยเดิน
Parallel bar
เป็นเครื่องช่วยเดินที่ให้ความมั่นคงที่สุด เหมาะสาหรับการฝึกเดินครั้งแรกของผู้ป่วยและปรับความสูงของราวตามความสูงของผู้ป่วย
Walker หรือ Pick – up frames
เหมาะสาหรับผู้ป่วยที่มีอายุมากและการทรงตัวไม่ดีนัก การเดินด้วย Walker ค่อนข้างมั่นคงกว่าการเดินด้วย Crutches และ Cane
Cane
เป็นการเดินด้วยไม้เท้าอันเดียว ผู้ป่วยต้องมีมั่นคงในการเดิน มักใช้กับผู้สูงอายุ หรือในผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีก
Crutches
ใช้ได้กับผู้ป่วยที่ค่อนข้างแข็งแรง หรือมีการทรงตัวดี
ประโยชน์ของอุปกรณ์ช่วยเดิน
3) เพิ่มการพยุงตัว (Support) เพื่อให้สามารถทรงตัวได้ (Balance)
2) ช่วยแบ่งเบาหรือรับน้าหนักแทนขา 1 หรือ 2 ข้าง เมื่อมีข้อห้ามหรือมี
1) ช่วยแบ่งเบาหรือรับน้าหนักแทนขา 1 หรือ 2 ข้าง เมื่อมีข้อห้ามในการรับน้าหนักเต็มทั้งขา (Partial weight bearing) ข้างนั้น
การเตรียมผู้ป่วยก่อนการฝึกใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน
1) การฝึกความแข็งแรง (Strength) ความทนทาน (Endurance) และการประสานสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อ (Co – ordination) ที่ใช้ในการเดินด้วยอุปกรณ์ช่วยเดิน
2) การฝึกในท่าตั้งตรง (Upright) บนเตียงหรือเบาะ เช่น การฝึกการทรงตัวในท่านั่ง
3) การฝึกในราวคู่ขนาน เช่น ฝึกยืน ฝึกทรงตัว ฝึกท่าทางการเดิน เป็นต้น
การลงน้ำหนักที่ขาเวลาเดิน (Weight Bearing Status) ผู้ป่วยจะต้องลง
น้ำหนักตามแผนการรักษา
รูปแบบการเดิน (Gait pattern) การฝึกเดินไม่ว่าจะใช้อุปกรณ์ช่วยเดินแบบใด จะใช้รูปแบบการเดินแบบใดแบบหนึ่ง
Four – point gait เป็นรูปแบบการเดินที่มีความมั่นคงมากที่สุด
Two – point gait เป็นรูปแบบการเดินที่มีความก้าวหน้าขึ้นจาก Four –
point gait
Three – point gait เป็นรูปแบบการเดินที่ใช้บ่อยในผู้ปุวยที่มีพยาธิสภาพ
ของขา 1 ข้าง
Swing – to gait วิธีนี้เหมาะที่สุดสาหรับผู้ปุวยที่มีการจากัดในการใช้ขาทั้ง
2 ข้าง
Swing – through gait เป็นรูปแบบการเดินที่ก้าวหน้ามาจาก Swing –
to gait
การออกกาลังกายและการเคลื่อนไหวร่างกาย
การออกกาลังกาย
การเคลื่อนไหวร่างกายที่มีการวางแผน หรือมีการเตรียมตัว เป็น
กิจกรรมที่มีการกระทาซ้าๆ มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มหรือคงไว้ซึ่งสมรรถภาพทางร่างกาย
การออกกาลังกายชนิดให้ผู้ป่วยทำเอง
ผู้ปุวยจะเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายด้วยตนเอง
การออกกาลังกายโดยให้ผู้อื่นทำให้ผู้ป่วย
เป็นการออกกาลังกายโดยการเคลื่อนไหวข้อต่างๆ ให้กับผู้ปุวยที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายด้วยตนเองได้หรือมีข้อจากัดในการเคลื่อนไหว
การออกกาลังกายชนิดที่ให้ผู้ปุวยทาร่วมกับความช่วยเหลือของผู้อื่น
วิธีนี้ให้ผลดีกว่าวิธีที่ให้ผู้อื่นทำให้ผู้ป่วย เพราะเป็นการกระตุ้นให้กล้ามเนื้อมีการทางานร่วมด้วย
การออกกาลังกายโดยให้กล้ามเนื้อทำงานแต่ข้อไม่เคลื่อน
เพื่อเพิ่มความตึงตัวและแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ป้องกันกล้ามเนื้อลีบ
การออกกาลังกายให้ผู้ปุวยออกแรงต้านกับแรงอื่น
เป็นการใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ให้ผู้ป่วยออกแรงต้าน
การเคลื่อนไหวร่างกาย
ส่งเสริมและสนับสนุนการทางานของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ
ปูองกันไม่ให้เกิดอันตราย หรือมีความพิการของกระดูก และกล้ามเนื้อ
ลดการเมื่อยล้า หรือการใช้พลังงานมากเกินไป
ผลกระทบจากการไม่เคลื่อนไหวร่างกาย
ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
กระดูกผุ เปราะบาง
การประสานงานของกล้ามเนื้อแขนขาลดลงหรือไม่สัมพันธ์กัน
กล้ามเนื้ออ่อนแรง ลีบเล็ก
อาการปวดหลัง
ระบบผิวหนัง ผิวหนังเสียหน้าที่ทาให้เกิดแผลกดทับ
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
หัวใจทำงานมากขึ้น
มีการคั่งของเลือดในหลอดเลือดดาที่ขา
เกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ
ความดันต่ำขณะเปลี่ยนท่า
ระบบทางเดินหายใจ
ปอดขยายตัวลดลง
มีการคั่งของเสมหะมากขึ้น
ระบบทางเดินอาหาร
มีผลต่อการรับประทานอาหาร ทำให้เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย กังวลใจจาก
การนอนเฉยๆ และโรคที่ เป็นอยู่ความต้องการพลังงานลดลง เป็นสาเหตุให้เกิดการขาดสารอาหาร
มีผลต่อการขับถ่าย ทาให้ท้องผูก
ระบบทางเดินปัสสาวะ
การถ่ายปัสสาวะมากกว่าปกติในระยะแรกๆ
มีการคั่งของปัสสาวะในไตและกระเพาะปัสสาวะ
เกิดนิ่วในไตและกระเพาะปัสสาวะ
ระบบเมตาบอลิซึมและการเผาผลาญอาหาร
การเผาผลาญอาหารลดลง
มีระดับโปรตีนในกระแสเลือดลดต่าลง
มีความผิดปกติด้านอัตมโนทัศน์และภาพลักษณ์