Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีแผล. ❤️🌈👏🏻💥🏥, จัดทำโดย …
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีแผล. ❤️🌈👏🏻💥🏥
1. ชนิดของแผลและปัจจัยการส่งเสริมการหายของแผล
แบ่งได้โดย
แบ่งตามลำดับความสะอาด
แบ่งตามระยะเวลาการเกิด
แบ่งตามลักษณะ
แบ่งตามการรักษา
แบ่งตำมสาเหตุ
ชนิดของแผลแบ่งตามสาเหตุ
แผลที่เกิดจากการผ่าตัด
เรียก surgical wound , sterile wound หรือ
incision wound
แผลที่เกิดจากถูกของมีคมตัด
เรียก cut wound เช่น แผลจำกโดนมีดฟัน หรือ
ถูกเศษแก้วบำด
แผลที่เกิดจำกถูกของมีคมทิ่มแทง
เรียก stab wound หรือ peneturating
wound
เช่น แผลถูกแทงด้วยมีด หรือแผลจากการเหยียบตะปู
แผลที่เกิดจากโดนระเบิด
เรียก explosive wound
แผลที่เกิดจากถูกบดขยี้
เรียก crush wound
เช่น แผลถูกเครื่องบดนิ้วมือ
แผลที่เกิดจากการกระแทกด้วยวัตถุลักษณะมน
เรียก traumatic wound
เช่น
แผลของอวัยวะภายในช่องท้องถูกกระแทกจากพวงมาลัยรถยนต์ขณะเกิดอุบัติเหต
แผลที่เกิดจากถูกยิง
เรียก gunshot wound
แผลที่มีขอบแผลขาดกะรุ่งกะริ่ง
เรียก lacerated wound
แผลที่เกิดจากการถูไถลถลอก
เรียก abrasion wound
แผลที่เกิดจากการติดเชื้อมีหนอง
เรียก infected wound
แผลที่เกิดจากการตัดอวัยวะบางส่วน
เรียก stump wound
เช่น แผลตัดเหนือ
เข่า (Above Knee : AK Amputation)
แผลที่เกิดจากการกดทับ
เรียก pressure sore, bedsore, decubitus ulcer,
pressure injury
แผลที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทำงกายภาพและเคมี
13.3 จากสารเคมีที่เป็นกรด (acid burn)
13.4 จากถูกความเย็นจัด (frost bite)
13.2 จากสารเคมีที่เป็นด่าง (alkaline burn)
13.5 จากไฟฟ้าช็อต (electrical burn)
13.1 จากไฟไหม้น้ำร้อนลวก (burn and scald)
13.6 จากรังสี(radiation burn)
แผลที่เกิดจากการปลูกผิวหนัง (skin graft)
หมายถึง แผลที่เกิดจากการปลูก
ผิวหนังซึ่งจะทำให้เกิดแผล 2 ตำแหน่ง
ชนิดของแผลแบ่งตามลักษณะพื้นผิว
แผลลักษณะแห้ง (dry wound)
หมายถึง ลักษณะของแผลมีขอบแผลติดกัน
อาจเกิดการติดกันเอง หรือจากการเย็บด้วยวัสดุเย็บแผลไม่มีสารคัดหลั่ง
เช่น แผลผ่าตัดเย็บปิด
แผลลักษณะเปียกชุ่ม (wet wound)
หมายถึง ลักษณะของขอบแผลไม่
ติดกัน หรือขอบแผลกว้าง มีสารคัดหลั่ง
เช่น แผลผ่าตัดยังไม่เย็บปิด (delayed suture)
ชนิดของแผลแบ่งตามลำดับความสะอาด
คือ
ระบบการจัดหมวดหมู่แยกประเภทของแผลผ่าตัดได้รับการพัฒนาเพื่อช่วยให้แพทย์
ระบุและอธิบายระดับของการปนเปื้อนในแผลขณะผ่าตัด
วิทยาลัยศัลยแพทย์อเมริกัน (American
College of Surgeons) ได้ริเริ่มเป็นครั้งแรก และในปี ค.ศ. 1985
ศูนย์โรคการควบคุมและการ
ป้องกัน (Centers for Disease Control and Prevention) ได้ปรับปรุงพัฒนา
แบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท
Class II: Clean-contaminated ประเภทที่ 2 แผลสะอาดกึ่งปนเปื้อน
ลักษณะแผลที่มีการผ่าตัดผ่านระบบทางเดินหายใจ ระบบทำงเดินอาหาร ระบบทางเดินปัสสาวะ เป็นการผ่าตัดที่เกี่ยวข้องกับท่อน้ำดี อวัยวะสืบพันธุ์ และ orapharynx
ควบคุมการเกิด
ปนเปื้อนได้ขณะทำผ่าตัด
เช่น
Tracheostomy
Tonsillectomy
Gastrectomy
Gastrectomy
Cholecystectomy
Appendectomy (normal appendix)
A-P repair
Circumcision,
TAH (Total abdominal hysterectomy)
อัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อ 5-15 %
Class III: Contaminated ประเภทที่ 3 แผลปนเปื้อน
ลักษณะแผลเปิด (open wound) แผลสด (fresh wound)
แผลจากการได้รับอุบัติเหตุแผลที่เกิด
การปนเปื้อนสารคัดหลั่งจากระบบทำงเดินอาหาร
เป็นแผลที่มีการอักเสบเฉียบพลัน
เช่น
แผลถูกแทง
(stabbed wound)
แผลถูกยิง (gunshot wound)
อัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ≥15%
Class I: Clean wound ประเภทที่ 1 แผลผ่าตัดสะอาด
ลักษณะเป็นแผลที่ไม่มีการติดเชื้อ
ไม่มีการอักเสบมาก่อน
การผ่าตัดไม่ผ่านระบบทางเดิน
หายใจ ระบบทางเดินอาหาร
อวัยวะสืบพันธุ์
ท่อปัสสาวะ
blunt trauma ที่ไม่มีการแทงทะลุหรือ
ฉีกขาด เป็นแผลผ่าตัดชนิดปิด
ถ้ามีท่อระบายต้องเป็นชนิดระบบปิด (closed drainage)
เช่น THR (total hip replacement)
TKR (Total knee replacement)
Mastectomy
Thyroidectomy
Class IV: Dirty/Infected ประเภทที่ 4 แผลสกปรก/แผลติดเชื้อ
ลักษณะแผลเก่า (old traumatic wound)
แผลมีเนื้อตาย (gangrene)
แผลมีการติดเชื้อ
มาก่อน
แผลกระดูกหักเกิน 6 ชั่วโมง
เข่น
แผลไส้ติ่งแตก (Ruptured appendicitis)
เยื่อหุ้มช่อง
ท้องอักเสบ (Peritonitis)
อัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ≥30%
ชนิดของบาดแผลแบ่งตามระยะเวลาการเกิด
แผลเรื้อรัง (chronic wound)
เป็นแผลที่เกิดขึ้นเป็นระยะเวลานาน และรักษา
ยากหรือรักษาเป็นเวลานาน
อาจมีอาการแทรกซ้อนตามมาภายหลัง
เช่น
แผลเบาหวาน
แผลเนื้อตาย (gangrene wound) เ
เป็นแผลที่เกิดจากการขาดเลี้ยงไปเลี้ยง
หรือเลือดมาเลี้ยงไม่เพียงพอ
สาเหตุจากหลอดเลือดตีบแข็ง
เช่น
แผลเบาหวานที่มีลักษณะสีดำและมี
กลิ่นเหม็น
แผลที่เกิดเฉียบพลัน (acute wound)
เป็นการเกิดแผล และรักษาให้หำยใน
ระยะเวลำอันสั้น
เป็นการเกิดแผล และรักษาให้หายใน
ระยะเวลาอันสั้น
เข่น
แผลจากการ
ผ่าตัด
ชนิดของแผลแบ่งตามการรักษา
การรักษาผู้ป่วยศัลยกรรมกระดูกด้วยวิธีการจัดกระดูกให้อยู่นิ่ง (retention)
ด้วยการดามกระดูกด้วยเหล็ก หรือแผ่นเหล็กและตะปูเกลียว (plate and screw)
การใช้เครื่อง
ตรึงกระดูกภายนอกร่างกาย (external fixator)
จึงมีแผลที่รอยเจาะกระดูก และแผลที่ผิวหนัง
การรักษาแผลด้วยสุญญากาศ (Negative Pressure Wound Therapy:
NPWT)
เป็นการรักษาแผลที่มีเนื้อตาย หรือแผลเรื้อรังโดยการปิดแผลสุญญากาศ
มีวัตถุประสงค์
เพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น และมีกลไกกำรทำงาน
โดย
2.1 ลดการบวมของแผลและเนื้อเยื่อใกล้เคียงทันทีที่เปิดเครื่องดูดสุญญากาศ
2.2 เพิ่มปริมาณเลือดมาสู่แผล ผลจากแรงระหว่างเนื้อเยื่อแผลกับแผ่นโฟมทำ ห้เลือดไหลมาสู่แผล
2.3 กระตุ้นการงอกใหม่ของเซลล์ แรงจากกายืด (mechanical stretching)
2.4 ลดแบคทีเรียในแผล
แผลท่อระบาย
เป็นแผลผ่าตัดซึ่งศัลยแพทย์เจาะผิวหนังเพื่อใส่ท่อระบายของเสีย
จากการผ่าตัดเป็นท่อระบายระบบปิด
ได้แก่
tube drain
Jackson’ Patt drain
redivac drain
hemovac drain
nephrostomy tube drain
ส่วนท่อระบายระบบเปิด
Penrose drain
แผลท่อหลอดคอ (tracheostomy tube)
เป็นแผลท่อระบายที่ศัลยแพทย์ ทําการผ่าตัดเปิดหลอดลม
เพื่อใส่ท่อช่วยหายใจในผู้ป่วยที่มีปัญหาของระบบทํางเดินหายใจ
แผลท่อระบายทรวงอก (chest drain)
เป็นแผลท่อระบายที่ศัลยแพทย์ ทําการเจาะปอด
เพื่อใส่ท่อระบายของเสียออกจากปอดในผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพของปอด
เช่น
ผู้ป่วย ที่มีภาวะเลือดออกในปอด (hemothorax)
ผู้ป่วยที่มีภาวะลมรั่วในปอด (pneumothorax)
แผลทวารเทียมหน้าท้อง (colostomy)
เป็นแผลท่อระบายที่ศัลยแพทย์ทําผ่าตัด เปิดลําไส้ใหญ่ออกทางหน้าท้อง
เพื่อระบายอุจจาระในผู้ป่วยที่มีปัญหาของระบบทางเดินอาหาร
ปัจจัยที่มีผลต่อการหายของบาดแผล
อธิบาย
เป็นสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการหายของแผลมีปัจจัย เสริม (ด้านบวก) และปัจจัยเสี่ยง (ด้านลบ) ที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้
ปัจจัยเฉพาะที่ (Local factors)
1.2 ภาวะแวดล้อมแห้ง (dry environment)
การหายของแผลจะมีความเจ็บปวดน้อยในภาวะแวดล้อมชุ่มชื้นหายเร็ว 3-5 เท่า ในภาวะแวดล้อมแห้งมากกว่า เพราะถ้าภาวะแห้ง เซลลืขาดน้ำ เซลล์ตายเป็นสาเหตุให้เกิดการตกสะเก็ด ปกคลุมแผล ขัดขวางการหายของแผล ถ้าชุ่มชื่นจะทำให้ช่วยให้มีโอกาสงอกใหม่ได้
1.3 การได้รับอันตรายและอาการบวม (trauma and edema)
การได้รับความอันตรายทำให้เนื้อเยื่อเกิดการบวม อาการบวมส่งผลกระทบต่อการชนส่ง ออกซิเจน และ สารอาหารทำให้แผลหายยช้าลง
1.1 แรงกด (pressure)
นอนท่าเดิมนานๆ เลือดไม่ไหล ไหลไม่สะดวก เลี้ยงบาดแผลน้อยเป็นรอยแดง ทำให้ ลุกลามมากว่าเดิม
1.4 การติดเชื้อ infection
ทำให้แผลหายช้า
1.5 ภาวะเนื้อตาย necrosis
มี 2.ลักษณะ เช่น ลักษณะเปียก และ ลักษณะแข็ง
2.ปัจจัยระบบ Systemc factors
โรคเรื้อรัง
น้ำในร่างกาย
อายุ
การไหลเวียนโลหิตบกพร่อง
ภาวะภูมิคุ้กัน และ รังสีวิทยา
ภาวะโภชนาการ
2. ลักษณะและกระบวนการหายของแผล
ลักษณะการหายของแผล (Type of wound healing)
มี 3 ลักษณะ
การหายของแผลแบบทุติยภูมิ(Secondaryintentionhealing)
ป็นแผลขนาด ใหญ่ที่เนื้อเยื่อถูกทําลาย มีการสูญเสียเนื้อเยื่อบางส่วน ขอบแผลมีขนาดกว้างเย็บแผลไม่ได้
เช่น แผลกดทับ
การหายของแผลแบบตติยภูมิ(Tertiaryintentionhealing)
ป็นแผลชนิดเดียวกับ แผลทุติยภูมิ เมื่อทําการรักษาโดยการทําแผลจนมีเนื้อเยื่อเกิดใหม่ปกคลุมสีแดงสด และไม่มีอาการ การแสดงภาวะติดเชื้อแล้ว
ศัลยแพทย์จะพิจารณาปลูกถ่ายผิวหนัง (skin graft) โดยนําผิวหนังของ ผู้ป่วยมาปะติดคลุมแผล
การหายของแผลแบบปฐมภูมิ(Primaryintentionhealing)
เป็นแผลประเภทที่
ผิวหนังมีการสูญเสียเนื้อเยื่อเพียงเล็กน้อย และเป็นแผลที่สะอาด
เช่น การผ่าตัด การรักษาโดยการดึงขอบแผลเข้าหากัน หรือ แผลขนาดเล็ก ล้วแผลสมานหายได้เองตามธรรมชาติ
กระบวนการหายของแผล (Stage of wound healing)
มี 3 ระยะ
ระยะ 2: การสร้างเนื้อเยื่อ (Proliferate phase)
เป็นระยะกํารสร้่างเนื้อเยื่อใหม่จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 4-12 วัน
ระยะ 3: การเสริมความแข็งแรง (Remodeling phase)
ป็นระยะสุดท้ายของกํารสร้าง และความสมบูรณ์ของคอลลาเจน
ระยะ 1: ห้ามเลือดและอักเสบ (Hemostasis and Inflammatory phase)
การห้ามเลือด (hemostasis) จะเกิดขึ้นก่อน ในเวลํา 5-10 นําที
การบันทึกลักษณะบาดแผล
มาตรการวัดของแผล คือ ความยาว (length) ความกว้าง (width) ความลึก (depth) และช่องโพรง (tunneling)
ชนิดของบาดแผล เช่น แผลผ่าตัด (incision wound) เย็บกี่เข็ม (stitches)
ขนําด ควรระบุเป็นเซนติเมตร
สี เช่น แดง (readiness) เหลือง (yellow) ดํา (black) หรือปนกัน
ลักษณะผิวหนัง เช่น ผื่น (rash) เปียกแฉะ (Incontinence) ตุ่มน้ําพองใส (bruises)
สิ่งที่ปกคลุมบาดแผลหรือสารคัดหลั่ง (discharge) เช่น หนอง (pus) สารคัดหลั่ง
ตําแหน่ง/บริเวณ เช่น ตําแหน่ง RLQ
ขั้นหรือระยะความรุนแรงของบาดแผล เช่น แผลกดทับขั้น 4 (4th stage)
วิธีการเย็บแผลและวัสดุที่ใช้ในการเย็บแผล
การเย็บแผล เป็นการซ่อมแซมรอยฉีกขาดของผิวหนังหรืออวัยวะโดยใช้วัสดุทางการแพทย์ ดึงรั้งให้ขอบแผลเข้ามาติดกัน โดยวัตถุประสงค์ของการเย็บแผล
ห้ามเลือด
ดึงขอบแผลเข้าหากัน
ส่งเสริมการหายของแผล
ป้องกันมิให้เชื้อโรคเข้าไปในแผล
รักษาสภาพปกติของผิวหนัง
วิธีการเย็บแผล
Interruptedmethod
2.1 Simple interrupted method
2.2 Interrupted mattress method
Subcuticular method
Continuous method
Retention method (Tension method)
วัสดุท่ีใชในการเย็บแผล
วัสดุท่ีละลายได้เอง(Absorbablesutures)
1.1 เส้นใยธรรมชาติ
1.2 เส้นใยสังเคราะห์
วัสดุที่ไม่ละลายเอง(Non-absorbablesutures
2.1 เส้นใยตามธรรมชาติ
2.2 เส้นใยสังเคราะห์
2.3 วัสดุท่ีเย็บเป็นโลหะ
3. วิธีการทำแผลชนิดต่างๆ และการตัดไหม
มีวัตถุประสงค์
ให้สภาวะที่ดีเหมาะแก่การงอกของเน้ือเยื้อ
ดูดซึมสารคัดหลั่ง เช่น เลือด น้ําเหลือง หนอง เป็นต้น
จํากัดการเคลื่อนไหวของแผลให้อยู่นิ่ง
ให้ความชุ่มชื้นกับพื้นผิวของแผลอยู่เสมอ
ป้องกันไม่ให้ผ้าปิดแผลติดและดึงรั้งเนื้อเยื่อท่ีงอกใหม่
ป้องกันแผลหรือเน้ือเยื่อที่เกิดใหม่จากสิ่งกระทบกระเทือน
ป้องกันแผลปนเปื้อนเชื้อโรคจากอุจจาระปัสสาวะสิ่งสกปรกอื่น ๆ
ช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสุขสบําย
เป็นการห้ามเลือด
ชนิดของการทาแผล
การทำแผลแบบแห้ง (Dry dressing)
หมายถึง การทําแผลท่ีไม่ต้องใช้ ความชุ่มช้ืน
ในการหายของแผล ใช้ทําแผลสะอาด แผลปิด แผลที่ไม่อักเสบเป็นแผลเล็กไม่มีสารคัดหลั่งมาก
หมายถึง การทําแผลท่ีต้องใช้ความ ชุ่มชื้นในการหายของแผล ใช้ทําแผลเปิด แผลอักเสบติดเชื้อ แผลท่ีมีสารคัดหลั่งมาก ซึ่งการปิดแผล ขั้นแรกจะใช้วัสดุที่มีความชื้น
การทาแผลแบบเปียก (Wet dressing)
อุปกรณ์ที่ใช้ในการทาแผล
อุปกรณ์ทาความสะอาดแผล
1.1 ชุดทาแผล (dressing set)
1.2 สารละลาย (solution)
วัสดุสาหรับปิดแผล
2.1 ผ้าก๊อซ (gauze dressing)
2.2 ผ้าก๊อซหุ้มสําลี (top dressing)
2.3 ผ้าซับเลือด (abdominal swab)
2.4 วายก๊อซ (y-gauze)
2.5 วาสลินก๊อซ (vaseline gauze)
2.6 ก๊อซเดรน (drain gauze)
2.7 transparent film
2.8 แผ่นเทปผ้ปิดแผล เป็นแผ่นปิดแผลสําเร็จรูป
2.9 antibacterial gauze dressing
วัสดุสำหรับยึดติดผ้าปิดแผล
อุปกรณ์อื่น ๆ
ภาชนะสำหรับทิ้งส่ิงสกปรก
การทำแผลผ่าตัดแบบแห้ง (Dry dressing)
เปิดแผลโดยใช้มือ(ใส่ถุงมือ)หยิบผ้าปิดแผลโดยพับส่วนที่สัมผัสแผลอยู่ด้านในทิ้งลง
ชามรูปไต หรือถุงพลาสติก
เปิดชุดทําแผล (ตามหลักการของ IC) หยิบ forceps ตัวแรกโดยใช้มือจับด้ํานนอก
ของผ้าห่อชุดทําแผล หยิบข้ึนแล้วใช้ forceps ตัวแรกหยิบ forceps ตัวท่ีสอง วําง forceps ไว้ ด้านข้างถาดของชุดทําแผล
หยิบnon-toothforcepsใช้คีบส่งของsterileทําหน้าท่ีเป็นtransferforceps
หยิบ tooth forceps ใช้รับของ sterile ทําหน้ําที่เป็น dressing forceps
หยิบสําลีชุบ alcohol 70% เช็ดรอบๆ แผลวนจํากในออกนอกหjางแผล 1 นิ้วเป็น
บริเวณกว้าง 2 นิ้ว
หยิบสําลีชุบ0.9%NSSเช็ดจํากบนลงล่างจนแผลสะอําดแล้วเช็ดด้วยสําลีแห้ง
ทําแผลด้วย antiseptic solution ตามแผนการรักษา
ปิดแผลด้วยgauzeติดพลําสเตอร์ตามแนวขวางของลําตัวโดยเร่ิมติดชิ้นแรกตรง
กึ่งกลางของแผลและไล่ข้ึน-ลงตํามลําดับ ส่วนหัวและท้ายต้องปิดทับผ้า gauze กับผิวหนังให้สนิท
เก็บอุปกรณ์ถอดถุงมือถอดmaskและล้างมือทิ้งขยะในถังขยะติดเชิ้อทุกครั้ง
การทาแผลผ่าตัดแบบเปียก (Wet dressing)
ใช้สําลีชุบน้ําเกลือหรือน้ํายาตํามแผนการรักษาเช็ดภายในแผลจนสะอาด
ใช้ผ้า gauze ชุบน้ํายา (solution) ใส่ในแผล (packing) เพื่อฆ่าเชื้อและดูดซับ
สํารคัดหลั่งให้ความชุ่มชื้นแก่เนื้อเยื่อ
ทําความสะอาดริมขอบแผลเช่นเดียวกับการทํา dry dressing
ปิดแผลด้วยผ้า gauze และปิดพลาสเตอร์ตามแนวขวางของลําตัว
1 .เปิดแผลโดยใช้มือที่ใส่ถึงมือ เปิดตามหลักของ IC หยิบผ้าปิดแผลส่วนบนทิ้ง ลงในชามรูปไตหรือถุง เปิดผ้าปิดแผลช้ันที่ติดกับแผลด้วย tooth forceps
การทาแผลผ่าตัดท่ีมีท่อระบาย (Tube drain)
คือ
การทําผ่าตัดบางชนิด ศัลยแพทย์จําเป็นต้องใส่ท่อระบายไว้
เช่น
Penrose drain
การทําแผลที่มีท่อระบายมีวิธีการทํา
เตรียมอุปกรณ์
ปกติแพทย์ จะผ่าตัดให้สั้นลง โดยผ่าตัดออกประมาณ 2-5 นิ้ว
อุปกรณ์ เช่นเดียวกับการทำแผลแห้ง เพิ่ม กรรไกรตัดไหม เข็มกลัดช่อนปลาย
ใช้non-toothforceps หยิบสำลี alcohol 70% เช็ดรอบๆ ผิวหนัง รอบท้อระบาย จากด้านในออกด้านนอก แบบครึ่งวงกลม หรือ วงกลม จนสะอาดแล้วทิ้ง
ใช้สําลีชุบNSSเช็ดตรงกลํางแผลท่อระบายแล้ว
เช็ดด้วยสําลีแห้ง
ใช้แอลกอฮอล์เช็ดเหนือปลายแผลให้แห้ง
กรณี Penrose drain และแพทย์มีแผนการรักษาให้ตัดท่อยางให้สั้น (short drain) หยิบ gauze 1 ผืน เพื่อจับเข็มกลัดซ่อนปลาย ใช้ forceps
พับครึ่งผ้าgauzeวางสองข้างของท่อระบายแล้ววางผ้าgauzeปิดทับท่อระบาย อีกช้ัน และปิดพลาสเตอร์
หลังการทําแผลเสร็จแล้วจัดท่าให้ผู้ป่วยสุขสบาย และดูแลสภาพแวดล้อม
การตัดไหม (Suture removal)
โดยทั่วไปแผลหลังผ่าตัดจะแห้งสนิทภายใน 7-10 วัน
หลักการตัดไหม
ตรวจสอบคำสั่ง ว่า ตัดแบบตัดทุกอัน หรือ ตัดเว้นอัน
เศษไหมที่เย็บแผลส่วนท่ีมองเห็นเป็นส่วนท่ีมีการสัมผัสเชื้อแบคทีเรีย ในการตัดและดึงไหมออกจึงไม่ควรดึงไหมส่วนท่ีมองเห็นลอดผ่านใต้ผิวหนัง และจะต้องดึงไหม ออกให้หมด เพราะถ้าไหมตกค้างอยู่ใต้ผิวหนัง จะกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมและเกิดการอักเสบติดเชื้อได้
ขณะตัดไหมหากพบว่ามีขอบแผลแยกให้หยุดทํา และปิดแผลด้วยวัสดุที่ช่วยดึงร้ัง ให้ขอบแผลติดกัน (sterile strip)
วิธีทาการตัดไหม
ทําความสะอาดแผล ใช้ alcohol 70% เช็ดรอบแผล
การตัดไหมที่เย็บแผลชนิด interrupted method
การตัดไหมท่ีเย็บแผล ชนิด interrupted mattress
การตัดไหมที่เย็บแผลแบบต่อเนื่อง continuous method
กรณีที่ใช้ลวดเย็บเป็นวัสดุเย็บแผล ทําควํามสะอาดแผลผ่าตัดตามปกติ
ภายหลังตัดไหมครบทุกเส้นแล้วเช็ดแผลด้วยnormalsaline0.9%และเช็ดให้ แห้งอีกคร้ัง ปิดแผลต่อไว้อีก 1 วัน
4. วิธีการพันแผลชนิดต่างๆ
การพันแผล (Bandaging) เป็นการใช้วัสดุได้แก่ ผ้าม้วน ผ้าชนิดยืด ผ้าสามเหลี่ยม พันรอบ ๆ อวัยวะส่วนใดส่วนหน่ึงของร่างกายหรือพันทับอวยัวะที่มีแผลโดยมีวัตถุประสงค์
ป้องกันการติดเชื้อ
ใช้เป็นแรงกดป้องกันเลือดไหล
ช่วยพยุงผ้าปิดแผลให้อยู่กับท่ี
ให้ความอบอุ่นบริเวณน้ันๆ
ช่วยให้อวัยวะอยู่คงที่และพยุงอวัยวะไว้
รักษารูปร่างของอวัยวะให้พร้อมท่ีจะใส่อวัยวะเทียม
ชนิดของผ้าพันแผล
ผ้าพันแผลชนิดม้วน (roller bandage)
เป็นม้วนกลม ชนิดที่ไม่ยืด (roll gauze)
และชนิดยืด (elastic bandage)
ผ้าพันแผลชนิดพิเศษ (special bandage)
เป็นผ้าท่ีมีรูปร่างแตกต่างกันไป
เช่น
ผ้าพันท้องหลายหาง
ปัจจุบันมีวัสดุการแพทย์ท่ีทันสมัยมาใช้แทนabdominal support เป็นวัสดุกํารแพทย์สําเร็จรูปมีหลายขนาดเลือกใช้สําหรับพยุงอวัยวะภายในช่องท้องหลังกํารผ่าตัด
ผ้าสามเหลี่ยม (triangular bandage)
เป็นผ้าสามเหลี่ยมทําด้วยผ้าเนื้อละเอียด
ไม่ระคายเคืองต่อผิวหนัง ด้านยาวยาวกว่าด้านกว้าง
หลักการพันแผล
ผู้พันผ้าและผู้บาดเจ็บหันหน้าเข้าหากันจัดท่าให้ผู้บาดเจ็บอยู่ในท่าที่สบายวาง
อวัยวะส่วนท่ีจะพันผ้าให้รู้สึกผ่อนคลาย
ตําแหน่งท่ีต้องการจะพันผ้าผิวหนังบริเวณน้ันต้องสะอาดและแห้ง
การลงน้ําหนักมือเพื่อดึงผ้าพันแผลควรระวังใช้น้ําหนักให้เหมาะสม ถ้าลงน้ําหนักมือ
มากอาจทําให้แน่นเกินไป
ต้องทําความสะอาดบาดแผลและปิดผ้าปิดแผลให้เรียบร้อยก่อนแล้วจึงพันผ้าปิด
ทับ ต้องระวังหากพันแนน่ เกินไปผู้ป่วยอําจเจ็บแผล
ตําแหน่งที่บาดเจ็บเช่นนิ้วมือนิ้วเท้าต้องใช้ผ้าก๊อสคั่นระหว่างนิ้วก่อนป้องกันการ
เสียดสีของผิวหนังอาจทําให้เกิดแผลระหว่างนิ้วได้
การพันผ้าบริเวณเท้าขาตะโพกต้องมีผู้ช่วยคอยประคองอวัยวะส่วนน้ันไว้
เพื่อช่วยให้ผู้พันผ้าสะดวกและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการพันผ้าในตําแหน่งน้ัน ๆ
การพันผ้าใกล้ข้อต้องพันผ้าโดยคํานึงถึงการขยับเคลื่อนไหวของข้อน้ันด้วย
วิธีการพันแผล
การใช้ผ้าสามเหลี่ยม ผ้าสามเหลี่ยมเป็นสามเหลี่ยมท่ีมีมุมยอดเป็นมุมฉาก ขนาด ของผ้าท่ีใช้ข้ึนอยู่กับขนาดของตัวผู้ป่วยและอวัยวะท่ีต้องการพันผ้า
กํารใช้ผ้าพันแผลชนิดม้วน มีหลักกํารพันผ้า
การพันผ้าแบบชนิดม้วน มี 5 แบบ
การพันแบบวงกลม (circular turn)
การพันแบบเกลียว (spiral turn)
การพันแบบเกลียวพับกลับ (spiral reverse)
การพันเป็นรูปเลข 8 (figure of eight)
การพันแบบกลับไปกลับมา (recurrent)
5. ปัจจัยท่ีทำให้เกิดแผลกดทับ ระยะของแผลกดทับและการป้องกันแผลกดทับ
แผลกดทับ (Pressure sore, Bed sore, Decubitus ulcer, Pressure injury) หมายถึง บริเวณผิวหนังและเน้ือเยื่อใต้ผิวหนัง ที่มีการทําลายเฉพาะท่ีจากแรงกดทับ แรงเสียดทําน และแรง เฉื่อย ท่ีมากระทําอย่างต่อเนื่อง
พยาธิสภาพของการเกิดแผลกดทับ
ขณะที่มีแรงกดทับลงบนผิวหนังจะมีค่าเฉลี่ยของแรงกดกับหลอดเลือดฝอยเท่ากับ 25 มม.ปรอท
เมื่อมีแรงกดทับผิวหนังท่ีทํากับปุ่มกระดูกเป็นเวลานานทําให้ผิวหนังและเนื้อเยื่อรอบ ๆ ขาดออกซิเจนจํากโลหิตมาเลี้ยงไม่ได้
ทําให้เกิดการตายของผิวหนังและเนื้อเยื่อต่าง ๆ
ปัจจัยส่งเสริมการเกิดแผลกดทับ
ปัจจัยภายในร่างกาย
ภาวะโภชนาการ
ยาที่ได้รับการรักษา
อายุ
การผ่าตัด
ปัจจัยภายนอกร่างกาย
แรงกด
แรงเสียดทาน
แรงเฉือน
ความชื้น
ระยะของแผลกดทับ
แบ่งออก 4 ระดับ
ระดับที่ 1 ผิวหนังแดงไม่มีการฉีกขาดของผิวหนังและไม่จางหายไปภายใน 30 นําที
ระดับที่ 2 ผิวหนังแดงเร่ิมมีแผลเล็กๆ มีหนังแท้ถูกทําลายฉีกขาดเป็นแผลตื้น มีรอยแดงบริเวณเน้ือเยื่อรอบๆ และเริ่มมีสํารคัดหลั่งจากแผล
ระดับที่ 3 แผลลึกถึงชั้นไขมัน (subcutaneous) แต่ยังไม่ถึงช้ันกล้ามเนื้อ (muscle) มีรอยแผลลึก มีส่ิงขับหลั่งจากแผล เร่ิมมีกลิ่นเหม็นยังไม่มีเน้ือตาย (necrosis tissue)
ระดับที่ 4 แผลลึก เป็นโพรงถึงกล้ามเนื้อ กระดูก และเยื่อหุ้มข้อ พบมีเน้ือตาย
บริเวณที่อาจเกิดแผลกดทับได้ง่ายในท่าทํางต่าง ๆ
ท่านอนหงาย บริเวณที่เกิดคือ ท้ายทอย ใบหู หลังส่วนบน ก้นกบ ข้อศอก ส้นเท้า
ท่านอนคว่ำ บริเวณที่เกิดคือ ใบหูและแก้ม หน้าอกและใต้ราวนม หน้าท้อง
หัวไหล่ สันกระดูกตะโพก หัวเข่าปลํายเท้า
ท่านอนตะแคง บริเวณที่เกิดคือ ศีรษะด้านข้าง หัวไหล่ กระดูกก้น ปุ่มกระดูก
ต้นขา ฝีเย็บ หัวเข่าด้านหน้า ตาตุ่ม
ท่านั่ง บริเวณที่เกิดคือ ก้นกบ ปุ่มกระดูกก้น หัวเข่าด้านหนัง กระดูกสะบัก เท้า ข้อเท้าด้านนอก
การป้องกันการเกิดแผลกดทับ
การประเมินความเสี่ยงตามแบบประเมินความเสี่ยงของการเกิดแผลกดทับ
การเฝ้าระวังความเสี่ยงและควรการประเมินซ้ำเมื่อมีปัจจัยเสี่ยง
ลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับและเพิ่มปัจจัยเสริมการหายของแผล
6. กระบวนการพยาบาลในการพยาบาลผู้ป่วยที่มีแผล
การประเมินภาวะสุขภาพ(Assessment)
การประเมินภาวะสุขภาพด้านร่างกายและจิตใจ
การประเมินสภาพร่างกายและจิตใจ ความรุนแรงของโรค
ประเมินระดับคะแนนความเจ็บปวด
ประเมินความวิตกกังวลจากการผ่าตัดและพยาธิสภาพของโรค
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing diagnosis)
การปฏิบัติการพยาบาลแบบองค์รวม (Holistic nursing care)
ด้านร่างกาย
ด้านจิตใจ
ด้านสังคม
ด้านจิตวิญญาณ
การประเมินผล (Evaluation)
การประเมินผลการพยาบาลเป็นการประเมินผลลัพธ์การพยาบาล
การประเมินผลกิจกรรมการพยาบาลเป็นการประเมินผลของการปฏิบัติงาน เพื่อนํามาปรับปรุงการปฏิบัติงานในครั้งต่อไป
การประเมินผลคุณภาพการบริการเป็นการประเมินคุณภาพของผลการ ปฏิบัติงาน เพื่อนํามาปรับปรุงการปฏิบัติงานในครั้งต่อไป
กระบวนการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยที่มีแผลกดทับ
สถานการณ์ตัวอย่าง
ผู้ป่วยชายไทย อายุ 39 ปี ประสบอุบัติเหตุได้รับการผ่าตัดดามเหล็ก ทําให้เป็นอัมพาตท่อนล่าง จากสถานการณ์ข้างต้นประยุกต์ใช้กระบวนการพยาบาลในการให้การพยาบาลเพื่อป้องกันการเกิด แผลกดทับของผู้ป่วยรายน้ี
การประเมินภาวะสุขภาพ(Assessment)
การประเมินความสามารถของผู้ป่วย(abilityassessment)
1.1 ความสามารถในการเคลื่อนไหว
1.2 ความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง
1.3 ประเมินการขับถ่าย
ประเมินความเสี่ยงโดยใช้แบบประเมินความเสี่ยง(Riskassessmenttool)
2.1 แบบประเมิน Braden Scale
2.2 ผู้ป่วยที่มีปัญหาพร่องความสามารถในการเคลื่อนไหว ประเมินความเสี่ยงในการเกิดแผลกดทับภายใน2 ชั่วโมงหลังแรกรับใหม่
2.3 ประเมินความเสี่ยงสม่ำเสมอทุก ๆ 72 ชั่วโมง หรือเมื่อมีอาการเปลี่ยนแปลง
ประเมินผิวหนังและความสะอาด(skinassessment&cleaning)
3.1 ประเมินลักษณะผิวหนังผู้ป่วยแต่ละรายอย่างเป็นระบบอย่างละเอียด ตั้งแต่
ศีรษะจรดเท้า เน้นบริเวณปุ่มกระดูก อย่างน้อยเวรละคร้ัง
3.2 ทําความสะอาดบริเวณผิวหนังอย่างสม่ำเสมอด้วยน้ําสะอาด หรือผลิตภัณฑ์
อาบน้ําชนิดด่างอ่อน เพื่อป้องกันการระคายเคืองต่อผิวหนัง และป้องกันผิวหนังแห้ง
3.3 ลดปัจจัยเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมท่ีทําให้ผิวหนังแห้ง เมื่ออากาศเย็นมากเกินไป
ใช้ครีมหรือน้ํามันมะกอกทําผิวหนัง
3.4 จัดการความเปียกชื้นจากการถ่ายปัสสาวะอุจจาระ หรือสารคัดหลั่งจากแผล
3.5 ใส่ผ้าอ้อมสําเร็จรูป ในรายท่ีไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้ด้วยตนเอง
3.6 ห้ามนวดบริเวณท่ีเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับ
ประเมินภาวะโภชนาการ (nutritional assessment)
4.2 ประเมินสารอาหารที่ได้รับพอต่อความต้องการใน 1 วันหรือไม่
4.3 รายท่ีรับอาหารได้น้อยมากต้องรายงานแพทย์เพื่อให้อาหารทางสายยาง
4.1 ประเมินค่าดัชนีมวลกายแปลผลภาวะโภชนากร
การวินิจฉัยทางการพยาบาล (Diagnosis)
การวางแผนให้การพยาบาล (Planning)
ประเมินความเสี่ยง แบบประเมิน
ผู้ป่วยไม่มีความเสี่ยง (คะแนน19-23)
ประเมินความเสี่ยงซ้ำ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง
ผู้ป่วยมีความเสี่ยง (คะแนน 6-18)
ดูแลตามแนวปฏิบัติ ป้องกันแผลกดทับ
การให้การพยาบาลตามแผนการพยาบาลท่ีวางไว้
4.2 การใช้อุปกรณ์กดแรงกด (pressure-relieving device)
4.3 การจัดโปรแกรมการให้ความรู้ (educational programs)
4.1 การจัดท่าทาง (positioning)
การประเมินผลการพยาบาล
ต้องมีความสอดคล้องกับข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลและ เกณฑ์การประเมินผลรายข้อ (ปัญหาสุขภาพ)
จัดทำโดย
นางสาวพลินี จำปา 6201210378
.
🌈💕😘🍰☺️