Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 5 การพยาบาลผู้ป่วยในระยะก่อน-หลังผ่าตัดการเคลื่อนไหวและการออกกำลังก…
บทที่ 5
การพยาบาลผู้ป่วยในระยะก่อน-หลังผ่าตัดการเคลื่อนไหวและการออกกำลังกาย
การพยาบาลผู้ป่วยหลังผ่าตัด
กิจกรรมการพยาบาลหลังผ่าตัด
การพยาบาลเพื่อส่งเสริมภาวะโภชนาการของผู้ป่วย
ดูแลให้ได้รับสารอาหารและพลังงานอย่างเพียงพอ
ในรายที่ไม่มีปัญหาในการรับประทานอาหารควรดูแลให้รับประทานอาหารทางปาก ส่วนในรายที่ผาตัดในช่องท้องทำให้ลำไส้หยุดทำงานชั่วคราวแพทย์จะพิจารณาให้รับประทานอาหารทางปากเมื่อลำไส้มีการเคลื่อนไหว อาหารที่จัดให้ผู้ปุวยควรเป็นอาหารที่มีสารอาหารและพลังงานครบถ้วน
ส่วนในรายที่งดอาหารและนํ้าทางปากต้องดูแลให้ได้รับสารน้ํ้าทางหลอดเลือดดำทดแทนตามแผนการรักษา
สังเกตและบันทึกอาการเปลี่ยนแปลง
ที่บ่งชี้ถึงการย่อยและดูดซึมอาหารผิดปกติ
กระตุ้นให้ผู้ปุวยลุกออกจากเตียง หรือจัดท่านอนศีรษะสูง
เพื่อลดอาการแน่นท้อง ท้องอืด
การพยาบาลเพื่อส่งเสริมความสุขสบายและความปลอดภัยของผู้ป่วย
การดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลเกี่ยวกับความสะอาดของร่างกายทั่วไป
โดยเฉพาะช่องปาก อวัยวะสืบพันธุ์ และระบบขับถ่าย
ดูแลความปลอดภัยในรายที่ยังไม่ฟื้นจากยาสลบ หรือระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง ควรยกราวกั้นเตียงผู้ปุวยขึ้นก่อนออกจากเตียงผู้ปุวย
ดูแลความสุขสบายทั่วไป
เช่น การนอนหลับ อาการคลื่นไส้ การปวดถ่ายปัสสาวะ
การพยาบาลเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดจากแผลผ่าตัด
ประเมินความเจ็บปวดโดยใช้ Pain scale
แนะนำให้ทำกิจกรรมที่เบี่ยงเบนความสนใจและกิจกรรม
ที่เป็นการกระตุ้นให้มีการหลั่งเอนโดรฟินเพื่อลดความรู้สึกเจ็บปวด
การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการหายของแผล
สังเกตลักษณะแผลที่ผิดปกติ
ทำความสะอาดแผลด้วยหลักปราศจากเชื้อ
สังเกตและประเมินปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการหายของแผล
สอนและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลแผล
และวิธีการส่งเสริมการหายของแผล
การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการทำงานของระบบหัวใจและไหลเวียน
ควรให้ผู้ปุวยนอนพักนิ่งๆ ในบริเวณที่มีเลือดออกมากๆ
เพื่อลดการเคลื่อนไหวซึ่งจะมีผลทำให้เลือดออกมากขึ้น
เตรียมเครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นให้พร้อมในรายที่มีภาวะช็อก
เช่น อุปกรณ์ดูดเสมหะ อุปกรณ์ให้ออกซิเจน ยาช่วยเพิ่มความดันโลหิต
ดูแลให้ได้รับสารนํ้าเลือดหรือพลาสมาทดแทนทางหลอดเลือดดำ
และติดตามอาการของผู้ปุวยอย่างต่อเนื่อง
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนทั้งร่างกาย และจิตใจ
จัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบสงบ อยู่เป็นเพื่อน คอยใจกำลังใจ
สังเกตลักษณะบาดแผลและปริมาณสิ่งคัดหลั่งต่างๆ
ที่ออกจากร่างกายผู้ปุวย รวมถึงประเมินการสูญเสียสารนํ้า
ที่เกิดขึ้นหากพบความผิดปกติให้รายงานแพทย์
สังเกต บันทึก และติดตามผลการตรวจคลื่นหัวใจโดยเฉพาะ
ในรายที่มีการเต้นหัวใจผิดปกติ กล้ามเนื้อหัวใจตายหลังผ่าตัด
ตรวจวัดสัญญาณชีพทุก15นาที 4ครั้ง ทุก30นาที 4 ครั้ง
และทุก 1ชั่วโมงจนสัญญาณชีพสมํ่าเสมอ
การให้คำแนะนำก่อนกลับบ้านสำหรับผู้ปุวยหลังผ่าตัด
การส่งเสริมภาวะโภชนาการของผู้ปุวย
การดูแลความสะอาดของร่างกาย
การเคลื่อนไหวหรือกิจกรรมต่างๆ
การมาตรวจตามแพทย์นัด
รื่องการดูแลแผล การสังเกตอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อ
การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการหายใจให้โล่ง
และคงไว้ซึ่งการทำงานระบบหายใจ
เปลี่ยนท่านอนหรือพลิกตะแคงตัวบ่อยๆ
ในรายที่ไม่รู้สึกตัวควรพลิกตะแคงให้ทุก 1-2 ชั่วโมง
และในรายที่รู้สึกตัวดีควรจัดให้นอนในท่าศีรษะสูง
กระตุ้นให้ทำกิจวัตรประจำวันด้วยตนเอง
เพื่อเพิ่มกิจกรรมการเคลื่อนไหวขณะอยู่บนเตียง
และลดภาวะแทรกซ้อนจากการนอนท่าเดียวนานๆ
กระตุ้นให้ผู้ปุวยหายใจเข้าออกลึกๆ
รวมถึงการไออย่างมีประสิทธิภาพตามวิธีที่สอนผู้ป่วยก่อนการผ่าตัด
และติดตามการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยหลังผ่าตัด
ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา
เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาปฏิชีวนะ พร้อมทั้งติดตามผลการรักษา
โดยการสังเกต บันทึกลักษณะสี กลิ่น และจำนวนของเสมหะ
รวมทั้งสังเกตอาการข้างเคียงของยา
สังเกตการหายใจของผู้ปุวย
เช่น การหายใจเร็วตื้นจากการค้างของฤทธิ์ยาสลบหายใจลึกช้าลงจากฤทธิ์ตกค้างของยาระงับปวดและดูแลทางเดินหายใจให้โล่งอยู่เสมอ
โดยการดูดเสมหะ เลือด ภายในปากและจมูก
สังเกตอาการบ่งชี้ภาวะแทรกซ้อนทางเดินหายใจ
อาการผิดปกติที่เกิดขึ้น สัญญาณชีพ รวมถึงค่าออกซิเจนในเลือด
การจัดท่านอน
ให้นอนราบไม่หนุนหมอน ตะแคงหน้าไปด้านใดด้านหนึ่งปูองกันลิ้นตก และการส ำลักอาเจียน ถ้าผู้ปุวยรู้สึกตัวดีอาจให้นอนราบหนุนหมอนได้ ยกเว้นในรายที่ได้รับยาชาเข้าทางไขสันหลังให้นอนราบอย่างน้อย 6-12ชั่วโมง
ผู้ป่วยมีอาการผิดปกติ
ให้รีบรายงานแพทย์และให้ออกซิเจนตามแผนการรักษา
การประเมินสภาพผู้ป่วย
แบบแผนการขับถ่าย
แบบแผนการรับรู้และการดูแลสุขภาพ
แบบแผนอาหารและการเผาผลาญ
แบบแผนการปรับตัวและการเผชิญกับความเครียด
แบบแผนกิจกรรมและการออกกำลังกาย
การพยาบาลผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
การประเมินผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
การส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
Blood sugar
Liver function tests
BUN/Creatinine
Coagulogram
Electrolytes
Chest X-ray
Urinalysis
ECG
Complete blood count
การเตรียมผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
หมายถึง
ระยะเวลาตั้งแต่ผู้ป่วยเริ่มตระหนักว่ามีบางสิ่งผิดปกติและแพทย์วินิจฉัยว่าต้องผ่าตัดหรือตัวผู้ป่วยเองสงสัยว่าจะต้องผ่าตัดจนกระทั่งเวลาที่แพทย์จะลงมือผ่าตัดผู้ป่วยควรได้รับการเตรียมตัวก่อนผ่าตัดให้พร้อมที่สุดทั้งด้านร่างกายและจิตใจเพื่อผู้ปุวยจะได้เข้าห้องผ่าตัดด้วยอาการที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
การเตรียมผู้ป่วยก่อนวันที่ผ่าตัด
การขับถ่าย
ถ้าเป็นการผ่าตัดเล็กหรือการผ่าตัดที่ไม่เกี่ยวข้องกับอวัยวะในช่องท้อง อาจให้สวนอุจจาระหรือไม่ก็ได้หรือให้รับประทานยาระบายก่อนวันผ่าตัด แต่ถ้าเป็นการผ่าตัดใหญ่หรือผ่าตัดเปิดสู่ช่องท้อง จะให้มีการสวนอุจจาระก่อนผ่าตัดสำหรับกระเพาะปัสสาวะควรว่างเมื่อจะเข้าห้องผ่าตัดโดยให้ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะก่อนผ่าตัดหรือคาสายสวนปัสสาวะ
การเตรียมผิวหนัง
เนื่องจากผิวหนังเป็นแหล่งที่มีเชื้อจุลินทรีย์อาศัยอยู่มากดังนั้นต้องมีการเตรียมความสะอาดผิวหนังบริเวณที่จะผ่าตัดเพื่อเป็นการลดจำนวนจุลินทรีย์ต้องเตรียมให้กว้างกว่าบริเวณที่จะผ่าตัดจริงกำจัดขนและสิ่งสกปรกต่างๆถ้าผิวหนังบริเวณที่จะผ่าตัดมีเม็ดผื่นหรือมีการติดเชื้อเกิดขึ้นแพทย์อาจต้องเลื่อนการผ่าตัดออกไปจนกระทั่งการติดเชื้อนั้นหายไป
อาหารและนํ้าดื่ม
ควรงดอาหารผู้ป่วยก่อนผ่าตัดอย่างน้อย8 ชั่วโมง
สำหรับอาหารเหลวใสให้ได้6 ชั่วโมงก่อนผ่าตัดถ้าผู้ป่วยปากแห้ง
ให้ผู้ป่วยบ้วนปากบ่อยๆถ้าผู้ป่วยได้รับอาหารหรือน้ํ้าเข้าไปใน
ระยะเวลาที่ห้ามนี้ ต้องทำการเลื่อนการผ่าตัด
การดูแลสภาพร่างกายทั่วไป
เช้าวันที่จะผ่าตัด
สังเกตภาวะทางอารมณ์ของผู้ป่วย ความกลัวการผ่าตัด
สังเกตสภาพร่างกายทั่วไปวัดและบันทึกสัญญาณชีพ
อาการของผู้ปุวยลงในใบแบบฟอร์มผ่าตัด
ให้ผู้ป่วยทำความสะอาดร่างกาย เปลี่ยนชุดสำหรับใส่เพื่อผ่าตัด
คืนก่อนวันผ่าตัด
ของปลอม ของมีค่าต่างๆถอดเก็บไว้ให้ญาติดูแลรักษา
สื่อไฟฟ้าต่างๆ เช่น กิ๊บที่ทำด้วยโลหะที่คาดผมที่ทำด้วยโลหะ
ทําความสะอาดปาก ฟัน ถอดฟันปลอมออก
ไม่ให้ผู้ป่วยแต่งหน้า ทาปาก ทาเล็บ
การให้ยาแก่ผู้ปุวยก่อนผ่าตัด
แพทย์มักจะให้ยาในคืนวันก่อนผ่าตัดเพื่อช่วยให้ผู้ปุวย
คลายความวิตกกังวลและนอนหลับพักผ่อนได้ดี
และก่อนผ่าตัดประมาณ45-90 นาทีเพื่อลดรีเฟล็กซ์
ที่ไวต่อการกระตุ้นซึ่งเกิดได้จากความเจ็บปวดความกลัว
เตรียมเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆที่พิเศษ
เช่นสายใส่จมูกถึงกระเพาะอาหาร
ชุดให้สารนํ้าทางหลอดเลือดดำเครื่องมือผ่าหลอดเลือด
เครื่องดูดเสมหะ เครื่องดูดของเหลวจากกระเพาะอาหาร
แผ่นบันทึกรายงานต่างๆ
ต้องบันทึกให้ครบและรวบรวมให้เรียบร้อยเพื่อส่งเข้าห้องผ่าตัด
อธิบายและให้ผู้ปุวยเซ็นใบยินยอมให้แพทย์ทำการผ่าตัดกรณีผู้ปุวย
ยังไม่บรรลุนิติภาวะให้ผู้ปกครองเป็นผู้เซ็นแทน
ถ้าผ่าตัดฉุกเฉินและผู้ปุวยไม่สามารถเซ็นใบยินยอมผ่าตัดได้
ควรให้ญาติหรือครอบครัวเป็นผู้เซ็นแทน
การส่งผู้ปุวยไปห้องผ่าตัด
ให้ผู้ปุวยนอนบนรถนอนห่มผ้าให้เรียบร้อย ยกไม้กั้นเตียงขึ้น
เจ้าหน้าที่ที่เข็นรถนอนต้องเข็นรถด้วยความนุ่มนวลระมัดระวัง
การดูแลครอบครัวผู้ปุวย
พยาบาลต้องแจ้งให้ครอบครัวทราบถึงเวลาที่ผู้ปุวยจะเข้าห้องผ่าตัด
ควรให้ญาติมาดูแลให้กำลังใจผู้ป่วย
การเตรียมผ่าตัดผู้ปุวยฉุกเฉิน
ทําความสะอาดและเตรียมผิวหนังบริเวณที่จะผ่าตัดให้เรียบร้อย
ของมีค่าเครื่องประดับ สื่อไฟฟ้าออก ล้างสีเล็บออก
และให้ผู้ปุวยหรือญาติเซ็นใบยินยอมผ่าตัด
ถ้าผู้ปุวยไม่มีญาติมาด้วยพยาบาลต้องถามหรือหาที่อยู่ของครอบครัวเบอร์โทรศัพท์ของครอบครัวและรีบแจ้งให้ครอบครัวทราบโดยเร็วที่สุด วัดและบันทึกอาการสัญญาณชีพ การให้ยาก่อนผ่าตัด ลงในใบแบบฟอร์มก่อนผ่าตัดและใบแบบฟอร์มบันทึกทางการพยาบาล สังเกตสภาพร่างกายทั่วไปอาการและสัญญาณชีพถ้าผิดปกติให้รีบรายงานแพทย์ทราบ
เจาะเลือด ตรวจCBC และ Blood group ทันทีให้สารนํ้าทางหลอดเลือดดำใส่สายยางทางจมูกเข้าไปในกระเพาะอาหาร ให้ผู้ปุวยถ่ายปัสสาวะให้เร็วที่สุด เพื่อตรวจปัสสาวะและให้กระเพาะปัสสาวะว่าง
ถ้าผู้ปุวยไม่สามารถถ่ายปัสสาวะได้แพทย์อาจให้สวนปัสสาวะ
การตรวจร่างกาย
การชั่งนํ้าหนักวัดส่วนสูง
การตรวจประเมินทางระบบหายใจ
สัญญาณชีพ
การตรวจร่างกายตามระบบ
การซักประวัติ
ประวัติการผ่าตัด และการได้รับยาระงับความรู้สึกก่อนหน้านี้
ประวัติการแพ้ยาหรืออาหาร
ประวัติโรคประจำตัว
การใช้ยา สารเสพติด การสูบบุหรี่ และดื่มสุรา
ประวัติเกี่ยวกับโรคของระบบต่างๆ ของร่างกาย
ประวัติของคนในครอบครัวหรือญาติที่มีปัญหา
เกี่ยวกับการได้รับยาระงับความรู้สึก
การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วย
การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดิน
การออกกำลังกายเพื่อเตรียมผู้ป่วยเดิน
เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับผู้ป่วยให้กล้ามเนื้อมีความตึงตัว แข็งแรง และข้อเคลื่อนที่ได้ตามปกติเนื่องจากการเดินต้องใช้ตะโพกและขามากที่สุดและข้อที่จะเคลื่อนไหวได้ต้องอาศัยการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อตะโพก ต้นขา และปลายขาจึงต้องมีการออกกำลังกายกล้ามเนื้อเหล่านี้ให้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะเดิน และการออกกำลังกายนั้นต้องไม่ทำให้ผู้ป่วยเหนื่อยควรทำแต่ละชนิด 3 ครั้ง และให้ทำวันละ 2–3 ครั้ง
การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดิน
การช่วยเหลือผู้ปุวยหัดเดินโดยพยาบาล 2คน
ให้พยาบาลยืนข้างผู้ป่วยคนละด้าน มือพยาบาลข้างใกล้ตัวผู้ป่วยสอดใต้รักแร้ผู้ป่วย อีกข้างหนึ่งจับปลายแขนหรือมือผู้ปุวยข้างเดิม ผู้ป่วยและพยาบาลทั้ง 2 คนเดินพร้อมกัน ถ้าผู้ป่วยเป็นลมพยาบาลทั้ง 2 คนเลื่อนมือข้างที่พยุงใต้รักแร้ไปข้างหน้าให้ลำแขนสอดอยู่ใต้รักแร้ น้ํ้าหนักตัวผู้ป่วยไว้พร้อมกับใช้สะโพกยันผู้ป่วยไว้แล้วค่อย ๆ พยุงผู้ป่วยลงบนพื้น
การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดินโดยพยาบาล 1คน
กรณีไม่ใช้เข็มขัด
ให้ใช้มือด้านใกล้ตัวจับที่ต้นแขนของผู้ป่วย มือไกลตัวจับที่ปลายแขนของผู้ป่วย ถ้าผู้ป่วยเป็นลมให้สอดแขนเข้าใต้รักแร้รับ
นํ้าหนักตัวผู้ป่วยและแยกเท้ากว้าง ดึงตัวผู้ป่วยขึ้นมาข้างตัวพยาบาลโดยใช้ สะโพกรับนํ้าหนักตัวผู้ป่วย และค่อยๆ วางตัวผู้ป่วยลงบนพื้น
กรณีใช้เข็มขัดหรือผ้าคาดเอว
เมื่อช่วยผู้ปุวยลงจากเตียงแล้ว พยาบาลยืนเยื้องด้านหลังผู้ป่วย ใช้มือ 2ข้างยืดเข็มขัดหรือผ้าคาดเอวเพื่อพยุงผู้ป่วยขณะผู้ป่วยเดิน วิธีนี้จะช่วยคงจุดศูนย์ถ่วงหรือใช้มือหนึ่งจับเข็มขัดบริเวณกึ่งกลางเอว อีกมือหนึ่งจับบริเวณต้นแขนของผู้ป่วยก้าวเดินช้า ๆ พร้อมกัน
การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดินด้วยอุปกรณ์ช่วยเดิน
การเตรียมผู้ป่วยก่อนการฝึกใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน
การฝึกในท่าตั้งตรง บนเตียงหรือเบาะ
การฝึกในราวคู่ขนาน เช่น ฝึกยืน ฝึกทรงตัว ฝึกท่าทางการเดิน
การฝึกความแข็งแรง ความทนทานและการประสานสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อ ที่ใช้ในการเดินด้วยอุปกรณ์ช่วยเดิน
การลงนํ้าหนักที่ขาเวลาเดิน
Partial weight bearing (PWB) 20-50%
Fullweight bearing (FWB) 100%
Toe touch weight bearing (TTWB) มากกว่า 20%
Weight bearing as tolerated (WB AS Tol.) เท่าที่ทนได้
Non weight bearing (NWB) 0%
ประโยชน์ของอุปกรณ์ช่วยเดิน
ช่วยแบ่งเบาหรือรับนํ้าหนักแทนขา 1 หรือ 2ข้าง
เมื่อมีข้อห้ามหรือมีการอ่อนแรงจนขาไม่สามารถรับนํ้าหนักได้
เพิ่มการพยุงตัว เพื่อให้สามารถทรงตัวได้
ช่วยแบ่งเบาหรือรับนํ้าหนักแทนขา 1 หรือ 2ข้าง
เมื่อมีข้อห้ามในการรับนํ้าหนักเต็มทั้งขาข้างนั้น
รูปแบบการเดิน
Three –point gait
เป็นรูปแบบการเดินที่ใช้บ่อยในผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพของขา 1 ข้าง เช่น ผู้ปุวยตัดขา 1 ข้าง ผู้ป่วยขาหัก 1 ข้าง
การเดินแบบนี้ใช้ได้ทั้งในกรณีที่ขาข้างนั้นไม่สามารถรับนํ้าหนักได้
และรับน้ าหนักได้เพียงบางส่วน ใช้ได้กับไม้คํ้ายัน และ Walker
Swing –to gait
วิธีนี้เหมาะที่สุดส าหรับผู้ปุวยที่มีการจำกัดในการ
ใช้ขาทั้ง 2ข้าง ร่วมกับมีความไม่มั่นคงของลําตัว สามารถใช้ได้กับไม้คํ้ายัน และ Walker
Two –point gait
เป็นรูปแบบการเดินที่มีความก้าวหน้าขึ้นจาก
Four –point gait ต้องใช้การทรงตัวและความมั่นคงมากกว่า
รูปแบบการเดินนี้มีการเคลื่อนไหวของแขนขาเหมือนการเดินตามธรรมชาติ ใช้ได้กับไม้คํ้ายันและไม้เท้า
Four –point gait
เป็นรูปแบบการเดินที่มีความมั่นคงมากที่สุด
โดยจะมีจุดรับน้ าหนัก 3จุด ในขณะที่ขา1ข้าง หรืออุปกรณ์ช่วยเดิน 1 ข้างกำลังเคลื่อนไหว ใช้ได้กับไม้คํ้ายันเท้าและไม้เท้า
Swing –through gait
เป็นรูปแบบการเดินที่ก้าวหน้ามาจาก
Swing –to gait วิธีนี้ทำให้เดินได้เร็วขึ้นกว่า Four –point gaitและ Swing –to gaitมีความมั่นคงน้อยที่สุดในรูปแบบการเดินทั้งหมด
ชนิดของอุปกรณ์ช่วยเดิน
Cane
Crutches
Walker หรือ Pick –up frames
Parallel bar
การช่วยเหลือผู้ป่วยเคลื่อนไหวบนเตียง
การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
การประเมินผู้ป่วยก่อนการเคลื่อนย้าย
ความมั่นคงในการคงท่าของผู้ป่วย
ส่วนที่จำเป็นต้องให้อยู่นิ่งๆ
ส่วนที่อ่อนแรงหรือพิการ
ผู้ป่วยอ่อนเพลียมากน้อยแค่ไหน
ท่าที่เป็นข้อห้ามของผู้ป่วย
ความต้องการการเคลื่อนย้ายเปลี่ยนท่าและความสุขสบายของผู้ป่วย
ความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง
วิธีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
พยาบาลยืนในท่าที่ถูกต้องมั่นคงและใช้หลักการ
ของกลไกการเคลื่อนไหวร่างกาย
นำหมอนหนุนศีรษะของผู้ป่วยออก วางหมอนที่พนักหัวเตียง
อุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นเอาออกจากเตียง
พยุงผู้ป่วยด้วยความนุ่มนวลและมั่นคง
แจ้งให้ผู้ป่วยทราบและบอกวิธีการให้ความร่วมมือถ้าทำได้
หลักการเคลื่อนย้ายผู้ปุวย
หาวิธีที่เหมาะสมเพื่อผ่อนแรงในการยกหรือเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ผู้ป่วยควรอยู่ใกล้พยาบาลมากที่สุด ยกตัวผู้ป่วยให้พ้นจากที่นอนเล็กน้อยเพื่อลดแรงเสียดทาน ใช้ผ้าขวางเตียงช่วยในการเคลื่อนย้ายผู้ปุวยแทนการเลื่อนผู้ป่วย
ให้สัญญาณเพื่อความพร้อมเพรียง ผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ควรหาผู้ช่วยเหลือตั้งแต่ 2คนขึ้นไปและให้สัญญาณขณะยก หรือใช้อุปกรณ์ที่ช่วยผ่อนแรง
ควรยืนในท่าที่ถูกต้องและมั่นคง ยืนแยกเท้าทั้งข้างห่างกันพอสมควร และเฉียงปลายเท้าไปตามทิศทางที่ต้องการเคลื่อนย้าย และอยู่ในสมดุลเมื่อต้องการเคลื่อนไปทางหัวเตียงหรือปลายเตียง หลังตรง ย่อเข่าและสะโพก
ควรจัดท่าผู้ป่วยให้นอนหงายราบอยู่ในท่าที่สบาย หันหน้าเข้าหาผู้ป่วยและไปในทิศทางที่จะเคลื่อนย้าย
ปฏิบัติการพยาบาลในการให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยบนเตียง
การจัดท่าผู้ปุวย
เพื่อให้ผู้ปุวยเกิดความสุขสบายขณะนอนพักบนเตียง
หรือเตรียมทำหัตถการ และปูองกันภาวะแทรกซ้อน
ที่เกิดจากท่านอนที่ไม่ถูกต้อง
การเตรียมตัวพยาบาลพยาบาล
ควรยืนในท่าที่ถูกต้องพยุงผู้ป่วยด้วยความนุ่มนวลและมั่นคง
การเตรียมผู้ป่วย
เอาหมอนหนุนศีรษะของผู้ป่วยออก
วางหมอนไว้ที่พนักหัวเตียงปรับระดับเตียงให้อยู่ในแนวราบ
พร้อมทั้งดูแลความปลอดภัยของผู้ป่วย
การประเมินผู้ป่วย
ท่าที่เหมาะสมและระยะเวลาที่ผู้ป่วยจะคงอยู่ในท่าที่เปลี่ยนให้ใหม่
ท่าที่เหมาะสมและระยะเวลาที่ผู้ป่วยจะคงอยู่ในท่าที่เปลี่ยนให้ใหม่
ปัญหาอื่นๆ ที่พบในผู้ปุวย เช่น ความผิดปกติเกี่ยวกับผิวหนัง กระดูก หลอดเลือด
ความสามารถของผู้ป่วยในการช่วยเหลือตนเอง
ความหมาย
การช่วยบุคคลที่ด้อยสมรรถภาพ ทางกาย จิตใจ บุคคลที่เจ็บปุวยเรื้อรัง หรือบุคคลที่อยู่ในระยะพักฟื้นเพื่อป้องกันความพิการหรือความด้อยสมรรถภาพที่อาจเกิดขึ้น
การออกกำลังกายและการเคลื่อนไหวร่างกาย
การออกกำลังกาย
การออกำลังกายชนิดที่ให้ผู้ปุวยำร่วมกับความช่วยเหลือของผู้อื่น
(Active assistive exercise)
การออกกำลังกายโดยให้กล้ามเนื้อทำงานแต่ข้อไม่เคลื่อน
(Isometric or Static exercise)
การออกกำลังกายโดยให้ผู้อื่นทำให้ผู้ป่วย (Passive exercise)
การออกกำลังกายให้ผู้ปุวยออกแรงต้านกับแรงอื่น (Resistive exercise)
การออกกำลังกายชนิดให้ผู้ป่วยทำเอง (Active or Isotonic Exercise)
การเคลื่อนไหวร่างกาย
ป้องกันไม่ให้เกิดอันตราย หรือมีความพิการของกระดูกและกล้ามเนื้อ
ลดการเมื่อยล้าหรือการใช้พลังงานมากเกินไป
ส่งเสริมและสนับสนุนการทำงานของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ
ผลกระทบจากการไม่เคลื่อนไหวร่างกาย
ระบบหัวใจและหลอดเลือด หัวใจทำงานมากขึ้น มีการคั่งของเลือดในหลอดเลือดดำที่ขา เกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ (Thrombus)
ความดันตํ่าขณะเปลี่ยนท่า (Orthostatic Hypotension)
ระบบทางเดินหายใจ ปอดขยายตัวลดลง (Decrease lung expansion)
มีการคั่งของเสมหะมากขึ้น
ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ กระดูกผุ เปราะบาง (Osteoporosis)
กล้ามเนื้ออ่อนแรง ลีบเล็ก (Muscle atrophy)
ระบบทางเดินอาหาร มีผลต่อการรับประทานอาหาร ทำให้เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย มีผลต่อการขับถ่าย ทำให้ท้องผูก (Constipation)
ระบบผิวหนังผิวหนังเสียหน้าที่ทำให้เกิดแผลกดทับ
(Bedsoreor Pressure sore or Decubitusulcer)
ระบบทางเดินปัสสาวะ การถ่ายปัสสาวะมากกว่าปกติในระยะแรกๆ (Diuresis) มีการคั่งของปัสสาวะในไตและกระเพาะปัสสาวะ (Urinary stasis) เกิดนิ่วในไตและกระเพาะปัสสาวะ (Renal Calculi)
ระบบเมตาบอลิซึมและการเผาผลาญอาหาร การเผาผลาญอาหารลดลง
มีระดับโปรตีนในกระแสเลือดลดตํ่าลง (Hypoproteinemia)
มีความผิดปกติด้านอัตมโนทัศน์และภาพลักษณ์ (Self concept and Body image)
กระบวนการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยก่อนและหลังผ่าตัด
การวางแผนการพยาบาล ให้การพยาบาล
และประเมินผลหลังให้การพยาบาล
ร่วมกันหาทางแก้ไขสาเหตุของความวิตกกังวลร่วมกับผู้ป่วยและญาติ
ดูแลความสุขสบายทั่วไป
เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยระบายความรู้สึก และค้นหาสาเหตุของความวิตกกังวล
จัดหมวดหมู่กิจกรรมการพยาบาลเพื่อลดการรบกวนผู้ป่วยและให้ผู้ปุวยได้พัก
ประเมินระดับความวิตกกังวล
รายงานแพทย์เมื่อพบอาการผิดปกติ
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
วิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและแผนการรักษา
วิตกกังวลเนื่องจากกลัวการผ่าตัด
การประเมินสภาพผู้ป่วย
รวบรวมข้อมูลที่จำเป็นเพื่อนำไปสู่การวางแผนการพยาบาล เช่น การปรับตัวและความทนทานต่อความเครียด ความรู้สึกของผู้ป่วยเมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลความยินยอมที่จะเข้ารับการผ่าตัดความรู้เกี่ยวกับโรคและการผ่าตัด