Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยในระยะก่อน-หลังผ่าตัดการเคลื่อนไหวและการออกก าลังกาย -…
การพยาบาลผู้ป่วยในระยะก่อน-หลังผ่าตัดการเคลื่อนไหวและการออกก าลังกาย
1 การพยาบาลผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
1.1 การประเมินผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
2.การตรวจร่างกาย
2)การชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง
3)การตรวจประเมินทางระบบหายใจ
1)สัญญาณชีพ
4)การตรวจร่างกายตามระบบ โดยเน้นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโรคหรือบริเวณที่จะทำการผ่าตัด
3.การส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1)ข้อบ่งชี้ของการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษอื่นๆ
Electrolytes
โรคไต โรคเบาหวาน ภาวะพร่องน้ำ ได้รับยาขับปัสสาวะ digoxin steroids
BUN/Creatinine
โรคไต โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ภาวะพร่องน้ำ
Urinalysis
Screening test สำหรับโรคไต การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
Blood sugar
โรคเบาหวาน ใช้ยากลุ่ม steroids
Complete blood count
ภาวะซีด เลือดออกผิดปกติ Chronic blood loss โรคไต โรคมะเร็ง
Liver function tests
โรคตับ ถุงน้ำดี ภาวะเลือดออกผิดปกติ ภาวะขาดสารอาหาร โรคพิษสุราเรื้อรัง ได้รับยาเคมีบำบัด
Coagulogram
โรคตับ เลือดออกผิดปกติ ได้รับยาปูองกันเลือดแข็งเป็นลิ่ม (Anticoagulants)
Chest X-ray
โรคหัวใจ โรคปอด โรคมะเร็ง สูบบุหรี่ ไอเรื้อรัง มีประวัติสัมผัสผู้ปุวยวัณโรค
ECG
โรคหัวใจ โรคปอด โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน
2)ข้อแนะนำการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ (Screening tests)
อายุ>45 ปี แข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว
CXR
ECG
CBC
อายุ>60 ปี แข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว
CXR
ECG
CBC
E'lytes
BUN/Cr
BS
อายุ≤45 ปี แข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว
CBC
ผู้ป่วยที่มารับการผ่าตัดใหญ่
CXR
ECG
CBC
E'lytes
BUN/Cr
BS
Coag
1.การซักประวัติ
3)ประวัติการแพ้ยาหรืออาหาร
4)การใช้ยา สารเสพติด การสูบบุหรี่ และดื่มสุรา
2)ประวัติการผ่าตัด และการได้รับยาระงับความรู้สึกก่อนหน้านี้
5)ประวัติของคนในครอบครัวหรือญาติที่มีปัญหาเกี่ยวกับการได้รับยาระงับความรู้สึก
1)ประวัติโรคประจำตัว
อาการ
ความรุนแรงของโรค
ภาวะแทรกซ้อนของโรค
ประวัติการรักษา
6)ประวัติเกี่ยวกับโรคของระบบต่างๆ ของร่างกาย
1.2 การเตรียมผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
1 การเตรียมผู้ป่วย
2)ด้านจิตใจ
การเยี่ยมผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
ควรได้รับการเตรียมทางจิตใจทุกคน
3) การให้คำแนะนำการปฏิบัติหลังผ่าตัด
(3)Straight Leg Raising Exercise (SLRE)
(4)Range of Motion (ROM)
(2)Quadriceps Setting Exercise (QSE)
(5)Deep-breathing exercises
(1)Early ambulation
(6)Effective cough
(7)Abdominal breathing
(8)Turning and ambulation
(9)Extremity exercise
(10)Pain management
1) ด้านร่างกาย
(4)ประเมินความสมบูรณ์ของร่างกายในการได้รับอาหารที่พอเหมาะ
(5)ภาวะสารน้ำและอีเล็คโทรลัยต์ในร่างกาย
(3)ระบบทางเดินปัสสาวะต้องประเมินสภาวะของไต
(6)การพักผ่อนและการออกกำลังกาย
(2)ระบบทางเดินหายใจ
(7)ให้คำแนะนำและข้อมูลต่างๆที่ผู้ปุวยควรทราบเพื่อลดความวิตกกังวล
(1)ระบบหัวใจและหลอดเลือด
2 การเตรียมผู้ป่วยก่อนวันที่ผ่าตัดมีดังนี้
การเตรียมผู้ปุวยก่อนวันที่ผ่าตัด
2)การขับถ่าย
3)การเตรียมผิวหนังก่อนผ่าตัด
(8)บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์และทวารหนัก เตรียมตั้งแต่ระดับสะดือลงมาถึงฝีเย็บและด้านในของต้นขาและก้น
(9)แขนข้อศอกและมือเตรียมบริเวณแขนข้างที่จะทำผ่าตัดทั้งด้านหน้าและด้านหลังจากหัวไหล่ถึงปลายนิ้วมือ
(7)ไตเตรียมด้านหน้าจากบริเวณรักแร้จนถึงบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์และต้นขา
(10)ตะโพกและต้นขาเตรียมบริเวณจากระดับเอวลงมาถึงระดับต่ำกว่าหัวเข่า
(6)บริเวณท้องต่ำกว่าสะดือ เตรียมบริเวณตั้งแต่ระดับราวนมลงมาถึงต้นขารวมทั้งบริเวณฝีเย็บด้วย
(11)การทำ Skin graftท าความสะอาดผิวหนังทั้งบริเวณ Donor site และ Recipient siteให้กว้าง
(5)บริเวณช่องท้องเตรียมตั้งแต่ระดับรักแร้ลงมาถึงฝีเย็บ
(12)หัวเข่าเตรียมจากขาหนีบถึงข้อเท้าข้างที่จะทำผ่าตัดโดยรอบ
(4)บริเวณทรวงอก เตรียมด้านหน้าจากคอตอนบนจนถึงระดับสะดือจากแนวยาวของหัวนมข้างที่ไม่ได้ทำผ่าตัดไปจนถึงกึ่งกลางหลังของข้างที่ทำและขนอ่อนของต้นแขนจนถึงต่ำกว่าข้อศอก1 นิ้ว
(13)ปลายขาเตรียมจากเหนือหัวเข่าประมาณ8 นิ้วลงมาถึงเท้าข้างที่จะผ่าตัดตัดเล็บเท้าให้สั้นและทำ
(3)บริเวณคอ เตรียมบริเวณจากใต้คางลงมาถึงระดับราวหัวนมและจากหัวไหล่ข้างขวาถึงข้างซ้าย
(14)เท้าเตรียมจากใต้หัวเข่าลงไปถึงเท้าข้างที่จะท าผ่าตัดตัดเล็บเท้าให้สั้นและท าความสะอาดเล็บด้วย
(2)บริเวณหูและปุ่มกระดูกมาสตอยด์ให้ เตรียมบริเวณกว้างเป็นวงรอบออกไปจากหูประมาณ1 –2 นิ้วโกนขนอ่อน
(15) ขั้นตอนการเตรียมผิวหนัง
เตรียมเครื่องใช้
บอกให้ผู้ป่วยทราบกั้นม่านดูให้มีแสงสว่างเพียงพอ
ปูผ้ายางรองกันเปื้อนบริเวณที่จะเตรียมผ่าตัด
ถ้าบริเวณที่เตรียมสกปรกมากให้เช็ดด้วยเบนซินแล้วฟอกด้วยสบู่
โกนขนหรือผม ถ้าขนหรือผมนั้นยาวใช้กรรไกรตัดให้สั้นก่อน
เมื่อโกนเสร็จใช้สบู่และน้ำล้างบริเวณนั้นให้สะอาดเช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาด
เก็บผมหรือขนใบมีดโกนที่ใช้แล้วห่อใส่กระดาษให้เรียบร้อย
การเตรียมเฉพาะที่อื่นๆ
(1)บริเวณศีรษะโกนผมบริเวณศีรษะออกเช็ดใบหูและท าความสะอาดช่องหู
1) อาหารและน้ำดื่ม
4)การดูแลสภาพร่างกายทั่วไป
(2)ในเช้าวันที่จะผ่าตัด
สังเกตภาวะทางอารมณ์ของผู้ป่วยความกลัวการผ่าตัด
สังเกตสภาพร่างกายทั่วไป
ห้ผู้ป่วยทำความสะอาดร่างกายเปลี่ยนชุดสำหรับใส่เพื่อผ่าตัดและหวีผมเก็บผมให้เรียบร้อยแล้วนอนพักอยู่บนเตียงตลอดเวลาจนกว่าจะไปห้องผ่าตัด
(1)ในคืนก่อนวันผ่าตัด
ของปลอมของมีค่าต่างๆถอดเก็บไว้ให้ญาติดูแลรักษา
สื่อไฟฟ้าต่างๆ
ให้ผู้ป่วยทำความสะอาดปากฟันถ้ามีฟันปลอมให้ถอดฟันปลอมออก
ไม่ให้ผู้ป่วยแต่งหน้าทาปากทาเล็บ
5)การให้ยาแก่ผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
แพทย์มักจะให้ยาในคืนวันก่อนผ่าตัดเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยคลายความวิตกกังวลและนอนหลับพักผ่อนได้ดี
6)เตรียมเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆที่พิเศษ
พยาบาลต้องเตรียมให้พร้อมเพื่อที่จะใช้หรือนำไปห้องผ่าตัด
7)แผ่นบันทึกรายงานต่างๆต้องบันทึกให้ครบและรวบรวมให้เรียบร้อยเพื่อส่งเข้าห้องผ่าตัด
8)การส่งผู้ป่วยไปห้องผ่าตัด
9)การดูแลครอบครัวผู้ป่วย
ควรให้ญาติมาดูแลให้กำลังผู้ป่วยคอยรับผู้ปุวยเมื่อออกจากห้องผ่าตัดพยาบาลควรพูดปลอบโยนญาติในกรณีที่ญาติมีความวิตกกังวล
10) การเตรียมผ่าตัดผู้ป่วยฉุกเฉิน
(3)ทำความสะอาดและเตรียมผิวหนังบริเวณที่จะผ่าตัดให้เรียบร้อย
(4)ให้ผู้ป่วยหรือญาติที่มีสิทธิทางกฎหมายเซ็นใบยินยอมผ่าตัด
(2)ให้ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อตรวจปัสสาวะและให้กระเพาะปัสสาวะว่าง
(5)ถ้าผู้ปุวยไม่มีญาติมาด้วยพยาบาลต้องถามหรือหาที่อยู่ของครอบครัวให้เร็วที่สุด
(1)เจาะเลือดเพื่อส่งตรวจCBC และ Blood group ทันทีให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำใส่สายยางทางจมูกเข้าไปในกระเพาะอาหารตามแผนการรักษา
(6)วัดและบันทึกอาการสัญญาณชีพ รวมทั้งการให้ยาก่อนผ่าตัดลงในใบแบบฟอร์มก่อนผ่าตัดและใบแบบฟอร์มบันทึกทางการพยาบาลให้เรียบร้อย
(7)สังเกตสภาพร่างกายทั่วไปอาการและสัญญาณชีพถ้าผิดปกติให้รีบรายงานแพทย์ทราบ
2 การพยาบาลผู้ป่วยหลังผ่าตัด
1.1 การประเมินสภาพผู้ป่วย
3 แบบแผนการขับถ่าย
ประวัติการเสียเลือด สารน้ำทางปัสสาวะ การขับถ่ายที่ปกติก่อนและหลังผ่าตัด
ลักษณะการเปลี่ยนแปลงในแบบแผนการขับถ่ายปัจจุบัน
การทำงานของไต
4 แบบแผนการรับรู้และการดูแลสุขภาพ
ประเมินความรู้ความเข้าใจ
การยอมรับในการผ่าตัดที่เกิดขึ้น
2 แบบแผนอาหารและการเผาผลาญ
ประวัติการได้รับและสูญเสียสารน้ำและเกลือแร่ ตั้งแต่ก่อนผ่าตัดจนถึงหลังผ่าตัด
ชนิดและปริมาณของสารน้ำที่ได้รับและออกจากร่างกาย ภาวะโภชนาการ
ปริมาณแคลอรี่ของอาหารที่ได้รับในแต่ละวัน
5 แบบแผนการปรับตัวและการเผชิญกับความเครียด
1 แบบแผนกิจกรรมและการออกกำลังกาย
1)ประวัติโรคหัวใจ โรคปอด เบาหวาน ความดันโลหิตสูงที่มีก่อนผ่าตัด
2)การเปลี่ยนแปลงสัญญาณชีพ
กิจกรรมการพยาบาลหลังผ่าตัด
4 การพยาบาลเพื่อส่งเสริมภาวะโภชนาการของผู้ป่วย
2)ดูแลให้ได้รับสารอาหารและพลังงานอย่างเพียงพอ
3)สังเกตและบันทึกอาการเปลี่ยนแปลงที่บ่งชี้ถึงการย่อยและดูดซึมอาหารผิดปกติ
1)กระตุ้นให้ผู้ป่วยลุกออกจากเตียง
5 การพยาบาลเพื่อส่งเสริมความสุขสบายและความปลอดภัยของผู้ป่วย
1)ดูแลความสุขสบายทั่วไป
2)การดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลเกี่ยวกับความสะอาดของร่างกายทั่วไป โดยเฉพาะช่องปาก อวัยวะสืบพันธุ์ และระบบขับถ่าย
3)ดูแลความปลอดภัยในรายที่ยังไม่ฟื้นจากยาสลบ หรือระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง ควรยกราวกั้นเตียงผู้ป่วยขึ้นก่อนออกจากเตียงผู้ป่วย
3 การพยาบาลเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดจากแผลผ่าตัด
ดูแลจัดท่าที่เหมาะสมเพื่อลดการดึงรั้งของแผลผ่าตัด
6 การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการหายของแผล
1)สังเกตและประเมินปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการหายของแผล
4)สอนและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลแผล และวิธีการส่งเสริมการหายของแผล
3)ทำความสะอาดแผลด้วยหลักปราศจากเชื้อ
2)สังเกตลักษณะแผลที่ผิดปกติ โดยเฉพาะแผลมีการติดเชื้อ
2 การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการท างานของระบบหัวใจและไหลเวียน
2)สังเกตลักษณะบาดแผลและปริมาณสิ่งคัดหลั่งต่างๆ ที่ออกจากร่างกายผู้ป่วย
3)ดูแลให้ได้รับสารน้ำ เลือด หรือพลาสมาทดแทนทางหลอดเลือดดำ
1)ตรวจวัดสัญญาณชีพทุก 15นาที 4ครั้ง ทุก 30นาที 4 ครั้ง และทุก 1ชั่วโมงจนสัญญาณชีพสม่ำเสมอ
4)ควรให้ผู้ป่วยนอนพักนิ่งๆ ในบริเวณที่มีเลือดออกมากๆ
5)เตรียมเครื่องมือเครื่องใช้ที่จ าเป็นให้พร้อมในรายที่มีภาวะช็อก
6)สังเกต บันทึก และติดตามผลการตรวจคลื่นหัวใจ
7)ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนทั้งร่างกาย และจิตใจ
7 การให้คำแนะนำก่อนกลับบ้านสำหรับผู้ป่วยหลังผ่าตัด
1)เรื่องการดูแลแผล การสังเกตอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อ
2)การเคลื่อนไหวหรือกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นข้อจ ากัดหลังผ่าตัด
3)การส่งเสริมภาวะโภชนาการของผู้ปุวย อาหารที่ควรรับประทานหรือควรงด การรับประทานยา การสังเกตอาการข้างเคียงของยาที่ได้รับ
4)การดูแลความสะอาดของร่างกาย
5)การมาตรวจตามแพทย์นัด
1 การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการหายใจให้โล่ง
5)กระตุ้นให้ทำกิจวัตรประจำวันด้วยตนเองเพื่อเพิ่มกิจกรรมการเคลื่อนไหวขณะอยู่บนเตียง
6)ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา
4)เปลี่ยนท่านอนหรือพลิกตะแคงตัวบ่อยๆ
7)สังเกตอาการบ่งชี้ภาวะแทรกซ้อนทางเดินหายใจ
3)กระตุ้นให้ผู้ป่วยหายใจเข้าออกลึกๆ และไออย่างมีประสิทธิภาพตามวิธีที่สอนผู้ป่วยก่อนการผ่าตัดและติดตามการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยหลังผ่าตัด
8)ถ้าผู้ป่วยมีอาการผิดปกติให้รีบรายงานแพทย์และให้ออกซิเจนตามแผนการรักษา
2)สังเกตการหายใจของผู้ป่วย
1)การจัดท่านอน ให้นอนราบไม่หนุนหมอน ตะแคงหน้าไปด้านใดด้านหนึ่ง
3 การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วย
2 การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
1หลักการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
6)ย่อเข่าและสะโพก
7)หาวิธีที่เหมาะสมเพื่อผ่อนแรงในการยกหรือเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
5)หลังตรง ป้องกันการปวดหลัง
8)ผู้ป่วยควรอยู่ใกล้พยาบาลมากที่สุด
4)ยืนแยกเท้าทั้งข้างห่างกันพอสมควร และเฉียงปลายเท้าไปตามทิศทางที่ต้องการเคลื่อนย้าย
9)ยกตัวผู้ป่วยให้พ้นจากที่นอนเล็กน้อยเพื่อลดแรงเสียดทาน
3)ควรยืนในท่าที่ถูกต้องและมั่นคง
10)ใช้ผ้าขวางเตียงช่วยในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแทนการเลื่อนผู้ป่วย
2)หันหน้าเข้าหาผู้ป่วยและไปในทิศทางที่จะเคลื่อนย้าย
11)ให้สัญญาณเพื่อความพร้อมเพรียง
1)ควรจัดท่าผู้ป่วยให้นอนหงายราบอยู่ในท่าที่สบาย
12)ผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ควรหาผู้ช่วยเหลือตั้งแต่ 2คนขึ้นไปและให้สัญญาณขณะยก หรือใช้อุปกรณ์ที่ช่วยผ่อนแรงมาใช้เมื่อจำเป็น
2การประเมินผู้ป่วยก่อนการเคลื่อนย้าย
4)ความมั่นคงในการคงท่าของผู้ป่วย
5)ส่วนที่จำเป็นต้องให้อยู่นิ่งๆ
3)ส่วนที่อ่อนแรงหรือพิการ
6)ผู้ป่วยอ่อนเพลียมากน้อยแค่ไหน
2)ท่าที่เป็นข้อห้ามของผู้ป่วย
7)ความต้องการการเคลื่อนย้ายเปลี่ยนท่าและความสุขสบายของผู้ป่วย
1)ความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง
3วิธีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
2)นำหมอนหนุนศีรษะของผู้ป่วยออก วางหมอนที่พนักหัวเตียง อุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นเอาออกจากเตียง
1)แจ้งให้ผู้ป่วยทราบและบอกวิธีการให้ความร่วมมือถ้าทำได้
3)พยาบาลยืนในท่าที่ถูกต้องมั่นคงและใช้หลักการของกลไกการเคลื่อนไหวร่างกาย
4)พยุงผู้ป่วยด้วยความนุ่มนวลและมั่นคง
3 การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดิน
1 การออกกำลังกายเพื่อเตรียมผู้ป่วยเดิน
3) กางและหุบข้อตะโพก เหยียดข้อเข่าและให้ข้อเท้างอเข้าหาปลายขา ยกขาข้างที่ทำไปที่ข้างเตียงทั้งสองด้าน สลับท ากับขาอีกข้างหนึ่ง
4) เหยียดข้อเข่า เหยียดขาพร้อมกับกดข้อเข่าลงกับที่นอน และยกส้นเท้าขึ้นจากเตียงสูงเท่าที่จะทำได้ สลับทำกับขาอีกข้างหนึ่ง
2) หมุนข้อตะโพก เหยียดขาทั้งสองข้าง หมุนเข้าหาตัวและหมุนออกจากตัวแล้วให้หมุนขาทั้งสองข้างเข้าหาตัวจนนิ้วหัวแม่เท้าชนกัน แล้วหมุนขาออกนอกตัวจนส้นเท้าทั้งสองข้างชนกัน
5) งอข้อเท้า หมุนข้อเท้าเข้าหาตัวและออกจากตัว โดยวิธีหมุนข้อเท้าเป็นวงรอบตามเข็มนาฬิกาและหมุนทวนเข็มนาฬิกา
1)ให้ผู้ป่วยงอและเหยียดข้อตะโพก โดยให้ผู้ป่วยนอนบนเตียง เหยียดขาออกและยกขึ้นแล้วงอเข่าและยกเข่าเข้าหาอกพร้อมงอเท้าให้นิ้วเท้าโค้งหาปลายขา
6) งอและเหยียดนิ้วเท้า
7) เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง ตะโพกต้นขาโดยการเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องแล้วคลายออกแล้วหายใจเข้าลึกๆ ให้กล้ามเนื้อหน้าท้องขยายมากที่สุด
2 การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดิน
1) การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดินโดยพยาบาล 1คน
(1)กรณีใช้เข็มขัดหรือผ้าคาดเอว
พยาบาลยืนเยื้องด้านหลังผู้ป่วย ใช้มือ 2ข้างยืดเข็มขัดหรือผ้าคาดเอวเพื่อพยุงผู้ป่วยขณะผู้ป่วยเดิน
(2)กรณีไม่ใช้เข็มขัด
ใช้มือด้านใกล้ตัวจับที่ต้นแขนของผู้ป่วย มือไกลตัวจับที่ปลายแขนของผู้ป่วย
2)การช่วยเหลือผู้ปุวยหัดเดินโดยพยาบาล 2คน
ให้พยาบาลยืนข้างผู้ป่วยคนละด้าน มือพยาบาลข้างใกล้ตัวผู้ป่วยสอดใต้รักแร้ผู้ป่วย อีกข้างหนึ่งจับปลายแขนหรือมือผู้ป่วยข้างเดิม ผู้ป่วยและพยาบาลทั้ง 2 คนเดินพร้อมกัน
1 การช่วยเหลือผู้ป่วยเคลื่อนไหวบนเตียง
1.2 ปฏิบัติการพยาบาลในการให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยบนเตียง
2) การเตรียมตัวพยาบาล
3) การจัดท่าผู้ป่วย
(1)ท่านอนหงาย
(2) ท่านอนตะแคง
(3) ท่านอนคว่ำ
(9) ท่านอนศีรษะต่ำปลายเท้าสูง
(4) ท่านอนตะแคงกึ่งคว่ำ
(7) ท่านอนหงายพาดเท้าบนขาหยั่ง
(5) ท่านั่งบนเตียง
(8) ท่านอนคว่ำคุกเข่า
(6) ท่านอนหงายชันเข่า
1)การเตรียมผู้ป่วย
1.1การประเมินผู้ป่วย
2)ท่าที่เหมาะสมและระยะเวลาที่ผู้ป่วยจะคงอยู่ในท่าที่เปลี่ยนให้ใหม่
3)ความยากลำบากและไม่สุขสบายในขณะเปลี่ยนท่าหรือเมื่ออยู่ในท่าที่จัดให้
1)ความสามารถของผู้ป่วยในการช่วยเหลือตนเอง
4)ปัญหาอื่นๆ ที่พบในผู้ป่วย
4 การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดินด้วยอุปกรณ์ช่วยเดิน
ประโยชน์ของอุปกรณ์ช่วยเดิน
1)ช่วยแบ่งเบาหรือรับน้ำหนักแทนขา 1 หรือ 2ข้าง เมื่อมีข้อห้ามในการรับน้ำหนักเต็มทั้งขา (Partial weight bearing) ข้างนั้น
2)ช่วยแบ่งเบาหรือรับน้ำหนักแทนขา 1 หรือ 2ข้าง เมื่อมีข้อห้ามหรือมีการอ่อนแรงจนขาไม่สามารถรับน้ำหนักได้ (Non –weight bearing)
3)เพิ่มการพยุงตัว (Support) เพื่อให้สามารถทรงตัวได้ (Balance)
การเตรียมผู้ป่วยก่อนการฝึกใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน
2)การฝึกในท่าตั้งตรง
3)การฝึกในราวคู่ขนาน
1)การฝึกความแข็งแรง
การลงน้ำหนักที่ขาเวลาเดิน
Non weight bearing (NWB)
ไม่ลงน้ำหนักของขาข้างที่เจ็บ
Toe touch weight bearing (TTWB)
เดินโดยเอาปลายเท้าข้างที่เจ็บแตะพื้น
Weight bearing as tolerated (WB AS Tol.)
เดินโดยขาข้างที่เจ็บลงน้ำหนักได้เต็มที่
Partial weight bearing (PWB)
เดินโดยลงน้ำหนักข้างที่เจ็บได้บางส่วน
Weight bearing as tolerated (WB AS Tol.)
เดินโดยขาข้างที่เจ็บลงน้ำหนักเท่าที่ทนไหว
รูปแบบการเดิน (Gait pattern)
3)Three –point gait เป็นรูปแบบการเดินที่ใช้บ่อยในผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพของขา 1 ข้าง
4)Swing –to gaitวิธีนี้เหมาะที่สุดส าหรับผู้ป่วยที่มีการจำกัดในการใช้ขาทั้ง 2ข้าง ร่วมกับมีความไม่มั่นคง
2)Two –point gait เป็นรูปแบบการเดินที่มีความก้าวหน้าขึ้นจาก Four –point gaitต้องใช้การทรงตัวและความมั่นคงมากกว่า
5)Swing –through gait มีความมั่นคงน้อยที่สุดในรูปแบบการเดินทั้งหมด
1)Four –point gaitเป็นรูปแบบการเดินที่มีความมั่นคงมากที่สุด
ชนิดอุปกรณ์
2)Walker หรือ Pick –up frames หมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอายุมากและการทรงตัวไม่ดีนัก
3)Cane เป็นการเดินด้วยไม้เท้าอันเดียว ผู้ป่วยต้องมีมั่นคงในการเดิน มักใช้กับผู้สูงอายุ หรือในผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีก
1)Parallel bar = ราวคู่ขนานราวเดิน
4)Crutches ( ไม้ยันรักแร้ , ไม้ค้ ายัน ) ใช้ได้กับผู้ป่วยที่ค่อนข้างแข็งแรง หรือมีการทรงตัวดี
วิธีการฝึกผู้ป่วยใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน
1)ไม้ค้ำยันรักแร้(Auxiliary crutches) เป็นอุปกรณ์ช่วยเดินที่ควรใช้เป็นคู่ เนื่องจากมีจุดยึดตอนบนอยู่ที่รักแร้ จึงช่วยพยุงตัวได้ดีและแบ่งรับน้ำหนักได้ถึง80% ของน้ำหนักตัว
2)Lofstrand crutchประกอบด้วยแกนอลูมิเนียม และมีด้ามมือจับ รวมทั้งห่วงคล้องรอบช่วงต้นของท่อนแขนส่วนปลาย
3)Platform crutchประกอบด้วยแกนอลูมิเนียม ยาวขึ้นจนถึงระดับข้อศอก และมีแผ่นรองรับท่อนแขนส่วนปลาย รวมทั้งมีมือจับ
4)ไม้เท้า(Cane)เป็นอุปกรณ์ช่วยเดินที่ใช้เพียงข้างเดียวเป็นส่วนใหญ่ มีทั้งชนิดขาเดียว และสามขา ให้ความมั่นคงไม่มาก และลดการลงน้ำหนักเฉพาะขาข้างใดข้างหนึ่งได้เพียง20 –25 % จึงใช้
5)ไม้เท้า3 ขา(Tripod cane) มีฐานกว้าง และมีจุดยันรับน้ำหนักที่พื้น3 จุด ทำให้มั่นคงกว่าไม้เท้าขาเดียว แต่มีข้อเสีย ถ้าผู้ป่วยไม่ยันลงน้ าหนักลงแกนกลางของไม้ ก็ทำให้เสียความมั่นคง นอกจากนี้ก็ไม่สามารถใช้เดินขึ้น–ลงบันไดได้
6)Walker จะให้Support มากที่สุดในช่วงการเดิน
4การออกกำลังกายและการเคลื่อนไหวร่างกาย
2 การเคลื่อนไหวร่างกาย
2 ป้องกันไม่ให้เกิดอันตราย หรือมีความพิการของกระดูกและกล้ามเนื้อ
3 ลดการเมื่อยล้าหรือการใช้พลังงานมากเกินไป
1 ส่งเสริมและสนับสนุนการทำงานของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ
3 ผลกระทบจากการไม่เคลื่อนไหวร่างกาย
4 ระบบทางเดินหายใจ
1)ปอดขยายตัวลดลง (Decrease lung expansion) เนื่องจากการนอนหงายทำให้แรงกดด้านหน้า
2)มีการคั่งของเสมหะมากขึ้น เนื่องจากการพัดโบกของ Cilia เพื่อพัดเสมหะจากทางเดินอากาศส่วนล่างสู่ส่วนบนลดลง และในท่านอนราบเสหะจะไหลมาสู่ส่วนล่างของหลอดลม ทำให้ส่วนบนของหลอดลมแห้งCilia โบกพัดได้ลำบาก
5ระบบทางเดินอาหาร
1)มีผลต่อการรับประทานอาหาร
2)มีผลต่อการขับถ่าย ทำให้ท้องผูก
3 ระบบหัวใจและหลอดเลือด
1)หัวใจทeงานมากขึ้น
2)มีการคั่งของเลือดในหลอดเลือดดeที่ขา
3)เกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ
4)ความดันต่ำขณะเปลี่ยนท่า
7 ระบบเมตาบอลิซึมและการเผาผลาญอาหาร
1)การเผาผลาญอาหารลดลง
2)มีระดับโปรตีนในกระแสเลือดลดต่ำลง
3)มีความผิดปกติด้านอัตมโนทัศน์และภาพลักษณ์
2 ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
1)กระดูกผุ เปราะบาง (Osteoporosis) พบบ่อยที่กระดูกขา ตัวกระดูกสันหลัง และกระดูกเท้า เนื่องจากมีการสลายตัวมากกว่าการสร้างกระดูก ภาวะการลงน้ำหนักหรือแรงกดต่อกระดูก
2)การประสานงานของกล้ามเนื้อแขนขาลดลงหรือไม่สัมพันธ์กัน
3)กล้ามเนื้ออ่อนแรง ลีบเล็ก (Muscle atrophy) การที่ใยกล้ามเนื้อไม่มีการหดหรือหดตัว ทำให้ขาดความตึงตัวและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลดลง
4)อาการปวดหลัง (Back pain) เกิดการท่านอนที่ไม่ถูกต้อง ศีรษะนอนหนุนหมอนสูงเกินไป ที่นอนนิ่มเกินไป แข็งเกินไป ทำให้ไม่สุขสบาย ปวดหลัง
6ระบบทางเดินปัสสาวะ
2)มีการคั่งของปัสสาวะในไตและกระเพาะปัสสาวะ
3)เกิดนิ่วในไตและกระเพาะปัสสาวะ
1)การถ่ายปัสสาวะมากกว่าปกติในระยะแรกๆ
1 ระบบผิวหนังผิวหนังเสียหน้าที่ทำให้เกิดแผลกดทับ
2) เซลล์ตายและลุกลามกลายเป็นแผล
3) การเสียดทาน (Friction) เมื่อผู้ป่วยถูกลากหรือเลื่อนตัว ทำให้ผิวหนังขูดกับที่นอน
1)เกิดแรงกดทับ (Pressure)ระหว่างปุ่มกระดูกกับที่นอนที่รองรับในการนอนในท่าต่าง ๆ ทำให้เซลล์ขาดออกซิเจน
4)แรงดึงรั้ง (Shearing force)เกิดจากแรงกดทับและการเสียดทานที่เกิดขึ้นพร้อมกัน
1 การออกกำลังกาย
3 การออกกำลังกายชนิดที่ให้ผู้ปวยทำร่วมกับความช่วยเหลือของผู้อื่น (Active assistive exercise)วิธีนี้ให้ผลดีกว่าวิธีที่ให้ผู้อื่นทำให้ผู้ป่วย เพราะเป็นการกระตุ้นให้กล้ามเนื้อมีการทำงานร่วมด้วย
4 การออกกำลังกายโดยให้กล้ามเนื้อทำงานแต่ข้อไม่เคลื่อน (Isometric or Static exercise) เพื่อเพิ่มความตึงตัวและแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ป้องกันกล้ามเนื้อลีบ
2 การออกกำลังกายโดยให้ผู้อื่นทำให้ผู้ป่วย (Passive exercise)เป็นการออกกำลังกายโดยการเคลื่อนไหวข้อต่างๆ ให้กับผู้ป่วยที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายด้วยตนเองได้หรือมีข้อจ ากัดในการเคลื่อนไหว
5 การออกกำลังกายให้ผู้ป่วยออกแรงต้านกับแรงอื่น (Resistive exercise)เป็นการใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ให้ผู้ป่วยออกแรงต้าน วิธีนี้ช่วยให้กล้ามเนื้อมีขนาดใหญ่ขึ้นมีความแข็งแรง และทำงานได้ดี
1 การออกกำลังกายชนิดให้ผู้ป่วยทำเอง (Active or Isotonic Exercise)ผู้ป่วยจะเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายด้วยตนเอง
5กระบวนการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยก่อนและหลังผ่าตัด
2 ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
1 วิตกกังวลเนื่องจากกลัวการผ่าตัด
2 วิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและแผนการรักษา
3 การวางแผนการพยาบาล ให้การพยาบาลและประเมินผลหลังให้การพยาบาล
3 ร่วมกันหาทางแก้ไขสาเหตุของความวิตกกังวลร่วมกับผู้ปุวยและญาติ
4 ดูแลความสุขสบายทั่วไป
2 เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยระบายความรู้สึก และค้นหาสาเหตุของความวิตกกังวล
5 จัดหมวดหมู่กิจกรรมการพยาบาลเพื่อลดการรบกวนผู้ปุวยและให้ผู้ป่วยได้พัก
1 ประเมินระดับความวิตกกังวล
6 รายงานแพทย์เมื่อพบอาการผิดปกติ
1การประเมินสภาพผู้ป่วย
รวบรวมข้อมูลที่จำเป็นเพื่อนำไปสู่การวางแผนการพยาบาล