Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคเบาหวาน - Coggle Diagram
การพยาบาลหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคเบาหวาน
อาการและอาการแสดง
1.ปัสสาวะมาก(Polyuria)พบถ่ายปัสสาวะมากทั้งกลางวันและกลางคืน
2.ดื่มน้ำมาก(polydipsia)เนื่องจากถ่ายปัสสาวะมากทำให้กระหายและดื่มมาก
3.รับประทานอาหารจุ(polyphagia)เนื่องจากร่างกายใช้คาร์โบไฮเดรตไม่ได้ทั้งๆที่ร่างกายต้องการ
4.น้ำหนักลด (weight loos) เนื่องจากร่างกายใช้ไขมันและโปรตีนที่สะสมในร่างกายสร้างพลังงานแทนคาร์โบไฮเดรต ทำให้ผอมลง มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย คันตามตัว มีการติดเชื้อง่าย
จำเเนกประเภทของเบาหวาน
1.เบาหวานก่อนตั้งครรภ์(pregestational diabetes mellitus or overt DM)
Type 1 ภูมิต้านทานของตนเองทำลายเบต้าเซลล์ของตับอ่อน ทำให้เบต้าเซลล์ไม่สร้างอินซูลิน จึงต้องให้อินซูลิน
Type 2 ร่างกายต่อต้านการใช้อินซูลินและมีการพร่องอินซูลิน(สร้างน้อย) สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม ไม่ต้องการรักษาด้วยอินซูลินแต่รักษาด้วยการออกกำลังกายและควบคุมอาหาร
การพยาบาล
ในระยะหลังคลอด
การดูแลผู้คลอดที่ได้รับอินซูลิน ต้องสังเกตอาการที่เกี่ยวกับผลการออกฤทธิ์เนื่องจากความต้องการของอินซูลินเปลี่ยนแปลงมากทันทีหลังคลอดต้องระวังการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
ป้องกันอัตรายจากภาวะแทรกซ้อนเช่น ตกเลือดหลังคลอดเนื่องจากมดลูกถูกยืดขยายมากขณะตั้งครรภ์ทำให้มดลูกหดรัดตัวไม่ดี ความดันโลหิตสูง ถ้าพบต้องรายงานแพทย์เพื่อให้การรักษา
แนะนำให้รับประทานอาหารให้ตรงเวลา รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และเหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย เพิ่มพลังงานในการดูแลบุตร แต่ไม่ควรรับประทานมากเกินไปจะทำให้คุมโรคเบาหวานไม่ดี
วางแผนครอบครัวโดยอธิบายถึงผลกระทบของการตั้งครรภ์ ภาวะแทรกซ้อนเพื่อช่วยให้ตัดสินใจเกี่ยวกับการมีบุตรคนต่อไปดีขึ้น
การคุมกำเนิดชั่วคราว
ไม่ควรใช้ยาคุมกำเนิดชนิดรับประทานที่เป็น combinded pill ที่ประกอบด้วยเอสโตรดจนและโประเจสเทอโรนเพราะมีผลกระทบต่อการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ควรใช้ยารับประทานโปรเจสเทอโรนอย่างเดียว(ชนิด low dose ขนาดประมาณ 0.35 mg การใส่ห่วงอนามัยไม่เหมาะสมเพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้บ่อย
การเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา สามารถให้เลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาได้ในรายที่มีอาการไม่รุนแรง ความต้องการอินซูลินอาจลดลงขณะให้นมบุตร
2.เบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational diabetes mellitus : GDM หรือ
Type III)
ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้ได้ ทำให้น้ำตาลเหลืออยู่ในกระแสเลือดมากกว่าปกติ
การตรวจคัดกรองและการวินิจฉัย
กลุ่มเป้าหมายสำหรับการตรวจคัดกรอง
1.ตรวจคัดกรองทุกรายในสตรีทุกรายที่มาฝากครรภ์ ตรวจหาน้ำตาลกลูโคสในปัสสาวะ โดยใช้ Urine strip
2.ตรวจสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน พิจารณาจากผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง
1.อายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป
2.ภาวะน้ำหนักเกินเกณฑ์หรืออ้วน BMI = 27กก/ม2 ขึ้นไป
3.มีประวัติเคยมีภาวะเบาหวานระหว่างการตั้งครรภ์ เมื่อครรภ์ก่อน
4.ให้ประวัติว่าปัสสาวะมาก กระหายน้ำมาก หิวบ่อย กินจุ อ่อนเพลีย เป็นอาการแสดงของการเป็นเบาหวาน
5.ตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะ
6.มีภาวะความดันโลหิตสูง BPมากกว่าหรือเท่ากับ140/90 mmHg
7.มีประวัติคนในครอบครัวเป็นเบาหวาน โดยเฉพาะบิดาและมารดา
8.การตั้งครรภ์ก่อนๆ มีประวัติของการแท้งเอง ทารกตายคลอดและการตั้งครรภ์แฝดน้ำ
9.เคยมีประวัติคลิดทารกมีลักษณะตัวโตกว่าอายุครรภ์(LGA) ทารกตัวโต(น้ำหนักแรกเกิด>4000 กรัม)
10.เคยคลอดทารกมีความพิการแต่กำเนิด
วิธีตรวจคัดกรอง
1.การตรวจแบบหนึ่งขั้นตอน
ไม่ใช้วิธีการตรวจคัดกรองแต่ใช้การวินิจฉัยโดยตรง ต้องได้รับคำแนะนำให้เตรียมตัวก่อนโดยงดอาหารและน้ำดื่ม อย่างน้อย8ชั่วโมง
2.การตรวจแบบสองขั้นตอน
ตรวจคัดกรองเป็นขั้นตอนแรกและตรวจนินิจฉัยเพิ่มเติมเฉพาะรายที่มีผลคัดกรองผิดปกติเท่านั้น
การรักษา
GDM Class 1
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในปกติโดยควบคุมอาหาร
พลังงานที่ร่างกายต้องการแต่ละวัน มีค่าเท่ากับ 30kgcal/kg/วันของน้ำหนักตัวก่อนตั้งครรภ์
GDM Class 2
ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติโดยการควบคุมอาหารเพียงอย่างเดียวจำเป็นให้การรักษาด้วยการฉีดยาอินสุลิน
ผลของการตั้งครรภ์ต่อโรคเบาหวาน
ต่อการตั้งครรภ์
ผลกระทบต่อมารดา
1.การแท้งบุตร (abortion)
2.การติดเชื้อ (infection)
ครรภ์แฝดน้ำ (Polyhydramnios)
ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (Pre-eclampia และ eclampsia)
หลอดเลือดถูกทำลาย (Vascular damage)
การคลอดยาก (Dystocia)
7.อัตราตายของมารดา (Maternal mortality)
8.รายที่มีอาการรุนแรงและได้รับการรักษาไม่ทัน ทำให้มีอาการของโรคไตและมีภาวะไตวาย
9.มีความวิตกกังวลและความกลัวทั้งอันตรายที่จะเกิดต่อตนเองและทารกในครรภ์
ผลกระทบต่อทารก
1.ความพิการแต่กำเนิด (congenital malformations)
2.ทารกเสียชีวิตในครรภ์
3.ทารกในครรภ์มีขนาดใหญ่กว่าปกติ (fetal macrosomia)
ในระยะหลังคลอด ผลต่อทารกแรกเกิด
ภาวะเลือดข้นและหนืดมากเกินไป (Polycythemia and hyperviscosity)
3.ภาวะตัวเหลืองหลังคลอด (hyperbilirubinemia)
1.ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Neonatal hypoglycemia)
4.ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ (hypocalcemia)
ภาวะหายใจลำบาก (respiratory distress syndrome)
สาเหตุ
ระหว่างตั้งครรภ์จะผลิตฮอร์โมนหลายชนิดเข้าไปในกระแสเลือดและขัดขวางการทำหน้าที่ของอินซูลิน ตับอ่อนจึงต้องผลิตมากกว่าปกติเพื่อชดเชย ถ้าตับอ่อนไม่สามารถผลิตเพิ่มขึ้นตามความต้องการจะทำให้มีระดับ glucose taterance test ผิดปกติระหว่างตั้งครรภ์