Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยในระยะก่อน-หลังผ่าตัด การเคลื่อนไหวและการออกกำลังกาย** -…
การพยาบาลผู้ป่วยในระยะก่อน-หลังผ่าตัด การเคลื่อนไหวและการออกกำลังกาย**
1. การพยาบาลผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
1. การปรเมินผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
1.1 การซักประวัติ ได้แก่
ประวัติโรคประจำตัว
ประวัติการผ่าตัด และการได้รับยาระงับความรู้สึกก่อนหน้านี้
ประวัติการแพ้ยาหรืออาหาร
การใช้ยา สารเสพติด การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา
ประวัติของคนในครอบครัวที่มีปัญหาเกี่ยวกับการได้รับยาระงับความรู้สึก ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคทางพันธุกรรม
ประวัติเกี่ยวกับโรคของระบบต่างๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ โรคลมชัก โรคที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด
1.2 การตรวจร่างกาย ได้แก่
สัญญาณชีพ
การชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง
การตรวจประเมินทางระบบหายใจ
การตรวจร่างกายตามระบบ โดยเน้นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโรคหรือบริเวณที่ผ่าตัด
1.3 การส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อให้ได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากการซักประวัติและตรวจร่างกาย สามารถใช้เป็น Screening tests นอกจากนี้จะช่วยยืนยันการวินิจฉัยโรค บอกถึงความรุนแรงของโรค
2. การเตรียมผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
การเตรียมผู้ป่วย
1.1 ด้านร่างกาย
ระบบหัวใจและหลอดเลือด ประเมินความสามารถในการทำงานของหัวใจ และหลอดเลือด
ระบบทางเดินหายใจ ประเมินสภาวะของปอดและหลอดลม
ระบบทางเดินปัสสาวะ ประเมินสภาวะของไต
ประเมินความสมบูรณ์ของร่างกายในการได้รับอาหารที่พอเหมาะ
ภาวะสารน้ำและอีเล็คโทรลัยต์ในร่างกาย ประเมินสภาวะความสมดุลของสารน้ำ
การพักผ่อนและการออกกำลังกาย
ให้คำแนะนำและข้อมูลต่างๆ ที่ผู้ป่วยควรทราบ
1.2 ด้านจิตใจ ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัด ควรได้รับการเตรียมทางจิตใจ ประเมินความวิตกกังวลก่อนผ่าตัด เพื่อช่วยลดความวิตกกังวล ความกลัวต่างๆ
1.3 การให้คำแนะนำการปฏิบัติหลังผ่าตัด
Early ambulation ยกเว้นมีข้อห้ามหรือการผ่าตัดบางอย่างที่ต้องให้ผู้ป่วย Abusolute bed rest
Quadriceps Setting Exercise (QSE) เป็นการออกกำลังกายกล้ามเนื้อต้นขา
Straight Leg Raising Exerise (SLRE) เป็นการออกกำลังขา ข้อสะโพกและกล้ามเนื้อต้นขาแบบยกขาขึ้นตรงๆ
Range of Motion (ROM) เป็นการออกกำลังข้อโดยมีการเคลื่อนไหวในทุกทิศทางปกติของข้อต่างๆ
Deep-breathing exercises โดยจัดผู้ป่วยให้อยู่ในท่านอนหงายศีรษะสูง วางมือทั้ง 2 ข้างบนหน้าอกส่วนล่าง แล้วให้กำมือหลวมๆ
Effective cough โดยให้ผู้ป่วยอยู่ในท่างนั่งเอนไปข้างหน้าเล็กน้อย ประสานมือทั้ง 2 ข้าง กดเบาๆเหนือบริเวณที่คิดว่าจะมีแผลผ่าตัด
Abdominal breathing บางรายมีอาการปวดแผลหรือรับการผ่าตัดบริเวณทรวงอก ให้หายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องแทนทรวงอก
Turning and ambulation ควรทำทุก 2 ช.ม. เช่น พลิกตัวไปทางขวาขยับตัวไปทางซ้าย มือซ้ายจับราวกั้นเตียงซ้าย แล้วพลิกมาทางขวา
Extremity exercise ให้ผู้ป่วยนอนในท่าหัวสูงเล็กน้อยหรือนอนในท่าที่สบาย ทำการออกกำลังแขนหรือขาทีละข้าง
Pain management หลังผ่าตัดผู้ผ่ายจะได้รับการระงับความเจ็บปวดด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง
การเตรียมผู้ป่วยก่อนวันที่ผ่าตัด
อาหารและน้ำดื่ม ควรงดอาหารก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 8 ชั่วโมง
การขับถ่าย ถ้าผ่าตัดเล็ก ให้รับประทานยาระบก่อนวันผ่าตัด แต่ถ้าผ่าตัดใหญ่จะมีการสวนอุจจาระก่อนผ่าตัด
การเตรียมผิวหนังก่อนผ่าตัด จะต้องทำความสะอาดบริเวณที่จะผ่าตัด ดังนี้
บริเวณศีรษะ เตรียมบริเวณลงมาถึงแนวกระดูกไหปลาร้าทั้งหน้าและหลัง ไม่ต้องเตรียมบริเวณใบหน้า
บริเวณหูและปุ่มกระดูกมาสตอยด์ เตรียมบริเวณกว้างเป็นวงรอบออกไปจากหู
บริเวณคอ เตรียมบริเวณจากใต้คางลงมาถึงระดับราวหัวนม
บริเวณทรวงอก เตรียมด้านหน้าจากคอตอนบนถึงระดับสะดือจากแนวยาวของหัวนมข้างที่ไม่ได้ผ่าไปถึงกึ่งกลางหลังของข้างที่ทำ
บริเวณช่องท้อง เตรียมตั้งแต่ระดับรักแร้ลงมาถึงฝีเย็บ
บริเวณท้องต่ำกว่าสะดือ เตรียมบริเวณตั้งแต่ระดับราวนมลงมาถึงต้นขา รวมทั้งบริเวณฝีเย็บด้วยั
ไต เตรียมด้านหน้าจากบริเวณรักแร้จนถึงบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์และต้นขาทั้ง 2 ข้าง
บริเวณอวัยวสืบพันธุ์และทวารหนัก เตรียมตั้งแต่ระดับสะดือ ลงมาถึงฝีเย็บ และด้านในของต้นขาและก้น
แขน เตรียมบริเวณแขนข้างที่จะทำผ่าตัดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง จากหัวไหล่ถึงปลายนิ้วมือ
ตะโพกและต้นขา เตรียมบริเวณระดับเอวลงมาถึงระดับต่ำกว่า หัวเข่า ข้างที่จะทำ 6 นิ้ว ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง ด้านข้าง
การทำ Skin graft ทำความสะอาดผิวหนังทั้งบริเวณ Donor site และ Recipient site ให้กว้าง
หัวเข่า เตรียมจากขาหนีบถึงข้อเท้าข้างที่จะทำผ่าตัดโดยรอบ
ปลายขา เตรียมจากเหนือหัวเข่า ประมาณ 8 นิ้ว ลงมาถึงเท้าข้างที่จะผ่าตัด
เท้า เตรียมจากใต้หัวเข่าลงไปถึงเท้าข้างที่จะทำผ่าตัด ตัดเล็บให้สั้นและทำความสะอาด
ขั้นตอนการเตรียมผิวหนัง มีดังนี้
เตรียมเครื่องใช้ ประกอบด้วย ถาดสี่เหลี่ยมบรรจุมีดโกนหนวด กรรไกร ผ้าก๊อส กระดาษรองขนหรือผม ผ้ายางรองกันเปื้อน
บอกให้ผู้ป่วยทราบ กั้นม่าน ดูให้มีแสงสว่างเพียงพอ
ปูผ้ายางรองกันเปื้อนบริเวณที่จะเตรียมผ่าตัด
ถ้าบริเวณที่เตรียมสกปรกมาก ให้เช็ดด้วยเบนซินแล้วฟอกด้วยสบู่ ถ้าไม่สกปรกให้ฟอกด้วยน้ำสบู่ธรรมดา ล้างบริเวณนั้นด้วยน้ำให้สะอาด
โกนขน หรือผม ถ้าขนหรือผมนั้นยาวให้กรรไกรตัดให้สั้นก่อน
เมื่อโกนเสร็จใช้สบู่และน้ำล้างบริเวณนั้นให้สะอาด เช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาด
เก็บผมหรือขน ใบมีดโกนที่ใช้แล้วห่อใส่กระดาษให้เรียบร้อย แยกใบมีดโกนออกต่างหาก
การเตรียมเฉพาะที่อื่นๆ ได้แก่ บริเวณช่องคลอด นอกจากต้องโกนขนและทำความสะอาด อาจต้องสวนล้างช่องคลอด ด้วยน้ำยาระงับเชื้อ
การดูแลสภาพร่างกายทั่วไป ดังนี้
1.1 ในคืนก่อนวันผ่าตัด
ให้ผู้ป่วยทำความสะอาดปาก ฟัน
ของปลอม ของมีค่าต่างๆ ถอดเก็บไว้ให้ญาติดูแลรักษา
สื่อไฟฟ้าต่างๆ เช่น กิ๊บที่ทำด้วยโลหะ ที่คาดผมที่ทำด้วยโลหะ
ไม่ให้ผู้ป่วยแต่งหน้า ทาปาก ทาเล็บ
1.2 ในเช้าวันที่จะผ่าตัด
ให้ผู้ป่วยทำความสะอาดร่างกาย เปลี่ยชุดสำหรับใส่เสื้อผ้าผ่าตัด
สังเกตภาวะทางอารมณ์ของผู้ป่วย ความกลัวการผ่าตัด
สังเกตสภาพร่างกายทั่วไป วัดและบันทึกสัญญาณชีพ อาการของผู้ป่วยลงในใบแบบฟอร์มผ่าตัด
การให้ยาแก่ผู้ป่วยก่อนผ่าตัด มักจะให้ยาในคืนวันก่อนผ่าตัดเพื่อช่วยให้คลายความวิตกกังวลและนอนหลับพักผ่อนได้ดี
เตรียมเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ที่พิเศษ เช่น สายใส่จมูกถึงกระเพาะอาหาร ชุดให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ เครื่องมือผ่าหลอดเลือด เครื่องดูดเสมหะ
แผ่นบันทึกรายงานต่างๆ ต้องบันทึกให้ครบ และรวบรวมให้เรียบร้อย
การส่งผู้ป่วยไปห้องผ่าตัด ให้ผู้ป่วยนอนบนรถนอน
การดูแลครอบครัวผู้ป่วย พยาบาลต้องแจ้งให้ครอบครัวทราบถึงเวลาที่ผู้ป่วยจะเข้าห้องผ่าตัด ควรให้ญาติมาดูแล ให้กำลังใจ
การเตรียมผ่าตัดผู้ป่วยฉุกเฉิน ที่ต้องผ่าตัดฉุกเฉินจากสาเหตุใดก็ตาม
4. การออกกำลังกายและการเคลื่อนไหวร่างกาย
1.1 การออกกำลังกาย
การออกกำลังกายชนิดให้ผู้ป่วยทำเอง (Active or lsotonic Exercise) ผู้ป่วยจะเคลื่อนไหวส่วนต่างๆของร่างกายด้วยตนเอง
การออกกำลังกายโดยให้ผู้อื่นทำให้ (Passive exercise) เป็นการออกกำลังกายโดยการเคลื่อนไหวข้อต่างๆให้กับผู้ป่วยที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวด้วยตนเองได้
การออกกำลังกายชนิดที่ให้ผู้ป่วยทำร่วมกับความช่วยเหลือของผู้อื่น (Active assistive exercise) วิธีนี้ให้ผลดีกว่าวิธีที่ให้ผู้อื่นทำให้ผู้ป่วย
การออกกำลังกายโดยให้กล้ามเนื้อทำงานแต่ข้อไม่เคลื่อน (Isometric or Static exercise) เพื่อเพิ่มความตึงตัวและแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ป้องกันกล้ามเนื้อลีบ
การออกกำลังกายให้ผู้ป่วยออกแรงต้านกับแรงอื่น (Resistive exercise) เป็นการใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ให้ผู้ออกแรงต้าน วิธีนี้ช่วยให้กล้ามเนื้อมีขนาดใหญ่ขึ้น
1.2 การเคลื่อนไหวร่างกาย
หมายถึง การเคลื่อนไหวร่างกายใดๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะในบ้าน ที่ทำงาน หรือแม้แต่สันทนาการใดๆ เช่น การออกกำลังกาย การเข้าร่วมเล่นกีฬา
กลไลการเคลื่อนไหวร่างกาย คือ การใช้ร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ มีการประสานงานกันในการเคลื่อนไหวและดำรงความสมดุลระหว่างการมีกิจกรรม การที่ร่างกายมีการทรงตัวที่ดีและมีการเคลื่อนไหวได้อย่างถูกต้องทำให้เกิดผลดีต่อร่างกาย ดังนี้
ส่งเสริมและสนับสนุนการทำงานของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ
ป้องกันไม่ให้เกิดอันตราย หรือมีความพิการของกระดูก และกล้ามเนื้อ
ลดการเมื่อยล้า หรือการใช้พลังงานมากเกินไป
1.3 ผลกระทบจากการไม่เคลื่อนไหวร่างกาย
ระบบผิวหนัง เสียหน้าที่ทำให้เกิดแผลกดทับ พบในผู้ป่วยสูงอายุ ผู้ป่วยที่อ้วนมากหรือผอมมาก ผู้ป่วยที่ได้รับยาระงับประสาท
ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
กระดูกผุ เปราะบาง
การประสานงานของกล้ามเนื้อแขนขาลดลงหรือไม่สัมพันธ์กัน
กล้ามเนื้ออ่อนแรง ลีบเล็ก
อาการปวดหลัง
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
หัวใจทำงานมากขึ้น
มีการคั่งของเลือดในหลอดเลือดดำที่ขา
เกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ
ความดันต่ำขณะเปลี่ยนท่า
ระบบทางเดินหายใจ
ปอดขยายตัวลดลง
มีการคั่งของเสมหะมากขึ้น
ระบบทางเดินอาหาร
มีผลต่อการรับประทานอาหาร ทำให้เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย
มีผลต่อการขับถ่าย ทำให้ท้องผูก
ระบบทางเดินปัสสาวะ
การถ่ายปัสสาวะมากกว่าปกติในระยะแรกๆ
มีการคั่งของปัสสาวะในไตและกระเพาะปัสสาวะ
เกิดนิ่วในไตและกระเพาะปัสสาวะ
ระบบเมตาบอลิซึมและการเผาผลาญอาหาร
การเผาผลาญอาหารลดลง
มีระดับโปรตีนในกระแสเลือดลดต่ำลง
มีความผิดปกติด้านอัตมโนทัศน์และภาพลักษณ์
2.การพยาบาลผู้ป่วยหลังผ่าตัด
1. การประเมินสภาพผู้ป่วย
1.1 แบบแผนกิจกรรมและการออกกำลังกาย ได้แก่
ประวัติโรคหัวใจ โรคปอด เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ที่มีก่อนผ่าตัด
การเปลี่ยนแปลงสัญญาณชีพ บ่งบอกการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด
1.2 แบบแผนอาการและการเผาผลาญ ได้แก่ ประวัติการได้รับและสูญเสียสารน้ำและเกลือแร่ ตั้งแต่ก่อนผ่าจนถึงหลังผ่าตัด ชนิดและปริมาณของสารน้ำที่ได้รับและออกจากร่างกาย ภาวะโภชนาการ และปริมาณแคลอรี่ของอาหารที่ได้รับในแต่ละวัน
1.3 แบบแผนการขับถ่าย ประเมินเรื่องต่อไปนี้
ประวัติการเสียเลือด สารน้ำทางปัสสาวะ
ลักษณะการเปลี่ยแปลงในแบบแผนการขับถ่ายปัจจุบัน
การทำงานของไต
1.4 แบบแผนการรับรู้และการดูแลสุขภาพ ได้แก่ ประเมินความรู้ความเข้าใจ และการยอมรับในการผ่าตัดที่เกิดขึ้น
1.5 แบบแผนการปรับตัวและการเผชิญกับความเครียด ประเมินการรับรู้ และวิธีการเปลี่ยนแปลงความเครียด
2. กิจกรรมการพยาบาลหลังผ่าตัด
1.1 การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการหายใจให้โล่ง และคงไว้ซึ่งการทำงานระบบหายใจ ภายหลังการผ่าตัดระยะแรก ภาวะพร่องออกซิเจนเป็นภาวะที่พบได้บ่อย
การจัดท่านอน ให้นอนราบไม่หนุนหมอน ตะแคงหน้าไปด้านใดด้านหนึ่ง
สังเกตการหายใจของผู้ป่วย เช่น การหายใจเร็วตื้นจากการค้างของฤทธิ์ยาสลบ
กระตุ้นให้ผู้ป่วยหายใจเข้าออกลึกๆ และไออย่างมีประสิทธิภาพตามวิธีที่สอน
เปลี่ยนท่านอนหรือพลิกตะแคงตัวบ่อยๆ ในรายที่ไม่รู้สึกตัวควรพลิกให้ทุก 1-2 ชั่วโมง
กระตุ้นให้ทำกิจวัตรประจำวันด้วยตนเองเพื่อเพิ่มกิจกรรมการเคลื่อนไหวขณะอยู่บนเตียง
ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาปฏิชีวนะ
สังเกตอาการบ่งชี้ภาวะแทรกซ้อนทางเดินหายใจ
ถ้าผู้ป่วยมีอาการผิดปกติให้รีบรายงานแพทย์และให้ออกซิเจนตามแผนการรักษา
1.2 การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการทำงานของระบบหัวใจและไหลเวียน ปัญหาด้านระบบไหลเวียนที่พบบ่อยหลังผ่าตัด
ตรวจวัดสัญญาณชีพทุก 15 นาที 4 ครั้ง ทุก 30 นาที 4 ครั้ง และทุก 1 ชั่วโมงจนสัญญาณชีพสม่ำเสมอ
สังเกตลัษณะบาดแผลและปริมาณสิ่งคัดหลั่งต่างๆ ที่ออกจากร่างกายผู้ป่วย
ดูแลให้ได้รับสารน้ำ เลือด หรือพลาสมาทดแทนทางหลอดเลือดดำ ตามแผนการรักษา
ควรให้ผู้ป่วยนอนพักนิ่งๆ ในบริเวณที่มีเลือดออกมาๆ เพื่อลดการเคลื่อนไหว
เตรียมเครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นให้พร้อมในรายที่มีภาวะช็อก เช่น อุปกรณ์ดูดเสมหะ อุปกรณ์ให้ออกซิเจน
สังเกต บันทึก และติดตามผลการตรวจคลื่นหัวใจโดยเฉพาะในรายที่มีการเต้นหัวใจผิดปกติ
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนทั้งร่างกาย จิตใจ
1.3 การพยาบาลเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดจากแผลผ่าตัด โดยประเมินความเจ็บปวดของผู้ป่วยโดยใช้ Pain scale ดูและให้ได้รับยาแก้ปวดตามแผนการรักษา ดูแลจัดท่าที่เหมาะสมเพื่อลดการดึงรั้งของแผลผ่าตัด
1.4 การพยาบาลเพื่อส่งเสริมภาวะโภชนาการของผู้ป่วย เพื่อลดอาการท้องอืด แน่นท้อง คลื่นไส้
กระตุ้นให้ผู้ป่วยลุกออกจากเตียง จัดท่านอนศีรษะสูงเพื่อลดอาการแน่นทอ้ง
ดูแลให้ได้รับสารอาหารและพลังงานเพียงพอ ในรายที่มีปัญหาในการรับประทาน เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ดูแลให้รับประทานอาหารทางปาก
สังเกตและบันทึกอาการเปลี่ยแปลงที่บ่งชี้ถึงการย่อยและดูดซึมอาหารผิดปกติ
1.5 การพยาบาลเพื่อส่งเสริมความสุขสบายและความปลอดภัยของผู้ป่วย
ดูแลความสุขสบายทั่วไป เช่น การนอนหลับ อาการคลื่นไส้ การปวดถ่ายปัสสาวะ
การดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลเกี่ยวกับความสะอาดของร่างกายทั่วไป
ดูแลความปลอดภัยในรายที่ยังไม่ฟื้นจากยาสลบ
1.6 การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการหายของแผล
สังเกตและประเมินปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการหายของแผล
สังเกตลัษณะแผลที่ผิดปกติ
ทำความสะอาดแผลด้วยหลักปราศจากเชื้อ
สอนและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลแผล
1.7 การให้คำแนะนำก่อนกลับบ้านสำหรับผู้ป่วยหลังผ่าตัด
เรื่องการดูแลแผล การสังเกตอาการ
การเคลื่อนไหวหรือกิจกรรมต่างๆ
การส่งเสริมภาวะโภชนาการของผู้ป่วย
การดูแลความสะอาดของร่างกาย
การมาตรวจตามแพทย์นัด
3. การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วย
1. การช่วยเหลือผู้ป่วยเคลื่อนไหวบนเตียง
1.1 การประเมินผู้ป่วย พยาบาลจะให้การช่วยเหลือผู้ป่วยนั้นควรทราบข้อมูลของผู้ป่วย
ความสามารถของผู้ป่วยในการช่วยเหลือตนเอง
ท่าที่เหมาะสม และระยะเวลาที่ผู้ป่วยจะคงอยู่ในท่าที่เปลี่ยนให้ใหม่
ความยากลำบากและไม่สุขสบายในขณะเปลี่ยนท่าหรือเมื่ออยู่ในท่าทีจัดให้
ปัญหาอื่นๆ ที่พบในผู้ป่วย เช่น ความผิดปกติเกี่ยวกับผิวหนัง
1.2 ปฏิบัติการพยาบาลในการให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยบนเตียง
การเตรียมผู้ป่วย ให้เอาหมอนหนุนศีรษะของผู้ป่วยออก วางหมอนไว้ที่พนักหัวเตียง ปรับระดับเตียงให้อยู่ในแนวราบพร้อมทั้งดูความปลอดภัย
การเตรียมตัวพยาบาล พยาบาลควรยืนในท่าที่ถูกต้อง พยุงผู้ป่วยด้วยความนุ่มนวลและมั่งคง
การจัดท่าผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความสุขสบายขณะนอนพักบนเตียงหรือเตรียมทำหัตถการ
2. การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
1.1 หลักการเคลื่อนย้ายผูู้ป่วย
ควรจัดท่าผู้ป่วยให้นอนหงายราบอยู่ในท่าที่สบาย
หันหน้าเข้าหาผู้ป่วยและไปในทิศทางที่จะเคลื่อนย้าย
ควรยืนในท่าที่ถุกต้องและมั่นคง
ยืนแยกเท้าทั้งสองข้างห่างกันพอสมควร
หลังตรง ป้องกันการปวดหลัง
ย่อเข่าและสะโพก
หาวิธีที่เหมาะสมเพื่อผ่อนแรงในการยกหรือเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
ผู้ป่วยควรอยู่ใกล้พยาบาลมากที่สุด
ยกตัวผู้ป่วยให้พ้นจากที่นอนเล็กน้อยเพื่อลดแรงเสียดทาน
ใช้ผ้าขวางเตียงช่วยในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
ให้สัญญาณเพื่อนความพร้อมเพรียง
ผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ควรหาผู้ช่วยเหลือตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
1.2 การประเมินผู้ป่วยก่อนการเคลื่อนย้าย
ความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง
ท่าที่เป็นข้อห้ามของผู้ป่วย
ส่วนที่อ่อนแรงหรือพิการ
ความมั่นคงในการคงท่าของผู้ป่วย
ส่วนที่จำเป็นต้องให้อยู่นิ่งๆ
ผู้ป่วยอ่อนเพลียมากน้อยแค่ไหน
ความต้องการการเคลื่อนย้ายเปลี่ยนท่าและความสุขสบายของผู้ป่วย
1.3 วิธีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
แจ้งให้ผู้ป่วยทราบและบอกวิธีการให้ความร่วมมือถ้าทำได้
นำหมอนหนุนศีรษะของผู้่วยออก วางหมอนที่พนักหัวเตียง
พยาบาลยืนในท่าที่ถูกต้องมั่นคงและใช้หลักการของกลไกการเคลื่อนไหวร่างกาย
พยุงผู้ป่วยด้วยความนุ่มนวลและมั่นคง
3. การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดิน
1.1 การออกกำลังกายเพื่อเตรียมผู้ป่วยเดิน
ให้ผู้ป่วยงอและเหยียดข้อตะโพก โดยผู้ป่วยนอนบนเตียง เหยียดขาออกและยกขึ้นแล้วงอเข่าและยกเข่าเข้าหาอกพร้อมงอเท้า
หมุนข้อตะโพก เหยียดข้าทั้งสองข้าง หมุนเข้าหาตัวและหมุนออกจากตัวแล้วให้หมุนขาทั้งสองข้างเข้าหาตัวตนนิ้วหัวแม่เท้าชนกัน
กางและหุบข้อตะโพก เหยียดข้อเข่าและให้ข้อเท้างอเข้าหาปลายขา ยกขาข้างที่ทำไปข้างเตียงทั้งสองด้าน
เหยียดข้อเข่า เหยียดขาพร้อมกับกดข้อเข่าลงกับที่นอน และยกส้นเท้าขึ้นจากเตียงสูงเท่าที่จะทำได้
งอข้อเท้า หมุนข้อเท้าเข้าหาตัวและออกจากตัว
งอและเหยียดนิ้วเท้า
เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง ตะโพก ต้นขา โดยการเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องแล้วคลายออก
1.2 การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดิน
การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดินโดยพยาบาล 1 คน
กรณีใช้เข็มขัดหรือผ้าคาดเอว พยาบาลยืนเยื้องด้านหลังผู้ป่วย ใช้มือ 2 ข้างยืนเข็มขัดหรือผ้าคาดเองเพื่อพยุงผู้ป่วยขณะเดิน
กรณีไม่ใช้เข็มขัด ใช้มือด้านใกล้ตัวจับที่ต้นแขนของผู้ป่วย มือไกลตัวจับที่ปลายแขนของผู้ป่วย
การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดินโดยพยาบาล 2 คน ให้ยืนข้างผู้ป่วยคนละด้าน มือข้างใกล้ตัวผู้ป่วยสอดใต้รักแร้ผู้ป่วย อีกข้างหนึ่งจับปลายแขนหรือมือผู้ป่วยข้างเดิม ผู้ป่วยและพยาบาลทั้ง 2 คนเดินพร้อมกัน
4. การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดินด้วยอุปกรณ์ช่วยเดิน
1.1 ชนิดของอุปกรณ์ช่วยเดิน
Parallel bar = ราวคู่ขนาน ราวเดิน เหมาะสำหรับการฝึกเดินครั้งแรกของผู้ป่วย
Walker หรือ Pick-up frames เช่น Standard walker, Rolling walker, Reciprocal walker, Hemi walker นิยมใช้ คือ Standard walker เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอายุมากและการทรงตัวไม่ดี
Cane เช่น Walk cane, Tripod cane, Quad cane, Standard cane เป็นการเดินด้วยไม้เท้าอันเดียว ใช้กับผู้สูงอายุ
Crutches (ไม้ยันรักแร้ , ไม้ค้ำยัน) เช่น Auxiliary crutches, Platform crutches, Forearm crutch, Gutter นิยมใช้ Auxiliary crutches ใช้กับผู้ป่วยที่ค่อนข้างแข็งแรง เช่น ผู้ป่วยอายุ 5-50 ปี ที่ขาได้รับอันตราย
1.2 ประโยชน์ของอุปกรณ์ช่วยเดิน
ช่วยแบ่งเบาหรือรับน้ำหนักแทนขา 1 หรือ 2 ข้าง เมื่อมีข้อห้ามในการรับน้ำหนักเต็มทั้งขาข้างนั้น
ช่วยเแบ่งเบาหรือรับน้ำหนักแทนขา 1 หรือ 2 ข้าง เมื่อมีข้อห้ามหรือมีการอ่อนแรงจนขาไม่สามารถรับน้ำหนักได้
เพิ่มการพยุงตัว เพื่อให้สามารถทรงตัวได้
1.3 การเตียมผู้ป่วยก่อนการฝึกใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน
การฝึกความแข็งแรง ความทนทาน และการประสานสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อ
การฝึนในท่าตั้งตรง บนเตียงหรือเบาะ
การฝึกในราวคู่ขนาน เช่น ฝึกยืน ฝึกทรงตัว
1.4 การลงน้ำหนักที่ขาเวลาเดิน ผู้ป่วยจะต้องลงน้ำหนักตามแผนการรักษา
1.5 รูปแบบการเดิน การฝึกเดินไม่ว่าจะเป็นใช้อุปกรณ์ช่วยเดินแบบใด จะใช้รูปแบบการเดินแบบใดแบบหนึ่ง
Four - point gait เป็นรูปแบบการเดินที่มีความมั่นคงที่สุด
Two - point gait เป็นรูปแบบการเดินที่มีความก้าวหน้าขึ้นจาก Four-point gait ต้องใช้การทรงตัวมากกว่า
Three - point gait เป็นรูปแบบการเดินที่ใช้บ่อยในผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพของขา 1 ข้าง
Swing - to gait วิธีนี้เหมาะที่สุดทำหรับผู้ป่วยที่มีการจำกัดในการใช้ขาทั้ง 2 ข้าง
Swing - through gait เป็นรูปแบบการเดินที่ก้าวหน้ามาจาก Swing - to gait วิธีนี้ทำให้เดินได้เร็วขึ้น มีความมั่นคงน้อยที่สุด
1.6 วิธีการฝึกผู้ป่วยใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน
ไม้ค้ำยันรักแร้ เป็นอุปกรณ์ช่วยเดินที่ควรใช้เป็นคู่ ช่วยพยุงตัวได้ดีและแบ่งรับน้ำหนักได้ถึง 80% ของน้ำหนักตัว
การสอนเดิน โดยใช้ไม้ค้ำยันรักแร้ มี 2 แบบ คือ Point gait และ Swing gait
Platform crutch ประกอบด้วยอลูมิเนียม ยาวขึ้นถึงระดับข้อศอกและมีแผ่นรองรับท่อนแขนส่วนปลาย รวมทั้งมีมือจับบริเวณส่วนปลายของแผ่นรองรับท่อนแขน และมี Velcro strop รัดรอบท่อนแขนเพื่อยึดติดกับ Crutch
ไม้เท้า เป็นอุปกรณ์ช่วยเดินที่ใช้เพียงข้างเดียวเป็นส่วนใหญ่ มีทั้งชนิดขาเดียว และสามขา ให้ความมั่นคงไม่มาก
ไม้เท้า 3 ขา มีฐานกว้าง และมีจุดยันรับน้ำหนักที่พื้น 3 จุด ทำให้มั่นคงกว่าไม้เท้าขาเดียว
Walker จะให้ Support มากที่สุดในช่วงการเดินเมื่อเทียบกับ Cane ช่วยเพิ่มความมั่นคงขณะเดินได้มากที่สุด
5. กระบวนการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยก่อนและหลังผ่าตัด
การประเมินสภาพผู้ป่วย รวบรวมข้อมูลที่จำเป็นเพื่อนำไปสุ่การวางแผนการพยาบาล เช่น การปรับตัวและความทนทานต่อความเครียด
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
วิตกกังวลเนื่องจากกลัวการผ่าตัด
วิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและแผนการรักษา
การวางแผลการพยาบาล ให้การพยาบาล และประเมินผลหลังให้การพยาบาล
ประเมินระดับความวิตกกังวล
เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยระบายความรู้สึก และค้นหาสาเหตุของความวิตกกังวล
ร่วมกันหาทางแก้ไขสาเหตุของความวิตกกังวลร่วมกับผู้ป่วยและญาติ
ดูแลความสุขสบายทั่วไป
จัดหมวดหมู่กิจกรรมการพยาบาลเพื่อลดการรบกวนผู้ป่วยให้ได้พัก
รายงานแพทย์เมื่อพบอาการผิดปกติ