Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยในระยะก่อน-หลังผ่าตัดการเคลื่อนไหวและการออกกำลังกาย -…
การพยาบาลผู้ป่วยในระยะก่อน-หลังผ่าตัดการเคลื่อนไหวและการออกกำลังกาย
การพยาบาลผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
ประกอบด้วย
การประเมินผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
การซักประวัติ โดยการสอบถามข้อมูลจากผู้ป่วยและญาติ
ประวัติการแพ้ยาหรืออาหาร
การใช้ยา สารเสพติด การสูบบุหรี่ และดื่มสุรา
ประวัติการผ่าตัด
ประวัติของคนในครอบครัวหรือญาติที่มีปัญหาเกี่ยวกับการได้รับยาระงับความรู้สึก
ประวัติโรคประจำตัว
ประวัติเกี่ยวกับโรคของระบบต่างๆ ของร่างกาย
การตรวจร่างกาย
สัญญาณชีพ
การตรวจประเมินทางระบบหายใจ
การชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง
การตรวจร่างกายตามระบบ
การส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
เช่น
Complete blood countภาวะซีด เลือดออกผิดปกติ Chronic blood loss โรคไต โรคมะเร็ง
ECGโรคหัวใจ โรคปอด โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน
UN/Creatinineโรคไต โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ภาวะพร่องน้ำ
การเตรียมผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
พยาบาลจะทำการเตรียมผู้ปุวยเพื่อให้พร้อมสำหรับการผ่าตัด รวมไปถึงการปฏิบัติตัวภายหลังผ่าตัด เพื่อให้ผู้ป่วยมีร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์สามารถเผชิญกับความเจ็บปวด
การเตรียมผู้ป่วยซึ่งระยะเวลาก่อนผ่าตัด
ด้านร่างกาย
ประเมินความสมบูรณ์ของร่างกายในการได้รับอาหารที่พอเหมาะ
ภาวะสารน้ำและอีเล็คโทรลัยต์ในร่างกาย
ระบบปัสสาวะ
การพักผ่อนและการออกกำลังกาย
ระบบทางเดินหายใจ
ให้คำแนะนำและข้อมูลต่างๆที่ผู้ปุวยควรทราบเพื่อลดความวิตกกังวล
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
ด้านจิตใจ
ได้รับการเตรียมทางจิตใจทุกคนโดยการเยี่ยมผู้ป่วยก่อนผ่าตัดประเมินความวิตกกังวลก่อนผ่าตัดทั้งนี้เพื่อช่วยลดความวิตกกังวลความกลัวต่างๆ
การให้คำแนะนำการปฏิบัติหลังผ่าตัด
Early ambulation
Quadriceps Setting Exercise (QSE)
Straight Leg Raising Exercise (SLRE)
Range of Motion (ROM)
Deep-breathing exercises
Effective cough
Abdominal breathing
Turning and ambulation
Extremity exercise
Pain management
การเตรียมผู้ป่วยก่อนวันที่ผ่าตัด
การขับถ่ายถ้าเป็นการผ่าตัดเล็กหรือการผ่าตัดที่ไม่เกี่ยวข้องกับอวัยวะในช่องท้องแพทย์อาจให้สวนอุจจาระหรือไม่ก็ได้หรือให้รับประทานยาระบายก่อนวันผ่าตัด
การเตรียมผิวหนังก่อนผ่าตัด
บริเวณศีรษะโกนผมบริเวณศีรษะออกเช็ดใบหูและทำความสะอาดช่องหูภายนอกด้วยไม้พันสำลีที่ปราศจากเชื้อ
บริเวณหูและปุุมกระดูกมาสตอยด์ให้ เตรียมบริเวณกว้างเป็นวงรอบออกไปจากหูประมาณ1 –2 นิ้วโกนขนอ่อนที่ใบหูด้วย
บริเวณคอเตรียมบริเวณจากใต้คางลงมาถึงระดับราวหัวนมและจากหัวไหล่ข้างขวาถึงข้างซ้าย
บริเวณทรวงอกเตรียมด้านหน้าจากคอตอนบนจนถึงระดับสะดือจากแนวยาวของหัวนมข้างที่ไม่ได้ทำผ่าตัดไปจนถึงกึ่งกลางหลังของข้างที่ทำ
บริเวณช่องท้อง เตรียมตั้งแต่ระดับรักแร้ลงมาถึงฝีเย็บ
บริเวณท้องต่ำกว่าสะดือ เตรียมบริเวณตั้งแต่ระดับราวนมลงมาถึงต้นขารวมทั้งบริเวณฝีเย็บ
ไตเตรียมด้านหน้าจากบริเวณรักแร้จนถึงบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์และต้นขาทั้ง2 ข้างด้านข้างจากรักแร้ถึงตะโพก
บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์และทวารหนัก เตรียมตั้งแต่ระดับสะดือลงมาถึงฝีเย็บและด้านในของต้นขาและก้น
แขนข้อศอกและมือเตรียมบริเวณแขนข้างที่จะทำผ่าตัดทั้งด้านหน้าและด้านหลังจากหัวไหล่ถึงปลายนิ้วมือ
การทำ Skin graftทำความสะอาดผิวหนังทั้งบริเวณ Donor site และ Recipient siteให้กว้าง
ตะโพกและต้นขาเตรียมบริเวณจากระดับเอวลงมาถึงระดับต่ำกว่าหัวเข่าข้างที่จะทำ6 นิ้ว
หัวเข่าเตรียมจากขาหนีบถึงข้อเท้าข้างที่จะทำผ่าตัดโดยรอบ
ปลายขาเตรียมจากเหนือหัวเข่าประมาณ8 นิ้ว
เท้าเตรียมจากใต้หัวเข่าลงไปถึงเท้าข้างที่จะทำผ่าตัด
ขั้นตอนการเตรียมผิวหนังมีดังนี้
ปูผ้ายางรองกันเปื้อนบริเวณที่จะเตรียมผ่าตัด
ถ้าบริเวณที่เตรียมสกปรกมากให้เช็ดด้วยเบนซินแล้วฟอกด้วยสบู่
บอกให้ผู้ป่วยทราบกั้นม่านดูให้มีแสงสว่างเพียงพอ
โกนขนหรือผม
เตรียมเครื่องใช้
เมื่อโกนเสร็จใช้สบู่และน้ำล้างบริเวณนั้นให้สะอาด
เก็บผมหรือขนใบมีดโกนที่ใช้แล้วห่อใส่กระดาษให้เรียบร้อย
การเตรียมเฉพาะที่อื่นๆ
อาหารและน้ำดื่มควรงดอาหารผู้ปุวยก่อนผ่าตัดอย่างน้อย8 ชั่วโมงสำหรับอาหารเหลวใสให้ได้6 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด
การดูแลสภาพร่างกายทั่วไป
ในคืนก่อนวันผ่าตัด
ของปลอมของมีค่าต่างๆถอดเก็บไว้ให้ญาติดูแลรักษา
สื่อไฟฟ้าต่างๆ
ให้ผู้ป่วยทำความสะอาดปาก
ไม่ให้ผู้ป่วยแต่งหน้าทาปากทาเล็บ
ในเช้าวันที่จะผ่าตัด
ให้ผู้ปุวยทำความสะอาดร่างกาย
สังเกตภาวะทางอารมณ์ของผู้ปุวยความกลัวการผ่าตัด
สังเกตสภาพร่างกายทั่วไปวัดและบันทึกสัญญาณชีพ
การให้ยาแก่ผู้ปุวยก่อนผ่าตัดแพทย์มักจะให้ยาในคืนวันก่อนผ่าตัดเพื่อช่วยให้ผู้ปุวยคลายความวิตกกังวลและนอนหลับพักผ่อนได้ดี
เตรียมเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ
แผ่นบันทึกรายงานต่างๆต้องบันทึกให้ครบ
การส่งผู้ป่วยไปห้องผ่าตัด
การดูแลครอบครัวผู้ป่วย
การเตรียมผ่าตัดผู้ป่วยฉุกเฉิน
ให้ผู้ป่วยหรือญาติที่มีสิทธิทางกฎหมายเซ็นใบยินยอมผ่าตัด
ถ้าผู้ป่วยไม่มีญาติมาด้วยพยาบาลต้องถามหรือหาที่อยู่ของครอบครัว
ทำความสะอาดและเตรียมผิวหนังบริเวณที่จะผ่าตัดให้เรียบร้อย
ดและบันทึกอาการสัญญาณชีพ รวมทั้งการให้ยาก่อนผ่าตัด
ให้ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
สังเกตสภาพร่างกายทั่วไปอาการและสัญญาณชีพถ้าผิดปกติให้รีบรายงานแพทย์ทราบ
เจาะเลือดเพื่อส่งตรวจCBC และ Blood group
การพยาบาลผู้ป่วยหลังผ่าตัด
การประเมินสภาพผู้ป่วย
แบบแผนกิจกรรมและการออกกำลังกาย
1)ประวัติโรคหัวใจ โรคปอด เบาหวาน ความดันโลหิตสูงที่มีก่อนผ่าตัด
2)การเปลี่ยนแปลงสัญญาณชีพ
แบบแผนอาหารและการเผาผลาญ
ประวัติการได้รับและสูญเสียสารน้ำและเกลือแร่ ตั้งแต่ก่อนผ่าตัดจนถึงหลังผ่าตัด ชนิดและปริมาณของสารน้ำที่ได้รับและออกจากร่างกาย ภาวะโภชนาการ
แบบแผนการขับถ่าย
ประวัติการเสียเลือด สารน้ำทางปัสสาวะ
การทำงานของไต เช่น การประเมินภาวะไม่สมดุลสารน้ำและเกลือแร่
ลักษณะการเปลี่ยนแปลงในแบบแผนการขับถ่ายปัจจุบัน
แบบแผนการรับรู้และการดูแลสุขภาพ
แบบแผนการปรับตัวและการเผชิญกับความเครีย
กิจกรรมการพยาบาลหลังผ่าตัด
การพยาบาลมีดังนี้
การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการหายใจให้โล่ง
4)เปลี่ยนท่านอนหรือพลิกตะแคงตัวบ่อยๆ
5)กระตุ้นให้ทำกิจวัตรประจำวันด้วยตนเองเพื่อเพิ่มกิจกรรมการเคลื่อนไหว
3)กระตุ้นให้ผู้ป่วยหายใจเข้าออกลึกๆ
6)ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา
2)สังเกตการหายใจของผู้ป่วย
7)สังเกตอาการบ่งชี้ภาวะแทรกซ้อนทางเดินหายใจ
1)การจัดท่านอน ให้นอนราบไม่หนุนหมอน
8)ถ้าผู้ป่วยมีอาการผิดปกติให้รีบรายงานแพทย์และให้ออกซิเจนตามแผนการรักษา
การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการทำงานของระบบหัวใจและไหลเวียน
4)ควรให้ผู้ป่วยนอนพักนิ่งๆ
5)เตรียมเครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นให้พร้อมในรายที่มีภาวะช็อก
3)ดูแลให้ได้รับสารน้ำเลือด หรือพลาสมาทดแทนทางหลอดเลือดดำ
6)สังเกต บันทึก
2)สังเกตลักษณะบาดแผลและปริมาณสิ่งคัดหลั่งต่างๆ
7)ดูแลให้ผู้ปุวยได้รับการพักผ่อนทั้งร่างกาย และจิตใจ
1)ตรวจวัดสัญญาณชีพทึก 15นาที 4ครั้ง ทุก 30นาที 4 ครั้ง และทุก 1ชั่วโมงจนสัญญาณชีพสม่ำเสมอ
การพยาบาลเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดจากแผลผ่าตัด
พยาบาลประเมินความเจ็บปวดของผู้ป่วยโดยใช้ Pain scaleดูและให้ได้รับยาแก้ปวดตามแผนการรักษา ดูแลจัดท่าที่เหมาะสมเพื่อลดการดึงรั้งของแผลผ่าตัด
การพยาบาลเพื่อส่งเสริมภาวะโภชนาการของผู้ป่วย เพื่อลดอาการท้องอืด
1)กระตุ้นให้ผู้ปุวยลุกออกจากเตียง หรือจัดท่านอนศีรษะสูงเพื่อลดอาการแน่น
2)ดูแลให้ได้รับสารอาหารและพลังงานอย่างเพียงพอ
3)สังเกตและบันทึกอาการเปลี่ยนแปลงที่บ่งชี้ถึงการย่อยและดูดซึมอาหารผิดปกติ
การพยาบาลเพื่อส่งเสริมความสุขสบายและความปลอดภัยของผู้ป่วย
1)ดูแลความสุขสบายทั่วไป
3)ดูแลความปลอดภัยในรายที่ยังไม่ฟื้นจากยาสลบ
2)การดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลเกี่ยวกับความสะอาดของร่างกายทั่วไป โดยเฉพาะช่องปาก
การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการหายของแผล
2)สังเกตลักษณะแผลที่ผิดปกติ โดยเฉพาะแผลมีการติดเชื้อ
3)ทำความสะอาดแผลด้วยหลักปราศจากเชื้อ
1)สังเกตและประเมินปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการหายของแผล
4)สอนและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลแผล
การให้คำแนะนำก่อนกลับบ้านสำหรับผู้ป่วยหลังผ่าตัด
1)เรื่องการดูแลแผล การสังเกตอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อ
2)การเคลื่อนไหวหรือกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นข้อจำกัดหลังผ่าตัด
3)การส่งเสริมภาวะโภชนาการของผู้ป่วย
4)การดูแลความสะอาดของร่างกาย
5)การมาตรวจตามแพทย์นัด
การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วย
การช่วยเหลือผู้ป่วยเคลื่อนไหวบนเตียง
การประเมินผู้ป่วย พยาบาลจะให้การช่วยเหลือผู้ป่วยนั้นควรทราบข้อมูลต่างๆ
2)ท่าที่เหมาะสมและระยะเวลาที่ผู้ปุวยจะคงอยู่ในท่าที่เปลี่ยนให้ใหม่
3)ความยากลำบากและไม่สุขสบายในขณะเปลี่ยนท่าหรือเมื่ออยู่ในท่าที่จัดให้
1)ความสามารถของผู้ป่วยในการช่วยเหลือตนเอง
4)ปัญหาอื่นๆ ที่พบในผู้ป่วย
ปฏิบัติการพยาบาลในการให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยบนเตียง
1)การเตรียมผู้ป่วยให้เอาหมอนหนุนศีรษะของผู้ป่วยออก วางหมอนไว้ที่พนักหัวเตียงปรับระดับเตียงให้อยู่ในแนวราบพร้อมทั้งดูแลความปลอดภัยของผู้ป่วย
2) การเตรียมตัวพยาบาลพยาบาลควรยืนในท่าที่ถูกต้องพยุงผู้ปุวยด้วยความนุ่มนวลและมั่นคง
3) การจัดท่าผู้ป่วย
ท่านอนตะแคง (Lateral or Slide-lying position)
ท่านอนคว่ำ (Prone position)
1.ท่านอนหงาย (Dorsal orSupine position)
4.ท่านอนตะแคงกึ่งคว่ า (Semiprone position)
5.ท่านั่งบนเตียง (Fowler’s position)
6.ท่านอนหงายชันเข่า (Dorsal recumbent position)
7.ท่านอนหงายพาดเท้าบนขาหยั่ง (Lithotomy position)
8.ท่านอนคว่ำคุกเข่า (Knee-chest position)
ท่านอนศีรษะต่ำปลายเท้าสูง (Trendelenburg position)
การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
หลักการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
11)ให้สัญญาณเพื่อความพร้อมเพรียง
1)ควรจัดท่าผู้ป่วยให้นอนหงายราบอยู่ในท่าที่สบาย
2)หันหน้าเข้าหาผู้ป่วยและไปในทิศทางที่จะเคลื่อนย้าย
3)ควรยืนในท่าที่ถูกต้องและมั่นคง
4)ยืนแยกเท้าทั้งข้างห่างกันพอสมควร
5)หลังตรง ป้องกันการปวดหลัง
6)ย่อเข่าและสะโพก
7)หาวิธีที่เหมาะสมเพื่อผ่อนแรงในการยกหรือเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
8)ผู้ป่วยควรอยู่ใกล้พยาบาลมากที่สุด
9)ยกตัวผู้ป่วยให้พ้นจากที่นอนเล็กน้อยเพื่อลดแรงเสียดทาน
10)ใช้ผ้าขวางเตียงช่วยในการเคลื่อนย้ายผู้ปุวยแทนการเลื่อนผู้ป่วย
12)ผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ควรหาผู้ช่วยเหลือตั้งแต่ 2คนขึ้นไปและให้สัญญาณขณะยก หรือใช้อุปกรณ์ที่ช่วยผ่อนแรงมาใช้เมื่อจำเป็น
การประเมินผู้ป่วยก่อนการเคลื่อนย้าย
3)ส่วนที่อ่อนแรงหรือพิการ
4)ความมั่นคงในการคงท่าของผู้ป่วย
2)ท่าที่เป็นข้อห้ามของผู้ป่วย
5)ส่วนที่จำเป็นต้องให้อยู่นิ่งๆ
1)ความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง
6)ผู้ป่วยอ่อนเพลียมากน้อยแค่ไหน
7)ความต้องการการเคลื่อนย้ายเปลี่ยนท่าและความสุขสบายของผู้ป่วย
วิธีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
3)พยาบาลยืนในท่าที่ถูกต้องมั่นคงและใช้หลักการของกลไกการเคลื่อนไหวร่างกาย
4)พยุงผู้ป่วยด้วยความนุ่มนวลและมั่นคง
2)นำหมอนหนุนศีรษะของผู้ปุวยออก วางหมอนที่พนักหัวเตียง อุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นเอาออกจากเตียง
1)แจ้งให้ผู้ป่วยทราบและบอกวิธีการให้ความร่วมมือถ้าทำได้
การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดิน
การออกกำลังกายเพื่อเตรียมผู้ป่วยเดิน
1)ให้ผู้ป่วยงอและเหยียดข้อตะโพก โดยให้ผู้ป่วยนอนบนเตียง
2) หมุนข้อตะโพก เหยียดขาทั้งสองข้าง
3) กางและหุบข้อตะโพก เหยียดข้อเข่าและให้ข้อเท้างอเข้าหาปลายขา
4) เหยียดข้อเข่า เหยียดขาพร้อมกับกดข้อเข่าลงกับที่นอน
5) งอข้อเท้า หมุนข้อเท้าเข้าหาตัวและออกจากตัว
6) งอและเหยียดนิ้วเท้า
7) เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง ตะโพกต้นขาโดยการเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องแล้วคลายออกแล้วหายใจเข้าลึกๆ
1) การช่วยเหลือผู้ปุวยหัดเดินโดยพยาบาล 1คน
2.กรณีไม่ใช้เข็มขัด ให้ใช้มือด้านใกล้ตัวจับที่ต้นแขนของผู้ป่วย มือไกลตัวจับที่ปลายแขนของผู้ป่วย ถ้าผู้ป่วยเป็นลมให้สอดแขนเข้าใต้รักแร้รับน้ำหนักตัวผู้ป่วยและแยกเท้ากว้าง
1.กรณีใช้เข็มขัดหรือผ้าคาดเอว เมื่อช่วยผู้ป่วยลงจากเตียงแล้ว พยาบาลยืนเยื้องด้านหลังผู้ปุวย ใช้มือ 2ข้างยืดเข็มขัดหรือผ้าคาดเอวเพื่อพยุงผู้ป่วยขณะผู้ป่วยเดิน
2)การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดินโดยพยาบาล 2คน
ให้พยาบาลยืนข้างผู้ป่วยคนละด้าน มือพยาบาลข้างใกล้ตัวผู้ป่วยสอดใต้รักแร้ผู้ป่วย อีกข้างหนึ่งจับปลายแขนหรือมือผู้ป่วยข้างเดิม ผู้ป่วยและพยาบาลทั้ง 2 คนเดินพร้อมกัน
การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดินด้วยอุปกรณ์ช่วยเดิน
ชนิดของอุปกรณ์ช่วยเดิน
2)Walker หรือ Pick –up frames
3)Cane
1)Parallel bar = ราวคู่ขนานราวเดิน
4)Crutches
ประโยชน์ของอุปกรณ์ช่วยเดิน
1)ช่วยแบ่งเบาหรือรับน้ำหนักแทนขา 1 หรือ 2ข้างเมื่อมีข้อห้ามในการรับน้ำหนักเต็มทั้งขา (Partial weight bearing) ข้างนั้น
2)ช่วยแบ่งเบาหรือรับน้ำหนักแทนขา 1 หรือ 2ข้าง เมื่อมีข้อห้ามหรือมีการอ่อนแรงจนขาไม่สามารถรับน้ำหนักได้ (Non –weight bearing)
3)เพิ่มการพยุงตัว (Support) เพื่อให้สามารถทรงตัวได้ (Balance)
การเตรียมผู้ป่วยก่อนการฝึกใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน
2)การฝึกในท่าตั้งตรง (Upright) บนเตียงหรือเบาะ เช่น การฝึกการทรงตัวในท่านั่ง
3)การฝึกในราวคู่ขนาน เช่น ฝึกยืน ฝึกทรงตัว ฝึกท่าทางการเดิน เป็นต้น
1)การฝึกความแข็งแรง (Strength) ความทนทาน(Endurance) และการประสานสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อ(Co –ordination) ที่ใช้ในการเดินด้วยอุปกรณ์ช่วยเดิน
การลงน้ำหนักที่ขาเวลาเดิน ผู้ป่วยจะต้องลงน้ำหนักตามแผนการรักษา
รูปแบบการเดิน (Gait pattern)
3)Three –point gait
4)Swing –to gait
2)Two –point gait
5)Swing –through gait
1)Four –point gait
วิธีการฝึกผู้ป่วยใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน
1)ไม้ค้ำยันรักแร้(Auxiliary crutches)
(2)การสอนเดินการเดินโดยใช้ไม้ค้ำยันรักแร้ มี2 แบบคือPoint gait และ Swing gait
การออกกำลังกายและการเคลื่อนไหวร่างกาย
การออกกำลังกายเพื่อการเคลื่อนไหว (Mobility)
การออกกำลังกายชนิดให้ผู้ป่วยทำเอง (Active or Isotonic Exercise)
2.การออกกำลังกายโดยให้ผู้อื่นทำให้ผู้ป่วย (Passive exercise)เป็นการออกกำลังกายโดยการเคลื่อนไหวข้อต่างๆ ให้กับผู้ปุวยที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายด้วยตนเองได้หรือมีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว
3 การออกกำลังกายชนิดที่ให้ผู้ป่วยทำร่วมกับความช่วยเหลือของผู้อื่น (Active assistive exercise)วิธีนี้ให้ผลดีกว่าวิธีที่ให้ผู้อื่นทำให้ผู้ป่วย เพราะเป็นการกระตุ้นให้กล้ามเนื้อมีการทำงานร่วมด้วย
4 การออกกำลังกายโดยให้กล้ามเนื้อทำงานแต่ข้อไม่เคลื่อน (Isometric or Static exercise) เพื่อเพิ่มความตึงตัวและแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
5 การออกกำลังกายให้ผู้ป่วยออกแรงต้านกับแรงอื่น (Resistive exercise)เป็นการใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ให้ผู้ป่วยออกแรงต้าน
การเคลื่อนไหวร่างกาย
การเคลื่อนไหวร่างกายใดๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะในบ้านที่ทำงาน หรือแม้แต่สันทนาการใดๆ เช่น การออกกำลังกายการเข้าร่วมเล่นกีฬา
กลไกการเคลื่อนไหวร่างกาย
การใช้ร่างกายอย่างปลอดภัยมีประสิทธิภาพ มีการประสานงานกันในการเคลื่อนไหวและดำรงความสมดุลระหว่างการมีกิจกรรม
ส่งเสริมและสนับสนุนการทำงานของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ
ป้องกันไม่ให้เกิดอันตราย หรือมีความพิการของกระดูกและกล้ามเนื้อ
ลดการเมื่อยล้าหรือการใช้พลังงานมากเกินไป
ผลกระทบจากการไม่เคลื่อนไหวร่างกาย
ระบบผิวหนังผิวหนังเสียหน้าที่ทำให้เกิดแผลกดทับ
2) เซลล์ตายและลุกลามกลายเป็นแผล
3) การเสียดทาน (Friction) เมื่อผู้ป่วยถูกลากหรือเลื่อนตัว ทำให้ผิวหนังขูดกับที่นอน
1)เกิดแรงกดทับ (Pressure)ระหว่างปุุมกระดูกกับที่นอนที่รองรับในการนอนในท่าต่าง ๆ ทำให้เซลล์ขาดออกซิเจน
4)แรงดึงรั้ง (Shearing force)
ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
2)การประสานงานของกล้ามเนื้อแขนขาลดลงหรือไม่สัมพันธ์กัน
3)กล้ามเนื้ออ่อนแรง ลีบเล็ก
1)กระดูกผุ เปราะบาง
4)อาการปวดหลัง
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
1)หัวใจทำงานมากขึ้น
3)เกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ (Thrombus)
2)มีการคั่งของเลือดในหลอดเลือดดำที่ขา
4)ความดันต่ำขณะเปลี่ยนท่า
ระบบทางเดินหายใจ
2)มีการคั่งของเสมหะมากขึ้น
1)ปอดขยายตัวลดลง
ระบบทางเดินอาหาร
1)มีผลต่อการรับประทานอาหาร ทำให้เบื่ออาหาร
2)มีผลต่อการขับถ่าย ทำให้ท้องผูก
ระบบทางเดินปัสสาวะ
1)การถ่ายปัสสาวะมากกว่าปกติในระยะแรกๆ
2)มีการคั่งของปัสสาวะในไตและกระเพาะปัสสาวะ
3)เกิดนิ่วในไตและกระเพาะปัสสาวะ
ระบบเมตาบอลิซึมและการเผาผลาญอาหาร
1)การเผาผลาญอาหารลดลง
2)มีระดับโปรตีนในกระแสเลือดลดต่ำลง
3)มีความผิดปกติด้านอัตมโนทัศน์และภาพลักษณ์
กระบวนการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยก่อนและหลังผ่าตัด
การประเมินสภาพผู้ป่วย
รวบรวมข้อมูลที่จำเป็นเพื่อนำไปสู่การวางแผนการพยาบาลเช่น การปรับตัวและความทนทานต่อความเครียด
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
วิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและแผนการรักษา
วิตกกังวลเนื่องจากกลัวการผ่าตัด
การวางแผนการพยาบาล ให้การพยาบาลและประเมินผลหลังให้การพยาบาล
1 ประเมินระดับความวิตกกังวล
2 เปิดโอกาสให้ผู้ปุวยระบายความรู้สึก และค้นหาสาเหตุของความวิตกกังวล
3 ร่วมกันหาทางแก้ไขสาเหตุของความวิตกกังวลร่วมกับผู้ปุวยและญาติ
4 ดูแลความสุขสบายทั่วไป
5 จัดหมวดหมู่กิจกรรมการพยาบาลเพื่อลดการรบกวนผู้ปุวยและให้ผู้ปุวยได้พัก
6 รายงานแพทย์เมื่อพบอาการผิดปกติ