Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยในระยะก่อน-หลังผ่าตัด การเคลื่อนไหวและการออกกำลังกาย -…
การพยาบาลผู้ป่วยในระยะก่อน-หลังผ่าตัด
การเคลื่อนไหวและการออกกำลังกาย
5.1 การพยาบาลผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
ประกอบด้วยการประเมินผู้ปุวยก่อนผ่าตัด
และการเตรียมผู้ปวยก่อนผ่าตัด
5.1.1 การประเมินผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
การประเมินผู้ปุวยก่อนการผ่าตัด เป็นการประเมินความพร้อมทั้งด้านร่างกาย
5.1.1.1 การซักประวัติ
โดยการสอบถามข้อมูลจากผู้ปุวยและญาติ รวมถึงการทบทวนแฟ้มประวัติของผู้ปุวย ใบส่งตัว หรือใบบันทึกต่างๆ
1) ประวัติโรคประจาตัว ควรครอบคลุมถึงอาการ ความรุนแรงของโรค
2) ประวัติการผ่าตัด และการได้รับยาระงับความรู้สึกก่อนหน้านี้
3) ประวัติการแพ้ยาหรืออาหาร
4) การใช้ยา สารเสพติด การสูบบุหรี่ และดื่มสุรา
5) ประวัติของคนในครอบครัวหรือญาติที่มีปัญหาเกี่ยวกับการได้รับยาระงับ
ความรู้สึก
6) ประวัติเกี่ยวกับโรคของระบบต่างๆ ของร่างกาย
5.1.1.2 การตรวจร่างกาย
1) สัญญาณชีพ
2) การชั่งน้าหนัก วัดส่วนสูง
3) การตรวจประเมินทางระบบหายใจ
4) การตรวจร่างกายตามระบบ
5.1.1.3 การส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
จะช่วยยืนยันการวินิจฉัยโรค บอกถึงความ
รุนแรงของโรค
1.Complete blood count
ภาวะซีด เลือดออกผิดปกติ Chronic blood loss โรคไต โรคมะเร็ง
2.Urinalysis Screening test
สาหรับโรคไต การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
3.Electrolytes
โรคไต โรคเบาหวาน ภาวะพร่องน้า ได้รับยาขับปัสสาวะ digoxin steroids
4.BUN/Creatinine
โรคไต โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ภาวะพร่องน้า
5.Blood sugar
โรคเบาหวาน ใช้ยากลุ่ม steroids
6.Liver function tests
โรคตับ ถุงน้าดี ภาวะเลือดออกผิดปกติ ภาวะขาดสารอาหาร โรคพิษสุราเรื้อรังได้รับยาเคมีบาบัด
7.Coagulogram โรคตับ เลือดออกผิดปกติ ได้รับยาปูองกันเลือดแข็งเป็นลิ่ม (Anticoagulants)
8.Chest X-ray โรคหัวใจ โรคปอด โรคมะเร็ง สูบบุหรี่ ไอเรื้อรัง มีประวัติสัมผัสผู้ปุวยวัณโรค
9.ECG โรคหัวใจ โรคปอด โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน
5.1.2 การเตรียมผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
พยาบาลจะทาการเตรียมผู้ปุวยเพื่อให้พร้อม
สาหรับการผ่าตัด รวมไปถึงการปฏิบัติตัวภายหลังผ่าตัด
เพื่อให้ผู้ป่วยมีร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์
5.1.2.1 การเตรียมผู้ป่วย
ซึ่งระยะเวลาก่อนผ่าตัด
ระยะเวลาตั้งแต่ผู้ป่วยเริ่ม
ตระหนักว่ามีบางสิ่งผิดปกติและแพทย์วินิจฉัยว่าต้องผ่าตัด
1) ด้านร่างกาย
(1) ระบบหัวใจและหลอดเลือด
ต้องประเมินความสามารถในการทางาน
ของหัวใจ และหลอดเลือด
(2) ระบบทางเดินหายใจ
ต้องประเมินสภาวะของปอดและหลอดลม ดูการ
ทางานของระบบทางเดินหายใจ
(3) ระบบทางเดินปัสสาวะ ต้องประเมินสภาวะของไต
(4) ประเมินความสมบูรณ์ของร่างกาย
ในการได้รับอาหารที่พอเหมาะ การ
ได้รับอาหารที่ดีมีประโยชน์ที่เพียงพอ
(5) ภาวะสารน้าและอีเล็คโทรลัยต์ในร่างกาย
(6) การพักผ่อนและการออกกาลังกาย
(7) ให้คำแนะนำและข้อมูลต่างๆ
ที่ผู้ป่วยควรทราบเพื่อลดความวิตกกังวล
2) ด้านจิตใจ
เพื่อช่วยลดความวิตกกังวล ความกลัวต่างๆ
3) การให้คำแนะนาการปฏิบัติหลังผ่าตัด
(1) Early ambulation
(2) Quadriceps Setting Exercise (QSE)
3) Straight Leg Raising Exercise (SLRE)
(4) Range of Motion (ROM)
(5) Deep-breathing exercises
(6) Effective cough
(7) Abdominal breathing
(8) Turning and ambulation
(9) Extremity exercise
(10) Pain management
5.1.2.2 การเตรียมผู้ป่วยก่อนวันที่ผ่าตัด
1) อาหารและน้าดื่ม
ควรงดอาหารผู้ปุวยก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 8 ชั่วโมง
2) การขับถ่าย
ถ้าเป็นการผ่าตัดเล็ก หรือการผ่าตัดที่ไม่เกี่ยวข้องกับอวัยวะในช่องท้อง แพทย์อาจให้สวนอุจจาระหรือไม่ก็ได้
3) การเตรียมผิวหนังก่อนผ่าตัด
มีการเตรียมความสะอาดผิวหนังบริเวณที่จะผ่าตัด
เพื่อเป็นการ
ลดจานวนจุลินทรีย์
(1) บริเวณศีรษะ
โกนผมบริเวณศีรษะออก เช็ดใบหู และทาความสะอาด
ช่องหูภายนอกด้วยไม้พันสาลีที่ปราศจากเชื้อ
(2) บริเวณหูและปุมกระดูกมาสตอยด์
(3) บริเวณคอ เช่น ผ่าตัดต่อมไทรอยด์
(4) บริเวณทรวงอก
(5) บริเวณช่องท้อง
(6) บริเวณท้องต่ากว่าสะดือ
(7) ไต
(8) บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์และทวารหนัก
(9) แขน ข้อศอก และมือ
(10) ตะโพกและต้นขา
4) การดูแลสภาพร่างกายทั่วไป
(1) ในคืนก่อนวันผ่าตัด
ให้ผู้ปุวยทาความสะอาดปาก ฟัน
ถ้ามีฟันปลอมให้ถอดฟันปลอมออก
ไม่ให้ผู้ปุวยแต่งหน้า ทาปาก ทาเล็บ
ของปลอม ของมีค่าต่างๆ ถอดเก็บไว้ให้ญาติดูแลรักษา
(2) ในเช้าวันที่จะผ่าตัด
ทำความสะอาดร่างกาย เปลี่ยนชุดสาหรับใส่เพื่อผ่าตัด
สังเกตภาวะทางอารมณ์ของผู้ป่วย ความกลัวการผ่าตัด
5) การให้ยาแก่ผู้ปุวยก่อนผ่าตัด
6) เตรียมเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ที่พิเศษ
7) แผ่นบันทึกรายงานต่างๆ ต้องบันทึกให้ครบ
และรวบรวมให้เรียบร้อย
5.2 การพยาบาลผู้ป่วยหลังผ่าตัด
5.2.1 การประเมินสภาพผู้ป่วย
5.2.1.1 แบบแผนกิจกรรมและการออกกาลังกาย
1) ประวัติโรคหัวใจ โรคปอด เบาหวาน ความดันโลหิตสูงที่มีก่อนผ่าตัด
2) การเปลี่ยนแปลงสัญญาณชีพ ซึ่งบ่งบอกการทางานของหัวใจและหลอดเลือดโดยทั่วไปชีพจรและความดันโลหิตไม่ควรมีการ
เปลี่ยนแปลงมากกว่าหรือน้อยกว่า 20% ของค่าปกติหรือจากเดิมก่อนผ่าตัด
5.2.1.2 แบบแผนอาหารและการเผาผลาญ
ประวัติการ
ได้รับและสูญเสียสารน้าและเกลือแร่
ชนิดและปริมาณของสารน้าที่ได้รับ
และออกจากร่างกาย
ภาวะโภชนาการ และปริมาณแคลอรี่ของอาหารที่ได้รับในแต่ละวัน
5.2.1.3 แบบแผนการขับถ่าย
ประวัติการเสียเลือด สารน้าทางปัสสาวะ การขับถ่ายที่ปกติก่อนและหลัง
ผ่าตัด
ลักษณะการเปลี่ยนแปลงในแบบแผนการขับถ่ายปัจจุบัน
การทำงานของไต
5.2.1.4 แบบแผนการรับรู้และการดูแลสุขภาพ
5.2.1.5 แบบแผนการปรับตัวและการเผชิญกับความเครียด ประเมินการรับรู้
5.2.2 กิจกรรมการพยาบาลหลังผ่าตัด
5.2.2.1 การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการหายใจให้โล่ง และคงไว้ซึ่งการทางานระบบหายใจภายหลังการผ่าตัดระยะแรก
1) การจัดท่านอน ให้นอนราบไม่หนุนหมอน
2) สังเกตการหายใจของผู้ปุวย
3) กระตุ้นให้ผู้ปุวยหายใจเข้าออกลึกๆ และไออย่างมีประสิทธิภาพตามวิธีที่สอนผู้ปุวยก่อนการผ่าตัด
4) เปลี่ยนท่านอนหรือพลิกตะแคงตัวบ่อยๆ ในรายที่ไม่รู้สึกตัวควรพลิกตะแคงให้ทุก 1-2 ชั่วโมง
5) กระตุ้นให้ทากิจวัตรประจาวันด้วยตนเองเพื่อเพิ่มกิจกรรมการเคลื่อนไหวขณะอยู่บนเตียงและลดภาวะแทรกซ้อน
จากการนอนท่าเดียวนานๆ
6) ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา
7) สังเกตอาการบ่งชี้ภาวะแทรกซ้อนทางเดินหายใจ
5.2.2.2 การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการทางานของระบบหัวใจและไหลเวียน
1) ตรวจวัดสัญญาณชีพทึก 15 นาที 4 ครั้ง ทุก 30 นาที 2 ครั้ง และทุก 1
ชั่วโมงจนสัญญาณชีพสม่าเสมอ
2) สังเกตลักษณะบาดแผลและปริมาณสิ่งคัดหลั่งต่างๆ ที่ออกจากร่างกายผู้ปุวย
3) ดูแลให้ได้รับสารน้า เลือด หรือพลาสมาทดแทนทางหลอดเลือดดา
4) ควรให้ผู้ปุวยนอนพักนิ่งๆ ในบริเวณที่มีเลือดออกมากๆ เพื่อลดการ
เคลื่อนไหวซึ่งจะมีผลทาให้เลือดออกมากขึ้น
5) เตรียมเครื่องมือเครื่องใช้ที่จาเป็นให้พร้อมในรายที่มีภาวะช็อก
6) สังเกต บันทึก และติดตามผลการตรวจคลื่นหัวใจ
7) ดูแลให้ผู้ปุวยได้รับการพักผ่อนทั้งร่างกาย และจิตใจ จัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบสงบ อยู่เป็นเพื่อน คอยใจกาลังใจ
5.2.2.3 การพยาบาลเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดจากแผลผ่าตัด
โดยพยาบาลประเมินความเจ็บปวดของผู้ปุวยโดยใช้ Pain scale
5.2.2.4 การพยาบาลเพื่อส่งเสริมภาวะโภชนาการของผู้ปุวย เพื่อลดอาการท้องอืด
5.2.2.5 การพยาบาลเพื่อส่งเสริมความสุขสบายและความปลอดภัยของผู้ป่วย
1) ดูแลความสุขสบายทั่วไป
การนอนหลับ อาการคลื่นไส้ การปวดถ่าย
ปัสสาวะ
2) การดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลเกี่ยวกับความสะอาด
ของร่างกายทั่วไป
3) ดูแลความปลอดภัยในรายที่ยังไม่ฟื้นจากยาสลบ หรือระดับความรู้สึกตัว
เปลี่ยนแปลง
5.2.2.6 การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการหายของแผล
1) สังเกตและประเมินปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการหายของแผล
2) สังเกตลักษณะแผลที่ผิดปกติ โดยเฉพาะแผลมีการติดเชื้อ
3) ทาความสะอาดแผลด้วยหลักปราศจากเชื้อ เพื่อปูองกันการติดเชื้อของแผลซึ่งจะทำให้แผลหายช้า
5.2.2.7 การให้คาแนะนาก่อนกลับบ้านสาหรับผู้ปุวยหลังผ่าตัด
1) เรื่องการดูแลแผล การสังเกตอาการ
และอาการแสดงของการติดเชื้อ
2) การเคลื่อนไหวหรือกิจกรรมต่างๆ
3) การส่งเสริมภาวะโภชนาการของผู้ปุวย
4) การดูแลความสะอาดของร่างกาย
5) การมาตรวจตามแพทย์นัด
5.3 การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วย
การช่วยบุคคลที่ด้อยสมรรถภาพ ทางกาย
จิตใจ บุคคลที่เจ็บปุวยเรื้อรัง หรือบุคคลที่อยู่ในระยะพักฟื้น
5.3.1 การช่วยเหลือผู้ป่วยเคลื่อนไหวบนเตียง
5.3.1.1 การประเมินผู้ปุวย พยาบาลจะให้การช่วยเหลือผู้ปุวย
นั้นควรทราบข้อมูลต่างๆ
1) ความสามารถของผู้ปุวยในการช่วยเหลือตนเอง
2) ท่าที่เหมาะสม และระยะเวลาที่ผู้ปุวยจะคงอยู่ในท่าที่เปลี่ยนให้ใหม่
3) ความยากลาบากและไม่สุขสบายในขณะเปลี่ยนท่าหรือเมื่ออยู่ในท่าที่จัดให้
4) ปัญหาอื่นๆ ที่พบในผู้ปุวย เช่น ความผิดปกติเกี่ยวกับผิวหนัง กระดูก หลอด
5.3.1.2 ปฏิบัติการพยาบาลในการให้ความช่วยเหลือผู้ปุวยบนเตียง
1) การเตรียมผู้ปุวย ให้เอาหมอนหนุนศีรษะของผู้ปุวยออก วางหมอนไว้ที่พนักหัวเตียง ปรับระดับเตียงให้อยู่ในแนวราบ
2) การเตรียมตัวพยาบาล พยาบาลควรยืนในท่าที่ถูกต้อง พยุงผู้ปุวยด้วยความนุ่มนวลและมั่นคง
3) การจัดท่าผู้ปุวย มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ปุวยเกิดความสุขสบายขณะนอนพักบนเตียงหรือเตรียมทาหัตถการ และปูองกันภาวะแทรกซ้อน
(1) ท่านอนหงาย (Dorsal or Supine position)
(2) ท่านอนตะแคง (Lateral or Slide-lying position)
(3) ท่านอนคว่า (Prone position)
(4) ท่านอนตะแคงกึ่งคว่า (Semiprone position)
(5) ท่านั่งบนเตียง (Fowler’s position)
(6) ท่านอนหงายชันเข่า (Dorsal recumbent position)
(7) ท่านอนหงายพาดเท้าบนขาหยั่ง (Lithotomy position)
(8) ท่านอนคว่าคุกเข่า (Knee-chest position)
(9) ท่านอนศีรษะต่าปลายเท้าสูง (Trendelenburg position)
5.3.2 การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
5.3.2.1 หลักการเคลื่อนย้ายผู้ปุวย ได้แก่
1) ควรจัดท่าผู้ปุวยให้นอนหงายราบอยู่ในท่าที่สบาย
2) หันหน้าเข้าหาผู้ปุวยและไปในทิศทางที่จะเคลื่อนย้าย
3) ควรยืนในท่าที่ถูกต้องและมั่นคง
4) ยืนแยกเท้าทั้งข้างห่างกันพอสมควร
5) หลังตรง ปูองกันการปวดหลัง
6) ย่อเข่าและสะโพก
7) หาวิธีที่เหมาะสมเพื่อผ่อนแรงในการยกหรือเคลื่อนย้ายผู้ปุวย
8) ผู้ปุวยควรอยู่ใกล้พยาบาลมากที่สุด
9) ยกตัวผู้ปุวยให้พ้นจากที่นอนเล็กน้อยเพื่อลดแรงเสียดทาน
5.3.3 การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดิน
5.3.3.1 การออกกาลังกายเพื่อเตรียมผู้ป่วยเดิน
1) ให้ผู้ปุวยงอและเหยียดข้อตะโพก โดยให้ผู้ปุวยนอนบนเตียง
2) หมุนข้อตะโพก เหยียดขาทั้งสองข้าง หมุนเข้าหาตัวและหมุนออกจากตัวแล้วให้หมุนขาทั้งสองข้างเข้าหาตัวจนนิ้วหัวแม่เท้าชนกัน
3) กางและหุบข้อตะโพก เหยียดข้อเข่าและให้ข้อเท้างอเข้าหาปลายขา ยกขาข้างที่ทาไปที่ข้างเตียงทั้งสองด้าน สลับทากับขาอีกข้างหนึ่ง
4) เหยียดข้อเข่า เหยียดขาพร้อมกับกดข้อเข่าลงกับที่นอน และยกส้นเท้าขึ้นจากเตียงสูงเท่าที่จะทาได้ สลับทากับขาอีกข้างหนึ่ง
5) งอข้อเท้า หมุนข้อเท้าเข้าหาตัวและออกจากตัว
6) งอและเหยียดนิ้วเท้า
7) เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง ตะโพก ต้นขา โดยการเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องแล้วคลายออก แล้วหายใจเข้าลึกๆ ให้กล้ามเนื้อหน้าท้องขยายมากที่สุด
5.3.4 การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดินด้วยอุปกรณ์ช่วยเดิน
5.3.4.1 ชนิดของอุปกรณ์ช่วยเดิน
1) Parallel bar = ราวคู่ขนาน ราวเดิน เป็นเครื่องช่วยเดินที่ให้ความมั่นคง
ที่สุด
2) Walker หรือ Pick – up frames
3) Cane
4) Crutches ( ไม้ยันรักแร้ , ไม้ค้ายัน )
5.3.4.2 ประโยชน์ของอุปกรณ์ช่วยเดิน
1) ช่วยแบ่งเบาหรือรับน้าหนักแทนขา 1 หรือ 2 ข้าง เมื่อมีข้อห้ามในการ
รับน้าหนักเต็มทั้งขา (Partial weight bearing) ข้างนั้น
2) ช่วยแบ่งเบาหรือรับน้าหนักแทนขา 1 หรือ 2 ข้าง
3) เพิ่มการพยุงตัว (Support) เพื่อให้สามารถทรงตัวได้ (Balance)
5.3.4.3 การเตรียมผู้ปุวยก่อนการฝึกใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน
1) การฝึกความแข็งแรง (Strength) ความทนทาน (Endurance)
2) การฝึกในท่าตั้งตรง (Upright) บนเตียงหรือเบาะ เช่น การฝึกการทรงตัวในท่านั่ง
3) การฝึกในราวคู่ขนาน เช่น ฝึกยืน ฝึกทรงตัว ฝึกท่าทางการเดิน
5.3.4.5 รูปแบบการเดิน (Gait pattern)
1) Four – point gait เป็นรูปแบบการเดินที่มีความมั่นคงมากที่สุด
2) Two – point gait เป็นรูปแบบการเดินที่มีความก้าวหน้าขึ้นจาก
Four –point gait ต้องใช้การทรงตัวและความมั่นคงมากกว่า
3) Three – point gait เป็นรูปแบบการเดินที่ใช้บ่อย
4) Swing – to gait วิธีนี้เหมาะที่สุดสาหรับผู้ปุวยที่มีการจากัดในการใช้ขาทั้ง2 ข้าง ร่วมกับมีความไม่มั่นคง (Instability)
5) Swing – through gait เป็นรูปแบบการเดินที่ก้าวหน้ามาจาก Swing –
to gait วิธีนี้ทาให้เดินได้เร็วขึ้นกว่า Four – point gait และ
Swing – to gait
5.3.4.6 วิธีการฝึกผู้ปุวยใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน
1) ไม้ค้ายันรักแร้ (Auxiliary crutches) จึงช่วยพยุงตัวได้ดีและแบ่งรับน้าหนักได้ถึง 80% ของน้าหนักตัว
(2) การสอนเดิน การเดินโดยใช้ไม้ค้ายันรักแร้
3) Platform crutch ประกอบด้วยแกนอลูมิเนียม ยาวขึ้นจนถึงระดับข้อศอกและมีแผ่นรองรับท่อนแขนส่วนปลาย
4) ไม้เท้า (Cane) เป็นอุปกรณ์ช่วยเดินที่ใช้เพียงข้างเดียวเป็นส่วนใหญ่
5) ไม้เท้า 3 ขา (Tripod cane) มีฐานกว้าง และมีจุดยันรับน้าหนักที่พื้น 3 จุดทำให้มั่นคงกว่าไม้เท้าขาเดียว
5.4 การออกกำลังกายและการเคลื่อนไหวร่างกาย
5.4.1.1 การออกกาลังกายชนิดให้ผู้ปุวยทำเอง (Active or Isotonic Exercise)
ผู้ปวยจะเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายด้วยตนเอง
การทำกิจวัตรประจำวันด้วยตนเอง
5.4.1.2 การออกกาลังกายโดยให้ผู้อื่นทาให้ผู้ปุวย (Passive exercise)
เป็นการออก
กาลังกายโดยการเคลื่อนไหวข้อต่างๆ
พยาบาลหรือญาติช่วยผู้ปุวยในการยกแขน ขา ในผู้ปุวยรายที่เป็น
อัมพาตหรือไม่รู้สึกตัว
5.4.1.3 การออกกาลังกายชนิดที่ให้ผู้ปุวยทาร่วมกับความช่วยเหลือของผู้อื่น (Active
assistive exercise)
การพยุงหรือช่วยเหลือผู้ปุวยในการลุก – นั่งข้างเตียง เดินข้างเตียง
5.4.1.4 การออกกาลังกายโดยให้กล้ามเนื้อทางานแต่ข้อไม่เคลื่อน (Isometric or
Static exercise)
การกระตุ้นให้ออกกาลังกายโดยการเกร็ง
กล้ามเนื้อหน้าขา
5.4.2 การเคลื่อนไหวร่างกาย
การเคลื่อนไหวร่างกายใดๆ ในชีวิตประจาวัน ไม่ว่าจะใน
บ้าน ที่ทางาน หรือแม้แต่สันทนาการใดๆ
5.4.2.1 ส่งเสริมและสนับสนุนการทางานของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ
5.4.2.2 ป้องกันไม่ให้เกิดอันตราย หรือมีความพิการของกระดูก
และกล้ามเนื้อ
5.4.2.3 ลดการเมื่อยล้า หรือการใช้พลังงานมากเกินไป
5.4.3 ผลกระทบจากการไม่เคลื่อนไหวร่างกาย
5.4.3.1 ระบบผิวหนัง
1) เกิดแรงกดทับ (Pressure)
ระหว่างปุมกระดูกกับที่นอนที่รองรับในการนอน
2) เซลล์ตายและลุกลามกลายเป็นแผล
3) การเสียดทาน (Friction) เมื่อผู้ปุวยถูกลากหรือเลื่อนตัว
ทำให้ผิวหนังขูดกับที่นอน
4) แรงดึงรั้ง (Shearing force) เกิดจากแรงกดทับและการเสียดทานที่เกิดขึ้นพร้อมกัน
5.4.3.2 ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
1) กระดูกผุ เปราะบาง (Osteoporosis) พบบ่อยที่กระดูกขา
2) การประสานงานของกล้ามเนื้อแขนขาลดลงหรือไม่สัมพันธ์กัน
3) กล้ามเนื้ออ่อนแรง ลีบเล็ก (Muscle atrophy) การที่ใยกล้ามเนื้อไม่มีการหดหรือหดตัว ทาให้ขาดความตึงตัวและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลดลง
5.4.3.3 ระบบหัวใจและหลอดเลือด
1) หัวใจทางานมากขึ้น
2) มีการคั่งของเลือดในหลอดเลือดดาที่ขา
3) เกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดา (Thrombus)
เนื่องจากมีการคั่งของหลอด
5.4.3.4 ระบบทางเดินหายใจ
1) ปอดขยายตัวลดลง (Decrease lung expansion)
2) มีการคั่งของเสมหะมากขึ้น เนื่องจากการพัดโบกของ Cilia เพื่อพัดเสมหะจากทางเดินอากาศส่วนล่างสู่ส่วนบนลดลง
5.5 กระบวนการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยก่อนและหลังผ่าตัด
5.5.1 การประเมินสภาพผู้ป่วย
5.5.2 ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
5.5.3 การวางแผนการพยาบาล ให้การพยาบาล และประเมินผลหลังให้การพยาบาล