Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 3 ตอนที่ 1 การตรวจร่างกายทุกระบบ - Coggle Diagram
บทที่ 3 ตอนที่ 1 การตรวจร่างกายทุกระบบ
การดู (Inspection)
การดู เป็นการสังเกตโดยใช้สายตาสังเกตภาวะสุขภาพ
สำรวจอวัยวะต่างๆของร่างกายว่าผิดปกติหรือไม่ โดยเริ่มตรวจตั้งแต่ผู้ป่วยเดินเข้ามาว่าเป็นอย่างไร
มีใครช่วยพยุงมาหรือไม่รวมทั้งดูลักษณะ และอากัปกิริยาของ
ผู้ป่วยตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า สีหน้า ท่าทาง ผิวพรรณ อาการแสดงต่างๆทั้งที่ปกติและผิดปกติ
ซึ่งการดูสามารถให้การวินิจฉัยเบื้องต้นในโรคบางอย่างได้ เช่น การอักเสบเป็นฝี
บริเวณที่เป็นจะมีลักษณะบวม แดง ร้อน หรือมีหนอง เป็นต้น
การคลำ (Palpation)
การคลำ บนร่างกายของผู้ป่วยที่ปราศจากเสื้อผ้าให้ผู้ป่วยนั่งหรือนอนในท่าที่สะดวกต่อการคลำ และอยู่ในท่าที่สบายที่สุดผู้ตรวจจะใช้ฝ่ามือ
หรือนิ้วมือข้างที่ถนัดคลำโดยไม่ใช้ปลายนิ้ว เล็บผู้ตรวจจะต้องสั้น มือต้องอุ่นขณะตรวจผู้ป่วย
เพราะถ้ามือเย็นจะทำให้ผู้ตรวจจะต้องสั้น มือต้องอุ่นขณะตรวจผู้ป่วย เพราะถ้ามือเย็นจะทำให้ผู้ป่วยสะดุ้งและเกร็งได้ขณะคลำให้
ผู้ตรวจสังเกตสีหน้าท่าทางผู้ป่วยตลอดเวลาด้วย เพื่อจะได้ประเมินอาการได้แม่นยำขึ้น
การคลำแบ่ง ออกเป็น 2วิธี
การคลำมือเดียว (UNIMANUAL PALPATION) คือ การใช้นิ้วมือ ฝ่ามือ ข้างใดขางหนึ่งที่ถนัดคลำตรงตำแหน่งที่ต้องการจะตรวจ เช่น เต้านม ใบหน้า หน้าท้อง เป็นต้น
การคลำสองมือ (BIMANUAL PALPATION) คือ การใช้มือทั้งสองข้าง ช่วยการคลำพร้อมกัน เช่น การตรวจหน้าท้องหญิงตั้งครรภ์ คลำตับ คลำม้าม การตรวจอวัยวะอุ้งเชิงกรานของ
ผู้หญิง
การเคาะ (Percussion)
การเคาะ เป็นการใช้ปลายนิ้ว ฝ่ามือ สันมือหรือกำปั้นทุบ เพื่อตรวจดูว่ามีความเจ็บปวดหรือไม่ และฟังเสียงของการเคาะ เพื่อจะหาต าแหน่ง ขนาด และความหนาแน่นของโครงสร้างของอวัยวะนั้นๆโดยท าให้เกิดการสั่นสะเทือนของเสียงไปกระทบอวัยวะที่ต้องการตรวจแล้วเกิดเสียงสะท้อนกลับคืนมา คือ เสียงโปร่ง (Resonance)โปร่งมาก (Hyperresonance) เสียงกังวาน (Tympany) เสียงทึบ(Dullness) หรือ เสียงทึบมาก (Flatness) เสียงที่สะท้อนกลับมามีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับอวัยวะที่อยู่ภายใน ซึ่งแต่ละต าแหน่งจะมีเสียงสะท้อนที่เป็นลักษณะเฉพาะที่ ทั้งนี้เพื่อค้นหาความผิดปกติ และขอบเขตของอวัยวะที่อยู่ภายใน
การฟัง (Auscultation)
การฟัง เป็นการตรวจโดยอาศัยการได้ยิน ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว จะมีเครื่องช่วยฟัง เพื่อให้ชัดเจนขึ้นเรียกว่า หูฟัง (Stethoscope)การฟังเป็นการตรวจแยกโรคในระบบหัวใจ หลอดเลือด ระบบหายใจ และระบบทางเดินอาหาร
เครื่องมือในการตรวจร่างกาย
เครื่องชั่งน้ำหนัก
ที่วัดส่วนสูง
ปรอทวัดอุณหภูมิร่างกาย (Thermometer)
เครื่องวัดความดันโลหิต
หูฟัง (Stethoscope)
นาฬิกา
เทปวัดขนาดหรือ ความยาว
ไฟฉาย
ไม้กดลิ้น
เข็มปลายทู่หรือปลายแหลม
สำลี
ผ้าคลุมตัวผู้ป่วย
ถุงมือสะอาดและสิ่งหล่อลื่น
เครื่องส่องดูลูกตา (Ophthalmoscope)
แผ่นทดสอบสายตา (Snellen’s Chard)
ส้อมเสียง
เครื่องส่องดูภายในรูหู (Otoscope)
ไม้เคาะเข่า
ชามรูปไต หรือถุงพลาสติก
เครื่องถ่างรูจมูก (Nasal Speculum)
การตรวจผิวหนัง
การตรวจผิวหนัง (Skin) ใช้เทคนิค การดูและการคลำ
สีผิว (skin color)
ผิวสีซีด (pallor) นิยมตรวจบริเวณเยื่อบุ พบในผู้ป่วย
โลหิตจาง ช็อก ผู้สูงอายุอาจพบได้
ผิวเหลือง (jaundice) บริเวณที่ตรวจ คือ ตาขาว (sclera)
พบในผู้ป่วย โรคตับ ถุงน้ำดี
ผิวสีเขียวคล้ า (cyanosis) บริเวณที่ตรวจ คือ ริมฝีปาก ใบหน้า ฝ่ามือ-เท้า ลิ้น และเล็บ พบในผู้ป่วย โรคหัวใจ
หอบหืด
ผิวสีแดง (erythema) บริเวณที่ตรวจ คือ ใบหน้า หน้าอกส่วนบน หรือบริเวณที่มีอันตรายจนเกิดการอักเสบพบใน ภาวะไข้ อาย ดื่มสุรา มีการอักเสบ
ผิวสีอื่นๆ จากการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสี เช่น ผู้สูงอายุ
ความตึงตัว (skin turgor)
ตรวจโดยใช้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือ หยิบผิวหนังและไขมันใต้ผิวหนังขึ้นมาแล้วปล่อย สังเกตดูว่าจีบหายไปเร็วหรือช้า บริเวณที่นิยมตรวจ ได้แก่หน้าผาก ข้างแก้ม ใต้กระดูกไหปลาร้า หลังมือ
ภาวะปกติ ผิวหนังกลับสภาพเดิมทันที
ภาวะผิดปกติ ผิวหนังตั้งอยู่นานเกิน2-3 วินาที เรียกว่า poor skin turgor
อุณหภูมิของผิวหนัง (temperature)
บริเวณที่ตรวจ คือ ผิวกายทั่วไปในการประเมินอุณหภูมิผิวหนังทั่วไปผิวหนังเย็น ในรายที่ทีภาวะช็อก มือเท้าเย็น หรือเลือดไปเลี้ยงส่วนปลายไม่ดี
ภาวะปกติ ผิวหนังจะอุ่นทั่วกาย
ภาวะผิดปกติ ผิวหนังร้อน ในรายมีไข้
ความชุ่มชื้น (moisture)
บริเวณที่ตรวจ คือ ผิวบริเวณหน้าโดยเฉพาะหน้าผาก และ ผิวกายทั่วไป
ภาวะปกติ ผิวจะแห้ง ชุ่มชื้น
ภาวะผิดปกติ เหงื่อออกมาก เหงื่อขึ้นทั่วร่างกาย ผิวแห้งมากการไหลเวียนไม่ดี
เม็ดผื่นหรือตุ่ม (skin lesion)
ใช้การดูและคล าผิว เมื่อพบเม็ดผื่นต่างๆ ให้ตรวจดู สี ชนิดหรือประเภทรูปร่างหรือการรวมกัน ตำแหน่งและการกระจาย เป็นการกระจายทั่วไปหรือเฉพาะ สิ่งที่พบร่วมกับเม็ดผื่นและตุ่มนั้นๆ
จุดเลือดออก
เป็นการตรวจจุดเลือด หรือจ้ำเลือดที่เกิดจากการขยายของหลอดเลือดชั้นตื้น การตรวจเริ่มด้วยการดู และการใช้คลำเพิ่มเติม
การบวม (edema)
ใช้เทคนิค การดูและการคลำโดยใช้นิ้วมืออาจใช้นิ้วหัวแม่มือ หรือนิ้วชี้นิ้วเดียว หรือนิ้วชี้ กลาง และนิ้วนาง กดลงบนผิวหนังที่ด้านหลังมีกระดูกรอง กดแรงและนานพอควร ประมาณ 5-10 วินาที และสังเกตมีรอยบุ๋มหรือไม่ ต าแหน่งที่ตรวจ คือ หลังเท้า ข้อเท้า ขาด้าน medial ต่อกระดูกหน้าแข้ง (tibia)
การตรวจผมและขน
การตรวจผม ใช้เทคนิคการดู คลำและดมกลิ่น
ภาวะปกติ สีผมจะเป็นธรรมชาติของเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ ปริมาณผมมากในวัยรุ่น ผมควรนุ่ม ไม่หยาบและหักง่าย หนังศีรษะควรสะอาด ในผู้สูงอายุผมน้อยลง เมลานินลดลง ผมสีจางลง เส้นผมร่วงง่ายและแห้งง่าย ขนบริเวณรักแร้และหัวเหน่าจะลดลง แต่บริเวณหน้าจะเพิ่มขึ้น
ภาวะผิดปกติ ผมเปลี่ยนสีไป (โดยไม่ย้อม) ผมร่วงมาก ผมหยาบเปราะ แตกง่าย ผมสกปรก มีรังแค เหา มีกลิ่น มีบาดแผลและตุ่ม
การตรวจเล็บ
การตรวจเล็บใช้การดูและคลำ
ภาวะปกติ โคนเล็บจะนุ่มหยุ่นเล็กน้อย มุมระหว่างฐานเล็บ (nail base) กับผิวหนังโคนเล็บ ประมาณ 160° เล็บเป็นสีชมพู ผิวเล็บเรียบแนบสนิทกับเนื้อเยื่อด้านล่าง
ภาวะผิดปกติ เล็บไม่เรียบ นูนบางไม่เท่ากัน หรือมีลักษณะ ดังนี้ เล็บรูปช้อน (spooning finger) มักพบในผู้ที่โลหิตจาง จากการขาดธาตุเหล็ก
นิ้วปุ้ม (clubbing finger)มักพบในผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด ปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหัวใจ
ศีรษะ ใบหน้า คอ
และต่อมน้ำเหลือง
การตรวจศีรษะ
การตรวจศีรษะ ใช้เทคนิคการดูและการคลำ
การดู ผู้ตรวจยืนเผชิญหน้ากับผู้ใช้บริการ สังเกตดูสิ่งต่อไปนี้ คือรูปร่างและขนาดของศีรษะ ผม หนังศีรษะ
การคลำ ผู้ตรวจยืนเผชิญหน้ากับผู้ใช้บริการ ใช้ปลายนิ้ววนเป็นวงกลมและเบาๆไปทั่วศีรษะ โดยเริ่มส่วนหน้าของศีรษะ ด้านข้าง ไล่ไปส่วนบนและท้ายทอย เพื่อค้นหาก้อนผิดปกติและบริเวณท้ายทอยจะคลำหาต่อมน้ำเหลืองด้วย (occipital lymphnode)
การตรวจใบหน้า
การตรวจใบหน้า ใช้เทคนิค การดูและการคลำ
การดู ผู้ตรวจยืนเผชิญหน้ากับผู้ใช้บริการ สังเกตความสมมาตรของใบหน้า การเคลื่อนไหวต่างๆบนใบหน้า การกระจายของขนคิ้ว ขนตา หนวดเครา สีผิว และลักษณะของผิวหน้า ค้นหารอยโรค สังเกตมุมปาก การแสดงออกของใบหน้า การทำงานของกล้ามเนื้อใบหน้า โดยจะให้เลิกคิ้ว หลับตาปี๋ ยิงฟัน ทำปากจู๋ เป่าลมแก้มป่อง
ลักษณะใบหน้าที่ผิดปกติที่พบบ่อยในคลินิก
Nephrotic syndrome
Cushing syndrome
การตรวจคอ
การตรวจคอ ใช้เทคนิค การดูและการคลำ เป็นการตรวจการทำงานของกล้ามเนื้อ sternocleidomastoid และ trapezius
การตรวจหลอดลมคอ
การตรวจหลอดลมคอ (trachea) ใช้เทคนิค การคลำให้ผู้ใช้บริการอยู่ในท่านั่งหรือนอนหงาย หน้าตรง ก้มคอลงเล็กน้อยเพื่อให้กล้ามเนื้อ sternocleidomastoid หย่อน ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางของมือที่ถนัด แยงที่บริเวณ suprasternal notch ให้นิ้วอยู่ 2 ข้างของหลอดลมคอ สังเกตความสะดวกในการแยง และสังเกตเนื้อนุ่มๆที่คลำพบ
การตรวจต่อมน้ำเหลือง
การตรวจต่อมน้ำเหลือง (lymphnode) ใช้เทคนิคการดูและการคลำ โดยจะหาขนาด ความยืดหยุ่น ความยึดติดกับเนื้อเยื่อการอักเสบและผิวหนังที่ปกคลุม
การตรวจตา
การตรวจตา
ใช้เทคนิค การดู การคลำ และทดสอบหน้าที่
ตรวจความสามารถในการมองเห็น
ตรวจลานตา
ตรวจเคลื่อนไหวของลูกตา
ตรวจตำแหน่งตา ลูกตา และบริเวณรอบตา
ตรวจรูม่านตา
ตรวจความใสของของกระจกตา
ตรวจตาขาวและเยื่อบุลูกตา
การตรวจหู
การตรวจหู ใช้เทคนิค การดู การคลำ
การตรวจการได้ยิน ตรวจง่ายๆโดยให้ฟังเสียงนาฬิกาเดิน โดยวางห่างจากหู 2-3 ซ.ม. หรือกระซิบในระยะห่าง 1-2 ฟุต โดยไม่ให้เห็นว่าใช้นาฬิกาหรือปากคนพูด ภาวะปกติจะได้ยิน ถ้าผิดปกติก็ตรวจละเอียดต่อไป
การตรวจจมูกและโพรงอากาศ
การจมูกและโพรงอากาศ ใช้เทคนิค การดู การคลำ และทดสอบการได้กลิ่น
การตรวจปากและช่องปาก
การตรวจปากและช่องปาก ใช้เทคนิค การดู สังเกตริมฝีปาก สีลักษณะ แผล หรือความผิดปกติ ให้ผู้ใช้บริการอ้าปาก เงยหน้าขึ้นใช้ไฟฉายและไม้กดลิ้นช่วยให้เห็นชัดขึ้น ตรวจฟัน เหงือก ลิ้นกระพุ้งแก้ม เพดานปาก ลิ้นไก่ ทอนซิล และผนังคอหอย โดยกดไม้กดลิ้นตรงกลาง ใกล้โคนลิ้น หรือ 1/3 จากโคนลิ้น (middle third) โดยไม่ต้องแลบลิ้น ในขณะเดียวกันให้ผู้รับบริการร้องอาเพดาน ปากและลิ้นไก่ยกขึ้น จะท าให้เห็นคอหอยชัดเจน