Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การติดเชื้อระบบขับถ่ายปัสสาวะระหว่างตั้งครรภ์ (Urinary system Infection…
การติดเชื้อระบบขับถ่ายปัสสาวะระหว่างตั้งครรภ์ (Urinary system Infection during pregnancy)
-ในระยะตั้งครรภ์มีการเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินปัสสาวะตั้งแต่ไตถึง ureter มีการขยายใหญ่ขึ้น อาจทําให้มีปัสสาวะค้างอยู่นานและเป็นสาเหตุ
ทําให้ติดเชื้อได้ง่าย
-มีการเปลี่ยนแปลงหน้าที่ของไต ได้แก่ GFR (Glomerrularinfiltration rate) และ ERPF (Effective Renal Plasma Flow) เพิ่มขึ้น การขับโปรตีนน้อย
-เมื่อมีโปรตีนในปัสสาวะเกิน 300 มก. ใน 24 ชั่วโมง ถือว่าผิดปกติ
-การติดเชื้อที่พบบ่อยที่สุด คือ โรคติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะที่ไม่แสดงอาการ (asymptomatic bacteriuria), กระเพาะปัสสาวะอักเสบเฉียบพลัน (acute cystitis)และกรวยไตอักเสบเฉียบพลัน (acute pyelonephritis)
การเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินปัสสาวะในขณะตั้งครรภ์
มีการเปลี่ยนแปลงทางหน้าที่ของไต
ทำให้เพิ่มหน้าที่การกรองของไตทําให้ระดับ creatinine และ BUN ในเลือดลดต่ำลง หน้าที่ของ tubule ในการดูดซึมกลับของโซเดียม กรดอะมิโนส่วนใหญ่ วิตามินชนิดที่ละลายน้ำได้ และกลูโคสสูงขึ้น
มีการเปลี่ยนแปลงทางกายวิภาคที่สําคัญของระบบทางเดินปัสสาวะ
ซึ่งเป็นผลมาจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ทําให้มีการคั่งของ
น้ำปัสสาวะในไตมีการย้อนกลับของเชื้อเข้าสู่ไต ทําให้เกิดภาวะ pyelonephritis ตามมา
ชนิดของการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะและระบบขับถ่ายปัสสาวะขณะตั้งครรภ์
1.การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะแต่ไม่แสดงอาการ (Asymptomatic bacteriuria: ASB)
เป็นการตรวจพบแบคทีเรียในปัสสาวะมากกว่า 105 colony forming unit/ml (cfu/ml)
2.การติดเชื้อเฉียบพลันที่กระเพาะปัสสาวะ (Acute cystitis)
เป็นการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะ ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินปัสสาวะร่วมกับมีอาการเจ็บปวดขณะถ่ายปัสสาวะ ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะบ่อย ปวดปัสสาวะจนต้องรีบปัสสาวะ (urgency) ปัสสาวะมีสีขุ่นหรือสีแดง
3.การติดเชื้อเฉียบพลันที่กรวยไต (Acute pyelonephritis) เป็นการตรวจพบแบคทีเรียในปัสสาวะ มากกว่า 105 cfu/ml
ร่วมกับปัสสาวะเป็นหนอง มีไข้ หนาวสั่น และปวดบริเวณบั้นเอว
4.กลุ่มอาการโรคไตรั่ว หรือโปรตีนรั่วในปัสสาวะ (Nephrotic syndrome)
เป็นพบโปรตีนในปัสสาวะมากประมาณ 5 กรัมต่อวัน โปรตีนในเลือดต่ํา ไขมันในเลือดสูง และมีอาการบวมโดยไม่ทราบสาเหตุ มีผลต่อการตั้งครรภ์คือทําให้ทารกในครรภ์น้ําหนักน้อย หรือคลอดก่อนกําหนด ถ้าสตรีตั้งครรภ์มีความดันโลหิตสูงด้วยสุขภาพของทารกในครรภ์จะเลวลงอย่างมาก
ภาวะไตวาย (renal failure)
5.1 ไตวายเรื้อรัง (chronic renal failure)
มักมีสาเหตุมาจากโรคหลายอย่าง เช่น DM, SLE, glomerulonephritis ส่วนใหญ่มักจะไม่มีการตั้งครรภ์
5.2 ไตวายเฉียบพลัน (acute renal failure)
มักมีสาเหตุจากการแท้งติดเชื้อ (septic abortion), preeclampsia with severe feature
สาเหตุและปัจจัยส่งเสริม
ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อ Escherichia Coli (E. Coli) ที่อยู่รอบท่อปัสสาวะ โดยมีปัจจัยส่งเสริม คือ การเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนขณะตั้งครรภ์ ทําให้ท่อไตตึงตัว ประสิทธิภาพในการดูดซึมกลับลดลง ทําให้ปัสสาวะค้างอยู่ในทางเดินปัสสาวะมากขึ้น ทำให้ขับปัสสาวะออกไม่สะดวก ปัสสาวะค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ ส่งผลให้กระเพาะปัสสาวะและกรวยไตอักเสบเฉียบพลันตามมา
พยาธิสรีรวิทยา
เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณปากช่องคลอดหรือทวารหนักใกล้ท่อปัสสาวะ ย้อนกลับขึ้นไป (ascending infection) ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและการทํางานของ ระบบทางเดินปัสสาวะขณะตั้งครรภ์ จากผลของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) และการขยายตัวของขนาดมดลูก เป็นปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อระบบทางเดิน ปัสสาวะได้ ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาขณะตั้งครรภ์ของไต
อาการและอาการแสดง
อาการและอาการแสดงติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง (Lower UTI)
ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะแสบขัด กระปิดกระปรอย กลั้นปัสสาวะไม่ได้ บางรายอาจพบปัสสาวะเป็นเลือดหรือสีน้ําล้างเนื้อ ปวดบริเวณหัวหน่าว
อาการและอาการแสดงติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะส่วนบน (Upper UTI)
ปัสสาวะเป็นสีขุ่น หรือสีน้ําล้างเนื้อ เจ็บบริเวณชายโครงปวดหลังบริเวณตําแหน่งของไต มีไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้อาเจียน
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะจะกระตุ้นให้มดลูกหดรัดตัว ทําให้เกิดการแท้ง การเจ็บครรภ์คลอดก่อนกําหนด และ/หรือถุงน้ําคร่ําแตกก่อนกําหนด ส่วนในรายที่มีการติดเชื้อในกระแสเลือดอาจเกิด septic shock
ผลกระทบต่อทารก
ทารกคลอดก่อนกําหนด ทารกน้ําหนักตัวน้อย ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ และทารกตายคลอด
การประเมินและวินิจฉัย
การซักประวัติ ซักประวัติเกี่ยวกับการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ หรือการติดเชื้อของระบบสืบพันธุ์ ซักประวัติอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อของระบบสืบพันธุ์
การตรวจร่างกาย จะตรวจพบปัสสาวะขุ่น หรือพบปัสสาวะเป็นสีน้ําล้างเนื้อ มีไข้ ปวดบริเวณท้องน้อยเหนือหัวหน่าว หากกดบริเวณcostovertebral angle จะปวดมาก (positiveGoldflam sign or kidney punch)
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ตรวจ urine analysis จะพบไข่ขาว เม็ดเลือดขาย ตรวจ urine culture จะพบเชื้อแบคทีเรียมากกว่า 105 dfu/ml ในรายที่มีการติดเชื้อที่กรวยไต ควรตรวจ urine culture เมื่อมาฝากครรภ์ครั้งแรกทุกรายและตรวจซ้ําเมื่ออายุครรภ์ 28 สัปดาห์
แนวทางการป้องกันและรักษา
การป้องกัน
1.1 แนะนําให้ทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ทุกครั้งหลังขับถ่าย
1.2 แนะนําให้ดื่มน้ําอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว
1.3 ทําการคัดกรองการติดเชื้อตั้งแต่ต้น โดยตรวจเพาะเชื้อปัสสาวะ (urine culture) ในสตรีที่มาฝากครรภ์ครั้งแรกทุกรายหรือทําเฉพาะในรายที่มีความเสี่ยง
การรักษา
2.1รายที่มีการติดเชื้อแบบ ASB จําเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะเพื่อการรักษาทุกราย เพื่อป้องกันการเกิด upper UTI โดยให้ยาปฏิชีวนะได้แก่ ampicillin, cephalexin, amoxicillin และ nitrofurantoin หลังจากได้รับการรักษา 7 วัน ควรตรวจ urine culture เพื่อตรวจหาเชื้อโรคซ้ําจากนั้นตรวจทุกเดือนจนกระทั่งคลอด ถ้ายังตรวจพบเชื้ออาจจําเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะต่อในระยะยาว
2.2 รายที่มีการติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะรักษาโดยให้ยาปฏิชีวนะที่มีความไวต่อเชื้อและปลอดภัยต่อมารดาและทารกมากที่สุด
2.3 รายที่เป็นกรวยไตอักเสบเฉียบพลัน ต้องรับไว้ในโรงพยาบาลเพื่อให้สารละลายทางหลอดเลือดดํา และให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดํา พร้อมทั้งส่งตรวจ Urine culture เมื่อตรวจไม่พบเชื้อในปัสสาวะจึงเปลี่ยนมาเป็นยาชนิดรับประทาน และติดตามผลการตรวจเพาะเชื้อเป็นระยะไปจนถึงหลังคลอด
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
ให้คําแนะนําเกี่ยวกับการดําเนินของโรค ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นกับสตรีตั้งครรภ์และทารก
เน้นความสําคัญของการมาตรวจครรภ์ตามนัดอย่างต่อเนื่องและสม่ําเสมอ
แนะนําการปฏิบัติตัวขณะตั้งครรภ์เพื่อป้องกันการติดเชื้อ หรือป้องกันการกลับเป็นซ้ํา
3.1 พักผ่อนอย่างเพียงพอ โดยแนะนําให้นอนตะแคงเพื่อไม่ให้มดลูกไปกดทับท่อไต
3.2 ดื่มน้ําวันละ 8-10 แก้ว หรือ 2,000-3,000 มิลลิลิตร และไม่กลั้นปัสสาวะ
3.3 ดูแลรักษาความสะอาดของร่างกายโดยเฉพาะอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
3.4 ในรายที่ได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ให้ความรู้แก่สตรีตั้งครรภ์ถึงความจําเป็นของการรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสังเกตอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นขณะรับประทานยา
3.5 แนะนําให้สังเกตอาการผิดปกติที่ต้องรีบาพบแพทย์ เช่น ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะออกน้อย มีไข้ คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้องน้อย ปวดบั้นเอว เจ็บครรภ์ ถุงน้ําคร่ําแตก เป็นต้น
กรณีที่มีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะและได้รับการรักษา ติดตามการเปลี่ยนแปลงของโรค
กรณีที่ต้องรับเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ให้การพยาบาลดังนี้
5.1 อธิบายให้สตรีตั้งครรภ์เข้าในถึงความจําเป็นในการเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล
5.2 ดูแลให้พักผ่อนอย่างเพียงพอ แนะนําให้นอนตะแคงเพื่อไม่ให้มดลูกกดทับท่อไต
5.3 ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินการติดเชื้อในร่างกาย
5.4 ประเมินเสียงหัวใจของทารกและการดิ้นของทารกเพื่อประเมินสภาวะของทารกในครรภ์ รวมทั้งเตรียมการตรวจและติดตามผลการตรวจต่าง ๆ
5.5 สังเกตและบันทึกปริมาณสารน้ําเข้าและออกจากร่างกาย และติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อประเมินการทํางานของไต
5.6 ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา เช่น ยาปฏิชีวนะยาลดไข้ ยากลุ่มสเตียรอยด์ เป็นต้น
5.7 ให้การพยาบาลเพื่อบรรเทาความไม่สุขสบาย เช่น อาการปวดหลังและปวดบั้นเอว เป็นต้น โดยให้นอนตะแคงด้านที่ไม่ปวด การประคบร้อนบริเวณที่ปวด การเช็ดตัวลดไข้ เป็นต้น
5.8 ดูแลประคับประคองจิตใจ
ระยะคลอด
ให้การพยาบาลเช่นเดียวกับผู้คลอดทั่วไป และเน้นเรื่องการทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกทุกครั้งหลังการขับถ่าย เพื่อป้องกันการติดเชื้อ การสังเกตอาการผิดปกติต่างๆ และในกรณีที่คลอดก่อนกําหนดเตรียมอุปกรณ์ในการช่วยเหลือทารกแรกเกิดให้พร้อม
ระยะหลังคลอด
การป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ และการป้องกันการกลับเป็นซ้ํา
ให้คําแนะนําเช่นเดียวกับคําแนะนําเพื่อป้องกันการติดเชื้อในขณะตั้งครรภ์ โดยเน้นการคุมกําเนิด ในรายที่มีบุตรเพียงพอแล้วหรือเป็นโรคไตติดเรื้อรังควรคุมกําเนิดแบบถาวร