Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
🚑🏥การพยาบาลผู้ป่วยในระยะก่อน-หลังผ่าตัดการเคลื่อนไหวและการออกกำลังกาย👩…
🚑🏥
การพยาบาลผู้ป่วยในระยะก่อน-หลังผ่าตัดการเคลื่อนไหวและการออกกำลังกาย
👩🏻⚕️👩🏼🦽
1. การพยาบาลผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
1.1 การประเมินผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
อธิบาย
การประเมินผู้ป่วยก่อนการผ่าตัด เป็นการประเมินความพร้อมทั้งด้านร่างกาย และ
สภาพจิตใจของผู้ป่วยเพื่อลดความเสี่ยงของการผ่าตัดและการให้ยาระงับความรู้สึก
1.1.1 การซักประวัติ
ติ โดยการสอบถามข้อมูลจากผู้ป่วยและญาติ รวมถึงการทบทวน
แฟ้มประวัติของผู้ป่วย ใบส่งตัว หรือใบบันทึกต่างๆ
ข้อมูลที่สำคัญซึ่งอาจมีผลต่อการผ่าตัด
3) ประวัติการแพ้ยาหรืออาหาร
4) การใช้ยา สารเสพติด การสูบบุหรี่ และดื่มสุรา
2) ประวัติการผ่าตัด และการได้รับยาระงับความรู้สึกก่อนหน้านี้
ครอบคลุม
ถึงวิธีการให้ยาระงับความรู้สึก และภาวะแทรกซ้อนที่เกิด
เช่น
การใส่ท่อหายใจยาก
อาการคลื่นไส้
อาเจียนหลังผ่าตัด
5) ประวัติของคนในครอบครัวหรือญาติที่มีปัญหาเกี่ยวกับการได้รับยาระงับ
ความรู้สึก
1) ประวัติโรคประจำตัว
ควรครอบคลุมถึงอาการ ความรุนแรงของโรค
ภาวะแทรกซ้อนของโรค และประวัติการรักษา ยาที่ใช้ประจำ
6) ประวัติเกี่ยวกับโรคของระบบต่างๆ ของร่างกาย
เช่น
โรคความดันโลหิตสูง
โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ
โรคลมชัก
โรคที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด
1.1.2 การตรวจร่างกาย
เป็นการประเมินผู้ปุวยเพิ่มเติมจากการซักประวัติ เพื่อช่วย
บอกถึงโรคหรือความผิดปกติที่อาจไม่ได้ข้อมูลจากการซักประวัติเป็นแนวทางในการส่งตรวจทาง
ห้องปฏิบัติการ หรือการส่งตรวจอื่น
1) สัญญาณชีพ
2) การชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง
3) การตรวจประเมินทางระบบหายใจ
4) การตรวจร่างกายตามระบบ โดยเน้นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโรคหรือบริเวณที่จะทำการผ่าตัด
1.1.3 การส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
เพื่อให้ได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากการซักประวัติ
และตรวจร่างกาย สามารถใช้เป็น Screening tests นอกจากนี้จะช่วยยืนยันการวินิจฉัยโรค บอกถึงความ
รุนแรงของโรค
พิจารณาจากข้อบ่งชี้ที่ต้องการตรวจหาและสภาพผู้ป่วย ดังนี้
1) ข้อบ่งชี้ของการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษอื่นๆ
ชนิดการตรวจ
Blood sugar
โรคเบาหวาน ใช้ยากลุ่ม steroids
Liver function tests
โรคตับ ถุงน้ำดี ภาวะเลือดออกผิดปกติ ภาวะขาดสารอาหาร โรคพิษสุราเรื้อรัง
ได้รับยาเคมีบำบัด
BUN/Creatinine
โรคไต โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ภาวะพร่องน้ำ
Coagulogram
โรคตับ เลือดออกผิดปกติ ได้รับยาปูองกันเลือดแข็งเป็นลิ่ม (Anticoagulants)
Electrolytes
โรคไต โรคเบาหวาน ภาวะพร่องน้ำ ได้รับยาขับปัสสาวะ digoxin steroids
Chest X-ray
โรคหัวใจ โรคปอด โรคมะเร็ง สูบบุหรี่ ไอเรื้อรัง มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยวัณโรค
Urinalysis
Screening test สำหรับโรคไต การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
ECG
โรคหัวใจ โรคปอด โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน
Complete blood count
ภาวะซีด เลือดออกผิดปกติ Chronic blood loss โรคไต โรคมะเร็ง
2) ข้อแนะน าการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ (Screening tests)
ข้อบ่งชี้/ข้อแนะนำการส่งตรวจ
อายุ> 45 ปี แข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว
CBC, CXR , ECG
อายุ> 60 ปี แข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว
CBC , CXR , ECG , E’lytes , BUN/Cr , BS
อายุ≤ 45 ปี แข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว
CBC
ผู้ป่วยที่มารับการผ่าตัดใหญ่
CBC , CXR , ECG , E’lytes , BUN/Cr , BS, Coag
1.2 การเตรียมผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
อธิบาย
ภายหลังจากการประเมินสภาพผู้ปุวยแล้ว พยาบาลจะท าการเตรียมผู้ปุวยเพื่อให้พร้อม
ส าหรับการผ่าตัด รวมไปถึงการปฏิบัติตัวภายหลังผ่าตัด
การเตรียมผู้ป่วยก่อนผ่าตัด มีดังนี้
1.2.1 การเตรียมผู้ป่วย
ระยะเวลาตั้งแต่ผู้ป่วยเริ่ม
ตระหนักว่ามีบางสิ่งผิดปกติ และแพทย์วินิจฉัยว่าต้องผ่าตัดหรือตัวผู้ปุวยเองสงสัยว่าจะต้องผ่าตัด
จนกระทั่งเวลาที่แพทย์จะลงมือผ่าตัดผู้ปุวยควรได้รับการเตรียมตัวก่อนผ่าตัดให้พร้อมที่สุด ทั้งร่างกาย และ จิตใจ
เตรียมโดย
1) ด้านร่างกาย
ภาวะสมดุลทางด้านร่างกายก่อนผ่าตัดมีความสำคัญเท่าๆ กับ
ความสมดุลทางด้านจิตใจ
ป้องกันหรือลดความผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด
มีการเตรียมร่างกายดังนี้
(2) ระบบทางเดินหายใจ ต้องประเมินสภาวะของปอดและหลอดลม ดูการ
ท างานของระบบทางเดินหายใจ
(3) ระบบทางเดินปัสสาวะ ต้องประเมินสภาวะของไต
(1) ระบบหัวใจและหลอดเลือด ต้องประเมินความสามารถในการทำงาน
ของหัวใจ และหลอดเลือด เพื่อดูว่าร่างกายสามารถทนต่อการผ่าตัดได้หรือไม่
(4) ประเมินความสมบูรณ์ของร่างกายในการได้รับอาหารที่พอเหมาะ
(5) ภาวะสารน้ำและอีเล็คโทรลัยต์ในร่างกาย
(6) การพักผ่อนและการออกกำลังกาย ต้องได้รับการพักผ่อนที่ดี และมี
การออกกำลังกายที่พอเหมาะ
(7) ให้คำแนะนำและข้อมูลต่างๆ ที่ผู้ป่วยควรทราบเพื่อลดความวิตกกังวล
2) ด้านจิตใจ
ผู้ป่วยและครอบครัวส่วนใหญ่จะมีความวิตกกังวลเมื่อรู้ว่าตนเอง
หรือบุคคลในครอบครัวต้องผ่าตัด
ประเมินความวิตกกังวลก่อนผ่าตัด
เพื่อช่วยลดความวิตกกังวล ความกลัว
ต่างๆ
3) การให้คำแนะนำการปฏิบัติหลังผ่าตัด
ฝึกทักษะการปฏิบัติตัวในระยะหลังผ่าตัด เพื่อทำให้การพักฟื้นหลังผ่าตัดเร็วขึ้น และช่วยปูองกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดที่อาจเกิดขึ้นได้
ให้คำแนะนำการปฏิบัติตัวหลังผ่าตัด
(2)Quadriceps Setting Exercise (QSE)
เป็นการออกกำลังกายกล้ามเนื้อ
ต้นขา (Quadriceps muscle
3 more items...
(3)Straight Leg Raising Exercise (SLRE)
เป็นการออกกำลังขา ข้อสะโพก
และกล้ามเนื้อต้นขาแบบยกขาขึ้นตรงๆ
(1)Early ambulation
ยกเว้นมีข้อห้ามหรือการผ่าตัดบางอย่างที่ต้องให้
ผู้ป่วย Absolute bed rest
ก่อนลุกจากเตียงควรมีการเตรียมพร้อมกล้ามเนื้อขา เพื่อช่วยในการลุกเดิน
ได้แก่ SLRE QSE ROM
(4)Range of Motion (ROM)
เป็นการออกกำลังขา ข้อสะโพก
และกล้ามเนื้อต้นขาแบบยกขาขึ้นตรงๆ
(5)Deep-breathing exercises
จัดผู้ปุวยให้อยู่ในท่านอนหงายศีรษะ
สูง วางมือทั้ง 2 ข้างบนหน้าอกส่วนล่าง แล้วให้กำมือหลวมๆ ให้นิ้วมือสัมผัสกับหน้าอก
(7) Abdominal breathing
บางรายที่มีอาการปวดแผลหรือรับการผ่าตัดบริเวณทรวงอก
ให้หายใจเข้าออกโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องแทนทรวงอก เพื่อให้ทรวงอกเคลื่อนไหวน้อยลงในระยะแรกหลังผ่าตัด ทำ 8-10 ครั้ง ทุก 2 ชั่วโมง
(8)Turning and ambulation
ทำทุก 2 ช.ม
พลิกตัวไปทางขวา
ให้ขยับตัวไปทางซ้าย ใช้มือซ้ายจับราวกั้นเตียงซ้าย แล้วพลิกมาทางขวา ผู้ป่วยใช้มือที่ไม่มีน้ำเกลือ ยันที่นอนและพยุงตัวขึ้น ลุกนั่งด้วยตนเองให้
ตะแคงข้างที่ไม่มีน้ำเกลือและใช้แขนข้างนั้น ยันที่นอนและพยุงตัวขึ้น
การลุกนั่ง ให้ผู้ช่วยเหลือไขหัว
เตียงขึ้น ประมาณ 45-60 องศา
(6)Effective cough
จัดให้ผู้ปุวยอยู่ในท่านั่งเอนไปข้างหน้าเล็กน้อย
ให้ผู้ปุวยประสานมือทั้ง 2 ข้าง และกดเบาๆ เหนือบริเวณที่คิดว่าจะมีแผลผ่าตัด
(9)Extremity exercise
ให้ผู้ป่วยนอนในท่าหัวสูงเล็กน้อยหรือนอนในท่าที่
สบาย ทำการออกกำลังแขนหรือขาทีละข้างโดยเฉพาะการเหยียดออกและงอเข้าของทุกข้อ
ยกเว้นในรายที่มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวหลังผ่าตัด เช่น การผ่าตัดหลอดเลือดที่ขา หรือทำการตกแต่งบริเวณขา อาจทำโดยการออกกำลังกายโดยการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ (Isometric exercise)
(10) Pain management
หลังผ่าตัดผู้ป่วยจะได้รับการระงับความเจ็บปวด
ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง
เช่น
2 more items...
1.2.2 การเตรียมผู้ปุวยก่อนวันที่ผ่าตัด
5) การให้ยาแก่ผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
แพทย์มักจะให้ยาในคืนวันก่อนผ่าตัดเพื่อช่วยให้
ผู้ป่วยคลายความวิตกกังวลและนอนหลับพักผ่อนได้ดี
6) เตรียมเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ที่พิเศษ
เช่น สายใส่จมูกถึงกระเพาะอาหาร
4) การดูแลสภาพร่างกายทั่วไป
(1) ในคืนก่อนวันผ่าตัด
(2) ในเช้าวันที่จะผ่าตัด
7) แผ่นบันทึกรายงานต่างๆ ต้องบันทึกให้ครบ และรวบรวมให้เรียบร้อย
3) การเตรียมผิวหนังก่อนผ่าตัด
เนื่องจากผิวหนังเป็นแหล่งที่มีเชื้อจุลินทรีย์อาศัยอยู่
มาก เพราะเป็นบริเวณที่กว้างนต้องมีการเตรียมความสะอาดผิวหนังบริเวณที่จะผ่าตัด เพื่อเป็นการ
ลดจำนวนจุลินทรีย์
กำจัดขนและสิ่งสกปรกต่างๆ ถ้าผิวหนังบริเวณที่จะผ่าตัดมีเม็ดผื่นหรือมีการติดเชื้อเกิดขึ้น แพทย์อาจต้องเลื่อนการผ่าตัดออกไปจนกระทั่งการติดเชื้อนั้นหายไป
ยกตัวอย่าง
(1) บริเวณศีรษะ
โกนผมบริเวณศีรษะออก เช็ดใบหู และทำความสะอาดช่องหู
ภายนอกด้วยไม้พันสำลีที่ปราศจากเชื้อ
เตรียมบริเวณลงมาถึงแนวกระดูกไหปลาร้าทั้งหน้าและหลัง
(2) บริเวณหูและปุุมกระดูกมาสตอยด์
เตรียมบริเวณกว้างเป็นวงรอบออกไป
จากหูประมาณ 1 – 2 นิ้ว โกนขนอ่อน ที่ใบหู
(3) บริเวณคอ
เช่น ผ่าตัดต่อมไทรอยด์
เตรียมบริเวณจากใต้คางลงมาถึง
ระดับราวหัวนม และจากหัวไหล่ข้างขวาถึงข้างซ้าย
(4) บริเวณทรวงอก
เช่น ผ่าตัดเต้านม
เตรียมด้านหน้าจากคอตอนบนจนถึงระดับสะดือจากแนวยาวของหัวนมข้างที่ไม่ได้ทำผ่าตัดไปจนถึงกึ่งกลางหลังของข้างที่ทำ และขนอ่อนของต้นแขนจนถึงต่ำกว่าข้อศอก 1 นิ้ว
(5) บริเวณช่องท้อง
เช่น ผ่าตัดท่อน้ำดีถุงน้ำดีกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้
ใหญ่ผ่าตัดคลอดเด็กทางหน้าท้อง (C/S)
เตรียมตั้งแต่ระดับรักแร้ลงมาถึงฝีเย็บ
(6) บริเวณท้องต่ำกว่าสะดือ
เช่น ไส้ติ่ง ไส้เลื่อน
เตรียมบริเวณตั้งแต่
ระดับราวนมลงมาถึงต้นขา รวมทั้งบริเวณฝีเย็บ
(7) ไต
เตรียมด้านหน้าจากบริเวณรักแร้จนถึงบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์และต้นขา ทั้ง
2 ข้าง ด้านข้างจากรักแร้ถึงตะโพก
ด้านหลังจากแนวกึ่งกลางลำตัวด้านหน้าอ้อมไปจนถึงกระดูกสันหลัง
ซีกของ ไตข้างที่จะทำการผ่าตัด
(8) บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์และทวารหนัก
เช่น ทวารหนัก ช่องคลอด ต่อม
ลูกหมาก
เตรียมตั้งแต่ระดับสะดือ ลงมาถึงฝีเย็บ และด้านในของต้นขาและก้น
(10) สะโพกและต้นขา
เตรียมบริเวณจากระดับเอวลงมาถึงระดับต่ำกว่า หัวเข่า
ข้างที่จะทำ 6 นิ้ว ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง ด้านข้าง รวมทั้งเตรียมบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
(11) การทำ Skin graf
ความสะอาดผิวหนังทั้งบริเวณ Donor site และ
Recipient site ให้กว้าง
(12) หัวเข่า เตรียมจากขาหนีบถึงข้อเท้าข้างที่จะทำผ่าตัดโดยรอบ
(13) ปลายขา เตรียมจากเหนือหัวเข่า ประมาณ 8 นิ้ว ลงมาถึงเท้าข้างที่จะผ่าตัด
ตัดเล็บเท้าให้สั้น และท าความสะอาดเล็บ
(14) เท้า เตรียมจากใต้หัวเข่าลงไปถึงเท้าข้างที่จะทำผ่าตัด ตัดเล็บเท้าให้สั้นและ
ทำความสะอาดเล็บด้วย
8) การส่งผู้ป่วยไปห้องผ่าตัด ให้ผู้ป่วยนอนบนรถนอน (Stretcher) ห่มผ้าให้
เรียบร้อย ยกไม้กั้นเตียงขึ้น
2) การขับถ่าย
ถ้าเป็นการผ่าตัดเล็ก หรือการผ่าตัดที่ไม่เกี่ยวข้องกับอวัยวะในช่อง
ท้อง แพทย์อาจให้สวนอุจจาระหรือไม่ก็ได้หรือให้รับประทานยาระบายก่อนวันผ่าตัด
ถ้าเป็นการผ่าตัด
ใหญ่หรือผ่าตัดเปิดสู่ช่องท้องแพทย์จะให้มีการสวนอุจจาระก่อนผ่าตัด
9) การดูแลครอบครัวผู้ป่วย
1) อาหารและน้ำดื่ม
ควรงดอาหารผู้ป่วยก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 8 ชั่วโมงอาหารเหลวใสให้ได้6 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด ถ้าผู้ป่วยปากแห้ง ให้ผู้ป่วยบ้วนปากบ่อยๆ
10) การเตรียมผ่าตัดผู้ป่วยฉุกเฉิน
5 . กระบวนการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยก่อนและหลังผ่าตัด
5.1 การประเมินสภาพผู้ป่วย
รวบรวมข้อมูลที่จำเป็นเพื่อนำไปสู่การวางแผนการพยาบาล
เช่น การปรับตัวและความทนทานต่อความเครียด ความรู้สึกของผู้ป่วยเมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ความยินยอมที่จะเข้ารับการผ่าตัด ความรู้เกี่ยวกับโรคและการผ่าตัด
5.2 ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
จะสอดคล้องกับข้อมูลสนับสนุนที่รวบรวมได้จากการประเมินสภาพผู้ป่วย
เช่น
5.2.1 วิตกกังวลเนื่องจากกลัวการผ่าตัด
5.2.2 วิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและแผนการรักษา
5.3 การวางแผนการพยาบาล ให้การพยาบาล และประเมินผลหลังให้การพยาบาล
เพื่อให้ผู้ป่วยมีความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ ไม่มีอันตรายและภาวะแทรกซ้อนในระหว่างการผ่าตัดพยาบาลจะต้องตระหนักถึงปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วย และเตรียมผู้ป่วยให้พร้อม
5.3.1 ประเมินระดับความวิตกกังวล
5.3.2 เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยระบายความรู้สึก และค้นหาสาเหตุของความวิตกกังวล
5.3.3 ร่วมกันหาทางแก้ไขสาเหตุของความวิตกกังวลร่วมกับผู้ป่วยและญาติ
5.3.4 ดูแลความสุขสบายทั่วไป
5.3.5 จัดหมวดหมู่กิจกรรมการพยาบาลเพื่อลดการรบกวนผู้ป่วยและให้ผู้ป่วยได้พัก
.5.3.6 รายงานแพทย์เมื่อพบอาการผิดปกติ
ตัวอย่าง ผู้ป่วยต้องเข้ารับการผ่าตัดช่องท้อง ไม่เคยมีประสบการณ์การผ่าตัดมาก่อน
สอบถามพยาบาลเกี่ยวกับการผ่าตัดบ่อยครั้ง นอนกระสับกระส่าย และเข้าห้องน้ำปัสสาวะบ่อย
2 . การพยาบาลผู้ป่วยหลังผ่าตัด
2.1 การประเมินสภาพผู้ป่วย
2.1.3 แบบแผนการขับถ่าย
2.1.4 แบบแผนการรับรู้และการดูแลสุขภาพ
2.1.2 แบบแผนอาหารและการเผาผลาญ
2.1.5 แบบแผนการปรับตัวและการเผชิญกับความเครียด ประเมินการรับรู้ และวิธีการ
เปลี่ยนแปลงความเครียด
2.1.1 แบบแผนกิจกรรมและการออกกำลังกาย
2.2 กิจกรรมการพยาบาลหลังผ่าตัด
2.2.1 การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการหายใจให้โล่ง และคงไว้ซึ่งการทำงานระบบหายใจ
2.2.2 การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการทำงานของระบบหัวใจและไหลเวียน
2.2.3 การพยาบาลเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดจากแผลผ่าตัด
2.2.6 การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการหายของแผล
2.2.5 การพยาบาลเพื่อส่งเสริมความสุขสบายและความปลอดภัยของผู้ป่วย
2.2.7 การให้คำแนะนำก่อนกลับบ้านสำหรับผู้ปุวยหลังผ่าตัด
2.2.4 การพยาบาลเพื่อส่งเสริมภาวะโภชนาการของผู้ป่วย เพื่อลดอาการท้องอืด แน่น
ท้อง คลื่นไส้ อาเจียน และส่งเสริมภาวะโภชนาการที่ดีหลังผ่าตัด
3 . การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วย
อธิบาย
การช่วยบุคคลที่ด้อยสมรรถภาพ ทางกาย
จิตใจ บุคคลที่เจ็บปุวยเรื้อรัง หรือบุคคลที่อยู่ในระยะพักฟื้น
ตระหนักถึงสมรรถภาพของตนเองที่ยัง
เหลืออยู่และนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิตและการทำงานหรือจุดมุ่งหมายของการฟื้นฟู
สมรรถภาพเพื่อป้องกันความพิการหรือความด้อยสมรรถภาพที่อาจเกิดขึ้น
ประกอบด้วย
3.1 การช่วยเหลือผู้ป่วยเคลื่อนไหวบนเตียง
3.1.1 การประเมินผู้ป่วย พยาบาลจะให้การช่วยเหลือผู้ปุวยนั้นควรทราบข้อมูลต่างๆ
ของผู้ป่วย
1) ความสามารถของผู้ปุวยในการช่วยเหลือตนเอง
2) ท่าที่เหมาะสม และระยะเวลาที่ผู้ปุวยจะคงอยู่ในท่าที่เปลี่ยนให้ใหม่
3) ความยากล าบากและไม่สุขสบายในขณะเปลี่ยนท่าหรือเมื่ออยู่ในท่าที่จัดให้
4) ปัญหาอื่นๆ ที่พบในผู้ปุวย เช่น ความผิดปกติเกี่ยวกับผิวหนัง กระดูก หลอดเลือด
3.1.2 ปฏิบัติการพยาบาลในการให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยบนเตียง
1) การเตรียมผู้ปุวย ให้เอาหมอนหนุนศีรษะของผู้ป่วยออก วางหมอนไว้ที่พนัก
หัวเตียง ปรับระดับเตียงให้อยู่ในแนวราบพร้อมทั้งดูแลความปลอดภัยของผู้ป่วย
2) การเตรียมตัวพยาบาล พยาบาลควรยืนในท่าที่ถูกต้องพยุงผู้ปุวยด้วยความ
นุ่มนวลและมั่นคง ขณะยกตัวหรือเลื่อนตัวผู้ป่วยให้ใช้วิธีสอดมือเข้าใต้ตำแหน่งร่างกายส่วนที่จะยก เพื่อรองรับน้ำหนักร่างกายส่วนนั้น
ไม่ควรใช้มือหยิบหรือจับขาผู้ป่วยขณะยกหรือเลื่อนตัวผู้ปุวย ถ้าต้องใช้
พยาบาลมากกว่า 1 คน ควรให้สัญญาณเพื่อทำพร้อมกัน
3) การจัดท่าผู้ป่วย มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความสุขสบายขณะนอนพัก
บนเตียงหรือเตรียมทำหัตถการ และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากท่านอนที่ไม่ถูกต้อง
(3) ท่านอนคว่ำ (Prone position)
(4) ท่านอนตะแคงกึ่งคว่ า (Semiprone position)
(2) ท่านอนตะแคง (Lateral or Slide-lying position)
(5) ท่านั่งบนเตียง (Fowler’s position)
(1) ท่านอนหงาย (Dorsal or Supine position)
(6) ท่านอนหงายชันเข่า (Dorsal recumbent position)
(7) ท่านอนหงายพาดเท้าบนขาหยั่ง (Lithotomy position)
(8) ท่านอนคว่ำคุกเข่า (Knee-chest position)
(9) ท่านอนศีรษะต่ำปลายเท้าสูง (Trendelenburg position)
3.2 การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
3.2.1 หลักการเคลื่อนย้ายผู้ปุวย
1) ควรจัดท่าผู้ป่วยให้นอนหงายราบอยู่ในท่าที่สบาย
2) หันหน้าเข้าหาผู้ป่วยและไปในทิศทางที่จะเคลื่อนย้าย
3) ควรยืนในท่าที่ถูกต้องและมั่นคง
4) ยืนแยกเท้าทั้งข้างห่างกันพอสมควร และเฉียงปลายเท้าไปตามทิศทางที่ต้องการเคลื่อนย้าย และอยู่ในสมดุลเมื่อต้องการเคลื่อนไปทางหัวเตียงหรือปลายเตียง
5) หลังตรง ป้องกันการปวดหลัง
6) ย่อเข่าและสะโพก
7) หาวิธีที่เหมาะสมเพื่อผ่อนแรงในการยกหรือเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
8) ผู้ป่วยควรอยู่ใกล้พยาบาลมากที่สุด
9) ยกตัวผู้ป่วยให้พ้นจากที่นอนเล็กน้อยเพื่อลดแรงเสียดทาน
10) ใช้ผ้าขวางเตียงช่วยในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแทนการเลื่อนผู้ปุวย
11) ให้สัญญาณเพื่อความพร้อมเพรียง
12) ผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ควรหาผู้ช่วยเหลือตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปและให้สัญญาณขณะยก หรือใช้อุปกรณ์ที่ช่วยผ่อนแรงมาใช้เมื่อจำเป็น
3.2.2 การประเมินผู้ปุวยก่อนการเคลื่อนย้าย พยาบาลควรประเมิน
1) ความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง
2) ท่าที่เป็นข้อห้ามของผู้ป่วย
3) ส่วนที่อ่อนแรงหรือพิการ
4) ความมั่นคงในการคงท่าของผู้ป่วย
5) ส่วนที่จำเป็นต้องให้อยู่นิ่งๆ
6) ผู้ป่วยอ่อนเพลียมากน้อยแค่ไหน
7) ความต้องการการเคลื่อนย้ายเปลี่ยนท่าและความสุขสบายของผู้ป่วย
3.2.3 วิธีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
1) แจ้งให้ผู้ป่วยทราบและบอกวิธีการให้ความร่วมมือถ้าทำได้
2) นำหมอนหนุนศีรษะของผู้ป่วยออก วางหมอนที่พนักหัวเตียง อุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นเอาออกจากเตียง
3) พยาบาลยืนในท่าที่ถูกต้องมั่นคงและใช้หลักการของกลไกการเคลื่อนไหวร่างกาย
4) พยุงผู้ป่วยด้วยความนุ่มนวลและมั่นคง โดยใช้วิธีสอดมือเข้าไปในตำแหน่งของ
Public Diagram
3.3 การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดิน
3.3.1 การออกกำลังกายเพื่อเตรียมผู้ป่วยเดิน
1) ให้ผู้ป่วยงอและเหยียดข้อตะโพก โดยให้ผู้ป่วยนอนบนเตียง เหยียดขาออกและยกขึ้นแล้วงอเข่าและยกเข่าเข้าหาอกพร้อมงอเท้าให้นิ้วเท้าโค้งหาปลายขาจะแล้วจึงเหยียดเข่าและตะโพก
ออกให้อยู่ในท่าขาเหยียด
2) หมุนข้อสะโพก เหยียดขาทั้งสองข้าง หมุนเข้าหาตัวและหมุนออกจากตัวแล้ว
ให้หมุนขาทั้งสองข้างเข้าหาตัวจนนิ้วหัวแม่เท้าชนกัน แล้วหมุนขาออกนอกตัวจนส้นเท้าทั้งสองข้างชนกัน
3) กางและหุบข้อสะโพก เหยียดข้อเข่าและให้ข้อเท้างอเข้าหาปลายขา ยกขา
ข้างที่ทำไปที่ข้างเตียงทั้งสองด้าน สลับทำกับขาอีกข้างหนึ่ง
4) เหยียดข้อเข่า เหยียดขาพร้อมกับกดข้อเข่าลงกับที่นอน และยกส้นเท้าขึ้น
จากเตียงสูงเท่าที่จะทำได้ สลับทำกับขาอีกข้างหนึ่ง
5) งอข้อเท้า หมุนข้อเท้าเข้าหาตัวและออกจากตัว โดยวิธีหมุนข้อเท้าเป็น
วงรอบตามเข็มนาฬิกาและหมุนทวนเข็มนาฬิกา
6) งอและเหยียดนิ้วเท้า
7) เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง ตะโพกต้นขา โดยการเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องแล้วคลาย
ออกแล้วหายใจเข้าลึกๆ ให้กล้ามเนื้อหน้าท้องขยายมากที่สุดและเกร็งกล้ามเนื้อตะโพกพร้อมกับยกขาขึ้น
3.3.2 การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดิน
1) การช่วยเหลือผู้ปุวยหัดเดินโดยพยาบาล 1 คน
(1)กรณีใช้เข็มขัดหรือผ้าคาดเอว
เมื่อช่วยผู้ป่วยลงจากเตียงแล้ว พยาบาล
ยืนเยื้องด้านหลังผู้ป่วย ใช้มือ 2 ข้างยืดเข็มขัดหรือผ้าคาดเอวเพื่อพยุงผู้ป่วยขณะผู้ป่วยเดิน
วิธีนี้จะช่วยคง
จุดศูนย์ถ่วงหรือใช้มือหนึ่งจับเข็มขัดบริเวณกึ่งกลางเอว
อีกมือหนึ่งจับบริเวณต้นแขนของผู้ป่วยก้าวเดินช้า
ๆ พร้อมกัน
(2)กรณีไม่ใช้เข็มขัด
ให้ใช้มือด้านใกล้ตัวจับที่ต้นแขนของผู้ป่วย มือไกลตัว
จับที่ปลายแขนของผู้ป่วย
ถ้าผู้ปุวยเป็นลมให้สอดแขนเข้าใต้รักแร้รับน้ำหนักตัวผู้ป่วยและแยกเท้ากว้าง ดึง
ตัวผู้ป่วยขึ้นมาข้างตัวพยาบาลโดยใช้ สะโพกรับน้ำหนักตัวผู้ป่วย และค่อยๆ วางตัวผู้ป่วยลงบนพื้่น
2) การช่วยเหลือผู้ปุวยหัดเดินโดยพยาบาล 2 คน
ให้พยาบาลยืนข้างผู้ป่วยคน
ละด้าน
มือพยาบาลข้างใกล้ตัวผู้ป่วยสอดใต้รักแร้ผู้ปุวย อีกข้างหนึ่งจับปลายแขนหรือมือผู้ป่วยข้างเดิม ผู้ป่วยและพยาบาลทั้ง 2 คนเดินพร้อมกัน
ถ้าผู้ป่วยเป็นลมพยาบาลทั้ง 2 คนเลื่อนมือข้างที่พยุงใต้รักแร้ไป ข้างหน้าให้ลำแขนสอดอยู่ใต้รักแร้ น้ำหนักตัวผู้ป่วยไว้พร้อมกับใช้สะโพกยันผู้ป่วยไว้แล้วค่อย ๆ พยุงผู้ป่วยลงบนพื้น
3.4 การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดินด้วยอุปกรณ์ช่วยเดิน
3.4.1 ชนิดของอุปกรณ์ช่วยเดิน
1) Parallel bar = ราวคู่ขนาน ราวเดิน
2) Walker หรือ Pick – up frames
3) Cane เช่น Walk cane , Tripod cane , Quad cane ,
Standard cane
4) Crutches ( ไม้ยันรักแร้ , ไม้ค้ำยัน )
3.4.2 ประโยชน์ของอุปกรณ์ช่วยเดิน
ช่วยแบ่งเบาหรือรับน้ำหนักแทนขา 1 หรือ 2 ข้าง
เมื่อมีข้อห้ามในการ
รับน้ำหนักเต็มทั้งขา (Partial weight bearing) ข้างนั้น
เมื่อมีข้อห้ามหรือมี
การอ่อนแรงจนขาไม่สามารถรับน้ำหนักได้ (Non – weight bearing)
เพิ่มการพยุงตัว (Support) เพื่อให้สามารถทรงตัวได้ (Balance)
3.4.3 การเตรียมผู้ป่วยก่อนการฝึกใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน
1) การฝึกความแข็งแรง (Strength) ความทนทาน (Endurance) และการ
ประสานสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อ (Co – ordination) ที่ใช้ในการเดินด้วยอุปกรณ์ช่วยเดิน
2) การฝึกในท่าตั้งตรง (Upright) บนเตียงหรือเบาะ เช่น การฝึกการทรงตัวในท่านั่ง
3) การฝึกในราวคู่ขนาน เช่น ฝึกยืน ฝึกทรงตัว ฝึกท่าทางการเดิน
3.4.4 การลงน้ำหนักที่ขาเวลาเดิน (Weight Bearing Status)
Toe touch weight bearing (TTWB)
เดินโดยเอาปลายเท้าข้างที่เจ็บแตะพื้น ระดับการลงน้ำหนัก Up to 20%
Partial weight bearing (PWB)
เดินโดยลงน้ำหนักข้างที่เจ็บได้บางส่วน ระดับการลงน้ำหนัก 20-50%
Non weight bearing (NWB)
ไม่ลงน้ำหนักของขาข้างที่เจ็บ
ระดับการลงน้ำหนัก 0%
Full weight bearing (FWB)
เดินโดยขาข้างที่เจ็บลงน้ำหนักได้เต็มที่ ระดับการลงน้ำหนัก 100%
Weight bearing as tolerated (WB AS Tol.)
เดินโดยขาข้างที่เจ็บลงน้ำหนักเท่าที่ทนไหว ระดับการลงลงน้ำหนัก เท่าที่ทนได
3.4.5 รูปแบบการเดิน (Gait pattern)
2) Two – point gait
3) Three – point gait
1) Four – point gait
4) Swing – to gait
5) Swing – through gait
3.4.6 วิธีการฝึกผู้ปุวยใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน
1) ไม้ค้ำยันรักแร้(Auxiliary crutches)
2) Lofstrand crutch
3) Platform crutch
4) ไม้เท้า (Cane)
5) ไม้เท้า 3 ขา (Tripod cane
6) Walker จะให้Support
4 . การออกกำลังกายและการเคลื่อนไหวร่างกาย
4.1 การออกกำลังกาย
4.1.1 การออกกำลังกายชนิดให้ผู้ป่วยทำเอง (Active or Isotonic Exercise)
ผู้ป่วย
จะเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายด้วยตนเอง
การออกกำลังกายชนิดนี้ให้ผลดีเพราะข้อต่างๆ ของ
ร่างกายมีการเคลื่อนไหวและกล้ามเนื้อหดรัดตัว
ทำให้กล้ามเนื้อมีความตึงตัวและแข็งแรง การไหลเวียนโลหิตดี
เช่น
การทำกิจวัตรประจำวันด้วยตนเอง
การให้ผู้ป่วยยกแขน ขา ขณะนอนอยู่บนเตียง
การให้
ผู้ป่วยลุกเดินข้างเตียง
4.1.2 การออกกำลังกายโดยให้ผู้อื่นทำให้ผู้ป่วย (Passive exercise)
เป็นการออก
กำลังกายโดยการเคลื่อนไหวข้อต่างๆ
ให้กับผู้ป่วยที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายด้วยตนเองได้หรือมี
ข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว
การออกกำลังกายชนิดนี้ให้ผลดี
ช่วยให้ข้อมีการเคลื่อนไหวและช่วยป้องกัน
การหดรั้งของกล้ามเนื้อผิดรูป
พยาบาลหรือญาติช่วยผู้ป่วยในการยกแขน ขา
ในผู้ป่วยรายที่เป็น
อัมพาตหรือไม่รู้สึกตัว
4.1.3 การออกกำลังกายชนิดที่ให้ผู้ป่วยทำร่วมกับความช่วยเหลือของผู้อื่น (Active
assistive exercise)
วิธีนี้ให้ผลดีกว่าวิธีที่ให้ผู้อื่นทำให้ผู้ป่วย
เพราะเป็นการกระตุ้นให้กล้ามเนื้อมีการ
ทำงานร่วมด้วย
เช่น
การพยุงหรือช่วยเหลือผู้ปุวยในการลุก – นั่งข้างเตียง เดินข้างเตียง หรือช่วยผู้ปุวย
ออก กำลังกายขา
แขนข้างที่ได้รับการผ่าตัดให้สูงเท่าที่จะทำได้โดยมีพยาบาลเป็นผู้ช่วยเหลือในการยกใน
ขอบเขตทำได้
4.1.4 การออกกำลังกายโดยให้กล้ามเนื้อทำงานแต่ข้อไม่เคลื่อน (Isometric or
Static exercise)
เพื่อเพิ่มความตึงตัวและแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ป้องกันกล้ามเนื้อลีบ โดยให้ผู้ป่วยเกร็ง
กล้ามเนื้อ
เพื่อให้กล้ามเนื้อมีการหดรัดตัวชั่วระยะหนึ่ง ประมาณ 6 วินาทีแล้วจึงผ่อนคลาย
โดยที่ส่วน
ของร่างกายตำแหน่งที่กล้ามเนื้อหดรัดตัวไม่เคลื่อน
เช่น
การกระตุ้นให้ออกกำลังกายโดยการเกร็ง
กล้ามเนื้อหน้าขา
4.1.5 การออกกำลังกายให้ผู้ป่วยออกแรงต้านกับแรงอื่น (Resistive exercise)
เป็นการใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ให้ผู้ป่วยออกแรงต้านวิธีนี้ช่วยให้กล้ามเนื้อมีขนาดใหญ่ขึ้น มีความแข็งแรงและทำงานได้ดี จึงเป็นการกระตุ้นกล้ามเนื้อให้แข็งแรงเร็วขึ้น
ในผู้ป่วยที่ต้องพักรักษาตัวอยู่บนเตียงนานๆ
และมีภาวะกล้ามเนื้อลีบเกิดขึ้น
4.2 การเคลื่อนไหวร่างกาย
หมายถึง การเคลื่อนไหวร่างกายใดๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะใน บ้าน ที่ทำงาน หรือแม้แต่สันทนาการใดๆ
เช่น การออกกำลังกาย การเข้าร่วมเล่นกีฬา
กลไกการเคลื่อนไหวร่างกาย
หมายถึง การใช้ร่างกายอย่างปลอดภัยมีประสิทธิภาพ มีการ
ประสานงานกันในการเคลื่อนไหวและดำรงความสมดุลระหว่างการมีกิจกรรม
4.2.1 ส่งเสริมและสนับสนุนการทำงานของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ
4.2.2 ป้องกันไม่ให้เกิดอันตราย หรือมีความพิการของกระดูก และกล้ามเนื้อ
4.2.3 ลดการเมื่อยล้า หรือการใช้พลังงานมากเกินไป
4.3 ผลกระทบจากการไม่เคลื่อนไหวร่างกาย
4.3.1 ระบบผิวหนัง ผิวหนังเสียหน้าที่ทำให้เกิดแผลกดทับ (Bed sore or Pressure
sore or Decubitus ulcer)
พบในผู้ป่วยสูงอายุ ผู้ป่วยที่อ้วนมากหรือผอมมาก ผู้ป่วยที่ได้รับยาระงับ
ประสาท ผู้ป่วยที่เป็นอัมพาต ผู้ป่วยที่เป็นโรคระบบประสาทส่วนกลาง และผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว
1) เกิดแรงกดทับ (Pressure) ระหว่างปุุ่มกระดูกกับที่นอนที่รองรับในการนอน
ในท่าต่าง ๆ ทำให้เซลล์ขาดออกซิเจน
2) เซลล์ตายและลุกลามกลายเป็นแผล
3) การเสียดทาน (Friction) เมื่อผู้ป่วยถูกลากหรือเลื่อนตัว ทำให้ผิวหนังขูดกับที่นอน
4) แรงดึงรั้ง (Shearing force) เกิดจากแรงกดทับและการเสียดทานที่เกิดขึ้น
พร้อมกัน
4.3.2 ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
1) กระดูกผุ เปราะบาง (Osteoporosis)
2) การประสานงานของกล้ามเนื้อแขนขาลดลงหรือไม่สัมพันธ์กัน
3) กล้ามเนื้ออ่อนแรง ลีบเล็ก (Muscle atrophy)
4) อาการปวดหลัง (Back pain)
4.3.3 ระบบหัวใจและหลอดเลือด
1) หัวใจทำงานมากขึ้น
2) มีการคั่งของเลือดในหลอดเลือดดำที่ขา
3) เกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ (Thrombus)
4) ความดันต่ำขณะเปลี่ยนท่า (Orthostatic Hypotension)
4.3.4 ระบบทางเดินหายใจ
1) ปอดขยายตัวลดลง (Decrease lung expansion)
2) มีการคั่งของเสมหะมากขึ้น
4.3.5 ระบบทางเดินอาหาร
1) มีผลต่อการรับประทานอาหาร
ทำให้เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย กังวลใจจาก
การนอนเฉยๆ และโรคที่ เป็นอยู่ความต้องการพลังงานลดลง เป็นสาเหตุให้เกิดการขาดสารอาหาร
2) มีผลต่อการขับถ่าย
ทำให้ท้องผูก (Constipation) เนื่องจากการบีบตัวของลำไส้ลดลงจากการหลั่ง Adrenaline ลดลง
มีปัจจัยเสริม คือ การดื่มน้ำน้อยหรือขาดน้ำ
4.3.6 ระบบทางเดินปัสสาวะ
1) การถ่ายปัสสาวะมากกว่าปกติในระยะแรกๆ (Diuresis)
2) มีการคั่งของปัสสาวะในไตและกระเพาะปัสสาวะ (Urinary stasis)
3) เกิดนิ่วในไตและกระเพาะปัสสาวะ (Renal Calculi)
4.3.7 ระบบเมตาบอลิซึมและการเผาผลาญอาหาร
2) มีระดับโปรตีนในกระแสเลือดลดต่ำลง (Hypoproteinemia)
3) มีความผิดปกติด้านอัตมโนทัศน์และภาพลักษณ์ (Self concept and
Body image)
1) การเผาผลาญอาหารลดลง
💕🌈🥨
จัดทำโดย ✨💐💫
นางสาวพลินี จำปา 19A 6201210378
🌤☃️🌍