Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
เภสัชจลนศาสตร์ (Pharmacokinetics), PK, เภสัชพลศาสตร์ (Pharmacodynamics…
เภสัชจลนศาสตร์
(Pharmacokinetics), PK
ขบวนการตั้งแต่ยาเข้าสู่ร่างกายจนถึงตำแหน่งออกฤทธิ์
1.การดูดซึม drug absorption
เป็นการดูดซึมยาจากบริเวณที่ให้ยา site of administration
เข้าสู่ plasma
เป็นกระบวนการที่สำคัญในการให้ยาทุกชนิดยกเว้น ยาฉีดเข้าหลอดเลือดดำ(intravenous,IV)
ความต่างของความเข้มข้นของยาระหว่างเยื่อหุ้มเซลล์ทั้ง 2 ด้าน แพร่จากความเข้มข้นสูงไปความเข้มข้นต่ำ ไม่ต้องใช้พลังงาน กระบวนการอิ่มตัว
กลไกหลักของการผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ของยา
ไม่ใช้พลังงานแต่อาศัยนำส่ง
อาศัยตัวนำส่ง Carrier และใช้พลังงาน ATPเคลื่อนที่จากความเข้มข้นต่ำไปสูงได้ อิ่มตัวได้มีความจำเพาะกับโครงสร้างของยาบนในบริเวณMeuron/renal/liver cell
2.การกระจายของยา distribution
หลังจากยาดูดซึมเข้าสู่หลอดเลือดแล้วยาจะกระจายไปยัง fluidcompartment ต่างๆ ของร่างกายแล้วจะเคลื่อนที่จากเลือดไปยังอวัยวะต่างๆของร่างกายและไปยังบริเวณที่ต้องการให้ยาออกฤทธิ์
Early phase : อวัยวะที่เลือดไปเลี้ยงมากจะได้รับยาก่อน เช่น Heart, liver, renal, brain
Late phase : ส่วนอวัยวะอื่นๆ เช่น muscle, visceral organ,
skin, adipose tissue
ยาที่ดูดซึมเข้าหลอดเลือด มี 3 ส่วน
ส่วนที่เป็น free drug เป็นยาที่สามารถออกฤทธิ์ในการรักษา
ส่วนที่รวมกับโปรตีนในเลือด (albumin)
ส่วนของยาที่เข้าไปจับกับเนื้อเยื่อบางชนิด เช่น ยาที่ละลายในไขมันได้ดีอาจไปสะสมในเนื้อเยื่อไขมันหรืออวัยวะบางอย่าง
ปัจจัยที่มีผลต่อการกระจายยา
1.Physicochemicalpropertiesofdrugขนาด Solubility : Lipid, aqueous
ยาที่เป็น fat soluble drug ชอบละลายใยไขมันจะสะสมในเนื้อเยื่อไขมัน
2.Proteinbinding หากยาตัวใดจับกับโปรตีนในเลือด (protein binding) หรือ ไม่อิสระ(bound form) จะกระจายตัวได้ช้า
3.Physiologicbarrier ปริมาณเลือด ความเข้มข้นของยาในเลือด สภาพร่างกายของผู้ป่วย ความสามารถในการผ่านเนื้อเยื่อ (membranes)
Metabolism การเปลี่ยนแปลงยา /biotransformation เกิดขึ้นจากออกฤทธิ์แล้วเพื่อเปลี่ยนรูปยาให้ง่ายต่อการกำจัดออกจากร่างกายหรือลดพิษ ถูกเปลี่ยนเป็นสารที่มีขั้ว ยาถูกขับออกจากร่างกาย ลดการสะสมในร่างกาย ส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ตับ Non-active parent drue -> metsbolized to active metabolite = Prodrug
มี 2 phases
Phase I reactions ละลายน้ำได้มาก/ส่วนใหญ่จะทำให้สารหมดฤทธิ์
PhaseII reactions(conjugation) ระยะนี้จะเกิดการสังเคราะห์หรือการรวมตัว ละลายน้ำได้มากขึ้นและขจัดออกทางไตได้มากขึ้น
Excretion การกำจัดยา -ขับทางปัสสาวะ -ใบหน้า -น่้ำดี -เต้านม -ลมหายใจ -ปอด -ต่อมเหงื่อ
1.Glomerular fitration ยาที่ MW <500 และเป็น feer drug จะถูกกรองออกมา
2.Tubular secretion เป็น Active process เกิดบริเวณเยื่อบุไต
3.Tubular reabsorption ยาที่ถูกกรองลงในท่อไตบางส่วนถูกดูดกลับและเข้ากระแสเลือดใหม่
Pharmacokinetic profiles
1.ปริมาตรการกระจาย (Volumeofdistribution, Vd)
2) การชำระยา (Clearance, CL)
3.ค่าครึ่งชีวิตของยา
4.ค่าคงที่ในการจำกัดยา
เภสัชพลศาสตร์
(Pharmacodynamics PD)
คุณสมบัติของตัวรับ
โปรตีน หรือไกลโคโปรตีน (glycoprotein)
ปรากฏที่ผิวเยื่อหุ้มเซลล์ หรือภายในไซโตพลาสซึม/นิวเคลียส
มีความจำเพาะ
ปริมาณตัวรับจะมีจำกัด
ผลตอบสนองของยาจะมีความสัมพันธ์กับปริมาณตัวรับ
กลไกลการออกฤทธิ์ของยา
ไม่จับกับตัวรับ (Non-receptor mediated)
ไม่มีความจำเพาะ ความแรงของยา (potency) ต่ำ ต้องใช้ปริมาณสารมาก
จับกับตัวรับ (receptor mediated) อย่างเฉพาะเจาะจง ออกฤทธิ์ได้ในความเข้มข้นต่ำ ขนาด หรือความเข้มข้นของยาสัมพันธ์กับผลตอบสนอง
Receptor คือ โมเลกุลหรือโครงสร้างที่ทำหน้าที่จับกับยาหรือ
ฮอร์โมนแล้วก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการทำงานของเซลล์หรือเอนไซม์ receptor ส่วนใหญ่มีคุณสมบัติเป็นพวกโปรตีน
ปฏิกริยาระหว่างยากับตัวรับในระดับเซลล์
ยาจะออกฤทธิ์ได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ
สัมพรรคภาพ (Affinity) เป็นความเหนียวแน่นของแรงยึดเหนี่ยวระหว่างยากับตัวรับ (receptor)
ความชอบในการจับของยากับ receptor
ยาที่มี affinity สูงจะแยกออกจากตัวรับได้ช้ากว่ายาที่มี affinity ต่ำ
ยาที่มี affinity สูงจึงต้องการความเข้มข้นน้อยกว่า ยาที่มี affinity ต่ำกว่า ในการจับกับตัวรับในสัดส่วนที่เท่ากัน
Efficacyor Intrinsic activity
ยาที่มี affinity และ efficacy จะสามารถชักน าให้ตัวรับ (receptor) แสดง
ผลตอบสนองได้ = “Agonist”
ยาที่มี affinity แต่ไม่มี efficacy ก็จะไม่สามารถกระตุ้นให้ตัวรับ (receptor) แสดงผลตอบสนอง = “Antagonist”
สารบางอย่างที่สามารถกระตุ้นให้ตัวรับเกิดการตอบสนองได้สูงสุด (maximal response) = “Full agonist”
สารบางอย่างที่มี efficacy ไม่มาก แม้จะจับตัวรับ (receptor) จนหมดก็ไม่
สามารถกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองสูงสุด = “Partial agonist”
ความจำเพาะของตัวรับ VS ยาที่ออกฤทธิ์
มีสัมพรรคภาพ (affinity) ต่อกันสูง drug -receptor
โครงสร้างโมเลกุลที่จำเพาะเท่านั้นที่จะมีฤทธิ์
แรงที่ยึดเหนี่ยวเกิดจากพันธะชนิดที่สามารถผันกลับได้(reversible) /พันธะ
ชนิดอ่อน พันธะทุกชนิด ยกเว้น Covalent bond
ลักษณะของตัวรับ Transport protein : โปรตีนที่ทำหน้าที่ลำเลียงไอออนหรือสารต่างๆผ่านเข้าออกเซลล์ Structural protein: โปรตีนโครงสร้างในร่างกาย Physiologic receptor (Regulatory protein) : ตัวรับของสารสื่อต่างๆในร่างกาย Enzymes : ออกฤทธกระตุ้น/ยับยั้งเอนไซม์
การควบคุมจำนวนของตัวรับ
Down regulation ถ้าได้รับสารที่เป็น agonist กระตุ้นตัวรับอย่างต่อเนื่องจะเกิดขบวนการที่เรียกว่า “desensitization”
Up regulation ได้รับสารที่เป็น antagonist ต่อเนื่องจะทำให้ตัวรับถูกกระตุ้นน้อยลง ตัวรับจะมี “hyperreactivity or supersensitivity”
ความสัมพันธ์ระหว่างความเข้มข้นของยากับการตอบสนอง
Potency : ความแรงของยาที่ทำให้เนื้อเยื่อเป้าหมายเกิดการตอบสนอง
Maximal efficacy : ความสามารถในการชักนำให้เกิดการตอบสนองสูงสุดของยา
เภสัชวิทยาในระดับประชาการ
ดัชนีการเกิดพิษ
ดัชนีการเกิดผลทางเภสัชวิทยา
ดัชนีความปลอดภัยจากยา
ดัชนีขอบเขตความปลอดภัย