Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
หน่วยที่ 8 ปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ - Coggle Diagram
หน่วยที่ 8 ปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ
โรคหัวใจขาดเลือด
กล้ามเนื้อหัวใจมีความไม่สมดุลของการใช้ออกซิเจน กับความต้องการออกซิเจน ทำให้หัวใจขาดเลือดและหรือตายจากเลือดในหลอดเลือดหัวใจไปเลี้ยงลดลงอย่างเฉียบพลัน แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
ST Segment elevetion myocardial infarction (STEMI)
Non-Stemi (NSTEMI)
Unstable angina
สาเหตุและกลไกการเกิด
มีหลายสาเหตุ เช่น พยาธิสภาพของหลอดเลือดหัวใจ ลิ้นหัวใจตีบ ภาวะซีด กล้ามเนื้อหัวใจโต หรือสาเหตุหลายอย่างร่วมกัน และร้อยละ 70 เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจ
ถ้าอุดตันนานเกิน 20 นาที กล้ามเนื้อหัวใจจะขาดเลือดและตายจากผนังภายในหัวใจ endocardium
ไปยังกล้ามเนื้อและด้านนอกของหัวใจส่งผลให้เกิดอาการเจ็บหน้าอกรุนแรงเพิ่มมาก
ปัจจัยเสี่ยง
ลักษณะของคราบไขมันในหลอดเลือดหัวใจมีความหนาตัว ตำแหน่ง และมีการหนาตัวของชั้นกล้ามเนื้อในหลอดเลือดและผนังหลอดเลือดเสื่อมสภาพ
ความหนืดของเลือด แรงกระแทก การไหลเวียนลดลง/และภาวะความดันโลหิตสูง
ปริมาณหรือการทำหน้าที่ของเกล็ดเลือด การเปลี่ยนแปลงของจังหวะ circadian การขาดปัจจัยการแข็งตัวของเลือด
เบาหวาน โรคอ้วน ภาวะไขมันในเลือดสูง การติดเชื้อ โรคไต
ความเครียดทางด้านร่างกายและจิตใจ ภาวะซึมเศร้า
การสูบบุหรี่ มลพิษ อากาศ สารเสพติด อาหาร และการใช้ชีวิตนั่ง ๆ นอน ๆ (sedentary lifestyle)
อาการ
เจ็บหน้าอก
พบได้ร้อยละ 70 ผู้หญิงจะมีอาการแตกต่างจากผู้ชาย ความรุนแรงและตำแหน่ง กล่าวคือ จะพบ อาการอ่อนเพลีย ร้าวไปคอ แขนขวา กราม และคลื่นไส้ วิงเวียน และหมดสติ
ผู้ชายจะมีอาการ ดังนี้
หลอดเลือดหัวใจตีบมากกว่าร้อยละ 90 เกิดอาการเจ็บหน้าอกจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเรียกว่า Angina pectoris
หลอดเลือดหัวใจตีบมากแต่ไม่เกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย Unstable angina
หลอดเลือดหัวใจเกิดการอุดกั้นเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย Myocardial infarction
คลื่นไส้อาเจียน
มีไข้
เหงื่อออกมากตัวเย็น
อาการทางจิตใจ
อาการของระบบหัวใจเเละหลอดเลือด
การตรวจวินิจฉัย
การซักประวัติ
อาการเจ็บหน้าอก
ถ้ามีอาการแบบกล้ามเนื้อหัวใจตายแสดงว่าผู้ป่วยอาจมี ACS ให้รีบทำการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจภายใน 12 leads ในเวลา 10 นาที
การตรวจ cardiac marker
เมื่อกล้ามเนื้อหัวใจตาย จะตรวจพบว่า Troponin I และ T ในกระแสเลือดเพิ่มขึ้นภายในเวลา 2-3 ชั่วโมง (ค่าปกติ < 0.1 ng/ml)
ระยะเวลาที่ตรวจพบ เริ่มตั้งแต่ 6-12 ชั่วโมงและจะสูงนานถึง 14 วัน
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
คลื่นไฟฟ้าหัวใจที่บ่งชี้ภาวะ ACS คือ
ST segment ยกขึ้นสูง (Elevation)
ST segment ลดต่ำลง (Depression)
T wave หัวกลับ (Inversion)
การตรวจพิเศษ
การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Echocardiography) : เป็นการบ่งชี้ ความหนาตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ การบีบตัว/คลายตัวหัวใจ การไหลเวียนของเลือดผ่านหัวใจ การทำงานของลิ้นหัวใจและน้ำในเยื่อหุ้มหัวใจ และประสิทธิภาพการบีบตัวของหัวใจเพื่อบอกความรุนแรงของกล้ามเนื้อหัวใจและภาวะแทรกซ้อนที่เกิดได้
การสวนและฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ (Cardiac catheterization หรือ Coronary angiography) : เป็นการใส่สายตรวจเข้าไปในหลอดเลือดหัวใจและฉีดสารทึบแสงเพื่อแสดงตำแหน่งและลักษณะการตีบของหลอดเลือดเพื่อประเมินการทำหน้าที่ของหัวใจล่างซ้าย ความผิดปกติของลิ้นหัวใจ และความดันต่าง ๆ ภายในห้องหัวใจและปอด
การรักษาด้วยการถ่างขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูน (percutaneous coronary intervention: PCI)
การรักษา
เป้าหมาย คือ การจำกัดบริเวณการขาดเลือดของหัวใจ ไม่ให้เกิดในวงกว้าง และป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน (สุรพันธ์ สิทธิสุข, 2557) คือ หัวใจเต้นผิดจังหวะ ภาวะหัวใจล้มเหลว หรือช็อคจากหัวใจ (cardiogenic shock)
การรักษาเบื้องต้น คือ เปิดหลอดเลือดด้วยยาละลายลิ่มเลือด หรือการขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูน
มีขั้นตอนการรักษา ในระยะ 24 ชั่วโมงแรก
การรักษาโดยการเปิดหลอดเลือด สำหรับผู้ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น STEMI ภายในระยะเวลาไม่เกิน 12 ชั่วโมง นับจากมีอาการเจ็บหน้าอก สามารถทำได้ 2 วิธี
การให้ยาละลายลิ่มเลือด (fibrinolytic therapy) ได้แก่ streptokinase tissue plasminogen activator (t-PA)
การถ่างขยายหลอดเลือด (primary coronary intervention, PCI) ได้แก่ การขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูน (percutaneous transluminal coronary angioplasty, PTCA) และหรือ การใส่ขดลวด (stent)
ผู้ป่วยกลุ่ม NSTEMI และ UNSTABLE ANGINA
มุ่งที่การป้องกันปัจจัยการแข็งตัวของเลือดมาเกาะกลุ่มเกล็ดเลือด เกิดลิ่มเลือดอุดกั้นบางส่วน ด้วยยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulant) ในรูปแบบการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง
การรักษาเพิ่มเติม
ยากลุ่มยับยั้ง Renin- angiotensin aldosterone system (RAAS) ได้แก่ angiotensin converting enzyme inhibitor (ACEI) หรือ angiotensin II receptor blocker (ARB) ควรให้ทุกรายภายใน 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือมี ejection fraction (EF) ต่ำกว่าร้อยละ 40
Beta blocker (β adrenagic block agent) ทำให้หัวใจเต้นช้าลง หลอดเลือดขยายตัว ควรทำทุกรายที่ไม่มีข้อห้าม
ตัวอย่างข้อวินิจฉัยการพยาบาล และกิจกรรมการพยาบาล
การกำซาบของเนื้อเยื่อหัวใจลดลงเนื่องจากการไหลของเลือดในหลอดเลือดหัวใจลดลง
กิจกรรมการพยาบาล
P = Provokes and precipitating factors ปัจจัยชักนำที่ทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอก และบรรเทาอาการ
Q = Quality ลักษณะอาการเจ็บหน้าอก เจ็บแบบไหน อย่างไร
R = Region and refer ตำแหน่งที่เกิดอาการและอาการร้าว
S = Severity ความรุนแรงของอาการเจ็บปวด โดย pain score
T = Time ระยะเวลาที่เกิดอาการ และระยะเวลาที่เป็น
ประเมิน บันทึก และรายงานแพทย์เกี่ยวกับอาการเจ็บหน้าอก โดยคำนึงถึง “PQRST”
ประเมินสัญญาณชีพ oxygen saturation และระดับความรู้สึกตัว เมื่อมีอาการเจ็บหน้าอกทุกชั่วโมง
ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ 12 leads เมื่อแรกรับผู้ป่วยภายใน 10 นาที และทุกครั้งที่มีอาการเจ็บหน้าอก
ติดตามคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบต่อเนื่อง (ECG monitoring) ในกรณีที่ผู้ป่วยยังมีอาการเจ็บหน้าอก
หยุดการทำกิจกรรมของผู้ป่วย เมื่อมีอาการเจ็บหน้าอก จัดท่านั่งหรือนอนแบบ semi Fowler position
ดูแลให้ได้รับออกซิเจน 2 LPM ทาง nasal cannula ถ้าหายใจเร็วหรือมี oxygen saturation ต่ำกว่าร้อยละ 90
ดูแลให้ได้รับยาขยายหลอดเลือด ในรูปแบบยาอมใต้ลิ้นหรือยาพ่นใต้ลิ้น ตามแผนการรักษาและติดตามอาการและความดันโลหิต ถ้าอาการไม่ดีขึ้น อาจให้ซ้ำได้ทุก 5 นาที
ดูแลให้ยาต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดตามแผนการรักษา และติดตามผลข้างเคียงยา
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการเปิดหลอดเลือดด้วยการให้ยาละลายลิ่มเลือด (Steptokinase) สำหรับผู้ป่วย STEMI หรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด (LMWH) สำหรับผู้ป่วย NSTEMI
ในกรณีที่ไม่สามารถทำการรักษาด้วยยา ต้องเตรียมผู้ป่วยเพื่อการตรวจสวนหัวใจและการขยายหลอดเลือดหัวใจ และการดูแลก่อนการทำตรวจและการรักษา
ติดตามประเมินการทำหน้าที่ของไต โดยเฉพาะค่าการกรองของไต และ creatinine
ประเมินความเบาแรง ของชีพจรบริเวณแขนขาทั้งสองข้าง
ทำความสะอาดขาหนีบซ้ายหรือขวา ข้อพับแขนซ้ายหรือขวา ข้อมือซ้ายหรือขวา
ดูแลให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำตามแผนการรักษา
กิจกรรมการพยาบาล (หลังทำ)
จัดให้ผู้ป่วยนอนราบ ศีรษะสูงไม่เกิน 30 องศา ให้แขนและขาข้างที่ทำเหยียดตรง เป็นเวลาอย่างน้อย 3-6 ชั่วโมง ภายหลังเอาสายออก เพื่อให้หลอดเลือดที่ได้รับการสวนไม่เกิดอุดตัน และป้องกันการเลือดออกจากหลอดเลือดแดง
ติดตามประเมินสัญญาณชีพ เปรียบเทียบชีพจร สีผิว และความอุ่นของผิวหนังแขนหรือขาข้างที่ทำ ตลอดจนอาการปวดทุก 15 นาที 4 ครั้ง ทุก 1 ชั่วโมง 4 ครั้ง เมื่อคงที และต่อไปทุก 1 ชั่วโมง
ตรวจสอบบริเวณแผลที่ทำ โดยเฉพาะบริเวณ femoral artery ว่ามีเลือดออกหรือไม่ ทุก 15 นาที 4 ครั้ง ทุก 1 ชั่วโมง 4 ครั้ง เมื่อคงที และต่อไปทุก 1 ชั่วโมง
บันทึกภาวะแทรกซ้อนทางหลอดเลือดดำ เช่น ขนาดของ hematoma ขอบเขตและขนาด ลักษณะของก้อนเลือด สีผิว อุณหภูมิ และการคลำชีพจรส่วนปลาย
ประเมินอาการเจ็บหน้าอก ใจสั่น และติดตามประเมินคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ในรายที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
สังเกตอาการแพ้สารทึบรังสี เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ผื่นที่ผิวหนัง
ประเมินการขับถ่ายปัสสาวะ ถ้าไม่ถ่ายปัสสาวะนานเกิน 6 ชั่วโมง พิจารณาสวนปัสสาวะ
ติดตามประเมินค่า BUN creatinine และ GFR โดยเฉพาะรายที่มีปัญหา renal insufficiency
หัวใจล้มเหลว
ชนิดของหัวใจล้มเหลว
แบ่งตามเวลาการเกิดโรค
Acute heart failure เป็นภาวะหัวใจล้มเหลวที่เกิดแบบเฉียบพลัน ส่วนใหญ่พบในผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย ลิ้นหัวใจรั่วอย่างรุนแรง และกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
Chronic heart failure เป็นภาวะหัวใจล้มเหลวที่เกิดซ้ำ ๆ บ่อย ๆ พบในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง กล้ามเนื้อหัวใจตาย กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง และโรคลิ้นหัวใจ
แบ่งตามประสิทธิภาพการบีบตัวของหัวใจ
Heart failure with reduce ejection fraction (HFrEF) เป็นภาวะหัวใจล้มเหลวที่มีการบีบตัวของหัวใจห้องล่างซ้าย (Left ventricular ejection fraction: LVEF) ต่ำกว่า 40%
Heart failure with mid range ejection fraction (HFmrEF) เป็นภาวะหัวใจล้มเหลว ทีมี LVEF 40-49% มีระดับฮอร์โมนที่หลั่งเมื่อผู้ป่วยมีภาวะน้ำเกินจากการมีภาวะหัวใจล้มเหลว (B type natriuretric peptide: BNP) มากกว่า 35 pg/ml หรือ NT proBNP มากกว่า 125pg/ml ร่วมกับมีข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้ คือ 1) หัวใจห้องล่างหนาตัว (Left ventricle hypertrophy) 2) หัวใจขณะคลายตัวทำงานไม่มีประสิทธิภาพ (Diastolic dysfunction)
แบ่งตามประสิทธิภาพการบีบตัวของหัวใจ
Heart failure with preserved ejection fraction (HFpEF) เป็นภาวะหัวใจล้มเหลว ที่มี LVEF ตั้งแต่ 50% ขึ้นไป ทั้งนี้ต้องมีระดับของ BNP หรือ NT-proBNP ร่วมกับมีความผิดปกติตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งในสองข้อเช่นเดียวกับ HFmrEF
แบ่งตามระดับความรุนแรง
Stage A HF เป็นผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการมีโครงสร้างและการทำหน้าที่ของหัวใจผิดปกติ เช่น HT DM หลอดเลือดตีบแข็ง และกลุ่มอาการเมตาโบลิก
Stage B HF เป็นผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของโครงสร้างหัวใจแต่ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะหัวใจล้มเหลว ได้แก่ MI กล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายหนาตัว ประสิทธิภาพการบีบตัวของหัวใจห้องล่างซ้ายต่ำ และผู้ป่วยโรคลิ้นหัวใจ
Stage C HF เป็นผู้ป่วยที่มีหรือเคยมีอาการแสดงของภาวะหัวใจล้มเหลวมาก่อน เป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดในกลุ่ม Symptomatic heart failure
Stage D HF เป็นผู้ป่วยที่อยู่ในระยะสุดท้ายของโรค มีการดำเนินการของโรคไม่ดี และตอบสนองต่อการรักษาต่ำ ส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยทั้งร่างกายและจิตใจ
แบ่งตามหน้าที่ทางกาย (NEW YORK HEART ASSOCIATION (NYHA)-FUNCTIONAL CLASS)
Class I หมายถึง ผู้ป่วยไม่มีข้อจำกัดในการทำกิจกรรมหรือทำกิจวัตรประจำวันปกติ โดยไม่มีอาการแสดงของภาวะหัวใจล้มเหลว เช่น เหนื่อย อ่อนเพลีย หายใจลำบาก
Class II หมายถึง ผู้ป่วยที่มีข้อจำกัดในการทำกิจกรรมเล็กน้อย หรือผู้ป่วยรู้สึกสบายเมื่อพักแต่เมื่อทำกิจวัตรประจำวันตามปกติจะมีอาการแสดงภาวะหัวใจล้มเหลว
Class III หมายถึง ผู้ป่วยที่มีข้อจำกัดในการทำกิจกรรมมาก หรือผู้ป่วยจะรู้สึกสบายเมื่อพัก แต่เมื่อทำกิจกวัตรประจำวันแม้เพียงเล็กน้อยจะมีอาการแสดงภาวะหัวใจล้มเหลว
Class IV หมายถึง ผู้ป่วยไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้เลย แม้ในขณะพักมีอาการเหนื่อย หายใจลำบากชัดเจน
ปัจจัยเสี่ยง
โรคความดันโลหิตสูง
โรคเบาหวาน โรคอ้วน และกลุ่มอาการเมตาโบลิก
กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง
พยาธิสภาพ
ในภาวะปกติหัวใจสามารถเพิ่ม CO (cardiac out put) ได้มากถึง 5 เท่าของระยะพักแต่เมื่อการทำหน้าที่ของหัวใจลดลงจนไม่สามารถชดเชยให้มี CO เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หัวใจจึงทำงานหนัก เมื่อ preload เพิ่มขึ้นหรือลดลง, afterload เพิ่มขึ้น, contractility ลดลง
หัวใจจึงปรับตัวชดเชยโดยกล้ามเนื้อหัวใจจะมีขนาดใหญ่ขึ้น ช่วงแรกจึงทำให้หัวใจบีบตัวดีขึ้นแต่ในระยะต่อมาหัวใจจะโตและกล้ามเนื้อหนาตัวขึ้นเรื่อย ๆ ประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจจะลดลง
อาการแสดง
อาการแสดงภาวะหัวใจซีกซ้ายวาย
การบีบตัวห้องล่างซ้ายลดลง ส่งผลให้มีเลือดคั่งในหัวใจห้องบนซ้ายและปอด จึงหอบเหนื่อย (Dyspnea) นอนราบไม่ได้ (Orthopnea) จากการที่นอนราบเลือดไหลกลับเข้าสู่หัวใจมากขึ้น
มีอาการเหนื่อยขณะนอนหลับ ซึ่งต้องตื่นมาลุกนั่งหายใจ (Paroxysmal nocturnal dyspnea: PND)
หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตต่ำจากการมี CO ลดลง
หัวใจเต้นเร็วอาจเต้นแรงสลับเบา (Pulsus alternans) เป็นผลจากการทำงานชดเชยของระบบประสาทซิมพาเธติก
ผิวหนังส่วนปลายเย็น ชื้น จากหลอดเลือดส่วนปลายหดตัว
ปัสสาวะออกน้อย จากเลือดไปเลี้ยงไตลดลง
อาการแสดงภาวะหัวใจซีกขวาวาย
หลอดเลือดดำที่คอโป่งพอง (Jugular vein distention) จากมีแรงดันกลับ superior venacava เพิ่มขึ้น
บวมกดบุ๋ม บริเวณข้อเท้าและขา ตับโต มีน้ำในช่องท้อง และอาจพบอาการคลื่นไส้ เบื่ออาหาร
การประเมิน
การซักประวัติ
ผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรังอื่น ๆร่วมด้วย ควรซักประวัติการควบคุมโรคผ่านมา การใช้ยารับประทาน
ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะหัวใจล้มเหลว เช่น อาการเหนื่อย ระดับการทำกิจกรรม การเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวอย่างรวดเร็ว หรือมีปัสสาวะออกน้อย เป็นต้น
การตรวจร่างกาย
ระบบหัวใจและหลอดเลือด หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว ประเมิน jugular vein distention ขนาดและตำแหน่ง PMI เพื่อประเมินหัวใจโต ประเมิน pitting edema, BMI, body weight
ระบบหายใจ เหนื่อย หายใจลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนอนราบ มีอาการไอ ฟังปอดได้ยินเสียง crepitation
ระบบประสาท งุนงง สับสน ระดับความรู้สึกตัวลดลงหรือหมดสติ จากร่างกายมีภาวะพร่องออกซิเจน
ระบบต่อมไร้ท่อและไต มีปัสสาวะออกน้อยลง และมีภาวะบวมจากการคั่งน้ำและโซเดียม
ระบบทางเดินอาหาร พบตับโต ท้องอืด คลื่นไส้ ความอยากอาหารลดลง
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจรังสีปอด
การตรวจเลือด
การตรวจคลื่นสะท้อนความถี่สูง
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
การประเมินระดับความดันในหัวใจห้องบนซ้าย
การรักษา
1) การรักษาด้วยยาและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
2) การใส่เครื่องมือพิเศษ
3) การผ่าตัด
การรักษา (STAGE A HF) : มีเป้าหมายการจัดการ เพื่อป้องกันการเกิดโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด ให้ความสำคัญกับการคัดกรองและควบคุมปัจจัยเสี่ยงหรือภาวะที่เป็นอยู่ตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและรูปร่างของหัวใจ
การรักษา (STAGE B HF) : มีเป้าหมายการจัดการ คือ ป้องกันการเกิด symptomatic heart fialure และ cardiac remodelingดังนั้นจึงต้องคัดกรองเพื่อระบุผู้ป่วย และให้การรักษาเช่นเดียวกับผู้ป่วย stage A HF
การรักษา (STAGE C HF) : เป้าหมายการจัดการเพื่อควบคุมอาการ เพิ่มคุณภาพชีวิต ป้องกันการเข้ารับรักษาในโรงพยาบาล และการเสียชีวิต สร้างความตระหนัก และความรับผิดชอบในการจัดการอาการของตนเอง ภายใต้การประสานความร่วมมือกับสหสาขาวิชาชีพโดยส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีการจัดการตนเอง (self management) โดยรับการสนับสนุนจากครอบครัวและผู้ดูแล
การรักษา (STAGE D HF) : เป็นกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงเข้าสู่ระยะท้ายของโรค เป้าหมายการจัดการ คือ การควบคุมอาการ การปรับปรุงคุณภาพชีวิต ลดการเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลซ้ำ ช่วยผู้ป่วยในการตั้งเป้าหมายระยะท้ายของชีวิตร่วมกับครอบครัว เป็นต้น
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจใน 1 นาที ลดลง เนื่องจากประสิทธิภาพการบีบตัวของหัวใจลดลง
การพยาบาล
ดูแลให้ยาลด after load เช่น ACEIs และ ARBs ทำให้แรงต้านการบีบตัวของหัวใจห้องล่างซ้ายลดลง
ดูแลให้ยาที่ลด preload จะช่วยลดปริมาณและแรงดันเลือดในหัวใจห้องล่างซ้าย ได้แก่ ยาขับปัสสาวะ ยาขยายหลอดเลือดดำ เป็นต้น
ดูแลให้ยาเพิ่มประสิทธิภาพในการบีบตัวของหัวใจ positive inotropic เช่น dopamine ที่ทำให้หัวใจเต้นช้าลง
ให้การบำบัดด้านโภชนาการ ลดปริมาณโซเดียมและน้ำในร่างกาย
ประเมินค่า PCWP (pulmonary capillary wedge pressure) ในรายที่มีอาการรุนแรงและเฉียบพลัน
บันทึกและประเมินสัญญาณชีพ อาการและอาการแสดงต่าง ๆ เพื่อดูการตอบสนองต่อการรักษาของผุ้ป่วยที่แสดงถึง CO เพิ่มขึ้น เช่น ระดับความรู้สึกตัวดีขึ้น ปริมาณปัสสาวะมากขึ้น
ประเมินอาการแสดงของภาวะน้ำเกิน เช่น pitting edema น้ำหนักตัว หายใจเหนื่อย นอนราบไม่ได้
การแลกเปลี่ยนก๊าซในปอดลดลงเนื่องจากการระบายอากาศและการกำซาบออกซิเจนไม่พียงพอ
ความทนต่อการทำกิจกรรมลดลง เนื่องจากประสิทธิภาพในการทำงานของหัวใจลดลง
มีโอกาสเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวกำเริบ เนื่องจากผู้ป่วยและหรือครอบครัวดูแลจัดการตนเองไม่เหมาะสม
ความดันโลหิตสูง
ระดับความดันโลหิต 140/90 mmHg หรือมากกว่า ซึ่งอาจจะเป็นตัวบนหรือตัวล่างก็ได้
การเลือกใช้ยาลดความดันโลหิตเริ่มต้นจากยา 4 กลุ่ม
1) Thiazide–type diuretics
2) Calcium channel blockers (CCBs)
3) Angiotensin converting enzyme inhibitors (ACEIs)
4) Angiotensin receptor blockers (ARBs)
Isolated systolic hypertension หมายถึง ระดับความดันโลหิตตัวบน 140 mmHg หรือมากกว่า แต่ระดับความดันตัวล่างต่ำกว่า 90 mmHg
Isolated office hypertension (white coat hypertension, WCH) หมายถึง ระดับความดันโลหิตเมื่อวัดในคลินิกหรือสถานพยาบาลมีค่า 140/90 มม. ปรอท หรือมากกว่า แต่เมื่อวัดความดันโลหิตที่บ้านพบว่าต่ำกว่า 135/85 (จากการวัดด้วยเครื่องวัดความดันโลหิตอัตโนมัติ)
Mask hypertension หมายถึง ภาวะที่วัดความดันโลหิตที่คลินิก หรือโรงพยาบาลพบว่า ปกติ แต่เมื่อวัดความดันโลหิตที่บ้านด้วยเครื่องวัดความดันโลหิตอัตโนมัติพบว่าสูง
การวัดความดันโลหิตด้วยตนเองโดยใช้เครื่องวัดอัตโนมัติ
ใช้ในการตรวจหาผู้ป่วยที่เป็น isolated office hypertension หรือ WCH และ MH
ใช้ติดตามผลการรักษาในผู้ป่วยที่ได้รับยาลดความดันโลหิตทุกราย ถ้าเป็นไปได้
แนะนำให้หยุดวัดความดันโลหิตที่บ้าน ถ้าการวัดความดันโลหิตทำให้ผู้ป่วยวิตกกังวล
แนะนำให้วัดความดันโลหิตวันละ 2 ครั้ง โดยวัดตอนเช้าก่อนรับประทานยาลดความดันโลหิตและช่วงเย็น เป็นเวลา 3-7 วันก่อนมาพบแพทย์
ค่าความดันโลหิตที่วัดได้ที่บ้านจากเครื่องวัดความดันโลหิตอัตโนมัติจะต่ำกว่าที่วัดในโรงพยาบาลประมาณ 5 มม. ปรอท จึงถือว่าความดันโลหิตผิดปกติ เมื่อ SBP≥135 mmHg และ/หรือ DBP≥ 85mmHg
ถ้าวัดความดันโลหิต ≥ 140/90 มม. ปรอท ให้วัดความดันโลหิตซ้ำภายใน 2 สัปดาห์ หรือติดตามวัดความดันโลหิตด้วยตนเองที่บ้าน หากทำได้ เพื่อยืนยันว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง
หากผู้ป่วยมีความดันโลหิตในระดับรุนแรงหรือมีร่องรอยของการถูกทำลายของอวัยวะเป้าหมาย เช่น หัวใจ สมอง ตา ไต ควรพบแพทย์เพื่อให้ได้รับการรักษาด้วยยาลดความดันโลหิต
จุดมุ่งหมายการประเมินผู้ป่วยที่สงสัยว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง
เพื่อยืนยันว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูงและประเมินความรุนแรงของโรค
เพื่อประเมินร่องรอยอวัยวะที่ถูกทำลาย (TOD; taget organ damage) ได้แก่ LVH, hypertensive retinopathy, microalbuminuria, macroalbuminuria เป็นต้น
เพื่อตรวจหาโรคที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิด CVD เช่น โรคเบาหวาน, CKD,
เพื่อตรวจหาโรคความดันโลหิตสูงทุติยภูมิที่อาจจักษาต้นเหตุได้
การประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ต่อการเกิด CVD ได้แก่ อายุ เพศ ประวัติการสูบบุหรี่ ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ
การตรวจพบว่ามีร่องรอยอวัยวะที่ถูกทำลาย
การปรากฎว่าเป็น CVD อยู่แล้ว เช่น โรคหัวใจขาดเลือด ภาวะหัวใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดส่วนปลาย
โรคร่วมที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิด CVD เช่น โรคเบาหวาน CKD เป็นต้น
การซักประวัติ
ประวัติเกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูง
ประวัติครอบครัว
ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา ไม่ออกกำลังกาย การรับประทานอาหารเค็ม เป็นต้น
อาการที่บ่งชี้ว่ามี TOD แล้ว เช่น อาการเหนื่อยง่าย ใจสั่น เจ็บแน่นหน้าอก ชาแขนหรือขา อ่อนแรงชั่วคราวหรือถาวร ตามัว มองไม่เห็น ปวดศีรษะ บวมที่เท้า ปวดขาเวลาเดินระยะสั้น ๆ
การตรวจร่างกาย
การตรวจหา TOD และ CVD และร่องรอยของโรคอ้วนและภาวะอ้วนลงพุง ประเมินจาก BMI มีภาวะน้ำหนักเกิน เมื่อค่า BMI ≥ 23 กก/ม2 หรือ อ้วนเมื่อ BMI ≥25 กก/ม2 มีภาวะอ้วนลงพุงเมื่อเส้นรอบเอวในท่ายืน ≥ 90 ซม. ในผู้ชาย หรือ ≥ 80 ซม. ในผู้หญิง
การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
Fasting plasma glucose
Serum total cholesterol, HDL, LDL, triglyceride
Serum electrolyte, serum creatinine, GFR
Hb, Hct
UA
ECG
echocardiography
carotid ultrasonography
ankle brachial blood pressure index (ABI) และ pulse wave velocity (PWV)
วัดปริมาณ albuminuria หรือ protienuria ต่อวัน
ตรวจจอประสาทตา
การรักษา
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต
การรักษาด้วยยา
ก่อนให้ยารักษาความดันโลหิต ควรได้รับการประเมินความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจาก CVD ใน 10 ปีข้างหน้าก่อนและจะเริ่มให้ยาลดความดันโลหิตทันที่ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจาก CVD สูงและสูงมาก ส่วนผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงต่ำ เริ่มให้ถ้าหากความดันโลหิตของผู้ป่วยยังคงอยู่ในระดับ > 140/90 มม.ปรอท หลังจากให้คำแนะนำไปแล้วอย่างน้อย 1 เดือน หรือผู้ป่วยกลุ่มที่มีความเสี่ยงปานกลางหรือปานกลางถึงสูง ควรเริ่มให้ยา ถ้าหากความดันโลหิตของผู้ป่วยยังคงอยู่ที่ระดับ > 140/90 มม.ปรอท
ระดับความดันโลหิตเป้าหมาย
1) ผู้ป่วยทั่วไป ความดันโลหิต < 140/90 มม.ปรอท
2) ผู้ป่วยที่อายุมากกว่า 60 ปี แต่น้อยกว่า 80 ปี ความดันโลหิต < 140-150/90 มม.ปรอท
3) ผู้ป่วยที่อายุมากกว่า 80 ปี ความดันโลหิต < 150/90 มม.ปรอท
4) ผู้ป่วยที่อายุน้อยกว่า 50 ปี ความดันโลหิต < 130/80 มม.ปรอท
5) ผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิต < 140/90 มม.ปรอท
6) ผู้ป่วย CKD ที่ไม่มี albuminuria และโรคไตเรื้อรังที่มี albuminuria น้อยกว่า 30 มก.ต่อวัน ความดันโลหิต < 140/90 มม.ปรอท
7) ผู้ป่วย CKD ที่มี albuminuria ตั้งแต่ 30 มก.ต่อวันขึ้นไป ความดันโลหิต < 130/80 มม.ปรอท
การพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะความดันโลหิตสูง
ติดตามวัดความดันโลหิต ชั่งน้ำหนักตัว และวัดรอบเอวอยู่เสมอ ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน และมีรอบเอวเกิน ต้องลดน้ำหนัก โดยการที่น้ำหนักลดลงตั้งแต่ร้อยละ 5 ของน้ำหนักตั้งต้นขึ้นไป
หมั่นสังเกตอาการผิดปกติ เช่น อาการปวดมึนศีรษะบริเวณท้ายทอย ตึงที่ต้นคอ วิงเวียน ปวดศีรษะตุบๆ แบบไมเกรน เลือดกำเดาไหล ตามัวหรือตามองไม่เห็นข้างใดข้างหนึ่งแบบชั่วคราว เจ็บหน้าอก บวม หอบเหนื่อย แขนขาอ่อนแรง หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบมาพบแพทย์
สร้างสุขนิสัยที่ดีและมีพฤติกรรมสุขภาพในการป้องกันความดันโลหิตสูง เช่น รับประทานอาหาร การรับประทานอาหารแบบ DASH (Dietary approach to stop hypertension) ลดอาหารรสจัดและมีโซเดียมสูง
ออกกำลังกายแบบแอโรบิคอย่างสม่ำเสมอ ควรออกกำลังกายความหนักระดับปานกลางอย่างน้อยวันละ 30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน
การพยาบาลผู้ป่วยสูงอายุที่มีภาวะความดันโลหิตสูงระดับต่ำจนถึงปานกลาง
ควบคุมอาหาร ควรรับประทานอาหารแบบ DASH (Dietary approach to stop hypertension) ลดอาหารรสจัดและมีโซเดียมสูง ควรรับประทานอาหารที่ปรุงเองที่บ้าน หลีกเลี่ยงรับประทานอาหารสำเร็จรูป หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เช่น อาหารที่ทำจากกะทิ
ผ่อนคลายความเครียด และพักผ่อนอย่างเพียงพอ แนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงภาวะเครียด โดยทำให้จิตใจให้แจ่มใส ผ่อนคลายความเครียดโดยฝึกจิต นั่งสมาธิ และหาเวลานอนพักในเวลากลางวัน อย่างน้อย ½-1 ชั่วโมง
หยุดสูบบุหรี่ และงดดื่มแอลกอฮอล์ เพราะในบุหรี่มีสารนิโคติน ทำให้หลอดเลือดหดตัว การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากจะเพิ่ม renin หรือ aldosterone ซึ่งทำให้ความดันโลหิตสูง
รับประทานยาให้สม่ำเสมอ ตามแผนการรักษา จะช่วยควบคุมภาวะความดันโลหิตไม่ให้รุนแรงมากขึ้น และช่วยลดภาวะแทรกซ้อนให้เกิดช้าที่สุด
ขณะรับประทานยาลดความดันโลหิต ควรแนะนำให้ผู้ป่วยเปลี่ยนท่าทางช้า ๆ ระวังอาการหน้ามืด เป็นลม เนื่องจากความดันโลหิตต่ำลงมากหรือเร็วเกินไป ผู้ป่วยที่ได้รับยาขับปัสสาวะในกลุ่ม thiazide ควรระวังผลข้างเคียง คือ ภาวะโปแตสเซียมต่ำ
ติดตามวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
(Chronic obstructive pulmonary disease)
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุหลัก ทั้งสูบด้วยตนเอง หรือ เป็นผู้สูบบุหรี่มือสอง
มลพิษในอากาศ การใช้ไม้ฟืนในการทำครัวในบ้าน ฝุ่นควัน สารเคมีหรือสารระเหยจากการทำงาน
การขาด alpha1-antitrypsin (โรค Alpha1-antitrypsin (AAT) deficiency เป็นโรคทางพันธุกรรมที่ทำให้โมเลกุลของเอ็นไซม์ AAT ที่ผลิตในตับผิดปกติไป
เพศชายและหญิงมีโอกาสเกิดโรคใกล้เคียงกัน เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการสูบบุหรี่ ซึ่งเพศหญิงมีพฤติกรรมการสูบบุหรี่มากขึ้น
ความยากจน พบว่า ความยากจนมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง กลไกไม่ทราบชัดเจน แต่สามารถอธิบายได้ว่า ผู้ที่มีฐานะยากจนมักจะอาศัยในสถานที่ที่แออัด สิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกบ้านมีฝุ่นควัน โภชนาการไม่ดี ติดเชื้อได้ง่าย
โรคหอบหืด พบว่า ผู้ที่เป็นโรคหอบหืดมีโอกาสเกิดโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง 12 เท่าของผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคหอบหืด
พยาธิสภาพ
เกิดจากการจำกัดการไหลของอากาศและการขังของอากาศในถุงลมเมื่อเกิดการอักเสบ มีสารคัดหลั่งในทางเดินหายใจเล็กๆ เยื่อบุหลอดลมจะหนาตัวขึ้น การระบายอากาศขณะหายใจออกลดลง ทำให้อากาศคั่งค้างในถุงลม เกิดลมคั่งค้างในปอด (Lung hyperinflation) ส่งผลให้มีความผิดปกติของการแลกเปลี่ยนก๊าซทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างการระบายอากาศทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนก๊าซผิดปกติ มีภาวะพร่องออกซิเจนและมีการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์และเกิดการอักเสบของหลอดลมเรื้อรัง จึงมีการหลั่งมูกเพิ่มมากขึ้นทำให้ผู้ป่วยไอมีเสมหะเรื้อรังและเกิดความดันในปอดสูงขึ้นทำให้เกิดภาวะหัวใจซีกขวาล้มเหลวตามมา เรียกว่า โรคหัวใจเพราะปอด (Cor pulmonale) กล้ามเนื้อหัวใจซีกขวาหนาตัว และไม่สามารถบีบตัวให้เลือดไปปอดได้เพียงพอและในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจห้องขวาล้มเหลว จะมีอาการ หายใจลำบาก ไอมีเสมหะ หายใจมีเสียงหวีด ปลายมือปลายเท้าบวม มีเลือดคั่งในอวัยวะในช่องท้องและทางเดินอาหาร เช่น ตับ ม้าม มีน้ำในช่องท้อง หลอดเลือดที่คอโป่งพอง
อาการแสดง
เหนื่อย หายใจลำบาก ใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กช่วยในการหายใจ ผู้ป่วยต้องใช้แรงมากขึ้นในการหายใจ เมื่อโรคพัฒนารุนแรงขึ้นผู้ป่วยจะมีอาการหายใจลำบากแม้ทำกิจวัตรประจำวันหรือในขณะพัก
ไอเรื้อรัง พบในระยะแรกของโรค อาจมีหรือไม่มีเสมหะร่วมด้วย
แน่นหน้าอก หายใจมีเสียงหวีด (Wheeze)
เหนื่อยล้า น้ำหนักลด เบื่ออาหาร พบบ่อยในผู้ป่วยที่อยู่ในระยะรุนแรง
การวินิจฉัยโรค
การซักประวัติ
การซักประวัติ: การสูบบุหรี่ สัมผัสสารเคมี และมลพิษ การติดเชื้อทางเดินหายใจ
ตรวจร่างกาย: รูปร่างทรวงอกอาจพบว่าเป็นรูปถังเบียร์ (Barrel shape) ได้ยินเสียงโปร่ง จากการคั่งค้างของลมในปอด
Chest X-ray อาจพบปอดพองลมทั้งสองข้าง (Bilateral hyperinflation) กะบังลมแบนราบ และหัวใจมีขนาดเล็ก
4 ความดันก๊าซในเลือดแดง (Arterial blood gas) อาจพบภาวะพร่องออกซิเจน มีการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์
สมรรถภาพปอด โดยใช้เครื่องสไปโรเมตรีย์ (Spirometry) เป็นการวัดปริมาตรของอากาศที่หายใจเข้าออกจากปอด ค่าที่ได้จากการตรวจ คือค่า FEV1/FVC X 100 ถ้าค่าที่ได้ น้อยกว่า 70% คือเป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ส่วนใหญ่ใช้วินิจฉัยในผู้สูงอายุ
สำหรับผู้ที่อายุน้อย และไม่มีอาการรุนแรง อาจต้องใช้ข้อมูลอื่น ๆ ร่วมในการวินิจฉัย เช่น อาการ ปัจจัยเสี่ยง
การตรวจร่างกาย
Chest x- ray
ABG
สมรรถภาพปอด
การรักษา
การหยุดสูบบุหรี่
การใช้ยา
ยาขยายหลอดลมกลุ่ม Beta-adrenagic agonist : เป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อ Beta adrenagic receptor ทำให้เพิ่ม cyclic AMP ต้านการหดตัวของหลอดลม เกิดหลอดลมคลายตัว จึงทำให้ผู้ป่วยมีค่า FEV1 สูงขึ้น อาการข้างเคียงของยา คือ หัวใจเต้นเร็วหรืออาจเกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ พบมือสั่นในผู้สูงอายุได้
ยาขยายหลอดลม กลุ่ม Anticholinergic : ออกฤทธิ์ต่อต้านการออกฤทธิ์ Acetylcholine ที่มีฤทธิ์ต่อประสาทส่วนกลาง ยับยั้งการทำงานของ muscarine receptor ที่กล้ามเนื้อเรียบในหลอดลม ทำให้ลดการหดเกร็งของหลอดลมได้ ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้ คือ ปากแห้ง คอแห้ง การใช้ยาขนิดนี้ผสมน้ำเกลือผ่านทางหน้ากากให้ออกซิเจน อาจทำให้เกิดต้อหิน เนื่องจากยาสัมผัสดวงตาโดยตรง
ยาขยายหลอดลมกลุ่ม Methylxanthines : ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ phosphoiesterase (PDE) ทำให้มีการเพิ่มขึ้นของ Cyclic AMP ในเซลล์กล้ามเนื้อเรียบ ทำให้หลอดลมขยายตัว ผลข้างเคียงของยา คือ หัวใจเต้นผิดจังหวะ ชัก ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ คลื่นไส้ และแสบยอดอก
ยาลดการอักเสบกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteriods) : ช่วยเพิ่มสมรรถภาพปอด เพิ่มภาวะสุขภาพ ลดการกำเริบในผู้ป่วยที่มีความรุนแรงระดับปานกลางจนถึงรุนแรงมากที่สุด ผลข้างเคียงของการใช้ยา ทำให้เกิดเชื้อรา ในปาก เสียงแหบ รอยช้ำที่ผิว
การรักษาด้วยออกซิเจน
เมื่อมีอาการกำเริบจะต้องค่อย ๆ เพิ่มความเข้มข้นออกซิเจน เพื่อให้ได้ค่าความอิ่มตัวออกซิเจน
เป้าหมาย คือ ระหว่างร้อยละ 88-92 ควรตอบสอบหลังให้ออกซิเจนไปแล้ว 30-60 นาที เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีภาวะคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ หรือภาวะเลือดเป็นกรด
การให้ออกซิเจนอย่างต่อเนื่อง หรือเกือบต่อเนื่อง พบว่า สามารถลดความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงในหลอดเลือดได้ (secondary polycythemia)
ลดค่าความดันเฉลี่ยในหลอดเลือดดำที่ปอด (decrease mean pulmonary artery pressure) ทำให้ความดันในปอดสูงเกิดช้าลง (delay pulmonary hypertension)
การรักษาอื่น ๆ
การให้วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
การให้ Alpha1 antitrypsin
การฟื้นฟูสมรรถภาพปอด
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
มีความพร่องในการแลกเปลี่ยนก๊าซจากการระบายอากาศที่ลดลงและมีเสมหะปริมาณมาก
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินการหายใจ อัตราการหายใจ ภาวะพร่องออกซิเจน การใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กช่วยการหายใจ
ประเมินระดับความรู้สึกตัว
ดูแลให้ออกซิเจนตามแผนการรักษา
จัดท่า High Fowler เพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ปอดได้ดี
ดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง สามารถระบายเสมหะได้ดี ดูดเสมหะตามความจำเป็น เมื่อผู้ป่วยไม่สามารถไอออกมาได้เอง
ให้ยาขยายหลอดลมตามแผนการรักษา
ดูแลให้พักผ่อนเพื่อลดการใช้ออกซิเจน
ถ้าผู้ป่วยได้รับยากล่อมประสาท สงบประสาท ต้องสังเกตผลข้างเคียง เพราะยาเหล่านี้บางตัวจะกดการหายใจ ทำให้ระบายอากาศไม่ดี
การระบายเสมหะไม่มีประสิทธิภาพ จากปริมาณเสมหะมีปริมาณมาก เหนียว และการไอไม่มีประสิทธิภาพ
กิจกรรมการพยาบาล
ฟังเสียงหายใจ เพื่อประเมินเสียงหายใจที่ผิดปกติ
ประเมินความรุนแรงของอาการหายใจลำบาก โดยใช้ visual analogue scale (VAS)
ดูแลให้รับน้ำอย่างเพียงพอ ถ้าไม่มีข้อห้าม ซึ่งจะทำให้เสมหะระบายออกมาได้ง่าย ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว
ดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง โดยการทำกายภาพบำบัดปอด
จัดท่าเพื่อระบายเสมหะ (postural drainage) ให้เสมหะไหลตามแรงโน้มถ่วง
เคาะปอด และการสั่นสะเทือนปอด จะทำให้เสมหะที่เกาะอยู่ในทางเดินหายใจหลุดออก
สอนและสาธิการไออย่างมีประสิทธิภาพและให้ผู้ป่วยปฏิบัติตาม
สอนและสาธิการหายใจอย่างมีประสิทธิภาพโดยการใช้กล้ามเนื้อหน้าท้อง และการเป่าปาก
ฟังปอดก่อนและหลังทำกายภาพบำบัดปอด เพื่อประเมินประสิทธิภาพ ของการไอ และการทำกายภาพปอด
ความทนในการทำกิจกรรมลดลงเนื่องจากหายใจลำบาก
กิจกรรมการพยาบาล
แนะนำวิธีการสงวนพลังงาน เช่น วางแผนการทำกิจกรรม และการพักผ่อนตลอดวัน จัดให้มีกิจกรรมหนักสลับเบา หรือให้มีการพักระหว่างทำกิจกรรม การใช้เทคนิคสงวนพลังงาน จะทำให้ทำงานมากขึ้นแต่ใช้พลังงานจำกัด
ช่วยผู้ป่วยจัดตารางในการทำกิจกรรม ค่อย ๆ เพิ่มการทำกิจกรรมและการออกกำลังกาย
บริหารการหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องและกะบังลม และเป่าปาก (purse lip)
จัดให้มีกิจกรรมออกกำลังกายหลังทำกายภาพบำบัด หรือได้รับยาขยายหลอดลม การทำหน้าที่ของปอดจะสูงสุดเมื่อยาออกฤทธิ์สูงสุดหรือเมื่อทางเดินหายใจโล่ง
ให้ออกซิเจนเมื่อต้องการ การให้ออกซิเจนทดแทนช่วยทำให้ทำกิจกรรมได้ดีขึ้น ลดการพร่องออกซิเจนที่เกิดจากการออกกำลังกาย
ประเมินอาการแสดงที่ผิดปกติหลังทำกิจกรรมหรืออกกำลังกาย เช่น หลังออกกำลังกาย 3 นาที อัตราการหายใจ ชีพจร ยังไม่ลงมาใกล้เคียงขณะพัก มีการเปลี่ยนแปลงความรู้สึกตัว
มีความวิตกกังวลเนื่องจาก อาการหายใจลำบาก
กิจกรรมการพยาบาล
1) เมื่อผู้ป่วยมีอาการหายใจลำบาก อยู่กับผู้ป่วยตลอดเวลา ช่วยเหลือในท่าที่สงบ และมีความมั่นใจในการดูแลผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วมั่นใจในการดูแลของพยาบาล
2) จัดบรรยากาศให้เงียบสงบ เป็นการลดสิ่งเร้าจากภายนอก
3) สนับสนุนให้ผู้ป่วยใช้เทคนิคผ่อนคลาย และการหายใจที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกควบคุมตนเองได้ ควบคุมการหายใจได้ ทำให้ลดความวิตกกังวลและความซึมเศร้าลง
4) ดูแลให้ยาขยายหลอดลมตามแผนการรักษา
5) ให้ออกซิเจนตามแผนการรักษา
6) ประเมินความรุนแรง และความก้าวหน้าของอาการหายใจลำบาก เพื่อประเมินประสิทธิภาพของการรักษาพยาบาล
มีภาวะทุพโภชนาการ เนื่องจากรับประทานอาหารได้น้อย / ความอยากอาหารลดลง
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินภาวะโภชนาการและพลังงานที่ควรได้รับในแต่ละวัน
กำหนดชนิดอาหารและปริมาณให้เหมาะสม ควรลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตลง เพราะการเผาผลาญจะทำให้มีการผลิตคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าสารอาหารชนิดอื่น
ควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสมตามเกณฑ์ เพราะผู้ป่วยที่น้ำหนักเกิน ทำให้หายใจลำบากขึ้น น้ำหนักที่มากขึ้นต้องการออกซิเจนมากขึ้น
หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป ที่มีไนไตรท์เป็นส่วนประกอบ เช่น เบคอน กุนเชียง แฮม จะทำให้เป็นอันตรายต่อ Collagen และ elastin ของเนื้อปอด การรับประทานไนไตรท์ เพิ่มขึ้น 1 ครั้งใน 1 เดือนทำให้ FEV1 ลดลง 3.85 มล.
ชั่งน้ำหนักผู้ป่วย 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ ถ้ารับยาขับปัสสาวะ หรือสเตียรอยด์ ควรชั่งน้ำหนักทุกวัน เพื่อปรับชนิดอาหารและน้ำที่รับเข้าไป
รับประทานอาหารที่กากใยเพิ่มมากขึ้น ช่วยในการเคลื่อนอาหารในทางเดินอาหาร ควบคุมระดับน้ำตาล และระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
ประเมินการเคลื่อนไหวของลำไส้ เนื่องจากผู้ป่วยบางคนจำกัดน้ำ รับประทานอาหารได้น้อย มีกิจกรรมลดลง อาจทำให้ท้องผูก
กิจกรรมหรืออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อให้ลำไส้เคลื่อนไหวได้ดี
ผู้ป่วยที่มีอาการหายใจลำบากหรือเหนื่อยง่าย ควรใส่ออกซิเจนทางจมูกตลอดเวลา เพราะ การรับประทานอาหารและการย่อยอาหารใช้พลังงานมาก
หลีกเลี่ยงอาหารร้อนจัดหรือเย็นจัด อาจกระตุ้นให้เกิดอาการไออย่างต่อเนื่องมากกว่า 5 นาที
กระตุ้นให้ผู้ป่วยไอเอาเสมหะออก และทำความสะอาดปากและฟันบ่อย ๆ เพื่อลดรสชาติของเสมหะที่อยู่ในปาก และทำให้ทางเดินหายใจให้โล่ง ทำก่อนรับประทานอาหารประมาณ 1 ชั่วโมง
ควรรับประทานอาหารช้าๆ และเลือกอาหารที่ย่อยง่าย
ควรอยู่ท่านั่งขณะรับประทานอาหาร เพื่อลดแรงดันต่อกล้ามเนื้อกะบังลม
แบบแผนการนอนหลับถูกรบกวน เนื่องจากอาการหายใจลำบาก และมีสิ่งเร้ากระตุ้นจากภายนอก
ปัญหาในการสื่อสาร
การสื่อสาร คือ การส่งสารและรับข้อมูลจากโลกภายนอกทั้งโดยวัจนะและอวัจนะภาษา และส่งสารติดต่อแปลผลภายในร่างกายของมนุษย์ก่อนการตอบสนอง เป็นกระบวนการทำงานที่ต้องการทำหน้าที่ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ
การสื่อสารที่ดี
เป็นทักษะสำคัญในการพยาบาลผู้สูงอายุ
ช่วยให้พยาบาลได้มาซึ่งข้อมูลสุขภาพที่เป็นจริง ก่อให้เกิดให้การวางแผนการพยาบาลสอดคล้องกับความต้องการของผู้สูงอายุและครอบครัว
ช่วยพัฒนาสัมพันธภาพเชิงบำบัดระหว่างพยาบาลและผู้สูงอายุ
ประสิทธิภาพการสื่อสารที่มีความบกพร่อง ก่อให้เกิด ความไม่เข้าใจกันระหว่างผู้สูงอายุและคนในครอบครัว ผู้สูงอายุกับพยาบาลหรือเจ้าหน้าที่สุขภาพ
ความล้มเหลวของกิจกรรมการดูแลหรือการบำบัดรักษาที่ต้องดำเนินการร่วมกัน
การสื่อสารที่ล้มเหลวอาจเนื่องมาจากสาเหตุปัจจัยตัวผู้สูงอายุ และผู้ดูแลหรือลูกหลาน
ปัจจัยด้านผู้สูงอายุ
หู
ความสามารถในการได้ยินลดลง โดยช่วงแรกการรับเสี่ยงที่มีความถี่สูงหรือเสียงแหลมจะสูญเสียไปก่อน ต่อมาเป็นเสียงที่มีความถี่ปานกลางและต่ำ
ยื่อบุแก้วหูที่มีลักษณะแข็ง และเหี่ยวลีบ หรืออาจมีการอุดตันของขึ้หู
อวัยวะการพูด
มะเร็งกล่องเสียง หรือช่องปาก ผู้สูงอายุที่เจาะคอ รวมทั้งผู้สูงอายุที่มีความจำเสื่อม ในที่สุดผู้สูงอายุเหล่านี้มักจะมีปัญหาในการสื่อภาษา
ตา
ตาฝ้ามัว มองไม่ชัด เนื่องจากแก้วตามีความหนาตัว มีความโค้งน้อย การหักเหของแสงไม่ดี รวมทั้งเลนส์ตาจะขุ่น หนาและแข็ง รูม่านตาลดลง ตอบสนองต่อแสงช้าลง จึงทำให้มีโอกาสเกิดโรคต้อกระจก ต้อหิน ต้อเนื้อได้ง่าย
ความผิดปกติของการสื่อสารด้วยคำพูดที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ
aphasia : เป็นความผิดปกติของการพูดและการเข้าใจภาษา ลักษณะอาการคือ พูดไม่ได้ หรือพูดได้หรือไม่เข้าใจภาษา สาเหตุของความผิดปกติ มักจะพบในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง อุบัติเหตุทางสมอง เนื้องอกที่สมอง
dysarthia : ป็นความผิดปกติในการควบคุมกล้ามเนื้อการพูด คือ พูดไม่ได้ พูดไม่ชัด พูดแบบลิ้นแข็งๆ หรือพูดตะกุกตะกักเกิดจากการอ่อนแรงของใบหน้า ปาก ลิ้น และขากรรไกร สาเหตุเนื่องมาจากโรคหลอดเลือดสมองที่มีการตีบขนาดใหญ่ หรือตีบบริเวณเนื้อสมองส่วนสีขาว บริเวณก้านสมอง หรือบริเวณสมองน้อย ทำให้เกิดการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อที่ควบคุมบริเวณปากได้
โดยปกติแล้วผู้ป่วยยังสามารถเข้าใจการสนทนา การอ่าน หรือการเขียนแก้ไขปัญหาด้านการพูดด้วยการออกกำลังกาย นอกเหนือจากความลำบากในการพูดแล้วผู้ป่วยมักประสบปัญหาในการกลืนด้วย
การทำงานของสมองแต่ละซีก
สมองซีกซ้าย (Left dominant hemiphere) เป็นสมองที่ควบคุมเกี่ยวกับภาษาและทักษะต่าง ๆ ของผู้ที่ถนัดขวา
คนที่ถนัดมือซ้ายมักจะมีสมองซีกซ้ายหรือทั้งสองข้างเด่น
ถ้าผู้ป่วยมีพยาธิสภาพของสมองซีกซ้ายจะทำให้เกิดความผิดปกติของการใช้ภาษา (aphasia)
สมองซีกขวา (Right non-dominant hemiphere) เป็นสมองซีกควบคุมและเชื่อมโยงการเคลื่อนไหวกับการรับรู้ต่าง ๆ แสดงพฤติกรรมทางอารมณ์ ถ้าสมองส่วนนี้ได้รับบาดเจ็บทำให้ผู้ป่วยจำทิศทางไม่ได้ ไม่สนใจร่างกายด้านตรงข้าม
สมองส่วนสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการพูดและความเข้าใจภาษา
Wernicke’s area
สมองส่วนนี้อยู่บริเวณเหนือกกหูด้านซ้ายบริเวณนี้ถูกค้นพบโดยนักประสาทวิทยาและจิตแพทย์ชาวเยอรมัน คาร์ล เวอร์นิเก
เมื่อบริเวณนี้ถูกทำลายจะทำให้เกิดภาวะเสียการสื่อความหมาย (aphasia)
ความบกพร่องของความเข้าใจภาษาและการพูด ผู้ป่วยจะได้ยินสิ่งที่คนอื่นพูดแต่ไม่เข้าใจความหมาย
ผู้ป่วยพูดได้แต่เป็นคำที่ไม่มีความหมาย
Broca’s area
อยู่บริเวณ brodmann’s area 44 และ 45
ถูกค้นพบโดยนายแพทย์ชาวฝรั่งเศส ปอล โบรกา
ถ้าบริเวณนี้ถูกทำลายจะทำให้สูญเสียการสื่อสารที่ออกมาเป็นคำพูด จะพูดได้ลำบาก พูดทวนคำไม่ได้ บอกชื่อสิ่งของไม่ได้ แต่ยังสามารถเข้าใจในสิ่งที่คนอื่นสื่อสารได้
ประเภทของความผิดปกติของอะเฟเซีย มี 4 ประเภท
มีปัญหาเรื่องการรับรู้เข้าใจในภาษา (Wernicke’s Aphasia)
ผู้ป่วยจะสามารถพูดได้คล่อง ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์แต่ไม่สามารถเข้าใจคำพูดนั้นๆได้ ยิ่งถ้าเป็นประโยคที่ซับซ้อนจะไม่เข้าใจมาก
ไม่สามารถพูดตามได้เนื่องจากไม่เข้าใจในสิ่งที่พูดตาม
ไม่สามารถเขียนหนังสือตามคำบอกได้
ในบางรายที่มีอาการน้อยสามารถอ่านได้แต่มีตกหล่นบางคำและถ้ามีอาการมากจะไม่สามารถอ่านหนังสือได้เลย
จะพบในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติที่เส้นเลือด Middle cerebral artery ที่ส่งเลือดไปเลี้ยงสมองบริเวณ left superior temporal lobe
มีปัญหาเรื่องการแสดงออกทางภาษา แต่มีความเข้าใจในภาษาที่ปกติ (Broca’s Aphasia)
ผู้ป่วยสามารถเข้าใจคำพูดของผู้อื่นได้ แต่พูดไม่ชัดและไม่สามารถบอกความต้องการของตัวเองได้ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของสมองส่วนที่ควบคุมอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการพูดทำให้ผู้ป่วยพูดไม่คล่องจะพบในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติที่เส้นเลือด Middle cerebral artery อยู่ในบริเวณสมองส่วนหน้าทางซีกซ้าย (left frontal lobe)
มีปัญหาเรื่องการนึกคำพูด (Nominal Aphasia)
ผู้ป่วยนึกคิดคำศัพท์ที่จะพูดได้ยากลำบากมักจะพูดอ้อม หรืออธิบายโดยใช้คำศัพท์อื่นแทนสิ่งที่พูดแต่ผู้ป่วยจะพูดคล่อง ชัดเจน ถูกหลักไวยากรณ์ มักพบในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติที่จุดเชื่อมระหว่างสมองส่วน temporal และ parietal area
ปัญหาทั้งเรื่องการแสดงออกทางภาษาและความเข้าใจในภาษา (Global Aphasia)
ผู้ป่วยมีปัญหาทั้งเรื่องการพูดและการเข้าใจในภาษาในระดับที่ใกล้เคียงกันโดยพบในผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพทั้งบริเวณ Wernicke’s area และBroca’s area
การพยาบาลผู้สูงอายุที่มีปัญหาการสื่อสารด้วยการพูดชนิด APHASIA
อธิบายสถานการณ์ การบำบัดรักษาและกิจกรรมทุกอย่างที่ต้องปฏิบัติกับผู้สูงอายุ
ปฏิบัติกับผู้สูงอายุอย่างผู้ใหญ่ ไม่ดูแลแบบเด็ก
พยายามสื่อสารด้วยคำพูดถ้าผู้สูงอายุฟังเข้าใจ
อดทนและให้เวลาสำหรับผู้สูงอายุในการสื่อสาร จัดสิ่งแวดล้อมที่เงียบ
พูดช้า ชัด ถามทีละคำถาม ให้รอคำตอบ อาจต้องถามซ้ำตามจำเป็น
สร้างสิ่งแวดล้อมที่ช่วยส่งเสริมผู้สูงอายุในการตัดสินใจ อธิบายหรือให้ข้อเสนอแนะ และสื่อสารในสิ่งที่ต้องการและความคิดได้ตามอิสระ
ผู้สูงอายุที่พูดไม่ได้ ให้ใช้คำถามที่ผู้สูงอายุสามารถตอบสนองได้โดยการกระพริบตาหรือพยักหน้า
แนะนำการสื่อสารโดยใช้ท่าทางแทนการพูด
ตกลงกับทีมสุขภาพให้เข้าใจว่ากิริยาท่าทางที่ใช้หมายถึงอะไร เพื่อลดความสับสนที่อาจเกิดจากการติดต่อที่หลากหลาย
ในกรณีที่ไม่เข้าใจคำพูดที่ผู้สูงอายุสื่อสารให้บอกผู้สูงอายุอย่างตรงไปตรงมาอย่างสุภาพและเอื้ออาทร และแสดงให้เห็นด้วยว่ามีความพยายามจะเข้าใจและช่วยกันหาวิธีการสื่อสารใหม่
เมื่อไม่เข้าใจว่าผู้สูงอายุพูดอะไรเป็นบางส่วน ให้ถามส่วนที่ไม่เข้าใจ เพื่อผู้สูงอายุจะได้พูดซ้ำในส่วนนั้นเท่านั้น
ควรพูดในสิ่งที่ผู้สูงอายุคุ้นเคยและสนใจ
ใช้วัตถุที่รับรู้ด้วยการมองเห็นช่วยในการสื่อสาร เช่น รูปภาพ วัตถุ ท่าทาง การสัมผัส หรือจัดกระดาษ ดินสอ ไว้ให้ผู้สูงอายุเขียนหรือวาดรูปโต้ตอบ
กระตุ้นให้ผู้สูงอายุพูดจนจบ พยายามฟังและจับใจความ เปิดโอกาสในการถ่ายทอดความคิด
การพยาบาลผู้สูงอายุที่มีปัญหาการสื่อสารด้วยการพูดชนิด DYSARTHRIA
บอกกับผู้ที่ผู้สูงอายุสื่อสารด้วยว่า มีความยากลำบากในการสื่อสาร
การสนทนาควรกำหนดระยะเวลาและให้หยุดเมื่อรู้สึกเหนื่อย
พูด ช้า ๆ ดังๆ ในสิ่งแวดล้อมที่เงียบ
หายใจลึก ๆก่อนพูด พูดทีละคำ พูดในขณะหายใจออก เปิดปากให้กว้างเวลาพูด เพื่อให้ลิ้นได้เคลื่อนไหว
จัดท่านั่งหรือยืนในท่าตัวตรง จะช่วยให้ออกเสียงดีขึ้น
เมื่อรู้สึกคับข้องใจในการพูด ให้วิธีการอื่นทดแทน เช่น การชี้ แสดงท่าทาง วาดรูป
บริหารใบหน้า เช่น เป่าลมห่อปาก ย่นหน้าผาก ยิ้ม นวดกล้ามเนื้อใบหน้า
ขณะพูดกับผู้สูงอายุ ให้ความสนใจ ประสานสายตาและมองหน้าขณะพูด
ให้เวลาในการสื่อสารและชักชวนเมื่อผู้สูงอายุเงียบไป
บอกผู้สูงอายุเมื่อไม่สามารถเข้าใจคำพูดที่ผู้สูงอายุสื่อสาร
ถามในส่วนที่ไม่เข้าใจ ซึ่งจะทำให้ผู้สูงอายุพูดซ้ำในส่วนนั้นเท่านั้น
การพยาบาลผู้สูงอายุที่มีปัญหาการมองเห็น
ประเมินว่าควรจะพูดคุยกับผู้สูงอายุทางด้านไหนจึงจะเหมาะสม
ผู้สูงอายุตาบอด ต้องส่งเสียงพูดเมื่อพบกัน แนะนำตัวเองและผู้ที่อยู่ด้วย และเมื่อจากไปต้องบอก
ต้องแน่ใจว่าผู้สูงอายุอยู่ในสภาพที่พร้อมพูดคุย
อธิบายสิ่งที่อยู่รอบตัวเพื่อให้ผู้สูงอายุคุ้นเคย
พูดคุยด้วยเสียงปกติ และพูดด้วยท่าทางตามปกติที่เคยทำ เมื่อมีผู้เข้ามาใหม่ต้องแนะนำ บอกตำแหน่งที่อยู่ อาจให้แตะเบา ๆ ที่แขนเพื่อบอกตำแหน่ง
ลดสิ่งลบกวนความสนใจ
บอกตำแหน่งสิ่งต่างๆ อาจประยุกต์ใช้ตำแหน่งนาฬิกาช่วยในการบอก
ตรวจสอบแสงสว่างที่เหมาะสมที่ช่วยในการมองเห็นที่เหลืออยู่
ไม่โยกย้ายของในห้อง หรือจัดของในห้องใหม่โดยไม่บอกให้ผู้สูงอายุรู้
เมื่อจะส่งของให้ผู้สูงอายุ ควรบอกให้ผู้สูงอายุรับรู้ก่อน
เมื่อต้องเดินไปกับผู้สูงอายุ ต้องให้ผู้สูงอายุจับแขน ก่อนขึ้นบันไดให้หยุดเดินหรือรั้งไว้ บอกให้รับรู้
ในการพาไปนั่งให้วางมือผู้สูงอายุบนพนักเก้าอี้ บอกตำแหน่งตัวผู้สูงอายุกับเก้าอี้ และวัตถุอื่นที่อยู่ใกล้ ๆ
ผู้สูงอายุที่ตาบอดเกิดขึ้นภายหลัง ควรอธิบายความงามสิ่งต่าง ๆที่อยู่รอบตัว ความงามของทิวทัศน์ ดอกไม้ สีสรรต่าง ๆ ช่วยให้ผู้สูงอายุรำลึกถึงความทรงจำที่ได้คิดตาม
จัดอุปกรณ์ในการช่วยเหลือไว้ใกล้ ๆ สะดวกในการหยิบจับ
15.ตรวจเยี่ยมเพื่อสอบถามความต้องการเป็นระยะ