Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การรักษาโรคเบื้องต้นในกลุ่มอาการที่พบบ่อย - Coggle Diagram
การรักษาโรคเบื้องต้นในกลุ่มอาการที่พบบ่อย
เยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis)
เกิดจากสาเหตุต่างๆ เช่น เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อไวรัส สารเคมี และสิ่งแปลกปลอม การอักเสบอาจเกิดเฉพาะที่หรือเกิดทั่วไปตลอดทั้งช่องท้อง
สาเหตุ
มักเกิดภายหลังมีการแตกทะลุของอวัยวะในช่องท้อง หรือได้รับอุบัติเหตุที่ท้อง หรือเกิดขึ้นเองโดยไม่อาจหาสาเหตุที่แท้จริง
อาการและอาการแสดง
มีอาการปวดท้องรุนแรงตลอดเวลา ขยับเขยื้อนหรือกระเทือนจะรู้สึกเจ็บ ผู้ป่วยมักจะต้องนอนนิ่งๆ เนื่องจากปวดท้องมาก อาการปวดท้องมักจะเป็นติดต่อกันหลายชั่วโมงจนกระทั่งหลายวัน ร่วมกับมีไข้สูง คลื่นไส้ อาเจียน หน้าท้องแข็งตึง (guarding, rigidity)
เมื่อกดหน้าท้องลึกๆ แล้วปล่อยมือทันทีให้ผนังหน้าท้องกระเด้งกลับทันที (rebound tenderness)ไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของลำไส้ (bowel sound absent)
Infective peritonitis
Primary - เกิดขึ้นเอง
Secondary - มีความผิดปกติในช่องท้อง เช่น Peptic perforate , rupture appendicitis
Tertiary - อาการระยะต่อมาของ Secondary stage , ภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อในกระแสเลือด
การรักษา
ผ่าตัดเปิดหน้าท้องเพื่อสำรวจ หาสาเหตุ (Exploratory Laparotomy) และแก้ไข
การให้ยาปฏิชีวนะ
การพยาบาล เช่นเดียวกับผู้ที่มีภาวะลำไส้อุดตันและได้รับการผ่าตัดใหญ่
ถุงน้ำดีอักเสบ(Cholecystitis)
อาการ
ติดเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดการอักเสบของถุงน้ำดีเฉียบพลัน จะมีอาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดบริเวณใต้ชายโครงขวา คลื่นไส้ อาเจียน
อาการแทรกซ้อน
ถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน อาจทำให้เกิด ภาวะมีหนองในถุงน้ำดี ถุงน้ำดีเน่า ถุงน้ำดีทะลุ เยื่อบุช่องท้องอักเสบ ท่อน้ำดีอักเสบ
ถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรัง อาจทำให้เกิดนิ่วในท่อส่งน้ำดี ตับอ่อนอักเสบ และอาจมีโอกาสทำให้เป็นมะเร็งของถุงน้ำดี
การรักษา
จำเป็นต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ และผู้ป่วยมีความจำเป็นต้องอยู่ในโรงพยาบาล เพราะจะต้องได้รับยาปฏิชีวนะทางเส้นเลือด ในกรณีที่ผู้ป่วยมีโรคอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น โรคเบาหวาน อาจทำให้ภาวะถุงน้ำดีอักเสบอย่างรุนแรงมีอันตรายจนถึงเกิดภาวะเป็นหนองในถุงน้ำดี และมีการติดเชื้อในกระแสเลือดตามมาได้ ถ้าไม่ได้รับการรักษาให้ทันท่วงที
หลังจากผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะจนหายดีแล้ว
ควรส่งผู้ป่วยไปหาศัลยแพทย์เพื่อให้แพทย์พิจารณาว่าจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดหรือไม่
ตับอ่อนอักเสบ (PANCREATITIS)
สาเหตุ
เป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อยนัก แต่เป็นภาวะร้ายแรงที่มีอัตราตายค่อนข้างสูง พบได้บ่อยในคนที่ดื่มเหล้าจัด
การอักเสบมักเป็นผลมาจากการ "รั่ว" ของน้ำย่อย (เอนไซม์) ของตับอ่อนเองออกมาที่เนื้อเยื่อบางส่วนของตับอ่อน แต่ด้วยสาเหตุใดยังไม่ทราบแน่ชัด
โรคนี้มักพบในผู้ป่วยที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดี และในคนที่ดื่มสุราจัด ส่วนน้อยอาจเป็นโรคแทรกของคางทูม
เกิดร่วมกับโรคต่อมพาราไทรอยด์ทำงานน้อย (hypoparathyroidism) ,การได้รับบาดเจ็บที่ช่องท้อง
การใช้ยาบางชนิด (เช่น สเตอรอยด์, ยาขับปัสสาวะประเภทไทอาไซด์)
บางครั้งอาจไม่พบสาเหตุที่แน่ชัด
อาการ
ปวดตลอดเวลา มักปวดร้าวไปที่หลังเวลานอนหงายหรือเคลื่อนไหว มักทำให้ปวดมากขึ้น แต่จะรู้สึกสบายขึ้นเวลานั่งโก้งโค้ง
ผู้ป่วยมักมีไข้
คลื่นไส้อาเจียนในรายที่เป็นรุนแรง
อาจมีอาการอ่อนเพลียมาก
มีจ้ำเขียวขึ้นที่หน้าท้อง หรือรอบ ๆ สะดือ,
ปวดท้องรุนแรงตรงบริเวณใต้ลิ้นปี่ซึ่งมักจะเกิดขึ้นทันทีทันใด (บางคนอาจมีประวัติดื่มเหล้าจัด หรือกินเลี้ยงมาก่อนสัก 12-24 ชั่วโมง)
ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ (มือเท้าเกร็ง) และอาจมีภาวะช็อก (กระสับกระส่าย เหงื่อออก ตัวเย็น)
การรักษา
ถ้ามีภาวะขาดน้ำหรือช็อก ควรให้น้ำเกลือ
อาจต้องพิสูจน์โดยการเจาะเลือดตรวจหาระดับเอนไซม์อะมิเลส (amylase) และ ไลเปส (lipase) ซึ่งจะพบสูงกว่าปกติมาก
ให้ยาแก้ปวด
ทำการรักษาโดยให้น้ำเกลือและสารอาหารทางหลอดเลือดดำ
ในระยะแรก ให้ผู้ป่วยงดกินอาหารและดื่มน้ำ ถ้าปวดท้องมาก ฉีดยาแก้ปวด (เช่น pentazocaine หรือ sosegon) ใส่สาย NG
อาจต้องให้เลือดถ้าซีด
เมื่อรักษาจนปลอดภัยดีแล้ว ค่อยตรวจหาสาเหตุ และรักษาตามสาเหตุต่อไป เช่น ถ้าพบว่ามีนิ่วในถุงน้ำดี
อาจต้องผ่าตัด
อาหารไม่ย่อย(dyspepsia)
สาเหตุ
1.โรคในระบบทางเดินอาหารเองได้แก่ โรคแผลในกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารอักเสบ มะเร็งกระเพาะอาหาร พยาธิในทางเดินอาหาร อาการแสบบริเวณหน้าอก ซึ่งอาจจะเป็นอาการของโรคกรดไหลย้อ
โรคของตับอ่อน
โรคทางร่างกายอย่างอื่น ๆ เช่น เบาหวาน โรคต่อมไทรอยด์
พฤติกรรมในการกิน
โรคที่เกิดจากสิ่งภายนอก ได้แก่ยาต่าง ๆ ที่กิน ยาหลายชนิดจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารอักเสบ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์เป็นส่วนผสม การระคายเคืองจากบุหรี่ ตลอดจนอาหารที่ย่อยยากหลายอย่างรวมทั้งอาหารที่มีกากมาก ๆ อาหารรสจัด อาหารหมักดอง
โรคของทางเดินน้ำดี เช่น นิ่วในถุงน้ำดี
พังผืดภายในช่องท้อง (Bowel Adhesion)
สาเหตุ
ส่วนใหญ่เกิดขึ้นตามหลังโรคไส้ติ่งอักเสบ หรือโรคติดเชื้ออื่น ๆ ของอวัยวะในช่องท้อง หรือเกิดจากโรคเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่
อาการและอาการแสดง
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่มีพังผืดภายในช่องท้อง มักไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างไร แต่ก็มีบางรายที่เกิดปัญหาเนื่องจากพังผืดภายในช่องท้องเกิดไปอุดตันลำไส้ โดยแถบพังผืดจะทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงลำไส้ส่วนนั้นได้ เมื่อเลือดไม่สามารถไปเลี้ยงลำไส้ส่วนนั้น ก็ทำให้ลำไส้ตาย เรียกว่า strangulation
การรักษา
การผ่าตัดในกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อน
การอุดตันของลำไส้
(Gut/ Bowel obstruction)
สาเหตุ
มักเกิดจากความผิดปกติของลำไส้ เองทำให้มีการบิดตัว (Volvulus) หรือ การมีพังผืดไปรัด
แบ่งออกเป็น2ประเภท
ลำไส้เล็กอุดตัน ( small bowel obstruction )
ลำไส้ใหญ่อุดตัน ( large bowel obstruction )
อาการและอาการแสดง
ปวดท้อง เป็นพักๆตามการบีบตัวของลำไส้ อาจคลื่นไส้ อาเจียน ในกรณีที่เป็นเฉียบพลันและผนังหน้าท้องบางอาจเห็นการบีบรัดตัวเป็นคลื่นที่หน้าท้อง
การรักษา
แพทย์มักให้ยาปฏิชีวนะร่วมกับการใส่ NG tube เพื่อระบายสิ่งที่ค้างอยู่ในกระเพาะและสำไส้ โดยเชื่อว่า เมื่อมี สิ่งคงค้างน้อยลง ลำไส้จะบีบตัวลดลง ทำให้ลำไส้ได้พัก ส่วนที่มีการอุดตัน และบวม อาจทุเลาทำให้ gastric content ผ่านไปได้ แต่หากอาการไม่ดีขึ้นจะทำผ่าตัด
การพยาบาล
ก่อนผ่าตัด
การบรรเทาปวด การป้องกันภาวะเสียน้ำและเกลือแร่ และการเฝ้าระวังการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เยื่อบุช่องท้องอักเสบ
หลังผ่าตัด
เน้นการบรรเทาการปวดแผลผ่าตัด และป้องกันภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด เช่นท้องอืด การติดเชื้อในช่องท้อง
แผลในกระเพาะอาหาร
(Peptic ulcer)
สาเหตุ
1.การติดเชื้อเอชไพโลไร(H.pylori) สันนิษฐานว่า ติดต่อโดยการกินอาหาร หรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อจากอุจจาระของผู้ติดเชื้อ
การใช้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตอรอยด์ ได้แก่ แอสไพริน และกลุ่มยาแก้ปวดข้อ (เช่น อินโดเมทาซิน, ไอบูโพรเฟน, นาโพรเซน ฯลฯ) และมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เลือดออก แผลทะลุ มากกว่าผู้ที่ไม่ได้ใช้ยากลุ่มนี้ถึง 3 เท่า
การสูบบุหรี่ เพิ่มโอกาสของการเป็นแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น ทำให้การรักษาได้ผลช้า
แอลกอฮอล์ (ซึ่งเป็นสาเหตุของกระเพาะอักเสบชนิดเยื่อบุกร่อน ทำให้มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร)
อาหารทุกชนิด ไม่เป็นสาเหตุโดยตรงของการเกิดแผลเพ็ปติก แต่ถ้ากินแล้วทำให้มีอาการกำเริบ (เช่นอาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด น้ำส้ม น้ำผลไม้) ก็ควรจะหลีกเลี่ยง
อาการ
มักมีอาการปวดท้องเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง ตรงบริเวณกลางยอดอก หรือใต้ลิ้นปี่ บางคนอาจค่อนมาทางขวาหรือซ้ายก็ได้ เวลาที่ปวดมักจะสัมพันธ์กับมื้ออาหาร เช่น ก่อนหรือหลังอาหาร
ลักษณะการปวด อาจปวดแสบ ปวดตื้อ จุกเสียด หรือมีความรู้สึกหิวข้าวก่อนเวลาอาหาร บางครั้งอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน หรือเรอเปรี้ยวร่วมด้วย
ในผู้ป่วยที่มีแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้นมักมีอาการปวดท้อง หลังอาหารประมาณ 1-3 ชั่วโมง หรือขณะท้องว่าง
การวินิจฉัย
ต้องอาศัยการส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหารและลำไส้ หรือเอกซเรย์โดยการกลืนแป้งแบเรียม
การรักษา
ถ้ามีอาการอาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายดำให้สารน้ำ
ให้ยาแก้อาการปวดท้อง และลดอาการอาเจียน ถ้ามีอาการปวดท้องรุนแรง ปวดท้องติดต่อกันนานเกิน 6 ชั่วโมง อาเจียนรุนแรง หรือมีอาการท้องแข็ง
ให้งดน้ำงดอาหาร
การรักษานอกจากให้ยาลดกรด บรรเทาอาการแล้ว ยังต้องให้ยารักษาแผลเพ็ปติกกลุ่มอื่น ๆซึ่งขึ้นกับสาเหตุของ การเกิดโรค
ถ้าตรวจพบว่ามีภาวะแผลเพ็ปติกทะลุ หรือ กระเพาะหรือลำไส้ตีบตัน จำเป็นต้องผ่าตัดด่วน
ถ้ามีอาการปวดแสบ หรือจุกเสียดตรงใต้ลิ้นปี่ก่อนหรือหลังอาหาร หรือตอนดึก ๆ เป็นครั้งแรก ให้ยาลดกรด
นิ่วในถุงน้ำดี
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิด
คนอ้วนจะเกิดนิ่วที่มี cholesterol เนื่องจากการบีบตัวของถุงน้ำดีลดลง
การได้ฮอร์โมน estrogen จากการรับประทานหรือตั้งครรภ์ทำให้ระดับ cholesterol ในน้ำดีสูง
เชื้อชาติ
เพศ หญิงพบมากกว่าชาย
อายุที่พบบ่อยอายุ 60 ขึ้นไป
ได้ยาลดไขมันบางชนิด ทำให้ cholesterol ในน้ำดีสูง
ผู้ป่วยเบาหวาน เนื่องจากมีระดับ triglyceride สูง
การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายละลายไขมันมากไป
Pathophysiology
นิ่วในถุงน้ำดีมี 3 ชนิด
70% เกิดจากไขมัน
20% เกลือแร่
10% mixed
แบคทีเรียเป็นสาเหตุของโรค 50-80% ของผู้ป่วยที่พบ เชื้อโรคที่พบบ่อย E.coli and Klebsiella (70%)
อาการ
ไข้สูง และมีเหงื่อออก
ไข้เรื้อรัง
ตัวเหลืองตาเหลือง หรือที่เรียกดีซ่าน
อุจจาระเป็นสีขาว
รับประทานอาหารมันแล้วทำให้ท้องอืด
ปวดมวนท้อง ,เรอเปรียว ,มีลมในท้อง ,อาหารไม่ย่อย
ผู้ป่วยบางรายอาจจะมีอาการเรื้อรังโดยมากมักจะสัมพันธ์กับอาหารมัน
การวินิจฉัย
ส่งตรวจ ultrasound โดยใช้คลื่นเสี่ยงความถี่สูงตรวจหานิ่ว บางรายแพทย์จะตรวจพิเศษ เช่น Endoscopic retrograde cholangiopancreatography (ERCP)
Labs: WBC, BMP, AST/ALT/Alk Phos, Bilirubin, UA
X-Ray ,US ,CT of Abd and plevis to detect other intra-abdominal problems
การรักษา
การให้สารน้ำ
การให้ยาแก้คลื่นไส้ อาเจียน
ยาลดอาการปวด: มอร์ฟีน (Meperidine causes less sphincter of Oddi spasms or Morphine)
ยาปฏิชีวนะสำหรับcholecystitis or cholangitis
การผ่าตัด
นิ่วในถุงน้ำดีที่ไม่มีอาการไม่จำเป็นต้องผ่าตัด
นิ่วที่มีอาการต้องผ่าตัดเอานิ่วออกวิธีทีนิยมคือการเจาะที่หน้าท้องเป็นรูหลายรูแล้วใส่เครื่องมือเพื่อตัดเอาถุงน้ำดีออกมา วิธีนี้สะดวก เจ็บน้อยกว่าการผ่าตัดแบบเก่า และอยู่ในโรงพยาบาลไม่นาน
สาเหตุ เกิดจากการอุดตันของไส้ติ่ง เช่น เนื้อเยื่อต่อมน้ำเหลืองโต มีอุจจาระแข็งอุดตัน
อาการ และอาการแสดง ปวดท้องรอบๆสะดือเป็นพักๆ รู้สึกอยากถ่ายแต่ถ่ายไม่ออก อาการปวดจะย้ายมาปวดที่ท้องน้อยด้านขวา
การรักษา
ต้องงดอาหารและน้ำ
ให้สารน้ำทางหลอดโลหิตดำ เพื่อรับการผ่าตัดนำไส้ติ่งออก(appendectomy)
ห้ามให้ยาแก้ปวด เพราะอาจบดบังอาการที่แท้จริง
ห้ามใช้ยาถ่ายหรือสวนอุจจาระ ไม่ควรตรวจโดยการกดหน้าท้องบ่อยๆ เพราะไส้ติ่งอาจแตกได้ ทำให้เกิดเยื่อบุช่องท้องอักเสบได้
การผ่าตัดนำไส้ติ่งออก(appendectomy)
ให้ยาปฏิชีวนะ
การพยาบาล
ระยะก่อนผ่าตัด
โดยเน้น การบรรเทาปวด และการป้องกันการแตกของไส้ติ่ง
ระยะหลังผ่าตัด
เน้นการบรรเทาการปวดแผลผ่าตัด และป้องกันภาวะ แทรกซ้อนหลังผ่าตัด เช่นท้องอืด การติดเชื้อในช่องท้องในกรณีที่ไส้ติ่งแตก
ถ่ายเป็นเลือด(hematochezia)
ผู้ป่วยมักให้ประวัติการถ่ายเป็นเลือด โดยเลือดจะไม่ปนเป็นเนื้อเดียวกับอุจจาระ
หากเป็นเลือดสด เป็นหยดๆ หลังการเบ่งถ่ายอุจจาระ ร่วมกับอาการปวดทวารหนัก มักเป็นริดสีดวงทวาร ซึ่งเกิดจากเส้นเลือดดำที่ทวารหนักโป่งพอง
หากถ่ายเป็นเลือด ถ่ายวันละหลายสิบครั้ง ปวดถ่วง ท้องอืดเป็นๆ หายๆ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป อาจเป็นมะเร็งของลำไส้ใหญ่
วินิจฉัยได้จากการตรวจร่างกาย โดยเฉพาะ ทางทวารหนัก (PR) และการตรวจพิเศษต่างๆ เช่น Scope หรือ barium enema
ริดสีดวงทวาร (hemorrhoids)
เป็นภาวะที่กลุ่มของหลอดเลือดดำบริเวณปลายสุดของลำไส้ใหญ่ และที่ขอบรูทวารหนักโป่งพองและยื่นออกมา
สาเหตุ ยังไม่ทราบแน่ชัด
คาดว่าเกิดจากมีแรงดันในช่องท้องสูง
ปัจจัยทางพันธุกรรม พบว่าโครโมโซมคู่ที่ 16 อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดริดสีดวงทวารและเส้นเลือดขอดที่ขา
อาชีพ ผู้มีอาชีพที่ต้องยืนนานๆ จะมีผลให้ความดันเลือดในหลอดเลือดดำบริเวณปากทวารไหลกลับสู่หลอดเลือดดำในช่องท้องช้าลง
เกิดจากโรคแทรกซ้อนของโรคอื่นๆ เช่น โรคตับแข็ง หรือโรคตับอักเสบไวรัสบี
ชนิด
ริดสีดวงทวารหนัก ภายนอก (external hemorrhoids)
ริดสีดวงทวารหนัก ภายใน (internal hemorrhoids)
ระยะ
ระยะที่ 1 - มีเส้นเลือดดำโป่งพองในทวารหนัก เวลาเบ่งถ่ายอุจจาระก็จะปรากฏว่ามีเลือดไหลออกมาด้วย ถ้าท้องผูกจะปรากฏว่ามีเลือดไหลออกมาด้วย ถ้าท้องผูกจะยิ่งปรากฏว่ามีเลือดออกมากยิ่งขึ้น
ระยะที่ 2 - อาการมากขึ้น หัวริดสีดวงทวารโตมากขึ้น เริ่มโผล่ออกมาพ้นทวารหนักแล้วพอควร เวลาเบ่งอุจจาระก็จะออกมาให้เห็นมากขึ้น แต่เวลาถ่ายอุจจาระเสร็จแล้วก็จะหดกลับเข้าไปภายในทวารหนักได้เอง
ระยะที่ 3 - เวลาถ่ายอุจจาระหัวริดสีดวงทวารจะโผล่ออกมามากกว่าแต่ก่อน หรือเวลาจาม ไอ ยกสิ่งของหนักๆ หัวริดสีดวงทวารจะออกมาข้างนอกทวารหนัก แล้วก็กลับเข้าที่เดิมไม่ได้ ต้องเอานิ้วมือดันเข้าไป
ระยะที่ 4 - ริดสีดวงโตมากขึ้นแล้วมองเห็นได้จากภายนอกอย่างชัดเจน เกิดอาการบวม อักเสบ มีเลือดออกมาเสมอ อาจมีน้ำเหลือง เมือกลื่น และอุจจาระตามออกมา ทำให้เกิดความ สกปรกและมีอาการเปียกชื้นอยู่ตลอดเวลา
การวินิจฉัย
สังเกตได้จากการมีเลือดเปื้อนกระดาษชำระ มีเลือดปนออกมากับอุจจาระหรือมีเลือดไหลออกมาเป็นหยด
แนวทางการรักษาพยาบาล
ระวังอย่าให้ท้องผูก ควรออกกำลังกายเป็นประจำ ขับถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลา หลีกเลี่ยงการเบ่งถ่ายนานๆดื่มน้ำมากๆ และกินผักผลไม้มากๆ
ถ้าท้องผูก (ภูมิปัญญาท้องถิ่น) หรือให้ยาระบาย เช่น ยาระบายแมกนีเซีย ดีเกลือ อีแอลพี หรือสารเพิ่มกากใย งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮลล์ เพราะ ทำให้ ขยายหลอดเลือด
ถ้าปวดมากเนื่องจากมีการอักเสบ ให้กินยาแก้ปวด นั่งแช่ในน้ำอุ่นจัดๆผสมด่างทับทิม วันละ 2-3 ครั้งๆ ละ 15-30 นาที และใช้ยาเหน็บริดสีดวงทวารจนอาการบรรเทา ปกติใช้เวลาประมาณ 7-10 วัน
ถ้าผู้ป่วยมีอาการซีด หรือให้ยาบำรุงเลือดเสริมธาตุเหล็ก
ถ้าหัวริดสีดวงหลุดออกข้างนอก ให้ใส่ถุงมือใช้ปลายนิ้วชุบสบู่ให้หล่อลื่น แล้วดันหัวกลับเข้าไป ถ้าไม่ได้ผล แนะนำให้ไปโรงพยาบาล
ถ้าเป็นมากอาจพิจารณารักษาด้วย
การฉีดยาเข้าที่หัวริดสีดวงให้ฝ่อไป(sclerotherapy)
วิธีใช้ยางรัด (ligation) ทำให้หัวริดสีดวงฝ่อ
3.ใช้การจี้ด้วยแสงเลเซอร์ ความเย็น คลื่นความร้อนหรือไฟฟ้า คลื่นอินฟราเรด
รักษาโดยการผ่าตัด (hemorrhoidectomy)
การเตรียมเพื่อการผ่าตัด
เช่นเดียวกับการเตรียมผู้ป่วยก่อนผ่าตัดทั่วไป NPO AMN
ทำความสะอาดโดยการโกนขนบริเวณหน้าท้องส่วนล่าง บริเวณหัวเหน่าและรอบรูทวารหนักและสวนล้างลำไส้เพื่อความสะอาดในคืนก่อนวันผ่าตัด ให้ผู้ป่วยอาบน้ำ สระผม ตัดเล็บให้สั้น
หลังผ่าตัด
หลังผ่าตัดใหม่ๆ จะรู้สึกชาที่ขา ก้นและสะโพกเนื่องจากฤทธิ์ยาชายังตกค้างอยู่ท่านอนหลังผ่าตัด ควรนอนในท่าตะแคงข้างใดข้างหนึ่งเพื่อลดการกดทับ และบรรเทาอาการปวดแผล
ในรายที่ฉีดยาชาเข้าช่องไขสันหลัง ควรนอนราบอย่างน้อย 12 ชั่วโมง เพื่อป้องกันภาวะ แทรกซ้อนที่เกิดจากยาชาเฉพาะที่
การนั่งแช่ก้นในน้ำอุ่น จะเริ่มในเช้าวันรุ่งขึ้นหลังการผ่าตัด โดยใช้น้ำอุ่นใส่ในอ่างที่มีขนาดของปากอ่างพอดีกับก้น เพื่อป้องกันไม่ให้แผลผ่าตัดกดทับกับก้นอ่าง และแผลได้สัมผัสกับน้ำได้เต็มที่
สามารถเริ่มรับประทานอาหารได้ตามปกติ
ไส้เลื่อน (Hernia)
สาเหตุ
เกิดจากความอ่อนแอของผนังหน้าท้อง เมื่อมีความอ่อนแอของพังผืด ลำไส้จะเคลื่อนที่ออกจากช่องท้องมาสู่ภายนอก เช่นบริเวณขาหนีบ
ชนิด
Indirect inguinal hernia มักจะพบในผู้ชายไส้เลื่อนชนิดนี้พบบ่อยที่สุด ในผู้หญิงพบน้อย
Direct inguinal hernia ลำไส้เคลื่อนออกจากช่องท้องบริเวณพังผืดที่หย่อนที่สุด โดยมีปัจจัยส่งเสริมคือมีความดันในช่องท้องเพิ่มมากขึ้น เช่นตับแข็งและมีน้ำในช่องท้อง
อาการ
การที่มีก้อนที่บริเวณขาหนีบ บางครั้งลำไส้อาจเคลื่อนกลับเข้าไปในช่องท้องได้ก็จะไม่มีอาการอะไร ถ้าหากกลับเข้าไปในช่องท้องไม่ได้ จะทำให้รู้สึกหน่วงๆ หรือ ปวดเวลายืนหรือเดิน
ก้อนนี้จะโตขึ้นเวลายกของหนักหรือไอแรงๆจะทำให้ก้อนโผล่ออกมา และอาจจะได้ความรู้สึกมีเสียงเคลื่อนไหวของลำไส้เมื่อนอนลง หรือจับก้อนยัดเข้าไปในรู ก้อนจะหายไป
โรคแทรกซ้อนของไส้เลื่อน
Incarcerated hernia เป็นภาวะที่ลำไส้เคลื่อนออกมาแล้วไม่สามารถดันกลับเข้าไปในท้อง
Strangulated hernia เป็นภาวะที่ลำไส้ในถุงมีการบิดทำให้ลำไส้เกิดการขาดเลือดไปเลี้ยงและเกิดไส้เน่าตามมา
Bowel obstruction เกิดเมื่ออุจาระไม่สามารถเคลื่อนผ่านลำไส้นี้ไปได้ผู้ป่วยจะปวดท้องมวนๆ คลื่นไส้อาเจียน ท้องอืดไม่ผายลม
การวินิจฉัย
การซักประวัติและการตรวจร่างกาย
การรักษา
การรักษาโรคไส้เลื่อนนี้ขึ้นอยู่กับอาการว่ามากน้อยเพียงใดและเกิดบ่อยครั้งแค่ไหน ศัลยแพทย์จะเป็นผู้ตัดสินใจเลือกวิธีการรักษาว่าจำเป็นที่จะต้องผ่าตัดหรือไม่ การรักษาโดยการผ่าตัดทำได้โดยนำลำไส้กลับเข้าไปในช่องท้องและเย็บซ่อมรูหรือตำแหน่งที่ลำไส้ออกมา
ท้องผูก (Constipation)
ทำให้กล้ามเนื้อต่างๆทำงานน้อยลง โดยโรคทางเมตาบอลิสม เช่น เบาหวาน ไตวาย โปแตสเซียมต่ำ แคลเซียมสูง หรือ โรคทางต่อมไร้ท่อ เช่น hypothyroid, hypopituitarism
สาเหตุ
ยาบางชนิดที่ทำให้ท้องผูก เช่น ยาแก้ปวดผสมโคเดอีนหรือฝิ่น ยาแก้ โรคยาแก้ชัก ยาบำรุงเลือด ประเภทธาตุเหล็ก ยารักษาโรคหัวใจ ยาลดกรดที่มีเกลืออลูมิเนียมเป็นต้น
อุปนิสัยที่ไม่ถูกสุขลักษณะ
การอั้นอุจจาระเป็นประจำ ทำให้นิสัยการถ่ายเสียไป
รับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารน้อยเกินไป ดื่มน้ำน้อยเกินไป
ขาดการเคลื่อนไหวหรือออกกำลังกาย
บางรายที่หาสาเหตุไม่ได้ (idiopathic constipation) ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากการบีบตัวของไส้ตรง (rectum) น้อยกว่าปกติ หรือประสาทที่รับรู้ความรู้สึกปวดถ่ายเสื่อมไป หรือจากความเครียด แต่ในบางคนความเครียดทำให้ท้องเสีย
การรักษาพยาบาล
ควรพิจารณาจากสาเหตุและแก้ไข โดยมีแนวทางดังนี้
ทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารมากๆ ได้แก่ ผัก ผลไม้
ออกกำลังกายเป็นประจำ
ดื่มน้ำให้เพียงพอ
ฝึกการถ่ายให้เป็นนิสัย ให้ขับถ่ายเป็นเวลา
พิจารณาใช้ยาระบายที่เหมาะสมเป็นทางเลือกสุดท้าย และไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน
โรคนิ่วไต
เป็นปัญหาสาธารณสุขที่พบมากทั่ว ในประเทศไทยมีอุบัติการณ์โรคนิ่วไตสูงมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือประมาณร้อยละ 10-16
สาเหตุของโรคนิ่วไต
เกิดจากหลากหลายปัจจัย
ทั้งปัจจัยเสี่ยงทางด้านสิ่งแวดล้อม เมแทบอลิซึม พันธุกรรม วิถีการดำเนินชีวิต และอุปนิสัยการกินอาหารของตัวผู้ป่วยเอง
ชนิดของนิ่วมีหลากหลายชนิด องค์ประกอบส่วนใหญ่ในก้อนนิ่วเป็นผลึกแร่ธาตุ เช่น แคลเซี่ยมออกซาเลต แคลเซียมฟอสเฟต ยูเรต แมกนีเซี่ยมแอมโมเนี่ยมฟอสเฟต เป็นต้น
นิ่วที่พบมากที่สุดในประเทศไทย คือ นิ่วแคลเซี่ยมฟอสเฟตประมาณร้อยละ 80 รองลงมาคือนิ่วกรดยูริกพบประมาณร้อยละ 10-20 สาเหตุเริ่มต้นของการเกิดนิ่วคือการก่อผลึกแร่ธาตุในปัสสาวะ
สารที่กระตุ้นการก่อผลึกเหล่านี้เรียกว่า “สารก่อนิ่ว” ได้แก่ แคลเซี่ยม ออกซาเลต ฟอสเฟต และกรดยูริก
สำหรับสารที่ป้องกันการก่อผลึกในปัสสาวะเรียกว่า “สารยับยั้งนิ่ว” ที่สำคัญได้แก่ ซิเทรต โพแทสเซียม และแมกนีเซียม
ปัจจัยเสี่ยงด้านความผิดปกติทางเมแทบอลิซึมที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคนิ่วไตไทย คือ การมีสารยับยั้งนิ่วในปัสสาวะต่ำ ได้แก่ ภาวะซิเทรตในปัสสาวะต่ำพบประมาณร้อยละ 70-90 และภาวะโพแทสเซียมในปัสสาวะต่ำพบประมาณร้อยละ 40-60
อาการของโรคนิ่ว
มีอาการปัสสาวะขัดกระปริกระปรอย หากเป็นในระยะแรกร่างกายอาจขับก้อนนิ่วออกมาได้เองทางปัสสาวะ ซึ่งจะพบตะกอนเหมือนก้อนกรวดเล็กๆ ปนออกมาพร้อมกับปัสสาวะ
มีขนาดใหญ่ขึ้นจะมีการอุดตันที่มากขึ้น มีการเสียดสีและทำให้เกิดการบาดเจ็บมีเลือดออก ส่งผลให้ปัสสาวะมีสีแดงขึ้นจากเลือดการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นทำให้มีอาการปวดท้อง ปวดหลังขึ้นได้ ในกรณีที่มีการติดเชื้อแทรกซ้อนจะมีอาการไข้ร่วมด้วย
หากปล่อยให้เป็นนิ่วไปนานๆ โดยมิได้รับการรักษาจะทำให้ไตบาดเจ็บเรื้อรัง ส่งผลให้ไตมีรูปร่างและทำงานผิดปกติมากขึ้นและนำไปสู่ภาวะไตวายในที่สุด
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ส่วนใหญ่มักจะพบเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะ
ถ้าพบเม็ดเลือดขาวในปัสสาวะอาจแสดงถึงว่ามีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
ตรวจการทำงานของไตโดยการเจาะเลือดดูค่า creatinin
การตรวจทางรังสี
x-ray เงาไตที่เรียก KUB (Kidney ureter and bladder)
IVP (Intravenous pyelogram) เป็นการฉีดสีเข้าเส้นเลือดดำ และสีนั้นจะถูกขับออกทางไต
Ultrasound ข้อดีคือ สามารถตรวจในคนท้องได้ไม่ต้องเจอรังสี ทำในคนสูงอายุได้อย่างปลอดภัย ข้อเสียคือ มักจะไม่พบนิ่วที่ท่อไตและความไวในการตรวจต่ำ
การรักษา
การใช้คลื่นเสียงกระแทกเพื่อสลายนิ่ว (ESWL)
การผ่าตัดเปิด
การนำนิ่วออกผ่านการใช้กล้องที่ส่องเข้าสู่ไต
ทั้งนี้การเลือกวิธีขึ้นกับขนาดและชนิดของนิ่ว
การรักษาโรคนิ่วด้วยยา ยาที่ใช้รักษาโรคนิ่วมีทั้งที่อยู่ในรูปสารสังเคราะห์ และในรูปสารในธรรมชาติ เช่น กรดไฟติก สารต้านอนุมูลอิสระ น้ำมันปลา หญ้าหนวดแมวหรือหญ้าเทวดา และมะนาวผง เป็นต้น
การสร้างเสริมสุขภาพเพื่อป้องกันการเกิดโรคนิ่วไตซ้ำ
ควรดื่มน้ำปริมาณมาก ในแต่ละวันควรดื่มน้ำให้ได้มากกว่า 8 แก้วต่อ
บริโภคอาหารที่มีประโยชน์ มีสารอาหารครบถ้วนและสัดส่วนเหมาะสม
2.1 อาหารจำพวกผักและผลไม้ เป็นแหล่งของสารยับยั้งการเกิดนิ่ว และสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด นอกจากนี้ผักผลไม้ยังมีไฟเบอร์ช่วยลดแคลเซียมในปัสสาวะและยังช่วยลดไขมันในเลือดได้อีกด้วย
2.2 ไขมันจากพืชและไขมันจากปลา สามารถลดปริมาณแคลเซียมในปัสสาวะได้ดีกว่าไขมันที่ได้จากเนื้อสัตว์อื่นๆ ลดโอกาสการเกิดนิ่วซ้ำ
2.3 ลดอาหารที่มีเนื้อสัตว์ ไขมันสัตว์ อาหารหวานและเค็มมาก และอาหารที่มีกรดยูริกสูง การบริโภคอาหารโปรตีนสูงจะทำให้เพิ่มสารก่อนิ่วและเพิ่มโอกาสการเกิดนิ่วสูงมาก
2.4 หลีกเลี่ยงอาหารที่มีออกซาเลตสูง ได้แก่ งา ผักโขม ถั่วต่างๆ เช่นถั่วลิสง ชอกโกแลต และชา เป็นต้น
2.5 เพิ่มการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิคเป็นเวลาอย่างน้อย 10-20 นาทีทุกวัน เช่น การเดินจะช่วยทำให้นิ่วขนาดเล็กหลุดได้ การเดินสมาธิ โยคะ ไทเก๊ก ทำให้การทำงานของร่างกายดีขึ้นและลดความเครียด และลดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดก้อนนิ่ว
Diarrhea
ท้องร่วง ท้องเดิน ท้องเสีย หรือลงท้องคือ มีการถ่ายอุจจาระที่มีจำนวนมากกว่าปกติตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไปใน 1 วัน หรือถ่ายเป็นน้ำจำนวนมากหรือเป็นมูกเลือด แม้เพียง 1 ครั้งต่อวัน
อาการท้องร่วงไว้ 2 ชนิด
อาการท้องร่วงอย่างเฉียบพลัน หมายถึง อาการท้องร่วงที่เป็นทันทีทันใด แต่เป็นระยะสั้นๆ ไม่เกินสองสัปดาห์
อาการท้องร่วงชนิดเรื้อรัง หมายถึง อาการท้องร่วงที่เป็นติดต่อกันนานกว่าสองสัปดาห์และบางรายอาจเป็นเดือนหรือหลายเดือนติดต่อกัน หรือมีอาการเป็นพักๆ
สาเหตุ
ท้องร่วงจากการติดเชื้อ ทั้งจากเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย โปรโตซัว ปรสิตและหนอนพยาธิ
ท้องร่วงชนิดไม่มีการติดเชื้อ โรคที่พบได้บ่อยในบ้านเรา
การติดต่อของโรค โดยการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อที่ออกมากับอุจจาระของผู้ป่วย
ระยะฟักตัวของโรค อาจสั้น 10-12 ชั่วโมง หรือ 24-72 ชั่วโมง ขึ้นกับชนิดของเชื้อก่อโรค
ระยะติดต่อ ช่วงระยะที่มีอาการของโรค
การป้องกันตนเองจากโรคอุจจาระร่วง
ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ และน้ำทุกครั้ง ก่อนปรุงหรือรับประทานอาหารและภายหลังจากถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ
ดื่มน้ำที่สะอาด โดยน้ำต้มสุกจะดีที่สุด
เลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ และสะอาด
กำจัดขยะมูลฝอย เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธ์ของแมลงวัน
ถ่ายอุจจาระลงในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ
ข้อควรปฏิบัติในการรักษาโรคอุจจาระร่วงเบื้องต้น
ให้ของเหลวหรือสารน้ำเพิ่มขึ้น เช่น สารละลายน้ำตาลเกลือแร่ โอ อาร์ เอส หรือสารละลายเกลือและน้ำตาลที่เตรียมเองโดยผสมเกลือครึ่งช้อนชาและน้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ ละลายในน้ำต้มสุกเย็น 1 ขวด
สำหรับเด็กที่ยังกินนมแม่ให้กินต่อไปไม่ต้องหยุด และเด็กที่กินนมผสมให้แบ่งกินครึ่งหนึ่งสลับกับสารละลายน้ำตาลเกลือแร่
ไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หากอาการไม่ดีขึ้น เมื่อป่วยเป็นโรคอุจจาระร่วง ควรหลักเลี่ยงการใช้ยาหยุดถ่าย เพราะกินยาหยุดถ่ายทำให้ลำไส้ต้องเก็บกักเชื้อโรคไว้นานขึ้น
.การใช้ยาปฏิชีวนะ ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์