Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
หน่วยที่ 8 ปัญหาสุขภาพที่พบบ่อย ในผู้สูงอายุ - Coggle Diagram
หน่วยที่ 8 ปัญหาสุขภาพที่พบบ่อย
ในผู้สูงอายุ
โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
เป็นภาวะที่มีความผิดปกติของระบบหลอดเลือดสมอง เป็นเหตุให้สมองบางส่วนหรือทั้งหมดทำงานผิดปกติไป ก่อให้เกิดอาการและอาการแสดงซึ่งคงอยู่เกิน 24 ชั่วโมงหรือทำให้เสียชีวิต
ระบาดวิทยา
พบบ่อย โดยเฉพาะผู้สูงอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป
ในประเทศที่พัฒนาแล้วพบว่าเป็นสาเหตุการตายอันดับ 3 รองจากโรคหัวใจและโรคมะเร็ง
ส่วนประเทศแถบเอเชีย พบเป็นสาเหตุการตายเป็นอันดับ 2 รองจากโรคหัวใจ
สำหรับประเทศไทย ประมาณได้ว่า มีผู้ป่วยโรคนี้ 496,800 คน และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต
ความชุกของโรคหลอดเลือดสมองในประเทศไทยใกล้เคียงกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
ก่อให้เกิดความพิการเป็นอันดับสองทั้งเพศชายและหญิง
ปัจจุบันความรู้เรื่องโรคหลอดเลือดสมองพัฒนามาก ทั้งด้านการป้องกัน การตรวจวินิจฉัย และการดูแลรักษา
ชนิดของโรคหลอดเลือดสมอง
เกิดจากสมองขาดเลือด (Ischemic stroke) พบ ประมาณร้อยละ 75-80
เกิดจากการมีเลือดออกในสมอง (Hemorrhagic stroke) พบประมาณร้อยละ 20-25
อาการ
หน้าเบี้ยว
แขนขาอ่อนแรง
พูดไม่ชัด
ปวดศีรษะ อาเจียน ชัก สับสน
ความรู้สึกตัวลดลง
กลืนลำบาก
กลั้นปัสสาวะอุจจาระไม่ได้
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
ปัจจัยเสี่ยงที่ปรับเปลี่ยนไม่ได้
อายุ
เพศ
ชาติพันธ์
พันธุกรรม
ปัจจัยเสี่ยงที่ปรับเปลี่ยนได้
ความดันโลหิตสูง
Atrial fibrillation
โรคหลอดเลือดหัวใจ
ความผิดปกติของหลอดเลือดแดง Carotid
การสูบบุหรี่
เบาหวาน
ไขมันในเลือดสูง
เคยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง
การประเมินสภาพ
ประวัติ: อาการสำคัญ ระยะเวลาที่เกิดอาการผิดปกติ
ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต ปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ
การตรวจร่างกาย
ระดับความรู้สึกตัว (Glasgow coma scale)
การแปลผล : คะแนน 14-15 เสียการทำงานเล็กน้อย
คะแนน 11-13 เสียการทำงานปานกลาง
คะแนน ≤ 10 เสียการทำงานรุนแรง เป็นผู้ป่วยวิกฤติ
การอ่อนแรงกล้ามเนื้อใบหน้า มุมปากด้านใดตกแสดงว่ากล้ามเนื้อใบหน้าด้านนั้นอ่อนแรง
การอ่อนแรงกล้ามเนื้อแขนขา
การประเมินด้วย Cincinnati pre-hospital stroke scale
หน้าเบี้ยว
แขนขาอ่อนแรง
พูดไม่ชัด
ผิดปกติ 1 ใน 3 ถือว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมองร้อยละ 72
อาการแสดงที่ต้องรายงานแพทย์ทันที
BP; SBP > 185-220 mmHg, DBP>120-140 mmHg
พร่องออกซิเจน O2 sat < 95 หรือมีภาวะcyanosis
GCS < 10 หรือ ลดลง
DTX<50mg% หรือ >400mg%
เจ็บหน้าอก ชัก เกร็ง กระตุก เหนื่อยหอบ เป็นต้น
การตรวจวินิจฉัย
ตรวจทางห้องปฏิบัติการ: CBC, PT, PTT, INR, Glusose, E+, EKG, BUN, Cr+, ABG, Lipid profife; LDL, HDL, Cholesterol
การตรวจทางรังสี: CT (computer tomography)
การรักษา
การรักษาแบบทางด่วน (fast track)
กรณีที่เป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน และเข้ารับการรักษาภายในโรงพยาบาลไม่เกิน 3 ชั่วโมง และเป็นโรงพยาบาล ที่มีความพร้อมทางด้านเทคโนโลยี
ให้ยาละลายลิ่มเลือดขนาด 0.9 มก./กก. ไม่เกิน 90 มก. ทางหลอดเลือดดำ
การรักษาแบบไม่ใช่ทางด่วน
เกณฑ์ในการคัดเลือกผู้ป่วยให้ RTPA
ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันภายใน 3 ชั่วโมง
ผล CT ไม่พบว่ามีเลือดออกในสมอง
ผู้ป่วยและญาติเข้าใจประโยชน์และอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการให้ยา และยินยอมให้การรักษา
ข้อห้ามในการให้ RTPA
มีเลือดออกในสมอง
มีอาการชัก
มีประวัติเลือดออกในสมอง
มีความดันโลหิตสูง (SBP ≥180 mmHg, DBP ≥ 110mmHg)
มีประวัติบาดเจ็บที่ศีรษะภายใน 3 เดือน
ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือดภายใน 48 ชั่วโมง
มีค่าความแข็งตัวของเลือดผิดปกติ หรือมีความผิดปกติของเกล็ดเลือด (น้อยกว่า 100,000 mm3)
มีประวัติผ่าตัดใหญ่ใน 14 วัน
Hct < 25%
มีเลือดออกในทางเดินอาหารหรือปัสสาวะภายใน 21 วัน
มีเนื้อสมองตายมากกว่า 1 กลีบ
การรักษา
Prevention therapy ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบ ควรได้รับแอสไพริน 160-325 มิลลิกรัมต่อวัน ภายใน 48 ชั่วโมง
การป้องกันการกลับเป็นซ้ำ ได้แก่ การป้องกันเกล็ดเลือดเกาะตัว (antiplatelet treatment) คือ ให้แอสไพริน การป้องกันการเกิดลิ่มเลือด การลดความดันโลหิต การลดไขมันในเลือด รักษาระดับน้ำตาลให้คงที่ งดสูบบุหรี่
ข้อวินิจฉัยการพยาบาลที่สำคัญและพบบ่อย
เนื้อเยื่อสมองได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ เนื่องจากหลอดเลือดในสมองตีบหรืออุดตัน/แตก
ระดับความรู้สึกตัวลดลงเนื่องจากเนื้อเยื่อสมองได้รับออกซิเจนไปเลี้ยงไม่เพียงพอ
ระดับความรู้สึกตัวลดลงเนื่องจากมีภาวะสมองบวมหรือความดันกะโหลกศีรษะสูง
พร่องความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันเนื่องจากความรู้สึกตัวลดลงหรือแขนขาเคลื่อนไหวได้น้อยหรือไม่ได้เลย
การสื่อสารด้วยการพูดบกพร่องเนื่องจากเซลล์สมองด้านการพูดได้รับบาดเจ็บ
การพยาบาลขณะให้ยาละลายลิ่มเลือด
อธิบายญาติเข้าใจข้อดี ข้อเสียของการได้รับยาละลายลิ่มเลือด ให้ลงนามในใบยินยอมการรักษา
เปิดหลอดเลือดดำ 2 เส้น เส้นหนึ่งให้ 0.9 % NSS ที่เหลือ lock ไว้ให้ยา
การเตรียมยา คำนวนยาตามน้ำหนักตัว คือ 0.6-0.9 mg/kg ไม่เกิน 90 mg ผสมยาใน sterile water (ไม่ละลายในสารละลายที่มีน้ำตาล)
ยาที่ผสมเหลือให้เก็บไว้ในตู้เย็น อุณหภูมิ 2-8 C ถ้าไม่ใช้ใน 24 hr ต้องทิ้ง
ขณะให้ยาละลายลิ่มเลือดไม่ให้ยาชนิดอื่นเข้าทางสายให้สารน้ำเดียวกัน
ผู้ป่วยควรได้รับการเฝ้าะวังและป้องกันการมีเลือดออก ดังนี้
เข้ารับการรักษาใน stroke unit or ICU
ให้ยา heparin/warfarin/antiplatelet
ใส่ NG tube
แทงสายเข้าหลอดเลือดดำส่วนกลาง
เจาะ arterial blood gas หรือ เจาะหลอดเลือดแดง
หลีกเลี่ยงการใส่สายสวนปัสสาวะใน 30 นาที
ให้ยาลดกรดเพื่อป้องกันเลือดออกในระบบทางเดินอาหารตามแผนการรักษา
เฝ้าระวังและสังเกตอาการมีเลือดออกตามอวัยวะต่าง ๆ
กรณีที่สงสัยว่าจะมีเลือดออกในสมอง เช่น ปวดศีรษะ GCS ลดลง BP สูง คลื่นไส้อาเจียน ให้หยุดการให้ยาละลายลิ่มเลือด เจาะ lab เตรียมให้ FFP ตามแผนการรักษา
ให้ผู้ป่วยพักผ่อนบนเตียง
งดน้ำและอาหารทางปาก ยกเว้นยา
วัดสัญญาณชีพ ทุก 15 นาที 2 ชั่วโมง ทุก 30 นาที 6 ชั่วโมง
ให้ออกซิเจนตามแผนการรักษา
Monitor EKG
ประเมิน GCS
ควบคุมระดับน้ำตาล ไม่ควรเกิน 150 mg% เพราะทำให้สมองมีเนื้อตายเพิ่มขึ้น
หลีกเลี่ยงการให้สารน้ำที่มีน้ำตาลกลูโคส
การพยาบาลระยะฉุกเฉินและวิกฤติ
เฝ้าระวังไม่ให้เกิดภาวะพร่องออกซิเจนในเลือดและการหายใจที่ผิดปกติ (O2 saturation ≥ 95%)
ดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง ถ้าใส่เครื่องช่วยหายใจต้องดูแลการทำงานของเครื่องช่วยหายใจ ไม่ควรใช้ PEEP เพราะจะทำให้เพิ่ม ICP ได้
ดูดเสมหะเมื่อจำเป็นและต้อง Hyperventilate ทุกครั้งและไม่ใช้เวลาในการดูดเสมหะนานเกิน 10-15 นาที
ประเมินความรู้สึกตัวและภาวะเลือดออกในสมอง เช่น ปวดศีรษะ ความรู้สึกตัวลดลง ความดันโลหิตสูงขึ้น และมีคลื่นไส้อาเจียน
ดูแลให้ยาตามแผนการรักษา เช่น ยาละลายลิ่มเลือด ยากันชัก ยาลดความดันโลหิต
ประเมินความดันโลหิตอย่างต่อเนื่อง
กรณีที่มีความดันโลหิตสูง การพิจารณาให้ยาลดความดันโลหิตต้องพิจารณา คือ หลีกเลี่ยงการให้ยาลดความดันโลหิตเมื่อความดันโลหิต SBP ≤ 220 mmHg หรือ DBP≤120 mmHg
ไม่ควรให้ Nifedipine อมใต้ลิ้นหรือทางปาก เพราะทำให้ความดันโลหิตลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้สมองขาดเลือดไปเลี้ยงมากขึ้น
ดูแลงดน้ำและอาหารทางปาก กรณีผู้ป่วยซึม และสงสัยว่ามี Massive infarction หรือมีแนวโน้มที่จะได้รับการผ่าตัด (สารน้ำที่ให้คือ NSS ทางหลอดเลือดดำ)
ประเมินระดับน้ำตาลในเลือด โดยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดน้อยกว่า 150 mg/dlในผู้ป่วยที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
ให้ยาลดไข้กรณีที่มีไข้ พร้อมทั้งสาเหตุและการรักษาตามสาเหตุ
ให้ยาป้องกันชักและระวังชักในกรณีที่มีอาการชัก
จัดท่านอนศีรษะสูง 30 องศา เพื่อให้เลือดดำไหลกลับสมองได้ดีขึ้น หลีกเลี่ยงที่ทำให้มีการงอ หัก พับ แหงนคอ หรือก้มศีรษะ จะขัดขวางการไหลของหลอดเลือดดำ ทำให้ความดันกะโหลกศีรษะเพิ่มขึ้นได้
หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้ความดันในช่องอก ช่องท้องเพิ่มขึ้น เพราะขัดขวางการไหลกลับของหลอดเลือดจากสมอง เกิด ICP กิจกรรมเหล่านี้ได้แก่ การเบ่งถ่าย การไอจามแรง ๆ การต้านการผูกยึด การดึงรั้งไม้กั้นเตียงเพื่อพยุงตัวเองขึ้นนั่ง
ลดการกระตุ้นที่ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการเกร็ง เช่น Isometric exercise, การใช้ foot board ป้องกันปลายเท้าตกขณะที่ผู้ป่วยชักเกร็ง
ให้การดูแลญาติและครอบครัว โดยการรับฟังปัญหา ให้การช่วยเหลืออย่างเป็นมิตร
การพยาบาลในการป้องกันภาวะความดันกระโหลกศีรษะสูง (IICP)
จัดท่านอนให้ศีรษะสูง 30 องศา ศีรษะลำคอตั้งตรง สะโพกไม่หักพับงอมากกว่า 90
ห้ามจัดท่านอนคว่ำหรือนอนศีรษะต่ำ
วัดสัญญาณชีพและอาการทางระบบประสาท
ประเมินอาการแสดงความดันในกระโหลกศีรษะสูง ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ชีพจรช้า ความดันโลหิตสูงจากเดิม pulse pressure กว้าง รูปแบบการหายใจผิดปกติ
ดูแลป้องกันไม่ไห้เกิดแรงดันในช่องอกและช่องท้องสูงขึ้น เพราะทำให้หลอดเลือดดำไหลกลับเข้าสู่หัวใจลดลง
การพยาบาลเพื่อป้องกันและเฝ้าระวังการกลับเป็นซ้ำ
ผู้ป่วยและญาติเข้าใจความสำคัญของการรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง ห้ามหยุดยาหรือเพิ่มขนาดยาเอง
อธิบายและให้คำแนะนำเกี่ยวกับกิจกรรมที่ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงต่อการกลับเป็นซ้ำ
อธิบายอาการแสดงที่ผู้ป่วยต้องมาพบแพทย์ เช่น แขนขาอ่อนแรง ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด ความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น
มาตรวจตามแพทย์นัด
เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยและญาติซักถาม
ข้อเสื่อม (Osteoarthritis: OA)
การเสื่อมของข้อ ที่มีการเปลี่ยนแปลงกระดูกอ่อนผิวข้อ สึกบางลง ทำให้มีการเสียดสีของกระดูก เกิดเสียงเมื่อเคลื่อนไหว อาการปวด ข้อฝืด เมื่อเวลาผ่านไปจะมีกระดูกงอกเข้าในข้อ และมีเศษกระดูกลอยอยู่ในข้อ ทำให้ปวดข้อมากยิ่งขึ้นและเคลื่อนไหวลำบาก มีผลทำให้ข้อผิดรูปและพิการ
ลักษณะสำคัญของโรคข้อเสื่อม
มีการเสื่อมทำลายของกล้ามเนื้อและกระดูกบริเวณข้อ โดยไม่มีการอักเสบของข้อ
เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับข้อที่เคลื่อนไหวได้ ทำให้มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว
กระดูกอ่อนผิวข้อเสื่อมเป็นรอยถลอกกรอนไป ร่วมกับมีการสร้างกระดูกใหม่บริเวณขอบข้อ
พบมากในวัยสูงอายุ
ปัจจัยชักนำ (Predisposing factors)
อายุ
การใช้งานข้อมากเกินไป เป็นเวลานาน
บาดเจ็บที่ข้อ
โรคอ้วน
ขาดวิตามินดีและซี
กรรมพันธุ์
อาการและอาการแสดง
ข้อเสื่อมมักเป็นหลายข้อ เป็นมากที่สุดคือข้อที่รับน้ำหนักมาก
ปวด ปวดตื้อ ๆ บริเวณข้อ ปวดมากเมื่อใช้งานหรือลงน้ำหนักบนข้อนั้น ทุเลาเมื่อพักใช้งาน
ข้อฝืด พบบ่อย ในช่วงเช้าและหลังพักใช้ข้อนั้นนาน ๆ
ข้อบวมผิดรูป ตรวจพบข้อที่อยู่ตื้น เช่น ข้อเข่า ข้อนิ้ว
อาจพบเข่าโก่ง เข่าฉิ่ง
สูญเสียการเคลื่อนไหวและการทำงาน
เสียงดังกรอบแกรบขณะเคลื่อนไหวข้อ
องศาการเคลื่อนที่ของข้อลดลง
การวินิจฉัย
ซักประวัติและตรวจร่างกาย การตรวจข้อเข่าพบลักษณะที่สำคัญคือ ข้อบวม หรือขนาดข้อใหญ่
การถ่ายภาพรังสี พบช่องว่างระหว่างกระดูกเข่าแคบลงซึ่งหมายถึงกระดูกอ่อนมีการสึกหรอ
การเจาะเลือด การเจาะเลือดเพื่อวินิจฉัยแยกโรคที่อาจจะเป็นสาเหตุของโรคปวดเข่าเรื้อรังเช่น โรคเกาต์ หรือโรครูมาตอยด์
การตรวจน้ำหล่อเลี้ยงเข่า ในกรณีที่เข่าบวมแพทย์จะเจาะเอาน้ำหล่อเลี้ยงเข่าออกมาตรวจด้วยกล้องจุลทัศน์
การรักษา
การรักษาโดยใช้เวชศาสตร์ฟื้นฟู
การรักษาโดยการผ่าตัด
ได้ผลดีและโรคแทรกซ้อนไม่มาก วิธีการผ่าตัดมีได้หลายวิธี
การผ่าตัดโดยการส่องกล้อง (arthroscope) เหมาะสำหรับข้อที่เสื่อมไม่มาก แพทย์จะเข้าไปเอาสิ่งสกปรกที่เกิดจากการสึกออกมา
การผ่าตัดแก้ความโก่งงอของเข่า ตัดกระดูกบางส่วนออกทำให้ใช้เวลานานกว่าจะใช้งานได้ ปัจจุบันนิยมลดลง
การผ่าตัดใส่ข้อเข่าเทียม (arthroplasty) คือการใส่ข้อเข่าเทียมเข้าแทนข้อที่เสื่อม ซึ่งผลการผ่าตัดทำให้หายปวด ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้ดีขึ้น
การรักษาโดยไม่ใช่ยา
การลดน้ำหนัก
ปฏิบัติตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดข้อเข่าเสื่อม เช่น การยกของหนัก
การนั่งพับเพียบ นั่งยองๆ การนั่งสมาธิเป็นเวลานานๆ การใช้ส้วมชนิดนั่งยองๆ
การนอนกับพื้นเป็นประจำเพราะขณะลุกขึ้นหรือลงนอนจะเกิดอันตรายกับเข่า
การออกกำลังกายและการบริหารกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะการบริหารกล้ามเนื้อต้นขาจะทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงจะช่วยลดแรงที่กระทำต่อเข่า
การเดินเร็วหรือการว่ายน้ำจะช่วยกระตุ้นให้กระดูกแข็งแรง
ประคบอุ่นเวลาปวดเข่า
การบริหารกล้ามเนื้อ
นั่งบนเก้าอี้ให้นั่งห้อยเท้าไว้ ผูกน้ำหนักที่ข้อเท้าประมาณ 2-5 กิโลกรัมไว้ที่ขาทั้งสองข้าง ให้ทำวันละ 1-3 ครั้งครั้งละ 5-15 นาที
นั่งบนเก้าอี้ พักเท้าข้างหนึ่งไว้บนพื้น เท้าอีกข้างหนึ่งวางบนเก้าอี้ ให้กดเท้าทีวางอยู่บนเก้าอี้ลงหาพื้นนาน 5-10 วินาที่แล้วพัก 1 นาที ทำซ้ำข้างละ10 ครั้ง ให้ทำวันละ 3 เวลา
ให้นั่งบนเก้าอี้ หลังพิงพนัก ยกเท้าขึ้นมาและเกร็งกล้ามเนื้อต้นขาโดยการกระดกข้อเท้าให้นับถึง5- 10วินาที ทำข้างละ 10 ครั้ง ทำวันละ 3 เวลา ถ้าหากแข็งแรงขึ้นอาจจะถ่วงน้ำหนักที่ปลายเท้า
ให้นอนหงาย ยกเท้าข้างหนึ่งงอตั้งไว้ อีกข้างหนึ่งยกสูงขึ้นจากพื้นเกร็ง 1 ฟุต นับ 1-10 สลับข้างทำ ให้ทำซ้ำหลายๆครั้ง หรืออาจะเคลื่อนเท้าเป็นรูปตัวที ให้ทำวันละ 3 เวลา
นอนหงาย หรือนั่งหาหมอนรองบริเวณข้อเท้าข้างหนึ่ง กดเข่าของเท้าที่มีหมอนหนุนให้ติดพื้นให้นับ นาน 5-10 วินาทีพัก1 นาทีทำข้างละ 10 ครั้ง วันละ 3 เวลา ทำสลับข้างทำบ่อยๆ
นั่งบนเก้าอี้ นำผ้าวางไว้ใต้เท้าข้างหนึ่ง แล้วดึงขึ้นมาให้สูงจากพื้น 4-5 นิ้วดึงไว้ 5-10 วินาที พักหนึ่งนาที่ ทำซ้ำข้างละ 10 ครั้ง ทำวันละ 3 ครั้ง
ให้ยืนหลังพิงกำแพง ให้เคลื่อนตัวลงจนเข่างอ 30 องศา แล้วให้ยืนขึ้นทำ 5-10ครั้ง วันละ 3 เวลา
การรักษาโดยการใช้ยา
ยาแก้ปวด เป็นยาลดอาการปวดแต่ไม่ได้แก้อาการอักเสบ พอหมดฤทธิ์ยาก็ปวดอีก เช่นยา paracetamol
ยาแก้อักเสบ steroid เมื่อสมัยก่อนนิยมใช้กันมากทั้งชนิดรับประทานและชนิดฉีดเข้าข้อ
แต่ปัจจุบันความนิยมลดลงเนื่องจากผลข้างเคียง โดยเฉพาะยาที่ฉีดเข้าข้อจะทำให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้น
ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่ ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่ steroid (NSAID) ยากลุ่มนี้นิยมใช้กันมากขึ้น แต่ต้องระวังการเกิดโรคแทรกซ้อน
ยาบำรุงกระดูกอ่อน ได้ผลช้าและใช้ค่าใช้จ่ายสูงจึงไม่เป็นที่นิยม
การใช้น้ำหล่อเลี้ยงข้อชนิดเทียม เนื่องจากโรคข้อเสื่อมจะมีน้ำหล่อเลี้ยงข้อน้อยทำให้มีการเสียดสีของข้อ จึงได้มีการฉีดน้ำหล่อเลี้ยงข้อเทียมเข้าไปในเข่า 3-5 ครั้งแต่ละครั้งห่างกัน 1 สัปดาห์ซึ่งจะทำให้ลดการเสียดสีของข้อ ลดอาการปวด
การพยาบาล
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
การเคลื่อนไหวของร่างกายบกพร่อง เนื่องจากปวดข้อและข้อมีการเคลื่อนไหวจำกัด
ภาพลักษณ์เปลี่ยนแปลง เนื่องจากความสามารถในการเคลื่อนไหวลดลงเพราะมีการอักเสบของข้อ......
ความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองลดลง เนื่องจากความสามารถในการทำกิจกรรมหรือเคลื่อนไหวลดลง
ปวดเรื้อรัง เนื่องจากมีการอักเสบของข้อ...
ประเมินความปวด
ประเมินปัจจัยที่ทำให้อาการปวดเพิ่มขึ้นหรือทำให้อาการปวดลดลง เพื่อวางแผนป้องกันและควบคุมอาการปวด
ประเมินผลกระทบของความปวดต่อการทำกิจวัตรประจำวัน
แนะนำให้พักใช้ข้อในระยะที่มีการอักเสบเฉียบพลัน ลดการนั่ง ยืน เดินนาน ๆแต่ยังให้มีการเคลื่อนไหว
ประเมินความสามารถในการเคลื่อนไหวข้อ
สังเกตลักษณะการอักเสบของข้อ เช่น ปวด บวม แดง ร้อน
ประคบความร้อนเพื่อลดอาการปวด
สวมถุงเท้าหรือใช้ผ้าคลุม ห่อหุ้มบริเวณข้อเพื่อให้ความอบอุ่น
แนะนำให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าที่ถูกต้อง ลดแรงกดที่ข้อและหลีกเลี่ยงการใช้งานข้อมากเกินไป
แนะนำการขึ้นลงบันไดให้ถูกวิธี เดินขึ้น ก้าวขาดีขึ้นก่อน เดินลงก้าวขาข้างที่เจ็บก่อน
แนะนำใช้ไม้เท้าหรือเครื่องพยุงเดิน ควรถือไม้เท้าด้วยมือตรงข้ามข้างที่เจ็บ
ออกกำลังกายเพื่อคงไว้ซึ่งพิสัยของข้อ (range of motion exercise: ROM) และเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของข้อ
นั่งเก้าอี้ที่มีเท้าแขน เพื่อช่วยในการลุกยืนได้สะดวก
ไม่ควรใช้พรมปูพื้น เพื่อป้องกันการสะดุดหกล้ม
ดูแลให้ยาตามแผนการรักษา
ดูแลด้านจิตใจ ให้ผู้ป่วยระบายความรู้สึกที่ไม่สบายใจ
กระดูกพรุน (Osteoporosis)
โรคที่ความหนาแน่นของเนื้อกระดูกลดน้อยลงเรื่อย ๆ และมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของกระดูก ซึ่งมีผลให้กระดูกไม่สามารถรับน้ำหนักหรือแรงกดได้ตามปกติ
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
เพศและอายุ : หญิงมากกว่าชาย เพราะมีปริมาณเนื้อกระดูกน้อยกว่า30% สตรีวัยหมดประจำเดือน ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง
รูปร่างเล็กผอม เพราะมีปริมาณเนื้อกระดูกน้อยกว่า (BMI< 19)
เชื้อชาติ พันธุกรรม ชาวเอเชียผิวขาว มีโอกาสมากกว่าคนผิวดำ
คนที่มีประวัติคนในครอบครัวเกิดภาวะกระดูกพรุนมีโอกาสมากขึ้น
โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคไต ตับแข็ง ข้ออักเสบรูมาตอยด์ hyperthyroidism, hyperparathyroidism, cushing’s syndrome
การใช้ยาที่มีผลการสลายเนื้อกระดูก เช่น สเตียรอยด์ ยารักษาไธรอยด์ ยาลดกรดที่มีฤทธิ์จับฟอสเฟต ยากันชัก เป็นต้น
รูปแบบการดำเนินชีวิตที่เป็นปัจจัยเสี่ยง
การไม่ได้เคลื่อนไหวหรือขาดการออกกำลังกาย
รับประทาน แคลเซียม ในปริมาณไม่เพียงพอ อาหารไขมันสูง กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่
การขาดวิตามินดี
อาการและอาการแสดง
Dowager’s hump กระดูกสันหลังโค้งเพราะมีการหักของกระดูกสันหลังซ้ำ ๆ
น้ำหนักลด
กล้ามเนื้อเกร็งโดยเฉพาะบั้นเอว
การก้มทำได้น้อยกว่าการแหงนเหยียด
ปวดหลัง ถ้ากระดูกสันหลังยุบ จะปวดร้าวไปยังปลายเท้า จะมีอาการมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหว
การวินิจฉัย
ใช้ Dual Energy X-ray Absorptionmetry (DEXA) ตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูกที่กระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก กระดูกต้นขา และปลายกระดูกข้อมือ (เฉพาะคนอ้วนมาก ๆ> 130 kg) โดยนำค่าไปเปรียบเทียบกับค่าคนปกติในเพศเดียวกัน ถ้า bone mineral density น้อยกว่า 1.00 กรัม/ตารางซม. มีโอกาสกระดูกหักง่าย เป็นเครื่องมือที่วินิจฉัยโรคกระดูกพรุนที่เหมาะสมที่สุด
การส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
CBC, แคลเซียม, ฟอตเฟต, อัลบูมิน
การทำงานของตับ ไต
ฮอร์โมนไทรอยด์ม พาราไธรอยด์ วิตามินดี (25- hydroxyvitamin D)
ฮอร์โมนเพศ เช่น estradiol, testosterone, folliclestimulating hormone (FSH) luteinizing hormone (LH)
การรักษา
การรักษาโดยไม่ใช้ยา
การได้รับปริมาณแคลเซียมเพียงพอ
นมและผลิตภัณฑ์จากนมถือว่าเป็นแคลเซียมที่มีการดูดซึมได้ดีที่สุดโดยผู้สูงอายุที่มีปัญหาการดื่มนม ท้องอืดและท้องเสียสามารถแก้ไขโดยดื่มทีละน้อยและดื่มหลังอาหาร
วิตามินดี
การศึกษา พบว่า การให้วิตามินดีทั้งแบบดั้งเดิม และในรูปอนุพันธ์ไม่สามารถลดอุบัติการณ์การเกิดกระดูกหักได้ แต่ถ้าให้วิตามินดี 700 IU ต่อวันร่วมกับแคลเซียม 500 mg จะช่วยลดอุบัติการณ์ได้
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน
งดสูบบุหรี่
งดดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
หลีกเลี่ยงอาหารเค็มจัดและโปรตีนสูง
ไม่ดื่มสุรา
มีการเคลื่อนไหวร่างกายมากขึ้น หรือออกกำลังกาย
ควบคุมโรคเรื้อรังที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน
ระมัดระวังการใช้ยาที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน
การออกกำลังกาย
ช่วยลดมวลกระดูก เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การทรงตัว ลดความเสี่ยงต่อกระดูกหัก
การออกกำลังกายที่มีการแบกรับน้ำหนักอย่างเหมาะสม (appropriate weight bearing exercise) และการออกกำลังกายที่ออกแรงต้าน (resistance exercise) จะช่วยเพิ่มความหนาแน่นกระดูก เช่น เดินโดยยกขวดน้ำ หรือ dumbbell
ข้อควรระวังผู้ป่วยควรได้รับการตรวจสภาพร่างกายก่อนการออกกำลังกาย
การรักษาโดยใช้ยาหลักการเลือกใช้ยา คือ ป้องกันไม่ให้กระดูกหัก ดังนั้นจึงมีหลักเกณฑ์การกำหนดว่าผู้ป่วยใดควรได้รับยายาที่เลือกใช้ คือ biphosphonate เพิ่มความหนาแน่นกระดูก
การป้องกัน
หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มกาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทานอาหารที่มีไขมันสูง อาหารหมักดอง และมีความเครียดสูง เพราะทำให้การดูดซึมแคลเซียมในอาหารลดลง
ออกกำลังกายหรือมีกิจกรรม ที่มีการเคลื่อนไหวอยู่เสมอ ให้มีการลงน้ำหนักของกระดูก
ตรวจความหนาแน่นของกระดูก ถ้ามีกระดูกพรุนควรได้รับการรักษาเพื่อคงไว้ซึ่งเนื้อกระดูกด้วยวิธีที่เหมาะสม
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล: ปวดเนื่องจากมีแรงกดที่กระดูกและมีเนื้อกระดูกลดลง
การพยาบาล
ระมัดระวังในการจัดท่า การเคลื่อนไหว และออกกำลังกาย
ดูแลสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุหกล้ม ยกไม้กั้นเตียงขึ้น
กระตุ้นให้มีกิจกรรม มีการเคลื่อนไหว ให้เวลาในการทำกิจกรรมและถูกแสงแดด
ดูแลให้รับประทานอาหารที่แคลเซียมสูง ควรได้รับวันละ 1500มก.
ประเมินและติดตามอาการปวด
ให้ยาแก้ปวดตามแผนการรักษา และใช้วิธีอื่น ๆ ในการลดอาการปวด
ให้การดูแลด้านอารมณ์ จิตใจ ให้ระบายความรู้สึก มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ป่วยอื่นที่มีปัญหาเหมือนกัน
โรคเบาหวาน
ประเภทเบาหวาน
เบาหวานชนิดที่1 (Type 1 Diabetes Mellitus)
พบในเด็กหรือผู้ที่อายุน้อย ส่วนใหญ่น้อยกว่า 30 ปี
ที่มักจะมีรูปร่างผอม
เกิดจากตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินสุลินได้ ต้องรักษาโดยการฉีดอินสุลิน
ถ้าขาดจะเกิดภาวะหมดสติจากน้ำตาลในเลือดสูงและกรดคั่งในเลือด (Ketoacidosis)
เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes Mellitus)
พบมากร้อยละ 95-97 ส่วนใหญ่มักจะอ้วน
ตับอ่อนยังพอผลิตอินสุลินได้ แต่มีภาวะดื้อต่ออินสุลิน
ระยะแรกรักษาโดยการควบคุมอาหารหรือยาเม็ดลดระดับน้ำตาลในเลือดเป็นนาน ๆ อาจต้องฉีด เพราะเบต้าเซลล์เสื่อมหน้าที่
ส่วนใหญ่พบในผู้สูงอายุ
ปัจจัยชักนำ
ปริมาณอินสุลินลดลงเนื่องจากภาวะสูงอายุ
เกิดการดื้ออินสุลินเนื่องจากสูงอายุ
โรคอ้วน
กิจกรรมด้านร่างกายลดลง
ยาที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง เช่น corticoteriod , estrogen, furosemide and thiazide diuretic,
การเจ็บป่วยหรือความเครียด
กรรมพันธุ์
อาการและอาการแสดง
ระยะแรกไม่ค่อยมีอาการ
อาการทั่วไป: กินจุ ปัสสาวะบ่อย ดื่มน้ำมาก น้ำหนักลด
ติดเชื้อบ่อย โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรีย รา ที่ระบบทางเดินปัสสาวะ ผิวหนัง มีแผลหายยาก
ระบบประสาททำงานบกพร่อง เช่น ชา เจ็บ ปวดแสบปวดร้อน
โรคของหลอดเลือดแดงขนาดใหญ่ (Macroangiopathy) ทำให้เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคหลอดเลือดส่วนปลาย
โรคหลอดเลือดแดงขนาดเล็ก (Microangiopathy) เป็นที่ไตทำให้โปรตีนรั่วออกมากับปัสสาวะ เป็นที่ตา ทำให้เกิด macular disease
มีรอยโรคที่ผิวหนัง เช่น Diabetic dermopathy
มีภาวะแทรกซ้อนของระบบต่อมไร้ท่อ ได้แก่ Hyperlipidemia โรคอ้วน
เกณฑ์วินิจฉัยเบาหวาน
มีอาการของโรคเบาหวานร่วมกับมีระดับน้ำตาลกลูโคสในพลาสมาจากหลอดเลือดดำ(casual plasma glucose [CPG])
ผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดหลังงดน้ำงดอาหาร(fasting plasma glucose [FPG])
ผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดที่เวลา 2 ชั่วโมงหลังทำการทดสอบความทนกลูโคส (oral glucose tolerance test [OGTT])
ภาวะแทรกซ้อนแบบเฉียบพลัน
ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia)
ระดับน้ำตาลในเลือดสูง
สูญเสียน้ำจำนวนมาก
ภาวะแทรกซ้อน
ภาวะแทรกซ้อนของหลอดเลือดขนาดเล็ก ได้แก่ Retinopathy ทำให้ตามองไม่เห็น และไตวายระยะสุดท้าย (end-stage renal failure)
ภาวะแทรกซ้อนของหลอดเลือดขนาดเล็ก ได้แก่ Retinopathy ทำให้ตามองไม่เห็น และไตวายระยะสุดท้าย (end-stage renal failure)
การถูกตัดขา
การควบคุมเบาหวาน
การควบคุมระดับน้ำตาลให้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด มีผลต่อการป้องกันและชะลอการเกิดโรคแทรกซ้อน
ควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนทางหลอดเลือดใหญ่ เช่น ระดับไขมันและความดันโลหิต
เพื่อให้ผู้ป่วยดำรงชีวิตในสังคมอย่างมีความสุข
ไม่มีโรคแทรกซ้อนทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง
การบริโภคอาหารที่เหมาะสม
การออกกำลังกาย
การลดน้ำหนัก
การใช้ยาฉีด คือ อินสุลินและยารักษาเบาหวานชนิดรับ
การติดตามผลการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ควรดูค่า HBA1C เป็นหลักเนื่องจากสะท้อนให้เห็นค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาลในเลือดในช่วง 1-4 เดือนก่อนการตรวจ
การพยาบาล
ส่งเสริมให้มีความรู้และสามารถปฏิบัติเพื่อควบคุมโรคเบาหวานได้ โดยใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น โปรแกรมสอนสุขศึกษา การสอนแบบมีแบบแผน การใช้แรงสนับสนุนทางสังคมจากญาติผู้ป่วย การสร้างแรงจูงใจ การใช้กลุ่มช่วยเหลือตนเอง
การแนะนำเรื่องอาหาร ควรรับประทานอาหารร่วมกับออกกำลังกาย เพื่อรักษาดัชนีมวลกาย
โภชนบำบัด 9 ประการ
กินอาหารครบ 5 หมู่ แต่ละหมู่หลากหลาย และหมั่นดูแลน้ำหนักตัว
กินข้าวเป็นอาหารหลัก สลับกับอาหารประเภทแป้งบางมื้อ
กินพืชผักให้มากและกินผลไม้เป็นประจำ
กินปลาเนื้อสัตว์ไม่ติดไขมัน ไข่และถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำ
ดื่มนมเหมาะสมตามวัย (low fat)
กินอาหารไขมัน ประเภท ไขมันไม่อิ่มตัว คือ ไขมันจากพืช
หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสหวานจัด เค็มจัด
กินอาหารที่สะอาด ปราศจากการปนเปื้อน
งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
ยารักษาเบาหวานชนิดรับประทาน
กระตุ้นการหลั่งอินสุลินจากตับอ่อน: sulfonylurea
แก้ไขภาวะดื้อต่ออินสุลินที่ตับ เซลล์กล้ามเนื้อทำให้อินสุลิน ออกฤทธ์ดีขึ้น: metformin
ชะลอการย่อยและการดูดซึมน้ำตาลของลำไส้ ลดระดับน้ำตาลหลังอาหาร ต้องรับประทานยาพร้อมอาหาร: acarbose
แก้ไขภาวะดื้อต่ออินสุลินที่เซลล์กล้ามเนื้อ ตับและไขมัน: rosiglitozone
การแนะนำผู้ป่วยเบาหวานเกี่ยวกับการใช้อินสุลิน
ฤทธิ์ของอินสุลินในการควบคุมระดับน้ำตาล
การรับประทานอาหารให้สอดคล้องกับการฉีดอินสุลิน
ชนิดออกฤทธิ์เร็วต้องรับประทานอาหารทันที ออกฤทธิ์สั้นรับประทานอาหารหลังฉีด 30 นาที
การเก็บอินสุลิน เก็บในตู้เย็นไม่ใช่ช่องแช่แข็ง สามารถเก็บในอุณหภูมิห้องนาน 1 เดือน ไม่ให้ถูกแสงแดดโดยตรง
สังเกตอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ อาการเหงื่อออก ใจสั่น หิว หน้ามืด ตาลาย อ่อนเพลีย จะเป็นลม ชาปลายมือปลายเท้า
การฉีดหน้าท้องเป็นบริเวณที่ดูดซึมที่สุดและการดูดซึมไม่เปลี่ยนแปลงตามการออกกำลังกาย
ห้ามนวดหรือคลึงบริเวณฉีด เพราะยาดูดซึมเร็ว
ประโยชน์ของการออกกำลังกาย
ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เนื้อเยื่อมีความไวต่ออินสุลินเพิ่มขึ้น ทำให้ภาวะดื้อต่ออินสุลินลดลง
ควบคุมน้ำหนัก ลดไขมัน เพราะหลังออกกำลังกายจะลดความอยากอาหาร และมีการเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นนาน 1 ชั่วโมง
เมื่อออกกำลังกายสม่ำเสมอได้ระยะหนึ่ง ระดับไตรกลีเซอไรด์ คลอเลสเตอรอลลดลง HDL สูงขึ้น
ลดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดความผิดปกติของหลอดเลือด
ช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวานในผู้ที่เริ่มมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง
การออกกำลังกาย
ควรออกกำลังกายโดยให้มีการเคลื่อนไหวร่างกาย โดยเฉพาะกล้ามเนื้อแขน ขา ลำตัว อย่างต่อเนื่องกันนาน 20 นาทีขึ้นไป
เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ถีบจักรยาน ว่ายน้ำ รำมวยจีน กายบริหาร เต้นแอโรบิก
ควรออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อ (strengthening exercise) และความยืดหยุ่นของร่างกาย ( flexibility) ด้วยการยืดกล้ามเนื้อ (stretching)
ผู้ที่มีปัญหาเส้นเลือดในลูกตา ควรงดการออกกำลังกายประเภทกระโดดหรือต้องออกแรงหนักหรือการออกกำลังกายชนิดมีแรงต้าน (strengtening exercise)
ควรค่อยๆเพิ่มเวลาการออกกำลังกายจนอย่างน้อย 20-30 นาที 3-5 วันต่อสัปดาห์
ปรับอาหารให้เหมาะสมกับการออกกำลังกาย
สังเกตอาการน้ำตาลในเลือดต่ำระหว่างออกกำลังกาย ให้หยุดพัก ดื่มน้ำหวาน หรืออมน้ำตาลก้อน
หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายในช่วงที่อินสุลินออกฤทธิ์สูงสุด
ภาวะแทรกซ้อนจากการออกกำลังกาย
Hypoglycemia มักเกิดในผู้ที่ฉีดอินสุลินมากกว่า แต่พบได้ในคนที่เป็นโรคเบาหวานมานานและสูงอายุ
มีเลือดออกในจอตา
การบาดเจ็บของเนื้อเยื่อ
ภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจ โรคหลอดเลือดหัวใจ ควรมีการตรวจสมรรถภาพก่อนออกกำลังกาย
การดูแลสุขภาพเท้า
ล้างเท้าให้สะอาดทุกวันหลังอาบน้ำ
ซับเท้าให้แห้งด้วยผ้าสะอาด
สำรวจเท้าตนเองทุกวัน
สวมรองเท้าหรือรองเท้าแตะตลอดเวลาทั้งในและนอกบ้าน
ถ้าผิวแห้งให้ทาครีมบาง ไม่เกา
ห้ามแช่เท้าด้วยน้ำร้อน ไม่เดินเท้าเปล่า ไม่ตัดตาปลา ไม่นั่งไขว่ห้าง
บริหารเท้า ช่วยทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี
ภาวะท้องผูก
(Constipation)
การถ่ายอุจจาระแข็งและแห้งผิดปกติ ความถี่คือหลายวันจึงจะขับถ่าย
เวลาเบ่งถ่ายอุจจาระนานหรือเบ่งมาก หรือรู้สึกถ่ายอุจจาระไม่ออก เป็นการทำงานหรือการเคลื่อนไหวของลำไส้ลดลงทำให้ร่างกายไม่สามารถขับถ่ายอุจจาระออกมาได้โดยมีการถ่ายอุจจาระลำบาก หรืออุจจาระมีลักษณะเเข็งแห้ง
ชนิดของภาวะท้องผูก
ภาวะท้องผูกชนิดถ่ายลำบาก หรือเจ็บปวดในขณะถ่าย : เกิดจากลักษณะนิสัยการขับถ่ายไม่ดี หรือมีรีเฟล็กซ์น้อยเกินไป จากการกลั้นอุจจาระเป็นประจำ
ภาวะท้องผูกที่มีการไหลอุจจาระในลำไส้อย่างช้า ๆ
ชนิดของภาวะท้องผูก
(แบ่งตามสาเหตุการทำให้เกิดท้องผูก)
Primary constipation เกิดขึ้นเองโดยไม่มีโรคอื่นเป็นสาเหตุนำมาก่อน
การกินอาหารที่มีกากน้อย
การละเลยไม่ถ่ายอุจจาระทันทีที่ปวดถ่าย
การออกกำลังกายน้อย
การถูกจำกัดการเคลื่อนไหว
การไม่เคยชินสภาพแวดล้อมหรือไม่สะดวกในการขับถ่าย
การดื่มน้ำน้อย
มีกล้ามเนื้อหน้าท้องอ่อนแอ
Secondary constipation
มีก้อนเนื้องอกของลำไส้ ลำไส้กลืนกัน ไส้เลื่อน
การเคลื่อนไหวของลำไส้ผิดปกติ
มีความผิดปกติทางจิต เช่น วิตกกังวล ซึมเศร้า
มีความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ เช่น เบาหวาน โรคต่อมไทรอยด์
มีพยาธิสภาพของไขสันหลัง
การได้รับยา เช่น antacid, anticholinergics, tranquilizers, antidepressant, antihypertensive (calcium channel blocker), narcotic analgesic, NSAIDs
ความสูงอายุกับการขับถ่ายอุจจาระ
ขับถ่ายช้า โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ถูกจำกัดให้นอนบนเตียงนาน ๆ
ถ่ายอุจจาระออกไม่หมด เนื่องจากสมรรถภาพความตึงตัวของกล้ามเนื้อลดลง สุขนิสัยการขับถ่ายไม่ดี สภาพจิตใจสับสน มีภาวะซึมเศร้าทำให้ไม่อยากทำกิจกรรม
ละเลยต่อการปวดถ่ายอุจจาระ
ได้รับอาหารน้อยลง
ดื่มน้ำไม่เพียงพอ น้อยกว่า 1000 มิลลิลิตรต่อวัน
เกิดความกลัวในเรื่องยากลำบากในการขับถ่าย
ได้รับยา
ประเมินอาการท้องผูก
โดยการซักประวัติ เช่น แบบแผนการขับถ่าย ความถี่ ลักษณะอุจจาระ ความปวด ยาที่ใช้ การสวนอุจจาระ แบบแผนการรับประทานอาหาร กิจกรรม ความเครียด
การตรวจร่างกาย เช่น การฟังเสียงลำไส้บีบตัว ลดลงหรือเพิ่มขึ้น แสดงถึงลำไส้อุดตัน กดเจ็บ แสดงถึงการมี diveritculitis สังเกตอาการท้องอืด ปวดท้อง การคลำได้ก้อน
การพยาบาล
แนะนำรับประทานอาหารอย่างเพียงพอ และอาหารที่มีเส้นใย
แนะนำให้ดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้วเป็นอย่างน้อย โดยเฉพาะหลังตื่นนอนตอนเช้าควรดื่มน้ำ 1 แก้ว เพื่อช่วยระบบขับถ่าย ช่วงเย็นก่อนนอน
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟทำให้ขับน้ำในระบบปัสสาวะมากร่วมกับทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวลดลง
เคี้ยวอาหารให้ละเอียด
ออกกำลังกายสม่ำเสมอช่วยให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหวดีขึ้น
ออกกำลังกายอวัยวะที่ช่วยในการขับถ่าย คือ กล้ามเนื้อหน้าท้องและกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
การฝึกการขับถ่าย โดยกำหนดเวลาที่แน่นอนในแต่ละวัน
กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ โดยการพลิกตะแคงตัวทุก 2 ชั่วโมง
ไม่กลั้นอุจจาระ เมื่อปวดควรรีบเข้าห้องน้ำทันที
จัดสภาพแวดล้อมห้องน้ำให้เหมาะสม
การดูแลเรื่องการรับประทานยา ระวังการใช้ยาลดกรดที่มีองค์ประกอบของแคลเซียมคาร์บอเนตและโซเดียม เพราะทำให้ท้องผูก
กรณีต้องใช้ยาระบาย ควรให้ยาที่มีฤทธิ์ข้างเคียงน้อย ไม่ควรให้ขนาดที่สูง
ถ้าอุจจาระแข็งควรให้ยาที่ดูดน้ำไว้ เพื่อให้อุจจาระอ่อนตัว
ยาเหน็บควรใช้เป็นครั้งคราวกรณีที่รับประทานยาระบายแล้วอุจจาระไม่ออก
การป้องกันและรักษาอาการท้องผูก
F = Fluid & fiber intake
E = Exercise & environment
C = Creation of bowel program
E = Elimination of causative factors
S = Stimulation of gastrocolic reflex
ต่อมลูกหมากโต
สาเหตุ
ไม่ทราบชัดเจน
การโตของต่อมลูกหมากสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงตามวัย
ฮอร์โมน dihydrotestosterone หรือ DHT เกี่ยวข้องกับการเกิด BPH
วัยสูงอายุระดับเทสโตเสตอโรนในเลือดจะลดลงแต่ระดับ DHT จะคั่งอยู่ในต่อมลูกหมาก จะกระตุ้นให้สร้างเซลล์เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ (hyperplasia)
อาการ
ปัสสาวะไม่พุ่งเป็นลำเล็ก ๆ
ปัสสาวะไม่สุดเหมือนคนที่ยังไม่ได้ปัสสาวะ
ปัสสาวะบ่อย ต้องตื่นกลางคืนเนื่องจากปวดปัสสาวะ
ปัสสาวะต้องเบ่งเมื่อเริ่มปัสสาวะ หรือรอนานกว่าจะปัสสาวะออกมาได้
ภาวะแทรกซ้อน
กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไม่ดีเกิดการคั่งของปัสสาวะ
เกิดการติดเชื้อได้ง่าย
ไตเสื่อม
กลั้นปัสสาวะไม่ได้
ปัสสาวะเล็ด
นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
การวินิจฉัยโรค
การซักประวัติ
สอบถามอาการถ่ายปัสสาวะผิดปกติ
ระยะเวลาที่เริ่มอาการถ่ายปัสสาวะผิดปกติ
ลักษณะของขับถ่ายปัสสาวะ
การตรวจร่างกาย
ควรตรวจร่างกายในทุกระบบมิใช่ตรวจเฉพาะระบบที่มีปัญหา
อาจจะมีปัญหาเลือดจาง
บวมตามตัวเนื่องจากมีภาวะ Azotemia
อาจติดเชื้อของไตเคาะบริเวณบั้นเอวด้านหลังมีอาการเจ็บ
คลำและเคาะบริเวณหน้าท้องเหนือหัวหน่าวจะพบกระเพาะปัสสาวะโป่งนูนมีเสียงทึบ เนื่องจากมีการคั่งค้างของปัสสาวะ
ตรวจทางทวารหนัก เพื่อดูขนาดและลักษณะต่อมลูกหมาก
การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
ตรวจปัสสาวะเพื่อหาว่ามีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
ตรวจเลือดเพื่อประเมินการทำงานของไต
ตรวจ Prostate-specific antigen (PSA) ค่าปกติประมาณ 0-4 นาโนกรัมต่อมิลลิลิตร
Tumor-marker ในการสืบค้นหามะเร็งของต่อมลูกหมาก
Cystoscope เพื่อดูว่ามีท่อปัสสาวะตีบตันหรือไม่ ต่อมลูกหมากโตเพียงใด และกระเพาะปัสสาวะเป็นอย่างไร
Plain kidney ureter bladder (KUB) และการทำ IVP [ intravenous pyelography]
ultrasound
Uroflowmetry เพื่อดูว่าทางเดินปัสสาวะอุดกั้นมากน้อย
การรักษา
การเฝ้าสังเกตอาการ (Watchful waiting) : กรณีที่ต่อมลูกหมากโตและไม่มีอาการ แพทย์ตัดสินใจว่ายังไม่จำเป็นต้องให้ยาหรือการรักษาอย่างอื่นต้องมาตรวจตามนัดอย่างสม่ำเสมอเพื่อที่จะประเมินว่าต่อมลูกหมากที่โตเกิดปัญหาต่อสุขภาพหรือไม่ถ้าต่อมลูกหมากโตไม่มากประมาณ1/3อาการจะดีขึ้นเองและแนะนำมิให้รับประทานยาลดน้ำมูกเพราะจะทำให้อาการแย่ลง
รักษาโดยยา : ยาลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อที่บีบรัดท่อปัสสาวะ ได้แก่ Alfa blocker drug treatment เช่น terzosin (Hytrin), doxazosin (Cardura) and tamsulosin (Flamax) โดยยามีฤทธิ์ข้างเคียง คือ ความดันโลหิตต่ำ อาจเกิดอาการปวดและเวียนศีรษะ
และยายาลดขนาดต่อมลูกหมาก ได้แก่ Finasteride (Proscar) โดยผลข้างเคียงคือ ลดความต้องการทางเพศ
การรักษาต่อมลูกหมากโตโดยไม่ใช้วิธีผ่าตัด
Transurethral Microwave Procedures
Transurethral Needle Ablation (TUNA)
Balloon dilatation
การผ่าตัด
Transurethral resection of the prostate (TURP) : โดยการใส่เครื่องมือเข้าทางท่อปัสสาวะและใช้เครื่องมือตัดชิ้นเนื้อต่อมลูกหมากเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วล้างออก เหมาะสำหรับผู้ที่มีต่อมลูกหมากโตขนาดปานกลาง ข้อเสียคือ เลือดออกง่าย มีน้ำอสุจิไหลย้อนกลับ กลั้นปัสสาวะไม่ได้ องคชาตไม่แข็งตัว และต่อมลูกหมากอาจโตขึ้นอีกถ้าตัดออกไม่หมด
Transurethral incision of the prostate (TUIP) :โดยใช้เครื่องมือใส่เข้าท่อปัสสาวะแล้วกรีดต่อมลูกหมาก 2-3 รอยไม่มีการตัดชิ้นเนื้อต่อมลูกหมากเพื่อลดความดันในต่อมลูกหมากทำให้ปัสสาวะออกง่ายขึ้นใช้ในกรณีที่ต่อมลูกหมากไม่โตมาก
Open prostatectomy or suprapubic prostatectomy : คือการผ่าตัดผ่านทางหน้าท้องแล้วเอาต่อมลูกหมากออก กรณีต่อมลูกหมากโตมาก
การพยาบาล
กรณีที่รักษาโดยวิธี Watchful waiting : ควรแนะนำให้สังเกตอาการผิดปกติ และมาตรวจตามนัดอย่างสม่ำเสมอ
กรณีที่รักษาโดยการใช้ยา : แนะนำการรับประทานยา การออกฤทธิ์และผลข้างเคียงของยา พร้อมทั้งการมาตรวจตามนัดอย่างสม่ำเสมอ
กรณีที่รักษาโดยการผ่าตัด
การพยาบาลก่อนการผ่าตัด
อาบน้ำสระผม เย็นวันก่อนการทำผ่าตัด
ทำความสะอาดและเตรียมบริเวณที่จะผ่าตัด โดยการโกนขนและล้างบริเวณ หัวหน่าวและฝีเย็บให้สะอาด
สวนอุจจาระก่อนนอนในคืนวันก่อนผ่าตัด
แพทย์อาจให้ยาบางชนิดก่อนผ่าตัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
ให้ยานอนหลับตามแผนการรักษา
การพยาบาลหลังการผ่าตัด
ประเมินสัญญาณชีพ
สังเกตสีและจำนวนปัสสาวะที่ออกมา
จัดท่าผู้ป่วยให้นอนเหยียดขาข้างที่ถูกตรึงไว้กับสายสวนปัสสาวะ
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการสวนล้างกระเพาะปัสสาวะอย่างต่อเนื่อง (Bladder irrigation, CBI) ด้วยน้ำเกลือ (NSS)
กรณีได้รับยาระงับความรู้สึกทางไขสันหลัง จัดให้นอนราบและหนุนหมอนได้ อย่างน้อย 8-12 ชั่วโมง
กรณีที่ผู้ป่วยไม่มีคลื่นไส้ อาเจียน ดูแลให้ผู้ป่วยดื่มน้ำอย่างน้อย ชั่วโมงละ 1 แก้ว
บันทึกจำนวนปัสสาวะที่ขับถ่ายออกมาจริง และจำนวนสารน้ำที่ใช้ในการสวนล้าง
สังเกตการบวมนูนของกระเพาะปัสสาวะ
และดูแลให้สายสวนปัสสาวะและถุงปัสสาวะอยู่ระบบปิดโดยจัดให้ถุงใส่ปัสสาวะอยู่ในระดับต่ำกว่ากระเพาะปัสสาวะ
จัดให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมให้สอดคล้องปริมาณเลือดที่ออกมากับปัสสาวะ
วันแรกของการทำผ่าตัด ดูแลให้นอนพักบนเตียง ห้ามลุกนั่งเพราะอาจทำให้เลือดออกได้
ไม่ควรสวนอุจจาระ เพราะอาจทำให้เกิดรูทะลุจากลำไส้ใหญ่เข้าสู่บริเวณแอ่งของต่อมลูกหมากที่ถูกตัดไปได้
หลังการผ่าตัด 3-4 วัน ปัสสาวะมีสีปกติ แพทย์จะพิจารณาถอดสายสวนปัสสาวะ
ควรแนะนำให้ผู้ป่วยมีการออกกำลังกล้ามเนื้อบริเวณฝีเย็บ โดยการขมิบก้น ให้ทำทุกชั่วโมง ๆ ละ 20-30 ครั้ง ช่วยให้การควบคุมการปัสสาวะได้ดีขึ้น
บางรายอาจมีอาการปัสสาวะไม่ออก ภายหลังการถอดสายสวนปัสสาวะ ควรที่คาสายสวนปัสสาวะต่อให้อีกอย่างน้อย 2 สัปดาห์
คำแนะนำเพื่อการปฏิบัติตัวเมื่อกลับไปอยู่บ้าน
พักผ่อนให้เพียงพอ เดินออกกำลังกายในพื้นราบได้ งดเว้นการเดินขึ้นที่สูง ขึ้นบันไดบ่อย ๆ ห้ามแบกของหนัก
ดื่มน้ำมาก ๆ ประมาณ 2,500-3,000 ซีซีต่อวันเพื่อป้องกันภาวะท้องผูก
งดการมีเพศสัมพันธ์ อย่างน้อย 1-2 เดือน หลังการผ่าตัด
หากมีอาการผิดปกติหลังการผ่าตัด เช่น ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะไม่ออก หรือมีไข้ ควรรีบมาพบแพทย์
การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
(Urinary Incontinence)
การสูญเสียการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ ทำให้มีปัสสาวะเล็ดราดออกมาทางท่อปัสสาวะ โดยไม่สามารถควบคุมได้และก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิต และการเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมของบุคคล
ความชุก
ความชุกเพิ่มขึ้นตามอายุ และแปรผันตามสิ่งแวดล้อมโดยชุมชนพบร้อยละ 15 บ้านพักคนชราร้อยละ 50 หอผู้ป่วยร้อยละ 70 และเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุเพศหญิงสูงกว่าผู้สูงอายุเพศชาย 2 เท่า
ผลกระทบที่เกิดจากภาวะกลั้นปัสสาวะ
ด้านร่างกาย: ระคายเคืองผิวหนัง เกิดบาดแผล เสี่ยงต่อการติดเชื้อผิวหนังและทางเดินปัสสาวะ สมรรถภาพทางเพศลดลง เสี่ยงต่อการหกล้ม พักผ่อนไม่เพียงพอ
ด้านจิตใจและสังคม: คุณค่าตัวเองลดลง แยกตัวจากสังคม เกี่ยวข้องเศรษฐกิจเพราะต้องจัดซื้อผ้ารองซับปัสสาวะ คุณภาพชีวิตลดลง
ปัจจัยเกี่ยวข้องการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ
โครงสร้าง สรีรวิทยา ความสมบรูณ์ในการทำหน้าที่ของทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง
จิตใจและวัฒนธรรม: การตระหนักรู้
การใช้อุปกรณ์ในการขับถ่าย
สิ่งแวดล้อมที่ช่วยเกื้อกูลในการปัสสาวะ
องค์ประกอบด้านสรีระ
ที่เกี่ยวข้องกับการกลั้นปัสสาวะกระเพาะปัสสาวะ
กระเพาะปัสสาวะมีความจุเพียงพอ: ขนาดเล็กทำให้ปัสสาวะบ่อย กลั้นไม่อยู่ ปกติกระเพาะปัสสาวะมีความจุ 400 มล.
กระเพาะปัสสาวะมีความสามารถในการยืดตัวออกเพื่อรองรับน้ำปัสสาวะที่มากขึ้น และยังคงรักษาแรงดันให้ต่ำ หากยังไม่มีการขับถ่าย ถ้ายืดมากเกินไป ปัสสาวะไหลรินออกมาเอง
ระยะที่ยืดรับน้ำกระเพาะปัสสาวะ จะต้องไม่มีการบีบตัวอย่าง ผิดปกติ บีบตัวเมื่อต้องการขับถ่ายปัสสาวะเท่านั้น ถ้าบีบตัวก่อนก็เล็ดราด
ระหว่างการเก็บปัสสาวะ ท่อปัสสาวะและกลไกหูรูดจะปิดสนิท ไม่ให้ปัสสาวะเล็ดราด การปิดไม่สนิทของหูรูดหรือหูรูดไม่แข็งแรง เมื่อเกิดแรงดันในช่องท้องสูงกระทันหันก็เกิดเล็ดราด
กลไกควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ
เป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง สมอง ก้านสมอง ไขสันสันหลัง เส้นประสาทส่วนปลาย และประสาทอัตโนมัติทั้งซิมพาเธติคและพาราซิมพาเธติค
ปัสสาวะถูกกรองจากไตลงสู่กระเพาะปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะยืดตัวออก จะรู้สึกหน่วงเมื่อมีน้ำปัสสาวะประมาณ 150 มล. เมื่อเพิ่มเป็น 400 มล. ผนังกระเพาะปัสสาวะจะส่งสัญญาณไปที่สมอง โดยผ่านไขสันหลัง
สมองรับความรู้สึก แปลความสั่งการ ตัดสินว่าอยู่ในสถานการณ์ที่เหมาะสมในการถ่ายปัสสาวะหรือไม่
หากไม่เหมาะสมยับยั้ง โดยสั่งการผ่านระบบประสาท parasympathetic ให้กลั้นปัสสาวะต่อไป ถ้าพร้อม สัญญาณประสาทจะส่งมา โดยมี pons กำกับให้มีการทำงานประสานกันระหว่างกระเพาะปัสสาวะและกล้ามเนื้อหูรูด กระแสประสาทที่ทำให้เกิดการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะและกล้ามเนื้อ หูรูดส่งลงมาที่สันหลังส่วน sacrum 2-4 ทำให้กล้ามเนื้อ detruser หดตัว กล้ามเนื้อหูรูดคลายตัว ทำให้เกิดการขับถ่ายปัสสาวะ
ระบบประสาทอัตโนมัติจะถูกกระตุ้นเมื่อมีปัสสาวะไหลเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ sympathetic จะทำให้กระเพาะคลายตัวกักเก็บน้ำปัสสาวะได้
ชนิดของกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่แบบชั่วคราว (Transient) หรือ แบบเฉียบพลัน (Acute): ป้องกัน รักษาให้หายได้ พบบ่อย แต่มักไม่ค่อยได้รับการประเมิน
DIAPPERS หลักการประเมิน
D = Delirium สูญเสียการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ เพราะสับสนเฉียบพลัน สาเหตุจากเสียสมดุลน้ำและอิเลคโตรไลท์ การติดเชื้อ
I = Infection of urinary tract
A = Atrophic vaginitis/ urethritis การขาดฮอร์โมนในวัยหมดประจำเดือน ทำให้เยื่อบุกระเพาะปัสสาวะแห้ง ช่องคลอดแห้ง การบีบรัดของหูรูดเสื่อมท่อปัสสาวะปิดไม่สนิท การได้รับฮอร์โมนทดแทน ทำให้ดีขึ้น
P= Pharmacological agents/ drug เช่น ยาขับปัสสาวะ แอลกอฮอล์
P= Psychological factors ปัญหาทางจิตทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับอารมณ์ ความตั้งใจในการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ
E = Excess urine output
R= Restrict mobility ไม้กั้นเตียง อุปกรณการแพทย์ติดตัว หลังผ่าตัด เตียงไกลจากห้องน้ำ
S = Stool impact อุจจาระอัดแน่น มีผลต่อกดท่อปัสสาวะ และกระเพาะปัสสาวะ ขับถ่ายบ่อย รีบด่วนขับถ่าย กลั้นปัสสาวะไม่ได้
ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่แบบเรื้อรัง (Chronic)
Functional incontinence
ไม่ได้เกิดจากพยาธิสภาพ คล้ายกับกลุ่มปัญหากลั้นปัสสาวะไม่อยู่แบบชั่วคราว คือ เดินไปปัสสาวะไม่สะดวก เช่น ปวดเข่าเนื่องจากเข่าเสื่อม เหนื่อยง่ายจากโลหิตจาง ภาวะหัวใจวาย เดินลำบากจากโรคหลอดเลือดสมอง
สมองเสื่อม ทำให้ไม่รับรู้มารยาทในการขับถ่ายปัสสาวะ
ภาวะซึมเศร้าทำให้ไม่สนใจดูแลตนเอง
Stress incontinence
มีปัสสาวะเล็ดราดออกมาเมื่อมีแรงดันในช่องท้องเพิ่มขึ้น เช่น ไอ จาม หัวเราะ ออกกำลังกาย หรือยกของ เนื่องจากแรงดันที่เพิ่มขึ้นในช่องท้องที่ลงมายังกระเพาะปัสสาวะ
Urge incontinence
การมีปัสสาวะเล็ดร่วมกับความรู้สึกปวดถ่ายอย่างรุนแรง ไม่สามารถไปห้องน้ำได้ทัน กระเพาะปัสสาวะบีบตัวขึ้นมาเองทั้งที่ปัสสาวะยังไม่เต็ม
สาเหตุที่พบบ่อย คือ เกิดจากกระเพาะปัสสาวะมีความไวต่อการกระตุ้น
Overflow incontinence
การมีปัสสาวะเล็ดออกมาเนื่องมาจากกระเพาะปัสสาวะยืดขยาย (overdistension) มีน้ำปัสสาวะเต็มและล้นออกมาและไม่ค่อยรู้สึกอยากขับถ่ายปัสสาวะ ปัสสาวะไม่ค่อยพุ่งแรง ปัสสาวะสะดุดติดขัดไม่ค่อยออก ต้องเบ่งปัสสาวะทำให้รู้สึกไม่สุขสบายท้องน้อย
การประเมินภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในผู้สูงอายุ
การเปลี่ยนแปลงด้านสรีระวิทยาในวัยสูงอายุ : ผู้สูงอายุเมื่ออายุมากขึ้นจะมีการเสื่อมถอยของร่างกายในระบบต่างๆ เช่น ความจุของกระเพาะปัสสาวะลดลง อัตราการไหลของปัสสาวะลดลง เป็นต้น
โรคที่เกิดขึ้นมาก่อน (Co-morbidities)
เบาหวาน
ความดันโลหิตสูง
หัวใจล้มเหลวจากการมีน้ำคั่ง
ข้ออักเสบ
ซึมเศร้า
และความบกพร่องทางสติปัญญา (cognitive impairment)
ยาที่ผู้สูงอายุรับประทาน
ประวัติการมีปัสสาวะราด
ระยะเวลาที่มีอาการ
ลักษณะอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ อาการอื่นๆ ที่พบร่วมด้วย
สาเหตุชักนำที่ทำให้เกิดอาการ
การได้รับยา
โรคประจำตัว
การตั้งครรภ์ การคลอด
อุบัติเหตุ และการผ่าตัด
การทำ Voiding diary เพื่อดบันทึกปริมาณน้ำดื่มและเครื่องดื่มทุกชนิดที่ดื่ม และปริมาณปัสสาวะที่ขับถ่ายออกมา
การตรวจร่างกายและการตรวจพิเศษ
ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง: BMI
ตรวจหน้าท้อง: มีก้อน มีบาดแผลผ่าตัด คลำกระเพาะปัสสาวะได้หรือไม่
ตรวจระบบประสาท: การรับความรู้สึก การควบคุมและสั่งการ และการตรวจ reflex
ผู้หญิง: ตรวจภายในดูลักษณะท่อปัสสาวะ ช่องคลอด เยื่อบุว่าซีดหรือไม่ มีก้อนเนื้อหรือไม่
ประเมินความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน: ให้ไอทั้งในท่านอนราบและท่ายืนเพื่อดูว่ามีปัสสาวะเล็ดราดหรือไม่
ตรวจปัสสาวะดูว่ามีการติดเชื้อหรือไม่
ตรวจเลือดเพื่อประเมินระดับน้ำตาลในเลือดและการทำงานของไต
ประเมินปัสสาวะตกค้าง หลังการถ่ายปัสสาวะ (post void residual urine) มากกว่า 100 มล แสดงว่าผิดปกติ
Pad test
การตรวจยูโรพลศาสตร์ เพิ่มความแม่นยำและเลือกวิธีการรักษา
Uroflowmetry เป็นการวัดการไหลของปัสสาวะ โดยใช้เครื่องอิเลคโทรนิก
Cystometry เป็นการวัดการทำหน้าที่ของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ
Cystourethroscopy การตรวจโดยการส่องกล้องทางท่อปัสสาวะ
การรักษา
การรักษาเชิงพฤติกรรม (behavioral therapy)
การฝึกกระเพาะปัสสาวะ (bladder training)
การฝึกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (pelvic muscle exercise or kegel exercise) โดยการกลั้นปัสสาวะในขณะถ่าย
ขมิบก้นในท่านั่งหรือยืน ขมิบก้นและช่องคลอดช้าๆหรือซิทอัพ
การใช้อุปกรณ์ช่วยในการบริหารช่องคลอด
การรักษาโดยการใช้ยา (pharmacologic therapy)
ได้แก่ ยากลุ่ม Anticholinergic , Alpha-adrenergic agonist , Cholinergic –agonist และ Antibiotic เป็นต้น
การรักษาโดยการผ่าตัด (surgical therapy)
การรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ และการใช้อุปกรณ์ช่วย
การสวนปัสสาวะเป็นระยะ (intermittent catherization) ผู้ป่วยอาจทำเองโดยการสวนปัสสาวะเป็นระยะอย่างสะอาด (clean intermittent catheterization: CIC)
การคาสายสวนปัสสาวะ (indwelling catherization)
การใช้อุปกรณ์ช่วยเก็บปัสสาวะ
การใช้ผ้าอ้อมอนามัยสำหรับผู้ใหญ่
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
มีโอกาสเกิดแผลและติดเชื้อที่อวัยวะสืบพันธ์และผิวหนังเนื่องจากชื้นแฉะจากปัสสาวะ
แยกตัวจากสังคมเนื่องจากวิตกกังวลเกี่ยวกับการกลั้นปัสสาวะไม่ได้
การดูแลตนเองบกพร่องเนื่องจากขาดความรู้ในการดูแลตนเอง
หลักการพยาบาลโดยทั่วไปผู้สูงอายุที่กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
ค้นหาปัญหากลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ชนิดที่เป็น และร่วมแก้ไขสาเหตุ
ค้นหากลยุทธที่เคยใช้จัดการภาวะนี้แล้วประสบความสำเร็จ ส่งเสริมให้ใช้ต่อไป
พัฒนาแผนการดูแลเฉพาะผู้ป่วยแต่ละคน โดยใช้ข้อมูลจากการประเมิน
หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ทำให้เกิดภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
หลีกเลี่ยงการใส่สายสวนปัสสาวะคาไว้ ทำให้เกิดการติดเชื้อ
ประเมินการได้รับน้ำและวางแผนการจัดการรับน้ำอย่างเพียงพอ
ปรับสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม
ป้องกันอันตรายเกิดกับผิวหนัง โดยทำความสะอาดทันทีเมื่อมีการ เปรอะเปื้อน
ใช้ผลิตภัณฑ์ดูดซับอย่างระมัดระวัง
จัดให้มีกริ่งขอความช่วยเหลือและให้การช่วยเหลือทันทีที่ต้องการ
หลีกเลี่ยงการผูกยึดหรือยกไม้กั้นเตียงตลอดเวลา
ประสานกับทีมสุขภาพในกจัดอุปกรณ์การช่วยเหลือในการเคลื่อนย้ายหรือการเดินที่เหมาะสม
การบำบัดเชิงพฤติกรรม
การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Pelvic muscle exercise, pelvic floor retraining, Kegel exercise)
การฝึกกระเพาะปัสสาวะ
(bladder training) : มีวิธีการทำหลายวิธีหลักการคือยืดเวลาขับถ่ายปัสสาวะออกไปเริ่มจาก 5-10 นาที จนกระทั่่งห่างกัน 2-3 ชั่วโมงและจัดตารางในการขับถ่ายปัสสาวะ
ฝึกทำ Crede’s maneuver กดบริเวณเหนือหัวเหน่าลึก ๆ เพื่อช่วยให้ปัสสาวะออกได้มากขึ้น
ฝึกทำ double voiding technique เมื่อขับถ่ายครั้งแรกเสร็จแล้ว ให้ยืนขึ้นหรือเปลี่ยนท่าและปัสสาวะอีกครั้ง
การจัดน้ำดื่มแต่ละวันอย่างเหมาะสม ผู้สูงอายุไม่ดื่มน้ำเพราะกลัวปัสสาวะเล็ดราด ไม่ถูกต้อง ต้องปรับการดื่มน้ำตามที่ทำบันทึกไว้ ดื่มน้ำสม่ำเสมอทั้งวัน งดดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มคาเฟอีน ลดการดื่มน้ำก่อนนอน 2 ชั่วโมง
ควบคุมน้ำหนัก
การพยาบาลผู้สูงอายุที่กลั้นปัสสาวะไม่ได้ชนิดต่างๆ
Stress incontinence
สอนให้บริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
Bladder training
แนะนำให้ใช้แผ่นรองซับ
ควบคุมน้ำหนัก
ประสานทีมสุขภาพ เมื่อต้องรักษาด้วยยา alpha adrenergic agonist , estrogen
Urge incontinence
Bladder Training
Kegel exercise
ประสานทีมสุขภาพ เมื่อต้องรักษาด้วยยา anticholinergic
Overflow incontinence
แนะนำให้ปัสสาวะเมื่อรู้สึกอยากปัสสาวะ
แนะนำให้ปัสสาวะอย่างไม่เร่งรีบ ให้มีเวลานานพอที่ปัสสาวะได้มากที่สุด
แนะนำให้ใช้ Crede’s maneuver และ double voiding technique
ผู้สูงอายุชาย ให้ใช้อุปกรณ์ รองรับน้ำปัสสาวะช่วย
สวนปัสสาวะเป็นครั้งคราว
ประสานทีมสุขภาพในการใช้ยา Cholinergic –agonist or parasympathomimetic คือ bethanechol