Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ, นางสาวปัทมาศ บุญเชื่อม 61106010100 -…
ปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ
หัวใจขาดเลือด
สาเหตุและกลไกการเกิด
มีหลายสาเหตุ เช่น พยาธิสภาพของหลอดเลือดหัวใจ ลิ้นหัวใจตีบ ภาวะซีด กล้ามเนื้อหัวใจโต หรือสาเหตุหลายอย่างร่วมกัน
ร้อยละ 70 เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจ
มีการแตกของ plaque
เกิดการเกาะกลุ่ม
ของเกล็ดเลือด
ขัดขวางการไหลของเลือด
และการขนส่งออกซิเจน
กล้ามเนื้อหัวใจ
ไม่ได้รับออกซิเจน
กล้ามเนื้อหัวใจเผาผลาญ
แบบไม่ใช้ออกซิเจน
กรดแลกติกคั่ง
ระคายเคืองระบบประสาท
เกิดอาการเจ็บหน้าอก
เรียกว่า angina pectoris
ปัจจัยเสี่ยง
ลักษณะของคราบไขมันในหลอดเลือดหัวใจ
การไหลเวียนของเลือดในหัวใจ
กระบวนการแข็งตัวของเลือดภายใน
กลุ่มอาการ metabolic และการอักเสบ
ความไม่สมดุลของระบบฮอร์โมนและระบบประสาท
สิ่งแวดล้อมและยา
อาการ
เจ็บหน้าอก
คลื่นไส้อาเจียน
ไข้
เหงื่อออกมากตัวเย็น
อาการของระบบหัวใจและหลอดเลือด
อาการทางจิตใจ
อาการเจ็บอกพบได้ร้อยละ 70 ผู้หญิงจะมีอาการแตกต่างจากผู้ชาย ความรุนแรงและตำแหน่ง
การวินิฉัย
การซักประวัติ
อาการเจ็บหน้าอก
ถ้ามีอาการแบบกล้ามเนื้อหัวใจ
ตายแสดงว่าผู้ป่วยอาจมี ACS
ให้รีบทำการตรวจคลื่นไฟฟ้า
หัวใจภายใน 12 leads ในเวลา 10 นาที
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ
ที่บ่งชี้ภาวะ ACS
ST segment ยกขึ้นสูง (Elevation)
ST segment ลดต่ำลง (Depression)
T wave หัวกลับ (Inversion)
การตรวจ cardiac biomarker
เมื่อกล้ามเนื้อหัวใจตาย จะตรวจพบว่า Troponin I และ T ในกระแสเลือดเพิ่มขึ้นภายในเวลา 2-3 ชั่วโมง (ค่าปกติ < 0.1 ng/ml)
ระยะเวลาที่ตรวจพบ เริ่มตั้งแต่ 6-12 ชั่วโมงและจะสูงนานถึง 14 วัน
การตรวจพิเศษ
การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Echocardiography)
ตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงไปกระทบเนื้อเยื่อภายในหัวใจและรับสัญญาณสะท้อนกลับมาแปลเป็นกายวิภาคของหัวใจ
บ่งชี้ ความหนาตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ การบีบตัว/คลายตัวหัวใจ การไหลเวียนของเลือดผ่านหัวใจ การทำงานของลิ้นหัวใจและน้ำในเยื่อหุ้มหัวใจ และประสิทธิภาพการบีบตัวของหัวใจ (Ejection fraction: EF)
บอกความรุนแรงของกล้ามเนื้อหัวใจและภาวะแทรกซ้อนที่เกิดได้
การสวนและฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ (Cardiac catheterization หรือ Coronary angiography)
เป็นการใส่สายตรวจเข้าไปในหลอดเลือดหัวใจและฉีดสารทึบแสงเพื่อแสดงตำแหน่งและลักษณะการตีบของหลอดเลือด
สามารถประเมินการทำหน้าที่ของหัวใจล่างซ้าย ความผิดปกติของลิ้นหัวใจ และความดันต่าง ๆ ภายในห้องหัวใจและปอด
เป็นแนวการปฏิบัติที่เป็นมาตรฐาน ในการตรวจและทำการรักษาด้วยการถ่างขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูน (percutaneous coronary intervention: PCI)
การรักษา
เป้าหมาย คือ การจำกัดบริเวณการขาดเลือดของหัวใจ ไม่ให้เกิดในวงกว้าง และป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน คือ หัวใจเต้นผิดจังหวะ ภาวะหัวใจล้มเหลว หรือช็อคจากหัวใจ (cardiogenic shock)
การรักษาเบื้องต้น คือ เปิดหลอดเลือดด้วยยาละลายลิ่มเลือด หรือการขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูน
มีขั้นตอนการรักษา ในระยะ 24 ชั่วโมงแรก
ผู้ป่วยกลุ่ม NSTEMI และ Unstable Angina
มุ่งที่การป้องกันปัจจัยการแข็งตัวของเลือดมาเกาะกลุ่มเกล็ดเลือด เกิดลิ่มเลือดอุดกั้นบางส่วน ด้วยยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulant) ในรูปแบบการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ได้แก่ enoxaparin
ตัวอย่างข้อวินิฉัยทางการพยาบาล
และกิจกรรมการพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพ oxygen saturation และระดับความรู้สึกตัว เมื่อมีอาการเจ็บหน้าอกทุกชั่วโมง
ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ 12 leads เมื่อแรกรับผู้ป่วยภายใน 10 นาที และทุกครั้งที่มีอาการเจ็บหน้าอก
ติดตามคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบต่อเนื่อง (ECG monitoring) ในกรณีที่ผู้ป่วยยังมีอาการเจ็บหน้าอก
หยุดการทำกิจกรรมของผู้ป่วย เมื่อมีอาการเจ็บหน้าอก จัดท่านั่งหรือนอนแบบ semi Fowler position
ดูแลให้ได้รับออกซิเจน 2 LPM ทาง nasal cannula ถ้าหายใจเร็วหรือมี oxygen saturation ต่ำกว่าร้อยละ 90
ดูแลให้ได้รับยาขยายหลอดเลือด ในรูปแบบยาอมใต้ลิ้นหรือยาพ่นใต้ลิ้น ตามแผนการรักษาและติดตามอาการและความดันโลหิต ถ้าอาการไม่ดีขึ้น อาจให้ซ้ำได้ทุก 5 นาที
จัดให้ผู้ป่วยนอนราบ ศีรษะสูงไม่เกิน 30 องศา ให้แขนและขาข้างที่ทำเหยียดตรง เป็นเวลาอย่างน้อย 3-6 ชั่วโมง ภายหลังเอาสายออก เพื่อให้หลอดเลือดที่ได้รับการสวนไม่เกิดอุดตัน และป้องกันการเลือดออกจากหลอดเลือดแดง
ติดตามประเมินสัญญาณชีพ เปรียบเทียบชีพจร สีผิว และความอุ่นของผิวหนังแขนหรือขาข้างที่ทำ ตลอดจนอาการปวดทุก 15 นาที 4 ครั้ง ทุก 1 ชั่วโมง 4 ครั้ง เมื่อคงที และต่อไปทุก 1 ชั่วโมง
ตรวจสอบบริเวณแผลที่ทำ โดยเฉพาะบริเวณ femoral artery ว่ามีเลือดออกหรือไม่ ทุก 15 นาที 4 ครั้ง ทุก 1 ชั่วโมง 4 ครั้ง เมื่อคงที และต่อไปทุก 1 ชั่วโมง
บันทึกภาวะแทรกซ้อนทางหลอดเลือดดำ เช่น ขนาดของ hematoma ขอบเขตและขนาด ลักษณะของก้อนเลือด สีผิว อุณหภูมิ และการคลำชีพจรส่วนปลาย
การกำซาบของเนื้อเยื่อหัวใจลดลงเนื่องจากการไหลของเลือดในหลอดเลือดหัวใจลดลง
หัวใจล้มเหลว
ชนิด
ตามการเกิด
Acute heart failure
เกิดแบบเฉียบพลัน
Chronic heart failure
เกิดซ้ำๆบ่อยๆ
ตามประสิทธิภาพการแบ่งตัว
Heart failure with reduce
ejection fraction (HFrEF)
การบีบตัวของหัวใจห้องล่างซ้ายต่ำกว่า 40%
Heart failure with mid
range ejection fraction (HFmrEF)
การบีบตัวของหัวใจห้องล่างซ้าย 40-49% มีระดับฮอร์โมนที่หลั่งเมื่อผู้ป่วยมีภาวะน้ำเกิน
Heart failure with preserved
ejection fraction (HFpEF)
มีการบีบตัวของหัวใจห้องล่างซ้าย ตั้งแต่ 50% ขึ้นไป
ตามระยะของหัวใจล้มเหลว
Stage A HF
เสี่ยงต่อการมีโครงสร้างและการทำหน้าที่ของหัวใจผิดปกติ
Stage B HF
มีความผิดปกติของโครงสร้างหัวใจแต่ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะหัวใจล้มเหลว
Stage C HF
มีหรือเคยมีอาการแสดงของภาวะหัวใจล้มเหลวมาก่อน
Stage D HF
อยู่ในระยะสุดท้ายของโรค มีการดำเนินการของโรคไม่ดี
หน้าที่ทางกายภาพ
Class I หมายถึง ผู้ป่วยไม่มีข้อจำกัดในการทำกิจกรรมหรือทำกิจวัตรประจำวันปกติ โดยไม่มีอาการแสดงของภาวะหัวใจล้มเหลว เช่น เหนื่อย อ่อนเพลีย หายใจลำบาก
Class II หมายถึง ผู้ป่วยที่มีข้อจำกัดในการทำกิจกรรมเล็กน้อย หรือผู้ป่วยรู้สึกสบายเมื่อพักแต่เมื่อทำกิจวัตรประจำวันตามปกติจะมีอาการแสดงภาวะหัวใจล้มเหลว
Class III หมายถึง ผู้ป่วยที่มีข้อจำกัดในการทำกิจกรรมมาก หรือผู้ป่วยจะรู้สึกสบายเมื่อพัก แต่เมื่อทำกิจกวัตรประจำวันแม้เพียงเล็กน้อยจะมีอาการแสดงภาวะหัวใจล้มเหลว
Class IV หมายถึง ผู้ป่วยไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้เลย แม้ในขณะพักมีอาการเหนื่อย หายใจลำบากชัดเจน
ปัจจัยเสี่ยง
โรคความดันโลหิตสูง
โรคเบาหวาน โรคอ้วน
และกลุ่มอาการเมตาโบลิก
กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง
พยาธิสภาพ
ในภาวะปกติหัวใจสามารถเพิ่ม CO (cardiac out put) ได้มากถึง 5 เท่าของระยะพัก
เมื่อการทำหน้าที่ของหัวใจลดลงจนไม่สามารถชดเชยให้มี CO เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ร่างกายจะปรับตัวร่วมกัน
Sympathetic nervous system จะทำงานมากขึ้น ทำให้หลอดเลือดแดงหดตัว เลือดดำไหลกลับหัวใจเพิ่มขึ้น หัวใจมีความแรงและเร็วในการบีบตัวมากขึ้น เพื่อเพิ่ม CO
Renin-angiotensin-aldersterone system (RASS) ถูกกระตุ้น ทำให้มีการดูดน้ำกลับและโซเดียมทางไตมากขึ้น เพื่อให้มีปริมาณเลือดเข้าสู่หัวใจเพิ่มขึ้น
Antidiuretic hormone (ADH) ทำหน้าที่เพิ่มการดูดน้ำกลับที่ท่อไตรวมและส่วนปลาย
การเพิ่มขนาดของกล้ามเนื้อหัวใจ
อาการแสดง
ภาวะหัวใจซ้ายไปขวา
การบีบตัวห้องล่างซ้ายลดลง ส่งผลให้มีเลือดคั่งในหัวใจห้องบนซ้ายและปอด จึงหอบเหนื่อย (Dyspnea) นอนราบไม่ได้ (Orthopnea) จากการที่นอนราบเลือดไหลกลับเข้าสู่หัวใจมากขึ้น
มีอาการเหนื่อยขณะนอนหลับ ซึ่งต้องตื่นมาลุกนั่งหายใจ (Paroxysmal nocturnal dyspnea: PND)
หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตต่ำจากการมี CO ลดลง
หัวใจเต้นเร็วอาจเต้นแรงสลับเบา (Pulsus alternans) เป็นผลจากการทำงานชดเชยของระบบประสาทซิมพาเธติก
ผิวหนังส่วนปลายเย็น ชื้น จากหลอดเลือดส่วนปลายหดตัว
ปัสสาวะออกน้อย จากเลือดไปเลี้ยงไตลดลง
ภาวะหัวใจขวาไปซ้าย
หลอดเลือดดำที่คอโป่งพอง (Jugular vein distention) จากมีแรงดันกลับ superior venacava เพิ่มขึ้น
บวมกดบุ๋ม บริเวณข้อเท้าและขา ตับโต มีน้ำในช่องท้อง และอาจพบอาการคลื่นไส้ เบื่ออาหาร
การประเมิน
ซักประวัติ
ผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรังอื่น ๆร่วมด้วย ควรซักประวัติการควบคุมโรคผ่านมา การใช้ยารับประทาน
ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะหัวใจล้มเหลว
ตรวจร่างกาย
ระบบหัวใจและหลอดเลือด หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว ประเมิน jugular vein distention ขนาดและตำแหน่ง PMI เพื่อประเมินหัวใจโต ประเมิน pitting edema, BMI, body weight
ระบบหายใจ เหนื่อย หายใจลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนอนราบ มีอาการไอ ฟังปอดได้ยินเสียง crepitation
ระบบประสาท งุนงง สับสน ระดับความรู้สึกตัวลดลงหรือหมดสติ จากร่างกายมีภาวะพร่องออกซิเจน
ระบบต่อมไร้ท่อและไต มีปัสสาวะออกน้อยลง และมีภาวะบวมจากการคั่งน้ำและโซเดียม
ระบบทางเดินอาหาร พบตับโต ท้องอืด คลื่นไส้ ความอยากอาหารลดลง
ตรวจห้องปฏิบัติการ
ตรวจรังสีปอด
ตรวจเลือด
ตรวจคลื่นสะท้อนความถี่สูง
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
การประเมินความดัยในหัวใจห้องซ้าย
การรักษา
การจัดการผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวในปัจจุบันเป็นไปตาม stage of heart failure
แบ่งแนวทางการจัดการออกเป็น 3 ส่วน คือ
1) การรักษาด้วยยาและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
2) การใส่เครื่องมือพิเศษ
3) การผ่าตัด
Stage A HF
มีเป้าหมายการจัดการ เพื่อป้องกันการเกิดโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด ให้ความสำคัญกับการคัดกรองและควบคุมปัจจัยเสี่ยงหรือภาวะที่เป็นอยู่ตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและรูปร่างของหัวใจ
ยาที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้ คือ Angiotensin converting enzyme inhibitors (ACEIs) หรือ Angiotensin receptor blocker (ARBs) ในผู้ป่วยเบาหวาน และ ผู้ป่วยที่ควบคุมความดันโลหิตได้ไม่ดี
การใช้ยา stastin เพื่อป้องกันหลอดเลือดแดงตีบแข็งในผู้ป่วยที่ระดับไขมันในเลือดสูง
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทำได้โดยการควบคุมน้ำหนัก งดสูบบุหรี่ การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม การับประทานอาหารที่ดีมีประโยขน์
Stage C HF
เป้าหมายการจัดการเพื่อควบคุมอาการ เพิ่มคุณภาพชีวิต ป้องกันการเข้ารับรักษาในโรงพยาบาล และการเสียชีวิต
สร้างความตระหนัก และความรับผิดชอบในการจัดการอาการของตนเอง ภายใต้การประสานความร่วมมือกับสหสาขาวิชาชีพ
ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีการจัดการตนเอง (self management) โดยรับการสนับสนุนจากครอบครัวและผู้ดูแล
ยาที่ใช้รักษาสำหรับผู้ป่วยทุกราย คือ ACEIs/ ARB, β-blocker ร่วมกับ loop diuretic เช่น furosemide ซึ่งมีประสิทธิภาพในการขับน้ำและโซเดียม
นอกจากนี้ยังมียาที่ใช้รักษาผู้ป่วยบางราย เช่น digitalis, hydralazine, nitrate ส่วน
Stage D HF
เป็นกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงเข้าสู่ระยะท้ายของโรค
เป้าหมายการจัดการ คือ การควบคุมอาการ การปรับปรุงคุณภาพชีวิต ลดการเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลซ้ำ
ช่วยผู้ป่วยในการตั้งเป้าหมายระยะท้ายของชีวิตร่วมกับครอบครัว
ผู้ป่วยจำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือพยุงหัวใจ หรือการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ
ได้รับการดูแลแบบประคับประคอง
การพยาบาล
ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจใน 1 นาที ลดลง เนื่องจากประสิทธิภาพการบีบตัวของหัวใจลดลง
ดูแลให้ได้รับยาเพื่อลดภาระงานของหัวใจ และเพิ่มปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจใน 1 นาที
ประเมินค่า PCWP (pulmonary capillary wedge pressure) ในรายที่มีอาการรุนแรงและเฉียบพลัน
การแลกเปลี่ยนก๊าซในปอดลดลงเนื่องจากการระบายอากาศและการกำซาบออกซิเจนไม่พียงพอ
ความทนต่อการทำกิจกรรมลดลง เนื่องจากประสิทธิภาพในการทำงานของหัวใจลดลง
มีโอกาสเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวกำเริบ เนื่องจากผู้ป่วยและหรือครอบครัวดูแลจัดการตนเองไม่เหมาะสม
ความดันโลหิตสูง
จุดมุ่งหมายการประเมินผู้ป่วยที่สงสัย
เพื่อยืนยันว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูงและประเมินความรุนแรงของโรค
พื่อประเมินร่องรอยอวัยวะที่ถูกทำลาย (TOD; taget organ damage) ได้แก่ LVH, hypertensive retinopathy, microalbuminuria, macroalbuminuria เป็นต้น
เพื่อตรวจหาโรคที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิด CVD เช่น โรคเบาหวาน, CKD,
เพื่อตรวจหาโรคความดันโลหิตสูงทุติยภูมิที่อาจจักษาต้นเหตุได้
ความหมาย
ระดับความดันโลหิต 140/90 mmHg หรือมากกว่า ซึ่งอาจจะเป็นตัวบนหรือตัวล่างก็ได้
Isolated systolic hypertension หมายถึง ระดับความดันโลหิตตัวบน 140 mmHg หรือมากกว่า แต่ระดับความดันตัวล่างต่ำกว่า 90 mmHg
Isolated office hypertension (white coat hypertension, WCH) หมายถึง ระดับความดันโลหิตเมื่อวัดในคลินิกหรือสถานพยาบาลมีค่า 140/90 มม. ปรอท หรือมากกว่า แต่เมื่อวัดความดันโลหิตที่บ้านพบว่าต่ำกว่า 135/85 (จากการวัดด้วยเครื่องวัดความดันโลหิตอัตโนมัติ)
Mask hypertension หมายถึง ภาวะที่วัดความดันโลหิตที่คลินิก หรือโรงพยาบาลพบว่า ปกติ แต่เมื่อวัดความดันโลหิตที่บ้านด้วยเครื่องวัดความดันโลหิตอัตโนมัติพบว่าสูง
การประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
ความเสี่ยงต่อการเกิด CVD จากโรคความดันโลหิตสูง ไม่ได้ตัดสินจากระดับความดันโลหิตอย่างเดียว แต่เป็นการประเมินปัจจัยเสี่ยงรวมได้
การตรวจพบว่ามีร่องรอยอวัยวะที่ถูกทำลาย
ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ต่อการเกิด CVD ได้แก่ อายุ เพศ ประวัติการสูบบุหรี่ ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ
การปรากฎว่าเป็น CVD อยู่แล้ว เช่น โรคหัวใจขาดเลือด ภาวะหัวใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดส่วนปลาย
โรคร่วมที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิด CVD เช่น โรคเบาหวาน CKD
ประวัติ
ประวัติเกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูง
ประวัติครอบครัว
ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ
อาการที่บ่งชี้ว่ามี TOD แล้ว
การตรวจร่างกาย
ตรวจยืนยันว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูงจริง ร่วมกับประเมินความรุนแรงของโรค
ตรวจหา TOD และ CVD
ร่องรอยของโรคอ้วนและภาวะอ้วนลงพุง ประเมินจาก BMI มีภาวะน้ำหนักเกิน เมื่อค่า BMI ≥ 23 กก/ม2 หรือ อ้วนเมื่อ BMI ≥25 กก/ม2 มีภาวะอ้วนลงพุงเมื่อเส้นรอบเอวในท่ายืน ≥ 90 ซม. ในผู้ชาย หรือ ≥ 80 ซม. ในผู้หญิง
การตรวจห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
Fasting plasma glucose
Serum total cholesterol, HDL, LDL, triglyceride
Serum electrolyte, serum creatinine, GFR
Hb, Hct
UA
ECG
ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเกิด CVD ควรตรวจเพิ่มเติมดังนี้
echocardiography
carotid ultrasonography
ankle brachial blood pressure index (ABI) และ pulse wave velocity (PWV)
วัดปริมาณ albuminuria หรือ protienuria ต่อวัน
ตรวจจอประสาทตา
ลักษณะผู้ที่มีความเสี่ยงสูงและสูงมากในการเกิดการเสียชีวิตจาก CVD
เป็นโรคความดันโลหิตสูงในระดับรุนแรง
มี pulse pressure > 60 มม. ปรอท
เป็นโรคเบาหวาน
มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิด CVD มากกว่า 3 ปัจจัยขึ้นไป
มี TOD โดยไม่มีอาการ
เป็น CVD แล้ว
เป็น CKD ตั้งแต่ stage 3 ขึ้นไป (eGFR < 60 มล./นาที/1.73 ม.2 )
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิด
โรคหัวใจและหลอดเลือด
ระดับ SBP และ DBP
อายุ >55 ปี ในเพศชาย หรือ>65 ปี ในเพศหญิง
ระดับไขมันในเลือดผิดปกติ total cholesterol > 200 มก./ดล., LDL-C > 130 มก./ดล., HDL-C < 40 มก./ดล. ในเพศชายหรือ< 50 มก./ดล.ในเพศหญิง หรือระดับ triglyceride > 150 มก./ดล.
FPG 100-125 มก./ดล.
ประวัติการเกิด CVD ในบิดา มารดา หรือพี่น้องก่อนวัยอันควร
อ้วนลงพุง WC >90 ซม. ในเพศชาย และ>80 ซม. ในเพศหญิง
สูบบุหรี่
ระดับของ pulse pressure > 60 มม.ปรอท
การรักษา
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต
การรักษาด้วยยา
ก่อนให้ยารักษาความดันโลหิต ควรได้รับการประเมินความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจาก CVD ใน 10 ปีข้างหน้าก่อน
จะเริ่มให้ยาลดความดันโลหิตทันที่ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจาก CVD สูงและสูงมาก
ส่วนผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงต่ำ เริ่มให้ถ้าหากความดันโลหิตของผู้ป่วยยังคงอยู่ในระดับ > 140/90 มม.ปรอท หลังจากให้คำแนะนำไปแล้วอย่างน้อย 1 เดือน
ผู้ป่วยกลุ่มที่มีความเสี่ยงปานกลางหรือปานกลางถึงสูง ควรเริ่มให้ยา ถ้าหากความดันโลหิตของผู้ป่วยยังคงอยู่ที่ระดับ > 140/90 มม.ปรอท หลังจากให้คำแนะนำอย่างน้อย 1 สัปดาห์ (สมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย, 2558)
ระดับความดันโลหิตเป้าหมาย
ผู้ป่วยทั่วไป ความดันโลหิต < 140/90 มม.ปรอท
ผู้ป่วยที่อายุมากกว่า 60 ปี แต่น้อยกว่า 80 ปี ความดันโลหิต < 140-150/90 มม.ปรอท
ผู้ป่วยที่อายุมากกว่า 80 ปี ความดันโลหิต
< 150/90 มม.ปรอท
ผู้ป่วยที่อายุน้อยกว่า 50 ปี ความดันโลหิต
< 130/80 มม.ปรอท
ผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิต < 140/90 มม.ปรอท
ผู้ป่วย CKD ที่ไม่มี albuminuria และโรคไตเรื้อรังที่มี albuminuria น้อยกว่า 30 มก.ต่อวัน ความดันโลหิต < 140/90 มม.ปรอท
ผู้ป่วย CKD ที่มี albuminuria ตั้งแต่ 30 มก.ต่อวันขึ้นไป ความดันโลหิต < 130/80 มม.ปรอท
การพยาบาลเพื่อป้องกัน
ติดตามวัดความดันโลหิต ชั่งน้ำหนักตัว และวัดรอบเอวอยู่เสมอ ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน และมีรอบเอวเกิน ต้องลดน้ำหนัก
หมั่นสังเกตอาการผิดปกติ
สร้างสุขนิสัยที่ดีและมีพฤติกรรมสุขภาพในการป้องกันความดันโลหิตสูง
ออกกำลังกายแบบแอโรบิคอย่างสม่ำเสมอ ควรออกกำลังกายความหนักระดับปานกลางอย่างน้อยวันละ 30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน เพื่อสุขภาพที่
ควบคุมอาหาร ควรรับประทานอาหารแบบ DASH (Dietary approach to stop hypertension) ลดอาหารรสจัดและมีโซเดียมสูง
ผ่อนคลายความเครียด และพักผ่อนอย่างเพียงพอ
หยุดสูบบุหรี่ และงดดื่มแอลกอฮอล์
รับประทานยาให้สม่ำเสมอ ตามแผนการรักษา จะช่วยควบคุมภาวะความดันโลหิตไม่ให้รุนแรงมากขึ้น และช่วยลดภาวะแทรกซ้อนให้เกิดช้าที่สุด
ขณะรับประทานยาลดความดันโลหิต ควรแนะนำให้ผู้ป่วยเปลี่ยนท่าทางช้า ๆ
ติดตามวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ
ปอดอุดกั้นเรื้อรัง
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุหลัก ทั้งสูบด้วยตนเอง หรือ เป็นผู้สูบบุหรี่มือสอง
มลพิษในอากาศ การใช้ไม้ฟืนในการทำครัวในบ้าน ฝุ่นควัน สารเคมีหรือสารระเหยจากการทำงาน
การขาด alpha1-antitrypsin (โรค Alpha1-antitrypsin (AAT) deficiency เป็นโรคทางพันธุกรรมที่ทำให้โมเลกุลของเอ็นไซม์ AAT ที่ผลิตในตับผิดปกติไป ปกติโมเลกุลตัวนี้ทำหน้าที่ต้านเอ็นไซม์ ชื่อโปรตีแอส (protease) ในปอด คนเป็นโรคนี้จึงมีเอ็นไซม์โปรตีนแอสค้างอยู่ในปอดมากและทำลายเยื่อบุถุงลมในปอด กลายเป็นโรคถุงลมโป่งพองเรื้อรัง
เพศชายและหญิงมีโอกาสเกิดโรคใกล้เคียงกัน เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการสูบบุหรี่ ซึ่งเพศหญิงมีพฤติกรรมการสูบบุหรี่มากขึ้น
ความยากจน พบว่า ความยากจนมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง กลไกไม่ทราบชัดเจน แต่สามารถอธิบายได้ว่า ผู้ที่มีฐานะยากจนมักจะอาศัยในสถานที่ที่แออัด สิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกบ้านมีฝุ่นควัน โภชนาการไม่ดี ติดเชื้อได้ง่าย
โรคหอบหืด พบว่า ผู้ที่เป็นโรคหอบหืดมีโอกาสเกิดโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง 12 เท่าของผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคหอบหืด (ดวงรัตน์ วัฒนกิจไกรเลิศ, 2559)
พยาธิสภาพ
การจำกัดการไหลของอากาศและการขังของอากาศในถุงลม (Airflow limitation and air tapping)
มีความผิดปกติของการแลกเปลี่ยนก๊าซ (Gas exchange abnormalities)
มีการหลั่งมูกเพิ่มมากขึ้น (Mucus hypersecretio)
ความดันในปอดสูง (Pulmonary hypertension: PAH)
อาการแสดง
เหนื่อย หายใจลำบาก ใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กช่วยในการหายใจ ผู้ป่วยต้องใช้แรงมากขึ้นในการหายใจ เมื่อโรคพัฒนารุนแรงขึ้นผู้ป่วยจะมีอาการหายใจลำบากแม้ทำกิจวัตรประจำวันหรือในขณะพัก
ไอเรื้อรัง พบในระยะแรกของโรค อาจมีหรือไม่มีเสมหะร่วมด้วย
แน่นหน้าอก หายใจมีเสียงหวีด (Wheeze)
เหนื่อยล้า น้ำหนักลด เบื่ออาหาร พบบ่อยในผู้ป่วยที่อยู่ในระยะรุนแรง
การวินิฉัยโรค
ซักประวัติ
การสูบบุหรี่ สัมผัสสารเคมี และมลพิษ การติดเชื้อทางเดินหายใจ
ตรวจร่างกาย
รูปร่างทรวงอกอาจพบว่าเป็นรูปถังเบียร์ (Barrel shape) ได้ยินเสียงโปร่ง จากการคั่งค้างของลมในปอด
Chest x-ray
อาจพบปอดพองลมทั้งสองข้าง (Bilateral hyperinflation) กะบังลมแบนราบ และหัวใจมีขนาดเล็ก
ABG
พบภาวะพร่องออกซิเจน มีการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์
สมถภาพปอด
โดยใช้เครื่องสไปโรเมตรีย์ (Spirometry) เป็นการวัดปริมาตรของอากาศที่หายใจเข้าออกจากปอด ค่าที่ได้จากการตรวจ คือค่า FEV1/FVC X 100ถ้าค่าที่ได้ น้อยกว่า 70% คือเป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ส่วนใหญ่ใช้วินิจฉัยในผู้สูงอายุสำหรับผู้ที่อายุน้อย และไม่มีอาการรุนแรง อาจต้องใช้ข้อมูลอื่น ๆ ร่วมในการวินิจฉัย เช่น อาการ ปัจจัยเสี่ยง
การรักษา
หยุดสูบบุหรี่
การใช้ยา
ยาขยายหลอดลมกลุ่ม Beta-adrenagic agonist
ยาขยายหลอดลม กลุ่ม Anticholinergic
ยาขยายหลอดลมกลุ่ม Methylxanthines
ยาลดการอักเสบกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteriods)
การรักษาด้วยออกซิเจน
เมื่อมีอาการกำเริบจะต้องค่อย ๆ เพิ่มความเข้มข้นออกซิเจน เพื่อให้ได้ค่าความอิ่มตัวออกซิเจน
เป้าหมาย คือ ระหว่างร้อยละ 88-92 ควรตอบสอบหลังให้ออกซิเจนไปแล้ว 30-60 นาที เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีภาวะคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ หรือภาวะเลือดเป็นกรด
การให้ออกซิเจนอย่างต่อเนื่อง หรือเกือบต่อเนื่อง พบว่า สามารถลดความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงในหลอดเลือดได้ (secondary polycythemia)
ลดค่าความดันเฉลี่ยในหลอดเลือดดำที่ปอด (decrease mean pulmonary artery pressure) ทำให้ความดันในปอดสูงเกิดช้าลง (delay pulmonary hypertension)
การรักษาอื่นๆ
• การให้วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
• การให้ Alpha1 antitrypsin
• การฟื้นฟูสมรรถภาพปอด
ตัวอย่างวินิฉัยการพยาบาล
มีความพร่องในการแลกเปลี่ยนก๊าซจากการระบายอากาศที่ลดลงและมีเสมหะปริมาณมาก
การระบายเสมหะไม่มีประสิทธิภาพ จากปริมาณเสมหะมีปริมาณมาก เหนียว และการไอไม่มีประสิทธิภาพ
ฟังเสียงหายใจ เพื่อประเมินเสียงหายใจที่ผิดปกติ
ประเมินความรุนแรงของอาการหายใจลำบาก โดยใช้ visual analogue scale (VAS)
ดูแลให้รับน้ำอย่างเพียงพอ ถ้าไม่มีข้อห้าม ซึ่งจะทำให้เสมหะระบายออกมาได้ง่าย ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว
ดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง โดยการทำกายภาพบำบัดปอด
จัดท่าเพื่อระบายเสมหะ (postural drainage) ให้เสมหะไหลตามแรงโน้มถ่วง
ความทนในการทำกิจกรรมลดลงเนื่องจากหายใจลำบาก
มีความวิตกกังวลเนื่องจาก อาการหายใจลำบาก
มีภาวะทุพโภชนาการ เนื่องจากรับประทานอาหารได้น้อย / ความอยากอาหารลดลง
แบบแผนการนอนหลับถูกรบกวน เนื่องจากอาการหายใจลำบาก และมีสิ่งเร้ากระตุ้นจากภายนอก
ปัญหาการสื่อสาร
ปัจจัยด้านผู้สูงอายุ
หู
ความสามารถในการได้ยินลดลง โดยช่วงแรกการรับเสี่ยงที่มีความถี่สูงหรือเสียงแหลมจะสูญเสียไปก่อน ต่อมาเป็นเสียงที่มีความถี่ปานกลางและต่ำ
เยื่อบุแก้วหูที่มีลักษณะแข็ง และเหี่ยวลีบ หรืออาจมีการอุดตันของขึ้หู
ตา
ตาฝ้ามัว มองไม่ชัด เนื่องจากแก้วตามีความหนาตัว มีความโค้งน้อย การหักเหของแสงไม่ดี รวมทั้งเลนส์ตาจะขุ่น หนาและแข็ง รูม่านตาลดลง ตอบสนองต่อแสงช้าลง จึงทำให้มีโอกาสเกิดโรคต้อกระจก ต้อหิน ต้อเนื้อได้ง่าย
อวัยวะการพูด
มะเร็งกล่องเสียง หรือช่องปาก ผู้สูงอายุที่เจาะคอ รวมทั้งผู้สูงอายุที่มีความจำเสื่อม ในที่สุดผู้สูงอายุเหล่านี้มักจะมีปัญหาในการสื่อภาษา
ความผิดปกติที่พบบ่อย
dysarthia
เป็นความผิดปกติในการควบคุมกล้ามเนื้อการพูด คือ พูดไม่ได้ พูดไม่ชัด พูดแบบลิ้นแข็งๆ หรือพูดตะกุกตะกัก
เกิดจากการอ่อนแรงของใบหน้า ปาก ลิ้น และขากรรไกร
สาเหตุเนื่องมาจากโรคหลอดเลือดสมองที่มีการตีบขนาดใหญ่ หรือตีบบริเวณเนื้อสมองส่วนสีขาว บริเวณก้านสมอง หรือบริเวณสมองน้อย ทำให้เกิดการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อที่ควบคุมบริเวณปากได้
แก้ไขปัญหาด้านการพูดด้วยการออกกำลังกาย นอกเหนือจากความลำบากในการพูดแล้วผู้ป่วยมักประสบปัญหาในการกลืนด้วย
ปัญหา (Dysarthria) จะดีขึ้นด้วยการบำบัดด้วยการฝึกพูดและการออกกำลังกาย
โดยปกติแล้วผู้ป่วยยังสามารถเข้าใจการสนทนา การอ่าน หรือการเขียน
aphasia
สาเหตุของความผิดปกติ มักจะพบในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง อุบัติเหตุทางสมอง เนื้องอกที่สมอง
ลักษณะอาการคือ พูดไม่ได้ หรือพูดได้หรือไม่เข้าใจภาษา
Aphasia เป็นความผิดปกติของการพูดและการเข้าใจภาษา
ความผิดปกติ
มีปัญหาเรื่องการรับรู้เข้าใจในภาษา (Wernicke’s Aphasia)
มีปัญหาเรื่องการแสดงออกทางภาษา แต่มีความเข้าใจในภาษาที่ปกติ (Broca’s Aphasia)
มีปัญหาเรื่องการนึกคำพูด (Nominal Aphasia)
ปัญหาทั้งเรื่องการแสดงออกทางภาษาและความเข้าใจในภาษา (Global Aphasia)
สมองที่เกี่ยวข้องกับการพูดและความเข้าใจภาษา
Wernicke's Area
สมองส่วนนี้อยู่บริเวณเหนือกกหูด้านซ้าย
เมื่อบริเวณนี้ถูกทำลายจะทำให้เกิดภาวะเสียการสื่อความหมาย (aphasia)
ความบกพร่องของความเข้าใจภาษาและการพูด ผู้ป่วยจะได้ยินสิ่งที่คนอื่นพูดแต่ไม่เข้าใจความหมาย
ผู้ป่วยพูดได้แต่เป็นคำที่ไม่มีความหมาย
บริเวณนี้ถูกค้นพบโดยนักประสาทวิทยาและจิตแพทย์ชาวเยอรมัน คาร์ล เวอร์นิเก
Broca's Area
อยู่บริเวณ brodmann’s area 44 และ 45
ถูกค้นพบโดยนายแพทย์ชาวฝรั่งเศส ปอล โบรกา
ถ้าบริเวณนี้ถูกทำลายจะทำให้สูญเสียการสื่อสารที่ออกมาเป็นคำพูด จะพูดได้ลำบาก พูดทวนคำไม่ได้ บอกชื่อสิ่งของไม่ได้ แต่ยังสามารถเข้าใจในสิ่งที่คนอื่นสื่อสารได้
การพยาบาล
aphasia
อธิบายสถานการณ์ การบำบัดรักษาและกิจกรรมทุกอย่างที่ต้องปฏิบัติกับผู้สูงอายุ
ปฏิบัติกับผู้สูงอายุอย่างผู้ใหญ่ ไม่ดูแลแบบเด็ก
พยายามสื่อสารด้วยคำพูดถ้าผู้สูงอายุฟังเข้าใจ
อดทนและให้เวลาสำหรับผู้สูงอายุในการสื่อสาร จัดสิ่งแวดล้อมที่เงียบ
พูดช้า ชัด ถามทีละคำถาม ให้รอคำตอบ อาจต้องถามซ้ำตามจำเป็น
สร้างสิ่งแวดล้อมที่ช่วยส่งเสริมผู้สูงอายุในการตัดสินใจ อธิบายหรือให้ข้อเสนอแนะ และสื่อสารในสิ่งที่ต้องการและความคิดได้ตามอิสระ
ผู้สูงอายุที่พูดไม่ได้ ให้ใช้คำถามที่ผู้สูงอายุสามารถตอบสนองได้โดยการกระพริบตาหรือพยักหน้า
แนะนำการสื่อสารโดยใช้ท่าทางแทนการพูด
ตกลงกับทีมสุขภาพให้เข้าใจว่ากิริยาท่าทางที่ใช้หมายถึงอะไร เพื่อลดความสับสนที่อาจเกิดจากการติดต่อที่หลากหลาย
ในกรณีที่ไม่เข้าใจคำพูดที่ผู้สูงอายุสื่อสารให้บอกผู้สูงอายุอย่างตรงไปตรงมาอย่างสุภาพและเอื้ออาทร และแสดงให้เห็นด้วยว่ามีความพยายามจะเข้าใจและช่วยกันหาวิธีการสื่อสารใหม่
เมื่อไม่เข้าใจว่าผู้สูงอายุพูดอะไรเป็นบางส่วน ให้ถามส่วนที่ไม่เข้าใจ เพื่อผู้สูงอายุจะได้พูดซ้ำในส่วนนั้นเท่านั้น
ควรพูดในสิ่งที่ผู้สูงอายุคุ้นเคยและสนใจ
ใช้วัตถุที่รับรู้ด้วยการมองเห็นช่วยในการสื่อสาร
กระตุ้นให้ผู้สูงอายุพูดจนจบ พยายามฟังและจับใจความ เปิดโอกาสในการถ่ายทอดความคิด
dysarthia
บอกกับผู้ที่ผู้สูงอายุสื่อสารด้วยว่า มีความยากลำบากในการสื่อสาร
การสนทนาควรกำหนดระยะเวลาและให้หยุดเมื่อรู้สึกเหนื่อย
พูด ช้า ๆ ดังๆ ในสิ่งแวดล้อมที่เงียบ
หายใจลึก ๆก่อนพูด พูดทีละคำ พูดในขณะหายใจออก เปิดปากให้กว้างเวลาพูด เพื่อให้ลิ้นได้เคลื่อนไหว
จัดท่านั่งหรือยืนในท่าตัวตรง จะช่วยให้ออกเสียงดีขึ้น
เมื่อรู้สึกคับข้องใจในการพูด ให้วิธีการอื่นทดแทน
บริหารใบหน้า
ขณะพูดกับผู้สูงอายุ ให้ความสนใจ ประสานสายตาและมองหน้าขณะพูด
ให้เวลาในการสื่อสารและชักชวนเมื่อผู้สูงอายุเงียบไป
บอกผู้สูงอายุเมื่อไม่สามารถเข้าใจคำพูดที่ผู้สูงอายุสื่อสาร
ถามในส่วนที่ไม่เข้าใจ ซึ่งจะทำให้ผู้สูงอายุพูดซ้ำในส่วนนั้นเท่านั้น
ตระหนักว่าผู้สูงอายุมี dysarthria ไม่ได้สูญเสียความฉลาดไปด้วย
สอบถามผู้สูงอายุถึงวิธีการที่จะช่วยในการสื่อสาร
ปัญหาการมองเห็น
ประเมินว่าควรจะพูดคุยกับผู้สูงอายุทางด้านไหนจึงจะเหมาะสม
ผู้สูงอายุตาบอด ต้องส่งเสียงพูดเมื่อพบกัน แนะนำตัวเองและผู้ที่อยู่ด้วย และเมื่อจากไปต้องบอก
ต้องแน่ใจว่าผู้สูงอายุอยู่ในสภาพที่พร้อมพูดคุย
อธิบายสิ่งที่อยู่รอบตัวเพื่อให้ผู้สูงอายุคุ้นเคย
พูดคุยด้วยเสียงปกติ และพูดด้วยท่าทางตามปกติที่เคยทำ เมื่อมีผู้เข้ามาใหม่ต้องแนะนำ บอกตำแหน่งที่อยู่ อาจให้แตะเบา ๆ ที่แขนเพื่อบอกตำแหน่ง
ลดสิ่งลบกวนความสนใจ
บอกตำแหน่งสิ่งต่างๆ อาจประยุกต์ใช้ตำแหน่งนาฬิกาช่วยในการบอก
ตรวจสอบแสงสว่างที่เหมาะสมที่ช่วยในการมองเห็นที่เหลืออยู่
ไม่โยกย้ายของในห้อง หรือจัดของในห้องใหม่โดยไม่บอกให้ผู้สูงอายุรู้
เมื่อจะส่งของให้ผู้สูงอายุ ควรบอกให้ผู้สูงอายุรับรู้ก่อน
เมื่อต้องเดินไปกับผู้สูงอายุ ต้องให้ผู้สูงอายุจับแขน ก่อนขึ้นบันไดให้หยุดเดินหรือรั้งไว้ บอกให้รับรู้
ในการพาไปนั่งให้วางมือผู้สูงอายุบนพนักเก้าอี้ บอกตำแหน่งตัวผู้สูงอายุกับเก้าอี้ และวัตถุอื่นที่อยู่ใกล้ ๆ
ผู้สูงอายุที่ตาบอดเกิดขึ้นภายหลัง ควรอธิบายความงามสิ่งต่าง ๆที่อยู่รอบตัว ความงามของทิวทัศน์ ดอกไม้ สีสรรต่าง ๆ ช่วยให้ผู้สูงอายุรำลึกถึงความทรงจำที่ได้คิดตาม
จัดอุปกรณ์ในการช่วยเหลือไว้ใกล้ ๆ สะดวกในการหยิบจับ
ตรวจเยี่ยมเพื่อสอบถามความต้องการเป็นระยะ
หลอดเลือดสมอง
ชนิด
เกิดจากการมีเลือดออกในสมอง (Hemorrhagic stroke) พบประมาณร้อยละ 20-25
เกิดจากสมองขาดเลือด (Ischemic stroke) พบ ประมาณร้อยละ 75-80
อาการ
หน้าเบี้ยว
แขนขาอ่อนแรง
พูดไม่ชัด
ปวดศีรษะ อาเจียน ชัก สับสน
ความรู้สึกตัวลดลง
กลืนลำบาก
กลั้นปัสสาวะอุจจาระไม่ได้
ปัจจัยเสี่ยง
เปลี่ยนไมได้
อายุ
เพศ
ชาติพันธ์
พันธุกรรม
ปรับเปลี่ยนได้
ความดันโลหิต
Atrial fibrillation
การสูบบุหรี่
เบาหวาน
ไขมันในเลือดสูง
เคยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง
ประเมินสภาพ
การซักประวัติ ประวัติการเจ็บป่วย อาการสำคัญ
การตรวจร่างกาย
ระดับความรู้สึก
การอ่อนแรงกล้ามเนื้อใบหน้า
การอ่อนแรงกล้ามเนื้อแขนขา
การประเมินด้วย Cincinnati pre-hospital stroke scale
หน้าเบี้ยว
แขนขาอ่อนแรง
พูดไม่ชัด
ผิดปกติ 1 ใน 3 ถือว่าเป็น
โรคหลอดเลือดสมองร้อยละ 72
อาการแสดงที่ต้องรายงานแพทย์ทันที
BP; SBP > 185-220 mmHg, DBP>120-140 mmHg
พร่องออกซิเจน O2 sat < 95 หรือมีภาวะcyanosis
GCS < 10 หรือ ลดลง
DTX<50mg% หรือ >400mg%
เจ็บหน้าอก ชัก เกร็ง กระตุก เหนื่อยหอบ
ตรวจวินิฉัย
ตรวจห้องปฏิบัติการ
ตรวจทางรังสี
การรักษา
แบบทางด่วง
เป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันและเข้ารับการรักษาภายในโรงพยาบาลไม่เกิน 3 ชั่วโมง
Reperfusion therapy คือ ให้ยาละลายลิ่มเลือด (RTPA, recombinant tissue plasminogen activator) ขนาด 0.9 มก./กก. ไม่เกิน 90 มก. ทางหลอดเลือดดำ
Prevention therapy ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบ ควรได้รับแอสไพริน 160-325 มิลลิกรัมต่อวัน ภายใน 48 ชั่วโมง
การป้องกันการกลับเป็นซ้ำ ได้แก่ การป้องกันเกล็ดเลือดเกาะตัว (antiplatelet treatment) คือ ให้แอสไพริน การป้องกันการเกิดลิ่มเลือด การลดความดันโลหิต การลดไขมันในเลือด รักษาระดับน้ำตาลให้คงที่ งดสูบบุหรี่
แบบไม่ใช่ทางด่วน
ข้อวินิฉัยการพยาบาล
เนื้อเยื่อสมองได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ เนื่องจากหลอดเลือดในสมองตีบหรืออุดตัน/แตก
ระดับความรู้สึกตัวลดลงเนื่องจากเนื้อเยื่อสมองได้รับออกซิเจนไปเลี้ยงไม่เพียงพอ
ระดับความรู้สึกตัวลดลงเนื่องจากมีภาวะสมองบวมหรือความดันกะโหลกศีรษะสูง
พร่องความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันเนื่องจากความรู้สึกตัวลดลงหรือแขนขาเคลื่อนไหวได้น้อยหรือไม่ได้เลย
การสื่อสารด้วยการพูดบกพร่องเนื่องจากเซลล์สมองด้านการพูดได้รับบาดเจ็บ
การพยาบาล
ขณะให้ยาละลายลิ่มเลือด
อธิบายญาติเข้าใจข้อดี ข้อเสียของการได้รับยาละลายลิ่มเลือด ให้ลงนามในใบยินยอมการรักษา
เปิดหลอดเลือดดำ 2 เส้น เส้นหนึ่งให้ 0.9 % NSS ที่เหลือ lock ไว้ให้ยา
การเตรียมยา คำนวนยาตามน้ำหนักตัว คือ 0.6-0.9 mg/kg ไม่เกิน 90 mg ผสมยาใน sterile water (ไม่ละลายในสารละลายที่มีน้ำตาล)
ยาที่ผสมเหลือให้เก็บไว้ในตู้เย็น อุณหภูมิ 2-8 C ถ้าไม่ใช้ใน 24 hr ต้องทิ้ง
ขณะให้ยาละลายลิ่มเลือดไม่ให้ยาชนิดอื่นเข้าทางสายให้สารน้ำเดียวกัน
ระยะฉุกเฉินและวิกฤติ
เฝ้าระวังไม่ให้เกิดภาวะพร่องออกซิเจนในเลือดและการหายใจที่ผิดปกติ (O2 saturation 95%)
ดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง ถ้าใส่เครื่องช่วยหายใจต้องดูแลการทำงานของเครื่องช่วยหายใจ ไม่ควรใช้ PEEP เพราะจะทำให้เพิ่ม ICP ได้
ดูดเสมหะเมื่อจำเป็นและต้อง Hyperventilate ทุกครั้ง
ไม่ใช้เวลาในการดูดเสมหะนานเกิน 10-15 นาที
ประเมินความรู้สึกตัวและภาวะเลือดออกในสมอง เช่น ปวดศีรษะ ความรู้สึกตัวลดลง ความดันโลหิตสูงขึ้น และมีคลื่นไส้อาเจียน
ดูแลให้ยาตามแผนการรักษา เช่น ยาละลายลิ่มเลือด ยากันชัก ยาลดความดันโลหิต
ระยะฟื้นฟูสภาพ
เพื่อป้องกันและเฝ้าระวัง
ผู้ป่วยและญาติเข้าใจความสำคัญของการรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง ห้ามหยุดยาหรือเพิ่มขนาดยาเอง
อธิบายและให้คำแนะนำเกี่ยวกับกิจกรรมที่ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงต่อการกลับเป็นซ้ำ
อธิบายอาการแสดงที่ผู้ป่วยต้องมาพบแพทย์ เช่น แขนขาอ่อนแรง ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด ความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น
มาตรวจตามแพทย์นัด
เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยและญาติซักถาม
ข้อเสื่อม
ลักษณะสำคัญ
มีการเสื่อมทำลายของกล้ามเนื้อและกระดูกบริเวณข้อ โดยไม่มีการอักเสบของข้อ
เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับข้อที่เคลื่อนไหวได้ ทำให้มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว
กระดูกอ่อนผิวข้อเสื่อมเป็นรอยถลอกกรอนไป ร่วมกับมีการสร้างกระดูกใหม่บริเวณขอบข้อ
พบมากในวัยสูงอายุ
ปัจจัยชักนำ
อายุ
การใช้งานข้อมากเกินไป เป็นเวลานาน
บาดเจ็บที่ข้อ
โรคอ้วน
ขาดวิตามินดีและซี
กรรมพันธุ์
อาการและอาการแสดง
ข้อเสื่อมมักเป็นหลายข้อ เป็นมากที่สุดคือข้อที่รับน้ำหนักมาก
ปวด ปวดตื้อ ๆ บริเวณข้อ ปวดมากเมื่อใช้งานหรือลงน้ำหนักบนข้อนั้น ทุเลาเมื่อพักใช้งาน
ข้อฝืด พบบ่อย ในช่วงเช้าและหลังพักใช้ข้อนั้นนาน ๆ
ข้อบวมผิดรูป ตรวจพบข้อที่อยู่ตื้น เช่น ข้อเข่า ข้อนิ้ว
อาจพบเข่าโก่ง เข่าฉิ่ง
สูญเสียการเคลื่อนไหวและการทำงาน
เสียงดังกรอบแกรบขณะเคลื่อนไหวข้อ
องศาการเคลื่อนที่ของข้อลดลง
การวินิฉัย
ซักประวัติและตรวจร่างกาย การตรวจข้อเข่าพบลักษณะที่สำคัญคือ ข้อบวม หรือขนาดข้อใหญ่
การถ่ายภาพรังสี พบช่องว่างระหว่างกระดูกเข่าแคบลงซึ่งหมายถึงกระดูกอ่อนมีการสึกหรอ
การเจาะเลือด การเจาะเลือดเพื่อวินิจฉัยแยกโรคที่อาจจะเป็นสาเหตุของโรคปวดเข่าเรื้อรังเช่น โรคเกาต์ หรือโรครูมาตอยด์
การตรวจน้ำหล่อเลี้ยงเข่า ในกรณีที่เข่าบวมแพทย์จะเจาะเอาน้ำหล่อเลี้ยงเข่าออกมาตรวจด้วยกล้องจุลทัศน์
การรักษา
เป้าหมายสำคัญ
เพื่อบรรเทาอาการปวด ลดการอักเสบ
แก้ไขหรือคงสภาพการทำงานของข้อให้ปกติ
ป้องกันและชะลอภาวะแทรกซ้อน
ให้มีคุณภาพชีวิตใกล้เคียงคนปกติ
การรักษาโดยไม่ใช้ยา
การรักษาโดยการใช้ยา
การรักษาโดยใช้เวชศาสตร์ฟื้นฟู
การรักษาโดยการผ่าตัด
การพยาบาล
ประเมินความปวด
ประเมินปัจจัยที่ทำให้อาการปวดเพิ่มขึ้นหรือทำให้อาการปวดลดลง เพื่อวางแผนป้องกันและควบคุมอาการปวด
ประเมินผลกระทบของความปวดต่อการทำกิจวัตรประจำวัน
แนะนำให้พักใช้ข้อในระยะที่มีการอักเสบเฉียบพลัน ลดการนั่ง ยืน เดินนาน ๆแต่ยังให้มีการเคลื่อนไหว
ประเมินความสามารถในการเคลื่อนไหวข้อ
สังเกตลักษณะการอักเสบของข้อ เช่น ปวด บวม แดง ร้อน
กระดูกพรุน
สาเหตุและปัจจัย
เพศและอายุ : หญิงมากกว่าชาย เพราะมีปริมาณเนื้อกระดูกน้อยกว่า30% สตรีวัยหมดประจำเดือน ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง
รูปร่างเล็กผอม เพราะมีปริมาณเนื้อกระดูกน้อยกว่า (BMI< 19)
เชื้อชาติ พันธุกรรม ชาวเอเชียผิวขาว มีโอกาสมากกว่าคนผิวดำ
คนที่มีประวัติคนในครอบครัวเกิดภาวะกระดูกพรุนมีโอกาสมากขึ้น
โรคประจำตัว
การไม่ได้เคลื่อนไหวหรือขาดการออกกำลังกาย
รับประทานอาหารเค็มจัด ลดการดูดซึมแคลเซียมที่ไต
รับประทานอาหารโปรตีนสูง ใช้แคลเซียมในกระดูกไปทำปฏิกิริยากับกรดอินทรีย์ที่สร้างจากโปรตีน
อาการและอาการแสดง
ปวดหลัง
Dowager's hump
น้ำหนักลด
กล้ามเนื้อเกร็งโดยเฉพาะบั้นเอว
การก้มทำได้น้อยกว่าแหงนเหยียด
การวินิฉัย
ใช้ Dual Energy X-ray Absorptionmetry (DEXA)
การวินิจฉัยกระดูกพรุนเมื่อ BMD น้อยกว่า -2.5 SD
นำค่าไปเปรียบเทียบกับค่าคนปกติในเพศเดียวกัน ถ้า bone mineral density น้อยกว่า 1.00 กรัม/ตารางซม. มีโอกาสกระดูกหักง่าย
วัด 2 ครั้งห่างกัน 1-2 ปี จะพยากรณ์โรคได้
เป็นเครื่องมือที่วินิจฉัยโรคกระดูกพรุนที่เหมาะสมที่สุด
ตรวจห้องปฏิบัติการ
CBC, แคลเซียม, ฟอตเฟต, อัลบูมิน
การทำงานของตับ ไต
ฮอร์โมนไทรอยด์ม พาราไธรอยด์
วิตามินดี (25- hydroxyvitamin D)
ฮอร์โมนเพศ เช่น estradiol, testosterone, folliclestimulating hormone (FSH) luteinizing hormone (LH)
การรักษา
ไม่ใช้ยา
การได้รับปริมาณแคลเซียมเพียงพอ
วิตามินดี
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
เสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน
การออกกำลังกาย
ใช้ยา
ป้องกันไม่ให้กระดูกหัก
ยาที่เลือกใช้ biphosphonate
การพยาบาล
ดูแลให้รับประทานอาหารที่แคลเซียมสูง ควรได้รับวันละ 1500มก. (นม 1 กล่อง 250 ซีซี มีแคลเซียม 300 มก.)
ประเมินและติดตามอาการปวด
ให้ยาแก้ปวดตามแผนการรักษา และใช้วิธีอื่น ๆ ในการลดอาการปวด
ให้การดูแลด้านอารมณ์ จิตใจ ให้ระบายความรู้สึก มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ป่วยอื่นที่มีปัญหาเหมือนกัน
โรคเบาหวาน
ประเภทเบาหวาน
ชนิดที่1
พบในเด็กหรือผู้ที่อายุน้อย
ส่วนใหญ่น้อยกว่า 30 ปี
มักจะผอม
เกิดจากตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินสุลินได้ ต้องรักษาโดยการฉีดอินสุลิน
ถ้าขาดจะเกิดภาวะหมดสติจากน้ำตาลในเลือดสูงและกรดคั่งในเลือด (Ketoacidosis)
ชนิดที่2
พบมากร้อยละ 95-97 ส่วนใหญ่มักจะอ้วน
ตับอ่อนยังพอผลิตอินสุลินได้
แต่มีภาวะดื้อต่ออินสุลิน
ระยะแรกรักษาโดยการควบคุมอาหารหรือยาเม็ดลดระดับน้ำตาลในเลือด
เป็นนาน ๆ อาจต้องฉีด
เพราะเบต้าเซลล์เสื่อมหน้าที่
ส่วนใหญ่พบในผู้สูงอายุ
ปัจจัยชักนำ
ปริมาณอินสุลินลดลง
เนื่องจากภาวะสูงอายุ
เกิดการดื้ออินสุลินเนื่องจากสูงอายุ
โรคอ้วน
กิจกรรมด้านร่างกายลดลง
ยาที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง
การเจ็บป่วยหรือความเครียด
กรรมพันธุ์
อาการและอาการแสดง
ระยะแรกไม่ค่อยมีอาการ
อาการทั่วไป: กินจุ ปัสสาวะบ่อย
ดื่มน้ำมาก น้ำหนักลด
ติดเชื้อบ่อย โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรีย
รา ที่ระบบทางเดินปัสสาวะ ผิวหนัง มีแผลหายยาก
ระบบประสาททำงานบกพร่อง
โรคของหลอดเลือดแดงขนาดใหญ่ (Macroangiopathy) ทำให้เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคหลอดเลือดส่วนปลาย
เตือนว่าเท้ามีปัญหาที่เท้า
เท้าเย็น และมีอาการปวดเป็นพัก ๆ
(Intermittent claudication)
ค่อยๆเปลี่ยนแปลงรูปร่างของนิ้ว
สีและความหยาบของผิวหนังเปลี่ยน
เกณฑ์วินิฉัยเบาหวาน
มีอาการของโรคเบาหวานร่วมกับมีระดับน้ำตาลกลูโคสในพลาสมาจากหลอดเลือดดำ(casual plasma glucose [CPG])
ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดหลังงดน้ำงดอาหาร(fasting plasma glucose [FPG])
ผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดที่เวลา 2 ชั่วโมงหลังทำการทดสอบความทนกลูโคส (oral glucose tolerance test [OGTT])
การควบคุมเบาหวาน
การควบคุมระดับน้ำตาลให้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด มีผลต่อการป้องกันและชะลอการเกิดโรคแทรกซ้อน
ควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนทางหลอดเลือดใหญ่ เช่น ระดับไขมันและความดันโลหิต
เพื่อให้ผู้ป่วยดำรงชีวิตในสังคมอย่างมีความสุข
ไม่มีโรคแทรกซ้อนทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง
เกรณฑ์บ่งชี้การควบคุมเบาหวานดี
ระดับน้ำตาลก่อนมื้ออาหาร
เท่ากับ 90-130 มก.ต่อดล.
ระดับน้ำตาลหลังมื้ออาหาร 2 ชั่วโมง
น้อยกว่า 180 มก.ต่อดล.
ระดับน้ำตาลเฉลี่ยฮีโมโกลบินเอวันซี (HbA1c) น้อยกว่า 7%
HDL-C มากกว่า 40 มก.ต่อดล.
LDL-C น้อยกว่า 100 มก.ต่อดล.
ไตรกลีเซอร์ไรด์ขณะอดอาหาร
น้อยกว่า 150 มก.ต่อดล.
ความดันโลหิตน้อยกว่า 130/80มม.ปรอท
การพยาบาล
เกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย การใช้ยา
ทำได้ยากเพราะเคยชินพฤติกรรมที่ปฏิบัติมานาน
พยาบาลต้อวใช้ความพยายามมากเป็นพิเศษ
ยาแบบรับประทาน
กระตุ้นการหลั่งอินสุลินจาก
ตับอ่อน: sulfonylurea
แก้ไขภาวะดื้อต่ออินสุลินที่ตับ เซลล์กล้ามเนื้อทำ
ให้อินสุลิน ออกฤทธ์ดีขึ้น: metformin
ชะลอการย่อยและการดูดซึมน้ำตาลของลำไส้ ลดระดับน้ำตาลหลังอาหาร
ต้องรับประทานยาพร้อมอาหาร: acarbose
แก้ไขภาวะดื้อต่ออินสุลินที่เซลล์กล้ามเนื้อ
ตับและไขมัน: rosiglitozone
แนะนำเกี่ยวกับการใช้อินสุริน
การฉีดอินสุลินวันละครั้งไม่เพียงพอ เพราะระดับอินสุลินไม่ขึ้นลงตามธรรมชาติ
การฉีด RI ก่อนอาหารและฉีด long acting ก่อนนอนเป็นวิธีที่ดี แต่พบว่าผู้ป่วยเจ็บตัวหลายครั้ง จึงมีการผสม intermediate and short acting ไว้ในขวดเดียวกัน เพราะยาออกฤทธิ์เป็น 2 peak เช่น Humulin 70/30
การฉีดหน้าท้องเป็นบริเวณที่ดูดซึมที่สุดและการดูดซึมไม่เปลี่ยนแปลงตามการออกกำลังกาย
การฉีดที่ขาทำให้เกิดภาวะน้ำตาลต่ำได้ง่าย
ห้ามนวดหรือคลึงบริเวณฉีด เพราะยาดูดซึมเร็ว
ภาวะท้องผูก
ชนิด
ตามลักษณะการขับถ่าย
ภาวะท้องผูกชนิดถ่ายลำบาก
หรือเจ็บปวดในขณะถ่าย
ภาวะท้องผูกที่มีการไหล
อุจจาระในลำไส้อย่างช้าๆ
ตามสาเหตุ
Primary constipation
การกินอาหารที่มีกากน้อย
การละเลยไม่ถ่ายอุจจาระทันทีที่ปวดถ่าย
การออกกำลังกายน้อย
การถูกจำกัดการเคลื่อนไหว
การไม่เคยชินสภาพแวดล้อมหรือไม่สะดวกในการขับถ่าย
การดื่มน้ำน้อย
มีกล้ามเนื้อหน้าท้องอ่อนแอ
Secondary constipation
มีก้อนเนื้องอกของลำไส้ ลำไส้กลืนกัน ไส้เลื่อน
การเคลื่อนไหวของลำไส้ผิดปกติ
มีความผิดปกติทางจิต เช่น วิตกกังวล ซึมเศร้า
มีความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ เช่น เบาหวาน โรคต่อมไทรอยด์
มีพยาธิสภาพของไขสันหลัง
การได้รับยา เช่น antacid, anticholinergics, tranquilizers, antidepressant, antihypertensive (calcium channel blocker), narcotic analgesic, NSAIDs
ประเมิน
ซักประวัติ
การตรวจร่างกาย
การพยาบาล
แนะนำรับประทานอาหารอย่างเพียงพอ และอาหารที่มีเส้นใยสูง
แนะนำให้ดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้วเป็นอย่างน้อย โดยเฉพาะหลังตื่นนอนตอนเช้าควรดื่มน้ำ 1 แก้ว
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟทำให้ขับน้ำในระบบปัสสาวะมากร่วมกับทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวลดลง
เคี้ยวอาหารให้ละเอียด
ออกกำลังกายสม่ำเสมอช่วยให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหวดีขึ้น
ออกกำลังกายอวัยวะที่ช่วยในการขับถ่าย คือ กล้ามเนื้อหน้าท้องและกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
การฝึกการขับถ่าย โดยกำหนดเวลาที่แน่นอนในแต่ละวัน เพื่อนั่งถ่ายอุจจาระ
กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ โดยการพลิกตะแคงตัวทุก 2 ชั่วโมง
ไม่กลั้นอุจจาระ เมื่อปวดควรรีบเข้าห้องน้ำทันที
ต่อมลูกหมากโต
สาเหตุ
ไม่ทราบชัดเจน
การโตของต่อมลูกหมากสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงตามวัย
ฮอร์โมน dihydrotestosterone หรือ DHT เกี่ยวข้องกับการเกิด BPH
วัยสูงอายุระดับเทสโตเสตอโรนในเลือดจะลดลงแต่ระดับ DHT จะคั่งอยู่ในต่อมลูกหมาก จะกระตุ้นให้สร้างเซลล์เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ (hyperplasia)
พยาธิสภาพ
ผนังด้านข้างหรือด้านในของต่อมลูกหมากจะเพิ่มจำนวนเซลล์มากผิดปกติ เกิดเป็นก้อน
เบียดเนื้อเยื่อเดิมให้บางออกจนเหมือนเปลือกหุ้มหรือเป็นแคบซูล เปรียบได้กับผลส้ม
ต่อมลูกหมากที่โตจะเปรียบเหมือนกลีบส้มส่วนของเดิมจะเปรียบเหมือนเปลือกส้ม
เบียดเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะทำให้ท่อปัสสาวะแคบลง
ทางเดินปัสสาวะจะถูกอุดกั้น
ปัสสาวะลำบากปัสสาวะไหลไม่สะดวก กระเพาะปัสสาวะจะปรับตัวไวต่อการกระตุ้น
ปัสสาวะบ่อยและกลั้นปัสสาวะไม่ได้
อาการ
อาการที่พบได้บ่อยคือ ปัสสาวะต้องเบ่งเมื่อเริ่มปัสสาวะ หรือรอนานกว่าจะปัสสาวะออกมาได้
ปัสสาวะไม่พุ่งเป็นลำเล็ก ๆ
ปัสสาวะไม่สุดเหมือนคนที่ยังไม่ได้ปัสสาวะ
ปัสสาวะบ่อย ต้องตื่นกลางคืนเนื่องจากปวดปัสสาวะ
การรักษา
การเฝ้าสังเกตอาการ (Watchful waiting)
รักษาโดยยา
การรักษาต่อมลูกหมากโตโดยไม่ใช้วิธีผ่าตัด
การผ่าตัดเป็นวิธีที่ดีที่สุดใน
การรักษาต่อมลูกหมากโต
การพยาบาล
กรณีที่รักษาโดยวิธี Watchful waiting
ควรแนะนำให้สังเกตอาการผิดปกติ และมาตรวจตามนัดอย่างสม่ำเสมอ
กรณีที่รักษาโดยการใช้ยา
แนะนำการรับประทานยา การออกฤทธิ์และผลข้างเคียงของยา พร้อมทั้งการมาตรวจตามนัดอย่างสม่ำเสมอ
กรณีที่รักษาโดยการผ่าตัด
ก่อนผ่าตัด
เหมือนการเตรียมผู้ป่วยผ่าตัดโดยทั่วไป
อาบน้ำสระผม เย็นวันก่อนการทำผ่าตัด
ทำความสะอาดและเตรียมบริเวณที่จะผ่าตัด โดยการโกนขนและล้างบริเวณ หัวหน่าวและฝีเย็บให้สะอาด
สวนอุจจาระก่อนนอนในคืนวันก่อนผ่าตัด
แพทย์อาจให้ยาบางชนิดก่อนผ่าตัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
ให้ยานอนหลับตามแผนการรักษา
หลังผ่าตัด
ประเมินสัญญาณชีพ
สังเกตสีและจำนวนปัสสาวะที่ออกมา
จัดท่าผู้ป่วยให้นอนเหยียดขาข้างที่ถูกตรึงไว้กับสายสวนปัสสาวะ
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการสวนล้างกระเพาะปัสสาวะอย่างต่อเนื่อง (Bladder irrigation, CBI) ด้วยน้ำเกลือ (NSS)
บางรายอาจมีอาการปัสสาวะไม่ออก ภายหลังการถอดสายสวนปัสสาวะ
อาจเกิดจาก กระเพาะปัสสาวะไม่บีบตัวเพราะต่อมลูกหมากโตมาเป็นเวลานาน
จะคาสายสวนปัสสาวะต่อ ให้อีกอย่างน้อย 2 สัปดาห์
คำแนะนำเพื่อการปฏิบัติตัวเมื่อกลับบ้าน
พักผ่อนให้เพียงพอ เดินออกกำลังกายในพื้นราบได้ งดเว้นการเดินขึ้นที่สูง ขึ้นบันไดบ่อย ๆ ห้ามแบกของหนัก
ดื่มน้ำมาก ๆ ประมาณ 2,500-3,000 ซีซีต่อวัน
ป้องกันภาวะท้องผูก
งดการมีเพศสัมพันธ์ อย่างน้อย 1-2 เดือน หลังการผ่าตัด
มาพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผลการรักษา
หากมีอาการผิดปกติหลังการผ่าตัด เช่น ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะไม่ออก หรือมีไข้ ควรรีบมาพบแพทย์
การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
ความชุก
ต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะละอายไม่กล้าบอก
คิดว่าปัญหาเกิดจากความสูงอายุ และไม่สามารถแก้ไขได้ จึงไม่ปรึกษาเพื่อทำการรักษา
ความชุกเพิ่มขึ้นตามอายุ และแปรผันตามสิ่งแวดล้อม
ชุมชนพบร้อยละ 15 บ้านพักคนชราร้อยละ 50 หอผู้ป่วยร้อยละ 70
ผู้สูงอายุหญิงสูงกว่าผู้สูงอายุชาย 2 เท่า
ผลกระทบ
ด้านร่างกาย
ระคายเคืองผิวหนัง
เกิดบาดแผล
เสี่ยงต่อการติดเชื้อผิวหนังและทางเดินปัสสาวะ
สมรรถภาพทางเพศลดลง
เสี่ยงต่อการหกล้ม
พักผ่อนไม่เพียงพอ
ด้านจิตใจและสังคม
คุณค่าตัวเองลดลง
แยกตัวจากสังคม
เกี่ยวข้องเศรษฐกิจเพราะต้องจัดซื้อผ้ารองซับปัสสาวะ
คุณภาพชีวิตลดลง
ปัจจัยเกี่ยวข้องการ
โครงสร้าง สรีรวิทยา ความสมบรูณ์ในการทำหน้าที่ของทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง
จิตใจและวัฒนธรรม: การตระหนักรู้
การใช้อุปกรณ์ในการขับถ่าย
สิ่งแวดล้อมที่ช่วยเกื้อกูลในการปัสสาวะ
ชนิด
กลั้นปัสสาวะไม่อยู่แบบชั่วคราว
หรือเฉียบพลัน
ป้องกัน รักษาให้หายได้ พบบ่อย แต่มักไม่ค่อยได้รับการประเมิน
การประเมินแบบกั้นไม่อยู่ชั่วคราว
DIAPPERS หลักการประเมิน
D = Delirium สูญเสียการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ เพราะสับสนเฉียบพลัน สาเหตุจากเสียสมดุลน้ำและอิเลคโตรไลท์ การติดเชื้อ
I = Infection of urinary tract
A = Atrophic vaginitis/ urethritis การขาดฮอร์โมนในวัยหมดประจำเดือน ทำให้เยื่อบุกระเพาะปัสสาวะแห้ง ช่องคลอดแห้ง การบีบรัดของหูรูดเสื่อมท่อปัสสาวะปิดไม่สนิท การได้รับฮอร์โมนทดแทน ทำให้ดีขึ้น
P= Pharmacological agents/ drug เช่น ยาขับปัสสาวะ แอลกอฮอล์
P= Psychological factors ปัญหาทางจิตทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับอารมณ์ ความตั้งใจในการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ
E = Excess urine output
R= Restrict mobility ไม้กั้นเตียง อุปกรณการแพทย์ติดตัว หลังผ่าตัด เตียงไกลจากห้องน้ำ
S = Stool impact อุจจาระอัดแน่น มีผลต่อกดท่อปัสสาวะ และกระเพาะปัสสาวะ ขับถ่ายบ่อย รีบด่วนขับถ่าย กลั้นปัสสาวะไม่ได้
กลั้นปัสสาวะไม่อยู่แบบเรื้อรัง
ประวัติเป็นมานานเป็นเดือนหรือเป็นปี
แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่
Functional incontinence
Stress incontinence
Urge incontinence
Overflow incontinence
การประเมินแบบกั้นไม่อยู่ชั่วคราว
DIAPPERS หลักการประเมิน
D = Delirium สูญเสียการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ เพราะสับสนเฉียบพลัน สาเหตุจากเสียสมดุลน้ำและอิเลคโตรไลท์ การติดเชื้อ
I = Infection of urinary tract
A = Atrophic vaginitis/ urethritis การขาดฮอร์โมนในวัยหมดประจำเดือน ทำให้เยื่อบุกระเพาะปัสสาวะแห้ง ช่องคลอดแห้ง การบีบรัดของหูรูดเสื่อมท่อปัสสาวะปิดไม่สนิท การได้รับฮอร์โมนทดแทน ทำให้ดีขึ้น
P= Pharmacological agents/ drug เช่น ยาขับปัสสาวะ แอลกอฮอล์
P= Psychological factors ปัญหาทางจิตทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับอารมณ์ ความตั้งใจในการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ
E = Excess urine output
R= Restrict mobility ไม้กั้นเตียง อุปกรณการแพทย์ติดตัว หลังผ่าตัด เตียงไกลจากห้องน้ำ
S = Stool impact อุจจาระอัดแน่น มีผลต่อกดท่อปัสสาวะ และกระเพาะปัสสาวะ ขับถ่ายบ่อย รีบด่วนขับถ่าย กลั้นปัสสาวะไม่ได้
การประเมิน
การเปลี่ยนแปลงด้านสรีระวิทยาในวัยสูงอายุ
โรคที่เกิดมาก่อน
ยาที่ผู้สูงอายุได้รับ
ประวัติการมีปัสสาวะราด
การตรวจร่างกายและการตรวจพิเศษ
การรักษา
การรักษาเชิงพฤติกรรม
(behavioral therapy)
การรักษาโดยการใช้ยา
(pharmacologic therapy)
การรักษาโดยการผ่าตัด
(surgical therapy)
การสวนปัสสาวะเป็นระยะ (intermittent catherization)
ผู้ป่วยอาจทำเองโดยการสวนปัสสาวะเป็นระยะอย่างสะอาด
(clean intermittent catheterization: CIC)
การคาสายสวนปัสสาวะ
(indwelling catherization)
การใช้อุปกรณ์ช่วยเก็บปัสสาวะ
การใช้ผ้าอ้อมอนามัยสำหรับผู้ใหญ่
ข้อวินิฉัยการพยาบาล
มีโอกาสเกิดแผลและติดเชื้อที่อวัยวะสืบพันธ์และผิวหนังเนื่องจากชื้นแฉะจากปัสสาวะ
แยกตัวจากสังคมเนื่องจากวิตกกังวลเกี่ยวกับการกลั้นปัสสาวะไม่ได้
การดูแลตนเองบกพร่องเนื่องจากขาดความรู้ในการดูแลตนเอง
หลักการพยาบาล
ค้นหาปัญหากลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ชนิดที่เป็น และร่วมแก้ไขสาเหตุ
ค้นหากลยุทธที่เคยใช้จัดการภาวะนี้แล้วประสบความสำเร็จ ส่งเสริมให้ใช้ต่อไป
พัฒนาแผนการดูแลเฉพาะผู้ป่วยแต่ละคน
โดยใช้ข้อมูลจากการประเมิน
หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ทำให้เกิดภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
หลีกเลี่ยงการใส่สายสวนปัสสาวะคาไว้ ทำให้เกิดการติดเชื้อ
ประเมินการได้รับน้ำและวางแผนการจัดการรับน้ำอย่างเพียงพอ
ปรับสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม
ป้องกันอันตรายเกิดกับผิวหนัง โดยทำความสะอาดทันทีเมื่อมีการ เปรอะเปื้อน
ใช้ผลิตภัณฑ์ดูดซับอย่างระมัดระวัง
จัดให้มีกริ่งขอความช่วยเหลือ
และให้การช่วยเหลือทันทีที่ต้องการ
หลีกเลี่ยงการผูกยึดหรือยกไม้กั้นเตียงตลอดเวลา
ประสานกับทีมสุขภาพในกจัดอุปกรณ์การช่วยเหลือในการเคลื่อนย้ายหรือการเดินที่เหมาะสม
การพยาบาล
แนะนำให้ปัสสาวะเมื่อรู้สึกอยากปัสสาวะ
แนะนำให้ปัสสาวะอย่างไม่เร่งรีบ ให้มีเวลานานพอที่ปัสสาวะได้มากที่สุด
แนะนำให้ใช้ Crede’s maneuver และ double voiding technique
ผู้สูงอายุชาย ให้ใช้อุปกรณ์ รองรับน้ำปัสสาวะช่วย
สวนปัสสาวะเป็นครั้งคราว
ประสานทีมสุขภาพในการใช้ยา Cholinergic –agonist or parasympathomimetic คือ bethanechol
นางสาวปัทมาศ บุญเชื่อม 61106010100