Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ - Coggle Diagram
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ
1. ความสำคัญของก๊าซออกซิเจนที่มีต่อร่างกาย
การแลกเปลี่ยนก๊าซเกิดจากความเข้มข้นที่ต่างกันของก๊าซระหว่างบรรยากาศและในเส้นเลือด ทำให้เกิดการซึมผ่านเลือกผ่านที่ผนังของถุงลมและหลอดเลือด และเข้าไปในเลือด แบ่งการทำงานเป็น 3 ส่วนหลัก ดังนี้
การทำงานของเม็ดเลือดแดง มีหน้าที่ขนส่งก๊าซ
เม็ดเลือดแดง
เป็นเซลล์เม็ดเลือดชนิดหนึ่ง มีหน้าที่หลักในการขนและส่งก๊าซในระบบหมุนเวียน แต่ละเซลล์เม็ดเลือดแดง จะมีส่วนประกอบที่เป็น
Hemoglobin
ทำหน้าที่ในการ จับกับก๊าซเพื่อการขนส่ง
ความดันออกซิเจนและการขนส่งสู่เนื้อเยื่อ หลักจากเลือดที่ออกจากปอดมีความดันออกซิเจนในเลือดสูงอยู่ เม็ดเลือดแดงจะปล่อยออกซิเจนจำนวนน้อยสู่กระแสเลือดเพื่อส่งไปหาเซลล์ต่างๆ
เลือดเป็นตัวกลางการส่งผ่านออกซิเจนสู่เซลล์
ส่วน
เม็ดเลือดแดงเป็นถังเก็บออกซิเจน
ที่จะค่อยๆปล่อยออกซิเจนออกมาเรื่อยๆ
การหมุนเวียน เพื่อกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
การขนส่งคาร์บอนไดออกไซด์โดย hemoglobin ในเม็ดเลือดแดง
คาร์บอนไดออกไซด์ไปรวมกับน้ำ เพื่อเกิดสารประกอบ
2. ปัจจัยที่มีผลต่อการได้รับออกซิเจนของบุคคล
การเดินทางหรืออาศัยในที่สูง มีผลให้ออกซิเจนมีระดับต่ำกว่าปกติ ทำให้ร่างกายได้ออกซิเจนน้อยกว่าปกติ
อยู่ในที่ที่มีมลพิษสูง ทำให้อากาศบริเวณนั้นมีออกซิเจนลดลง ร่างกายได้รับสารพิษจากอากาศ ทำให้ร่างกายต้องใช้ออกซิเจนเพิ่มขึ้น
การเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายหนักๆ ร่างกายต้องการออกซิเจนมากกว่าปกติอาจทำให้ได้รับออกซิเจนไม่ทั่วถึงและเพียงพอ
ความเครียด ทำให้เกิดภาวะนอนไม่หลับ การหายใจถี่ขึ้น ต้องการออกซิเจนมากขึ้น
อาหารที่มีไขมันมาก จะมีปริมาณออกซิเจนน้อย ทำให้ปริมาณออกซิเจนในเลือดต่ำลง
ผู้สูงอายุ ร่างกายคนเราจะเสื่อมลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น เช่น ระบบการหมุนเวียนเลือดและหัวใจ ทำให้ความสามารถในการรับออกซิเจนน้อยลง
การสูบบุหรี่ มีผลเสียต่อร่างกายในหลายๆระบบ การสูบบุหรี่เป็นระยะเวลานานๆส่งผลให้เกิดอาการพร่องออกซิเจน
การดื่มสุราและเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์ การดื่มในปริมาณมากเกินควรจะส่งผลให้ร่างกายเกิดผลเสียแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง
3. การประเมินภาวะพร่องออกซิเจน
1. การประเมินสภาพร่างกาย
ระบบทางเดินหายใจ ระยะแรกของเซลล์พร่องออกซิเจนอย่างอ่อน พบว่า ผู้ป่วยมีอาการหายใจไม่สะดวก หายใจลำบากเมื่อนอนราบ ต้องนั่งหายใจหลังจากนอนหลับไปแล้วระยะหนึ่ง
ระบบหัวใจและหลอดเลือด ประเมินพบ ชีพจรเต้นเร็วผิดปกติ ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นในระยะแรก
ระบบประสาทส่วนกลาง ประเมินพบ ความรู้สึกตัวของผู้ป่วยเปลี่ยนแปลงกระสับกระส่าย สับสน มึนศีรษะ ปวดศีรษะ
ระบบผิวหนัง ระยะแรก พบว่า ผิวหนังผู้ป่วยเย็น ซีด เพราะร่างกายจะตอบสนองต่อภาวะพร่องออกซิเจน
ระบบทางเดินอาหาร ประเมินพบว่า มีอาการคลื่นไส้ อาเจียนในระยะแรก
2. การประเมินการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ระดับค่าก๊าซในหลอดเลือดแดง (Arterial blood gas; ABG) เป็นการตรวจเพื่อหาประสิทธิภาพการทำงานของปอด เพื่อประเมินความสามารถในการแลกเปลี่ยนก๊าซ และการหายใจ
ค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (Arterial oxygen saturation) ใช้ Pulse oximeter เป็นอุปกรณ์ที่วัดร้อยละของฮีโมโกลบินที่จับกับออกซิเจนต่อปริมาณฮีโมโกลบินทั้งหมดในเลือด
การตรวจหาระดับฮีโมโกลยิน (Hemoglobin: HB) ในเลือดค่าฮีโมโกลบินปกติในผู้หญิง 11.5-16.5 gm% และในผู้ชาย 13.0-18 gm%
4. สาเหตุและการพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ
1. อาการไอ (Cough)
สาเหตุของการไอ
การอักเสบหรือการบวมบริเวณทางเดินหายใจ มีอาการไอน้อยกว่า 2 สัปดาห์
ฝุ่น ควัน สารเคมี อาหาร หรือน้ำที่สำลักเข้าไป
ความร้อน - เย็นของอากาศ จะทำให้การไอมากขึ้น
ลักษณะของอาการไอ
ไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะ เช่น ไอเนื่องจากมีฝุ่นละอองมาก
ไอมีเสมหะ ซึ่งเสมหะที่เป็นหนอง เกิดจากการติดเชื้อในทางเดินหายใจ เช่น โรคปอดบวม
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอ
ประเมินประสิทธิภาพการไอ ลักษณะไอแห้งๆ หรือไอแบบมีเสมหะ โดยการฟังเสียงไอ
สังเกตและบันทึกลักษณะ เสียง ความถี่ และระยะเวลาของการไอ
ถ้าไอมีเสมหะให้สังเกต บันทึกจำนวน ลักษณะ สี กลิ่นของเสมหะด้วย
ดูแลความสะอาดของปาก ฟัน และสิ่งแวดล้อม
กระตุ้นให้ดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ และปริมาณมาก
กระตุ้นให้เปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ เพื่อให้เสมหะที่ค้างในปอดเคลื่อนออกมาได้ง่าย
สอนการไออย่างมีประสิทธิภาพ
ดูแลให้ยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการไอตามแผนการรักษา
2. Hemoptysis
ชนิดของการไอเป็นเลือด
ไอจนมีเลือดสดออกมา พบในวัณโรคปอด
ไอจนมีเลือดปนออกมา คือ มีเสมหะและเลือดปนเป็นเนื้อเดียวกัน พบในโรคมะเร็งของหลอดลม
ไอจนมีเลือดออกเป็นสายปนกับเสมหะแต่ไม่เป็นเนื้อเดียวกัน
ไอจนมีเสมหะสีคล้ายสนิม จากมีเลือดเก่าๆปนออกมาด้วย
สาเหตุของการไอเป็นเลือด
อุบัติเหตุ
การอักเสบ ทำให้เกิดอาการไออย่างรุนแรง
เนื้องอก และมะเร็ง
ความผิดปกติของหลอดเลือดและโรคปอดต่างๆ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอเป็นเลือด
ให้ผู้ป่วยพักผ่อนและให้การหายใจเคลื่อนไหวน้อยที่สุด
ประเมินชีพจร หายใจ และความดันโลหิต
ถ้าเสียเลือดมาก อาจต้องให้เลือด ต้องเฝ้าระวังการแพ้เลือดที่อาจเกิดขึ้นได้
ผู้ป่วยอาจตกใจมาก ทำให้มีอาการหายใจเร็วขึ้น
3. Hiccup
สาเหตุของอาการสะอึก
อาการสะอึกเป็นอาการปกติไม่ได้เกิดจากโรค โดยมีสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่พบบ่อย เช่น กินอิ่มมากเกินไป ดื่มเครื่องดื่มพวกที่ทำให้เกิดแก๊ส เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่จัด หรือมีการเปลี่ยแปลงอุณหภูมิของกระเพาะอาหารทันที
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการสะอึก
ให้ดมสารที่มีกลิ่นฉุน เช่น แอมโมเนีย
ให้ชิมของเปรี้ยวจัด เช่น น้ำมะนาว
แนะนำให้หายใจเข้าออกในถุงปิด
แนะนำให้กลั้นหายใจเป็นพักๆ
ใช้เทคนิคเบี่ยงเบนความสนใจ
ดูแลความปลอดภัยจากสิ่งแวดล้อม
4. Dyspena
สาเหตุของการหายใจลำบาก
สาเหตุเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เช่น ทางเดินหายใจอุดกั้น
สาเหตุเกี่ยวกับหัวใจ เช่น การทำงานของหัวใจไม่ดี
สาเหตุเกี่ยวกับประสาท ทำให้การควบคุมการหายใจไม่ดี
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการหายใจลำบาก
ดูแลให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูง และให้ออกซิเจนร่วมด้วย
ดูแลประคับประคองด้านจิตใจ
เตรียมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ สำหรับช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน
ดูแลให้ยาขยายหลอดลม
ดูแลให้ออกซิเจนชนิดละอองฝอย
ฝึกให้ผู้ป่วยหายใจและการไออย่างมีประสิทธิภาพ
5. Chest pain
สาเหตุของอาการเจ็บหน้าอก
อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจากล้ามเนื้ออักเสบ
อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจากเยื่อหุ้มปอดอักเสบ
อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจากเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจากหัวใจ
อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจากหลอดลมอักเสบ
อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจากสเส้นประสาท
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอก
สังเกตอาการ ถ้าผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดที่เยื่อหุ้มปอด
ประเมินสาเหตุของอาการว่า อาการเจ็บหน้าอกเกิดจากหัวใจหรือปอด
จัดเตรียมอุปกรณ์การให้ออกซิเจนและพิจารณาให้ออกซิเจนแก่ผู้ป่วย
5. บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
1. อาการและอาการแสดงของภาวะขาดออกซิเจน
วิตกกังวล (anxiety) กระสับกระส่าย (restlessness)
ระดับการมีสมาธิลดลง (decreased ability to concentrate)
ระดับความรู้สึกตัวลดลง (decreased level of consciousness)
ความอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าเพิ่มขึ้น (increased fatigue)
มีอาการวิงเวียนศีรษะคล้ายบ้านหมุน (vertigo)
แสดงพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป (behavior changes)
อัตราการเต้นของชีพจรเร็วขึ้น (increase pulse rate)
ในช่วงแรกอัตราการหายใจเร็วขึ้นและลึก (increase rate and depth respiration)
ความดันโลหิตลดลง (blood pressure will decrease)
หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ (cardiac dysthymias)
มีภาวะซีด (pallor)
มีอาการเขียวคล้ำ (cyanosis)
กรณีเป็นภาวะขาดออกซิเจนเรื้อรัง พบนิ้วปุ้ม (clubbing)
อาการหายใจลำบาก (dyspnea)
2. วัตถุประสงค์ของการให้ออกซิเจนเพื่อการรักษา
เป็นการรักษาภาวะพร่องออกซิเจนทำให้ออกซิเจนในเลือดต่ำ โดยวิธีการเพิ่มปริมาณออกซิเจนในถุงลมปอด และกระแสเลือด
เป็นการลดอาการขาดออกซิเจนเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพอง
เป็นการช่วยการทำงานของระบบทางเดินหายใจ หัวใจ
3. ข้อบ่งชี้ของการให้ออกซิเจน
มีภาวะขาดออกซิเจนในเลือด
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะ hypoxemia ตามมาหลังได้รับการรักษาเบื้องต้นแล้ว
เกิดภาวะบาดเจ็บขั้นรุนแรง
ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดชนิดเฉียบพลัน
การให้ออกซิเจนเป็นเวลาช่วงสั้นๆในการทำผ่าตัด
4. ข้อควรระวังและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการให้ออกซิเจน
อาจเกิดภาวะกดการหายใจผู้ป่วยที่หายใจเอง
อาจเกิดภาวะปอดแฟบ
ควรระวังการให้ออกซิเจนในผู้ป่วยที่ได้รับพิษจาก paraquat
ขณะทำผ่าตัดด้วยวิธีเลเซอร์ในทางเดินหายใจ ควรจำกัดความเข้มข้นของออกซิเจนที่ใช้ในต่ำที่สุด
ควรระวังการให้ความชื้นร่วมกับออกซิเจน
การมีความเข้มข้นระดังสูงของออกซิเจน
5. การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจน
หมั่นสังเกตและประเมินภาวะของผู้ป่วย
หมั่นตรวจดูอุปกรณ์ที่ให้ออกซิเจน
ดูแลทางเดินหายใจโดยท่าทางเดินหายใจ
ดูแลความสะอาดของจมูกและปากบ่อยๆ หรือทุก 2-3 ชั่วโมง
ดูแลด้านจิตใจ เพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและญาติ
6. เทคนิคการพยาบาลที่เกี่ยวข้องในการให้ออกซิเจนแบบต่างๆ
1. ระบบการให้ออกซิเจน
1. ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดต่ำ (Low flow system)
การให้ออกซิเจนชนิดเขี้ยว (nasal cannula)
การให้ออกซิเจนทางหน้ากาก (mask)
Simple mask
Reservoir bag (partial rebreathing mask)
Non rebreathing mask
2. ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดสูง (High flow system)
การให้ออกซิเจนชนิด T-piece
การให้ออกซิเจนทางท่อหลอดลม tracheostomy collar
การให้ออกซิเจนชนิด croupette tent
การให้ออกซิเจนชนิด hood หรือ oxygen box
การให้ออกซิเจนทางท่อช่วยหายใจ endotracheal tube
3. ระบบให้ความชื้น (Humidification)
ชนิดละอองโต (Bubble) ให้ความชื้นในส่วนต้นของทางเดินหายใจ 30-40%
ชนิดละอองฝอย (Jet) ให้ความชื้นในทางเดินหายใจที่อยู่ลึกเหมาะกับผู้ป่วยที่มีเสมหะเหนียว
แหล่งให้ออกซิเจน (Oxygen source)
ถังบรรจุออกซิเจน (Oxygen tank)
ระบบท่อ (Oxygen pipeline)
2. บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
การจัดท่าผู้ป่วย
การบริหารการหายใจ
การหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องหรือกระบังลม(diaphragmatic breathing)
การหายใจโดยการห่อปาก (pursed-lip breathing)
การหายใจเข้าลึกๆ (deep breathing)
3. การดูดเสมหะ (suction)
การช่วยทำให้ทางเดินหายใจโล่ง
การเพิ่มความสามารถในการขยายตัวของทรวงอกและปอด
การเพิ่มปริมาณออกซิเจนที่เข้าปอด
การลดความต้องการปริมาณออกซิเจนในร่างกาย
การผ่อนคลายความวิตกกังวล
วิธีการดูดเสมหะ
เครื่องดูดเสมหะ
เครื่องดูดเสมหะชนิดเคลื่อนที่ (mobile suction)
ชนิดติดฝาผนัง (wall suction)
การดูดเสมหะทางจมูก (Nasopharygeal) หรือปาก (oropharyngeal suction)
การดูดเสมหะทางท่อช่วยหายใจ (Endotracheal) หรือทางท่อหลอดคม (tracheostomy suction)
อาการแทรกซ้อน
แรงกด หรือการระคายเคืองบริเวณจมูกและริมฝีปากอาจทำให้เกิดแผล หรือเกิดแผลจากการดูดเสมหะหลายๆครั้ง
มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย เช่น โพรงจมูกอักเสบ ภาวะหูอักเสบ ต้องทำความสะอาดช่องปากทุกครั้งหลังดูดเสมหะ
เกิดการระคายเคืองของเยื่อบุทางเดินหายใจ ในขณะดูดเสมหะ
อาจเกิดการสำลักจากการกระตุ้น gag reflex หรือจัดท่าผู้ป่วยไม่ถูกต้อง
ริมฝีปากแห้งเกิดเป็นแผลได้ง่าย ให้ทาครีมทุกครั้งหลังทำความสะอาดปาก
อาจเกิดความผิดปกติในผู้ป่วยโรคหัวใจ
การพยาบาลผู้ป่วยด้านจิตใจก่อน/ขณะ/และหลังการดูดเสมหะ
แสดงท่าทางสุภาพอ่อนโยน และช่วยลดภาวะตื่นกลัว
อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงวัตถุประสงค์และความจำเป็นของการดูดเสมหะ
บอกให้ผู้ป่วยทราบก่อนว่า จะทำการดูดเสมหะอย่างเบามือที่สุด
อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจว่าจะมีการหายใจลำบากในขณะดูด
ทำการดูดเสมหะด้วยความเบามือ และนุ่มนวล
หลังดูดเสมหะเสร็จเช็ดทำความสะอาด เก็บของใช้ และจัดสิ่งแวดล้อมให้เรียบร้อย
พูดให้กำลังใจก่อนเดินออกจากเตียงผู้ป่วย
การเก็บเสมหะ มี 2 วิธี คือ
การเก็บเสมหะส่งตรวจ (Sputum examination)
การตรวจเสมหะแบบเพาะเชื้อ (Sputum culture)
7. ความปลอดภัยขณะผู้ป่วยได้รับออกซิเจน
1. ข้อควรปฏิบัติและต้องคำนึงถึง ดังนี้
อาจเกิดการติดเชื้อโรคแทรกซ้อน
อาจทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจแห้งและเกิดการระคายเคืองได้
อาจเกิดการทำลายเนื้อเยื่อไปหมด
อาจเกิดอันตรายกับดวงตา
อาจเกิดการหยุดหายใจ
อาจเกิดอุบัติเหตุจากการเกิดไฟไหม้หรือการระเบิด
2. หลักปฏิบัติในการให้ออกซิเจนชนิดต่างๆ
ล้างมือให้สะอาด สวม mask เพื่อป้องกันการนำเชื้อ
ประเมินสัญญาณชีพและระดับความรู้สึกตัว
ใส่ flow meter กับแหล่งที่มาของออกซิเจนที่มาจากชนิดผนัง
ต่อกระบอกความชื้นที่ใส่น้ำกลั่นปลอดเชื้อ ให้ระดับน้ำอยู่ตรงตำแหน่งขีดที่กำหนดข้างกระบอกป้องกันไม่ให้ flow meter
ปรับระดับลูกลอยใน flow meter จะได้ปริมาณของออกซิเจนมีหน่วยเป็นลิตรต่อนาทีตามที่ต้องการ
หมุนปุ่มเปิด flow meter ปรับอัตราการไหลของออกซิเจนทิ้งไว้ 1-2 นาที
กรณีให้ nasal cannula ให้ปฏิบัติ ดังนี้
ทำความสะอาดช่องจมูกทั้งสองข้าง และทุก 8 ชั่วโมง
สวมเขี้ยวเข้าในช่องจมูกทั้ง 2 ข้าง โดยให้ส่วนโค้งแนบไปกับโพรงจมูก คล้องสายกับใบหู 2 ข้าง ปรับสายให้พอดีใต้คาง
กรณีให้ mask ให้ปฏิบัติ ดังนี้
simple mask ครอบหน้ากากบริเวณสันจมูกและปากให้แนบสนิท ปรับสายคล้องทัดเหนือใบหูรอบศีรษะ
ชนิดมีถุง เปิดออกซิเจนไหลผ่านถุง 10-20 ลิตร/นาที จนถุงโป่งเต็มที่เพื่อไล่ก๊าซอื่นที่ค้างในถุง
กรณีให้ oxygen hood ให้ปฏิบัติ ดังนี้
ต่อท่อออกซิเจนเข้ากับกล่อง
วางครอบเฉพาะศีรษะและไหล่ ระวังไม่ให้สายอยู่ใกล้หน้าเด็ก
กรณีให้ T-piece ให้ปฏิบัติ ดังนี้
ควรดูดเสมหะออกก่อนเพื่อให้ออกซิเจนไหลผ่านหลอดลมคอได้สะดวก
ต่อสาย T-piece ครอบท่อหลอดลมคอ จัดายไม่ให้เกิดภาวะดึงรั้งกรณีผู้ป่วยที่ได้รับยาในรูปการสูดละอองยาเข้าทางเดินหายใจโดยตรง
ลงบันทึกทางการพยาบล ได้แก่ อาการ สัญญาณชีพ ปริมาณออกซิเจนที่ให้อุปกรณ์ที่ใช้
8. กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
การประเมินภาวะสุขภาพ (Health assessment)
การวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing diagnosis)
ข้อมูลสนับสนุน
การวางแผลการพยาบาล (Planning)
วัตถุประสงค์
เกณฑ์การประเมินผล
การวางแผล
การปฏิบัติการพยาบาล (Implementation)
การประเมินผลการพยาบาล (Evaluation)
ประเมินผลลัพธ์การพยาบาล
ประเมินผลกิจกรรมการพยาบาล
ประเมินผลคุณภาพการบริการ