Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การติดเชื้ออื่น ๆ ขณะตั้งครรภ์ - Coggle Diagram
การติดเชื้ออื่น ๆ ขณะตั้งครรภ์
1. การติดเชื้อไวรัสรับอักเสบชนิดเอ
(hepatitis A virus: HAV)
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
การตั้งครรภ์ไม่มีผลทำให้อาการของโรครุนแรงมากขึ้น อาจมี
การแพร่กระจายเชื้อไปยังทารกในระยะคลอด หรือระยะหลังคลอดได้
การประเมินและการวินิจฉัย
2.การตรวจร่างกาย
ตรวจพบลักษณะอาการทางคลินิกของการติดเชื้อ HAV
3.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ตรวจหา antibody-HAV และ IgM-anti HAV และตรวจการทำงานของตับ
1.การซักประวัติ
เกี่ยวกับการรับประทานอาหาร การขับถ่าย การสัมผัสเชื้อโรค
อาการและอาการแสดง
อาการและอาการแสดงที่พบ ได้แก่ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อ และปวดศีรษะ มักไม่มีอาการของดีซ่าน
การป้องกันและการรักษา
ส่วนใหญ่เป็นการรักษาแบบ
ประคับประคองตามอาการที่ปรากฏ
สาเหตุ
ตับอักเสบจากไวรัสตับอักเสบเอ (hepatitis A virus: HAV) เกิดจากการติดเชื้อ hepatitis A virus ติดต่อโดยการรับประทานอาหารหรือน้ำที่มีการปนเปื้อนเชื้อโรคตับอักเสบเอเข้าไป
การพยาบาล
อธิบายให้สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวเข้าใจเกี่ยวกับโรค การรักษา การดูแลตนเองที่เหมาะสม และการป้องกันภาวะแทรกซ้อน
แนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัว ดังนี้
2.1 พักผ่อนอย่างเพียงพอ
2.2 รับประทานอาหารที่สุก สะอาด และย่อยง่าย และดื่มน้ำให้เพียงพอ
2.3 มาตรวจตามนัดเพื่อประเมินสภาวะของสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
2.4 หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีผลต่อตับ ได้แก่ acetaminophen และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
4. สุกใส (Varicella-zoster virus: VZV)
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ภาวะภูมิคุ้มกันที่ลดลงจากการตั้งครรภ์ ซึ่งส่วนใหญ่ ร้อยละ 40 จะมีปัญหาภาวะปอดอักเสบ หรือปอดบวม ทำให้ระบบหายใจล้มเหลว บางรายอาจจะมีอาการทางสมอง ทำให้ซึมลง และมีอาการชัก ทำให้เสียชีวิตได้ทั้งแม่ และทารกในครรภ์
ผลกระทบต่อทารกในครรภ์
การติดเชื้อในครรภ์ โดยทารกในครรภ์มีโอกาสติดได้ร้อยละ 10 เท่าๆ กันทุกไตรมาส โดยเฉพาะในไตรมาสแรก อาจทำให้ทารกเกิดความพิการก่อนกำเนิดได้
การติดเชื้อปริกำเนิด อาจติดเชื้อผ่านทางมดลูก และช่องทางคลอด
อาการและอาการแสดง
มักจะมีไข้ต่ำ ๆ นำมาก่อนประมาณ 1-2 วันแล้วค่อยมีผื่นขึ้น ลักษณะของผื่น และตุ่ม มักจะขึ้นตามไรผม หรือหลังก่อน จะเห็นเป็นตุ่มน้ำใสๆ บนฐานสีแดง เหมือนหยาดน้ำค้างบนกลีบกุหลาบ (dewdrops on a rose petal)
แล้วค่อยลามไปบริเวณหน้าลำตัว และแผ่นหลัง มีอาการปวดเมื่อยตามตัวร่วมด้วย คล้ายอาการของไข้หวัดใหญ่บางคนอาจมีต่อมน้ำเหลืองที่คอ และหลังหูโตขึ้น จนคลำได้ก้อนกดเจ็บ หลังจากนั้นจะพัฒนาไปเป็นตุ่ม
หนอง และแห้งลงจนตกสะเก็ดในที่สุด ลักษณะที่บางเม็ดขึ้นเป็นตุ่มน้ำใสๆ และบางเม็ดกลายเป็นตุ่มกลัดหนอง
การประเมินและการวินิจฉัย
การซักประวัติการสัมผัสผู้ติดเชื้อสุกใส หรือผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อ อาการและอาการแสดงของการติดเชื้อ
การตรวจร่างกาย มีไข้มีผื่นตุ่มน้ำใสตามไรผม ตุ่มน้ำใสๆ บนฐานสีแดง เหมือนหยาดน้ำค้างบนกลีบกุหลาบ ลามไปบริเวณหน้าลำตัว และแผ่นหลัง มีอาการปวดเมื่อยตามตัวร่วมด้วย คล้ายอาการของไข้หวัดใหญ่
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
3.1 การตรวจหาแอนติบอดีชนิด IgM ต่อไวรัสสุกใส ไวรัสงูสวัด (VZV) ด้วยเทคนิค ELISA เป็นการตรวจหาการติดเชื้อของโรคสุกใสและงูสวัด
3.2 การตรวจหาแอนติบอดีชนิด IgG ต่อไวรัสสุกใสไวรัสงูสวัด (VZV) ด้วยเทคนิค ELISA เป็นการตรวจหาภูมิต้านทานต่อโรคสุกใสและงูสวัด
พยาธิสภาพ
เมื่อรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเยื่อเมือกบุทางเดินหายใจ ในกรณีที่โรคสุกใสเกิดขึ้นตั้งแต่แรกคลอด จะเรียกว่า congenital varicella syndrome ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อตั้งแต่อยู่ในครรภ์
แนวทางการป้องกันและการรักษา
การป้องกันโดยไม่สัมผัสโรค หลีกเลี่ยงคนที่ป่วยเป็นสุกใส การป้องกันที่ดีที่สุด คือ การฉีดวัคซีนป้องกันสุกใส
การรักษาแบบประคับประคอง เพื่อบรรเทาอาการ เช่น การพักผ่อนอย่างเพียงพอ และดื่มน้ำมาก ๆ หากมีไข้ ใช้ยาลดไข้ในกลุ่มพาราเซตามอล หลีกเลี่ยงยาในกลุ่มแอสไพริน
การรักษาแบบเจาะจง โดยการใช้ยาต้านเชื้อไวรัสสุกใส Acyclovir
สาเหตุ
เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชื่อ Varicella-zoster virus (HZV) สามารถติดต่อได้หลายทาง เช่น โดยการสัมผัสถูกตุ่มน้ำโดยตรง สัมผัสกับของใช้ที่ปนเปื้อนเชื้อ จากตุ่มน้ำของคนที่เป็นสุกใส หรือจากการสูดหายใจเอาละอองเชื้อโรคของตุ่มน้ำ ผ่านเข้าไปทางเยื่อเมือกบุทางเดินหายใจ
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
แนะนำให้พักผ่อนอย่างเต็มที่ และรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง วิตามินซีสูง รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง โดยออกกำลังกายสม่ำเสมอ
ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค โดยอธิบายให้สตรีตั้งครรภ์เข้าใจถึงภาวะของโรค การแพร่กระจายเชื้อและการปฏิบัติตน
เปิดโอกาสให้สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวได้ระบายความรู้สึก
ระยะคลอด
ให้การดูแลในระยะคลอดเหมือนผู้คลอดทั่วไป โดยเน้นหลัก Universal precaution
ขณะคลอดควรดูดเมือกออกจากปากและจมูกทารกโดยเร็ว ทำความสะอาดร่างกายทันทีหลังคลอด
ระยะก่อนตั้งครรภ์
แนะนำให้สตรีวัยเจริญพันธุ์ที่วางแผนตั้งครรภ์ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันสุกใสก่อนการตั้งครรภ์ โดยหลีกเลี่ยงการรับวัคซีนในระยะตั้งครรภ์ หรือการเว้นระยะการตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือนภายหลังการฉีดวัคซีน
ระยะหลังคลอด
ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค โดยการใช้หลัก universal precaution
กรณีพ้นระยะการติดต่อ หรือมารดามีการตกสะเก็ดแล้ว สามารถแนะนำเกี่ยวกับการให้นมมารดาได้
กรณีที่มารดามีอาการ ให้แยกทารกแรกเกิดจากมารดาในระยะ 5วันแรกหลังคลอด
แนะนำการรับประทานอาหารโปรตีนและวิตามินซีสูง พักผ่อนเพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
ดูแลให้ทารกรับวัคซีน VariZIG แก่ทารกแรกเกิดทันท
เน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของการมาตรวจตามนัด และมาพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการผิดปกติ
6. การติดเชื้อโปรโตซัว (Toxoplasmosis)
ผลกระทบต่อทารกในครรภ์
ทารกติดเชื้อในครรภ์ กรณีทื่ทารกมีการติดเชื้อแต่กำเนิดทารกแรกเกิดจะมีลักษณะสำคัญ คือ ไข้ ชักทารกหัวบาตร microcephaly, chorioretinitis หินปูนจับในสมอง (Cerebral calcification) ตับและม้ามโต ตา
และตัวเหลือง ทารกมักเสียชีวิตหลังคลอด และทารกที่ติดเชื้อ สมองและตาจะถูกทำลาย
การประเมินและการวินิจฉัย
การตรวจร่างกาย มักไม่แสดงอาการ หรือมีอ่อนเพลียเล็กน้อย อาจพบภาวะปอดบวม หัวใจอักเสบ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ:
3.2 การวินิจฉัยก่อนคลอด โดยการตรวจเลือดสายสะดือทารกหรือน้ำคร่ำ พบ IgA และ IgM
3.3 การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
3.1 การตรวจเลือดหา DNA ของเชื้อ ทดสอบน้ำเหลืองดู titer IgG และ IgM
การซักประวัติประวัติเกี่ยวกับการสัมผัสสัตว์ที่เป็นโรค เช่น แมว เป็นต้น ประวัติมีอาการอ่อนเพลียปวดกล้ามเนื้อ
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
การแท้ง คลอดก่อนกำเนิด ถุงน้ำคร่ำและเยื่อหุ้มทารกอักเสบ ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด รกลอกตัวก่อนกำหนด
แนวทางการป้องกันและการรักษา
เมื่อต้องให้การดูแลสวนหญ้า แนะนำให้สวมถุงมือยาง และล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง
ถ้าพบ IgM ในมารดา อนุมานว่ามีการติดเชื้อ และรักษาด้วย spiramycin จะช่วยลดการติดเชื้อในครรภ์ได้
หลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อสัตว์ที่ไม่ปรุงสุก ผักผลไม้ที่ไม่ผ่านการล้าง
การวินิจฉัยในทารกก่อนคลอด สามารถกระทำได้ การเจาะเลือดสายสะดือทารกเพื่อหาการติดเชื้อ และการตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
หากจำเป็นต้องทำความสะอาดอุจจาระแมว สวมถุงมือยาง และล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง
ให้ผู้อื่นเป็นผู้ดูแลแมวแทนในช่วงที่ตั้งครรภ์ ไม่ปล่อยให้แมวออกนอกบ้าน
อาการและอาการแสดง
มักไม่ค่อยแสดงอาการ ถ้ามีจะมีอาการน้อย คือ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ แต่อาจมีกลุ่มอาการของ Mononucleosis รายที่รุนแรงจะมีพยาธิที่สมอง Chorioretinitis ปอดบวม กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ รายที่รุนแรง
มักพบในผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
การพยาบาล
ระยะคลอด
ให้การดูแลในระยะคลอดเหมือนผู้คลอดทั่วไป โดยเน้นหลัก Universal precaution
ภายหลังทารกคลอดเช็ดตาด้วย 0.9%NSS เช็ดตาทันทีจากนั้นป้ายตาด้วย 1% tetracycline
ointment หรือ 0.5% erythromycin ointment
ระยะหลังคลอด
เฝ้าระวังการตกเลือดและการติดเชื้อหลังคลอด
แนะนำการปฏิบัติตนหลังคลอด เน้นเรื่องการรักษาความสะอาด การมาตรวจตามนัด การสังเกตอาการผิดปกติของทารก ต้องรีบพามาพบแพทย์
ระยะตั้งครรภ์
ติดตามผลการตรวจเลือด
เน้นการรักษาอย่างต่อเนื่อง การรับประทานยา และการสังเกตอาการข้างเคียงของยา
ให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเปิดโอกาสให้ซักถาม และให้กำลังใจในการรักษา
แนะนำเกี่ยวกับการสัมผัสเชื้อ
สาเหตุ
เป็นการติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อโปรโตซัว Toxoplasma gondii เป็นการติดเชื้อที่เกิดจากปรสิตคือToxoplasma gondii ซึ่งเป็นโปรโตซัวชนิดอาศัยในเซลล์โดยติดเชื้อได้ทั้งในคนและสัตว์ มีพาหะหลักคือแมว ส่วนพาหะชั่วคราวคือ หนูกระต่าย แกะ รวมทั้งคน การติดต่อเกิดขึ้นได้โดยการรับประทานผัก หรือผลไม้ที่ปนเปื้อนดินที่มีoocyte ของเชื้อซึ่งขับออกมาปนกับอุจจาระแมว หรือจากการรับประทานเนื้อสัตว์ที่ติดเชื้อปรุงไม่สุก
7. การติดเชื้อไวรัสซิก้า (Zika)
ผลกระทบต่อทารกในครรภ์
ความผิดปกติเกี่ยวกับระบบประสาท ตาและการมองเห็น ทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้า ทารกตายในครรภ์ และตายหลังคลอด
การประเมินและการวินิจฉัย
การตรวจร่างกาย มีไข้ อ่อนแรง เยื่อบุตาอักเสบ ต่อมน้ำเหลืองโต
ตัวเหลือง ซีด บวมปลายมือปลายเท้า เลือดออกตามผิวหนัง มีอาการทางระบบทางเดินหายใจ
การทดสอบทางห้องปฏิบัติการ โดยใช้สิ่งส่งตรวจ เช่น เลือด ปัสสาวะ น้ำลาย เทคนิคที่ใช้ในการตรวจได้แก่ การตรวจหาพันธุกรรมของเชื้อด้วยวิธี (RTPCR) และการตรวจหาภูมิคุ้มกัน (IgM) ด้วยวิธี ELISA
การซักประวัติโดยการซักประวัติอาการของผู้ป่วย
การตรวจพิเศษ การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง เพื่อประเมินเส้นรอบศีรษะทารกในครรภ์
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
มักแสดงอาการมากในไตรมาสที่ 3 อาการที่พบบ่อยในคือ มีผื่นขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ และบางการศึกษาพบผื่นหลังคลอด อาการอื่น ๆ ที่พบ คือ อาการไข้ หนาวสั่นรู้สึกไม่สุขสบาย ปวดข้อ ปวดเมื่อย
กล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อตึงตัว อาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ตัวตาเหลือง เป็นต้น
การป้องกัน
ระบบเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา ระบบเฝ้าระวังทางกีฏวิทยา ระบบเฝ้าระวังทารกที่มีความพิการแต่กำเนิด และระบบเฝ้าระวังกลุ่มอาการผิดปกติทางระบบประสาท ร่วมกับการรณรงค์กำจัดลูกน้ำยุงลาย
อาการและอาการแสดง
ส่วนใหญ่มักมีอาการไข้ ผื่นแดง ปวดเมื่อยตามตัว ปวด
ข้อ ปวดกล้ามเนื้อ เยื่อบุตาอักเสบ ตาแดง ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที ไม่รุนแรงเท่าโรคไข้เลือดออก ส่วนน้อยที่มีภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท และระบบภูมิคุ้มกัน
การรักษา
ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคไข้ซิกาโดยเฉพาะ การรักษาทำได้ด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ และรักษาตามอาการ
สาเหตุ
โรคติดเชื้อไวรัสซิกาหรือไข้ซิกา (Zika Virus Disease; ZIKV) เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อฟลาวิไวรัส(Flavivirus) โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค สามารถติดต่อได้โดยการถูกยุงลายที่มีเชื้อกัด และโรคนี้ยังสามารถติดต่อ จากคนสู่คนได้โดยผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์
การพยาบาล
การดูแลในระยะคลอดให้การดูแลเหมือนผู้คลอดทั่วไป ทั้งนี้ให้ยึดหลัก universal precaution
ตรวจร่างกายทารกแรกเกิด ประเมินสภาพร่างกายทั่วไปโดยเฉพาะการวัดขนาดของศีรษะ
การติดเชื้อในระยะตั้งครรภ์ ควรให้การพยาบาลดังนี้
2.2 ประเมินสัญญาณชีพโดยเฉพาะอุณหภูมิ หากมีไข้ดูแลให้ได้รับยาลดไข้ตามแผนการรักษา
2.3 เตรียมสตรีตั้งครรภ์เพื่อส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ และติดตามผลเพื่อรายงานแพทย์
2.1 อธิบายเกี่ยวกับการดำเนินของโรค สาเหตุ อาการและอาการแสดง ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก การวินิจฉัย และการดูแลรักษา
2.4 ประเมินสุขภาพทารกในครรภ์
2.5 เน้นย้ำการมาตรวจครรภ์ตามนัด
การดูแลมารดาหลังคลอดให้การดูแลเหมือนมารดาทั่วไป เน้นย้ำการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนและวิตามินสูง
ให้คำแนะนำในการป้องกันสาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคติดเชื้อไวรัสซิกา อาการและอาการแสดงของโรค ความรุนแรงของโรค วิธีการปฏิบัติเมื่อสงสัยว่าบุคคลในบ้านป่วยเป็นโรคโดยเฉพาะสตรีตั้งครรภ์
และการป้องกันโรค รวมทั้งการสร้างความตระหนักถึงความรุนแรง ของโรคติดเชื้อไวรัสซิกา ดังนี้
1.3 สวมเสื้อผ้าเนื้อหนา สีอ่อน ๆ ที่สามารถคลุมผิวหนังและร่างกายได้มิดชิด
1.4 กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายโดยการทำความสะอาด การเทน้ำทิ้ง หรือปิดฝาภาชนะที่สามารถ บรรจุน้ำได้
1.2 นอนในมุ้ง และปิดหน้าต่าง ปิดประตูหรือใช้มุ้งลวดติดป้องกันยุงเข้าบ้าน
1.5 ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาดของโรค
1.6 หากมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่ที่มีการระบาด ควรมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย
1.7 หากมีอาการไข้ ออกผื่น ตาแดง ปวดข้อ หรืออาการที่สงสัยว่าอาจเป็นโรคนี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ และเข้ารับการรักษาทันที
1.1 ใช้ยากำจัดแมลงหรือยาทาป้องกันยุงกัด
การป้องกันไม่ให้ตนเองถูกยุงกัด โดยเฉพาะในระยะ 7 วันแรกที่มีอาการ
8. โรคโควิด-19 กับการตั้งครรภ์
(COVID-19 during Pregnancy)
ผลกระทบต่อทารกในครรภ์
ทารกในครรภ์พัฒนาการล่าช้า คลอดน้ำหนักตัวน้อย คลอดก่อนกำหนด การติดเชื้อ COVID-19 ของทารกแรกเกิดอาจตรวจพบการติดเชื้อได้ในทันทีหลังคลอด
การประเมินและการวินิจฉัย
การตรวจร่างกาย มีไข้สูงมากกว่า 37.5 องศาเซลเซียส อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ ไอแห้ง หายใจติดขัดอาจมีคัดจมูก มีน้ามูก เจ็บคอไอเป็นเลือด หรือท้องเสีย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
3.2 การยืนยันการติดเชื้อไวรัส โดยตรวจหา viralnucleic acid ด้วยวิธี real-time polymerase chain reaction (RT-PCR) จากสารคัดหลั่ง
3.3 ให้ส่งสิ่งคัดหลั่งตรวจหาเชื้อไวรัสอื่น เช่น influenza virus A and B
3.1 การตรวจเลือดจะพบเม็ดเลือดขาวต่ำ โดยเฉพาะ lymphocyte ค่า C-reactive protein สูงขึ้น เกล็ดเลือดต่ำ ค่าเอนไซม์ตับและ creatine phosphokinase สูง
3.4 การส่งเพาะเชื้อแบคทีเรียจากเลือด
การซักประวัติประวัติเกี่ยวกับการสัมผัสผู้ที่การติดเชื้อ ระยะเวลาและประวัติการเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงและมีการแพร่ระบาดรวมถึงประวัติอาการและอาการแสดงของโรค
การตรวจพิเศษ ได้แก่ การตรวจเอกซเรย์ปอดหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ช่องอกพบมีปอดอักเสบ
ผละกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
สตรีตั้งครรภ์เสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด มีการติดเชื้อของเยื่อหุ้มเด็ก ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด รกเสื่อม และรกลอกตัวก่อนกำหนด
แนวทางการรักษา
2.การดูแลรักษา
2.1 สตรีตั้งครรภ์ที่สงสัยจะติดเชื้อโรคโควิด-19
2.1.2 หากเป็นไปได้ให้เลื่อนการนัดผ่าตัดคลอดหรือการกระตุ้นคลอดออกไปอย่างน้อย 14 วันหรือจนกว่าผลตรวจเชื้อไวรัสเป็นลบ
2.1.1 ถ้ามีไข้ห้ามใช้ยากลุ่ม NSAIDs
2.2 สตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อแต่อาการไม่รุนแรง
ให้ยาต้านไวรัส พิจารณาตามแนวทางของกรมควบคุมโรค
2.3 สตรีตั้งครรภ์ที่มีอาการรุนแรง
2.3.2 ไม่ให้ออกซิเจนทาง face mask หรือ face mask with bag
2.3.3 On EFM ถ้าอายุครรภ์ 28 สัปดาห์ขึ้นไป
2.3.1 หากอาการแย่ลง เช่น หายใจเหนื่อยหอบมากขึ้น เจ็บหน้าอก หรือมีhypoxia เป็นต้น ควรคิดถึงภาวะ pulmonary embolism
2.3.4 ให้ยาต้านไวรัสและ/หรือยาอื่น ๆ
2.3.5 ยุติการตั้งครรภ์ตามขอ้บ่งชี้ด้านสูติศาสตร์หรือกรณีที่จะเป็นประโยชน์ต่อการกู้ชีพมารดา
2.4 การดูแลรักษากรณีฉุกเฉิน
หากไม่สามารถซักประวัติได้
ให้ทำการรักษาเช่นเดียวกับผู้ป่วยที่เข้าข่าย
การสืบสวนโรค และบุคลากรใส่ชุด full PPE
2.5 การดูแลขณะเจ็บครรภ์คลอด
2.5.2 ตรวจคลื่นเสียงความถี่สูง ตามความจำเป็น
2.5.3 วิธีคลอดพิจารณาตามความเหมาะสมและนโยบายของแต่ละโรงพยาบาล
2.5.1 On EFM ถ้าอายุครรภ์ 28 สัปดาห์ขึ้นไป
2.5.4 ไม่มีข้อห้ามของการคลอดทางช่องคลอด
2.5.5 ทำ epidural block ได้และมีข้อดี กรณีที่จำเป็นต้องผ่าตัดคลอดจะทำได้เร็วขึ้น
2.5.6 การใช้ก๊าซสูดดมเพื่อระงับความปวดควรใช้ด้วยความระมัดระวัง
2.5.7 การตัดสินใจผ่าตัดคลอดควรพิจารณาให้เร็วและลดเกณฑ์ลง
2.5.8 ทำการผ่าตัดในห้องแยกความดันลบ (ถ้ามี)
2.5.9 การระงับความรู้สึกหลีกเลี่ยง general anesthesia
2.6 กรณีเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
2.5.3 ไม่แนะนำให้ยับยั้งการหดรัดตัวของมดลูกเพื่อรอให้ยา corticosteroids ครบ dose
2.5.4 ให้ magnesium sulfate สำหรับ neuroprotection ได้
2.5.2 การยับยั้งการหดรัดตัวของมดลูก ทำได้ถ้ามารดาอาการไม่หนักแต่ไม่ควรใช้ยา indomethacin
2.5.5 ทารกที่แทง้หรือเสียชีวิต รกและน้ำคร่ำให้ส่งตรวจหาเชื้อไวรัสแล้วกำจัดแบบตัวอย่างงติดเชื้อ
2.5.1 การให้ corticosteroids สำหรับกระตุ้นปอดทารกในครรภ์
2.7 การดูแลทารกแรกเกิด
การให้ทารกดูดนมจากเต้า
หรือการแยกทารกออกจากมารดาชั่วคราว
ขึ้นกับนโยบายของโรงพยาบาล
และใช้การตัดสินใจใจร่วมกันระหว่างมารดากับทีมแพทย์ผู้ดูแล
2.8 การดูแลมารดาหลังคลอด หลีกเลี่ยงการเข้าไปสัมผัสผู้ป่วยใกล้ชิด ใช้การประเมินผ่านทาง videocall แทน หากจำเป็นต้องเข้าไป ให้ใส่ชุด full PPE
2.9 การดูแลด้านจิตใจ เฝ้าระวังและประเมินความเครียดและอาการซึมเศร้า
สถานที่และบุคลากร เน้นให้บุคลากรใส่ชุด PPE การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยในรพ.และไปกับรถพยาบาลบุคลากรต้องใส่ full PPE
อาการและอาการแสดง
ไม่แสดงอาการใด ๆ และมีอาการและอาการแสดงของอุณหภูมิร่างกายตั้งแต่37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป หรือ ให้ประวัติว่ามีไข้ในการป่วยครั้งนี้ร่วมกับมีอาการของระบบทางเดินหายใจอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ ไอ น้ามูก เจ็บคอหายใจติดขัด หรือหายใจลำบาก
การพยาบาล
การดูแลทารกแรกเกิด ในกรณีมารดาเป็นผู้ที่สงสัยติดเชื้อและติดเชื้อ COVID-19 ยังไม่มีหลักฐานการติดต่อผ่านทางรกหรือผ่านทางน้ำนมแต่อย่างใด จะต้องมีการแยกตัวออกจากผู้อื่น และต้องสังเกตอาการเป็นเวลา 14 วัน บุคลากรทางการแพทย์
แนวทางการปฏิบัติในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เมื่อคำนึงถึงประโยชน์ของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการในการแพร่เชื้อไวรัสผ่านทางน้ำนม
การดูแลสตรีตั้งครรภ์ มารดาหลังคลอด ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีประวัติการเดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงหรือสัมผัสหรือใกล้ชิดผู้ป่วย COVID-19 ควรปฏิบัติตน ดังนี
2.2 งดการออกไปในที่ชุมชนสาธารณะโดยไม่จำเป็น และงดการพูดคุย หรืออยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่นในระยะใกล้กว่า 2 เมตร
2.3 กรณีครบกำหนดนัดฝากครรภ์ ต้องแจ้งพยาบาลผดุงครรภ์ให้ทราบว่าตนเองอยู่ระหว่างการเฝ้าระวัง 14 วัน
2.1 แยกตนเองออกจากครอบครัว และสังเกตอาการจนครบ 14 วัน งดการใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น
2.4 กรณีเจ็บครรภ์คลอด ต้องไปโรงพยาบาลทันที และแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ทราบว่าตนเองอยู่ระหว่างการเฝ้าระวัง 14 วัน
ข้อแนะนำการปฏิบัติสำหรับมารดาหลังคลอด ในกรณีแม่เป็นผู้ที่สงสัยว่าจะติดเชื้อ หรือมารดาที่ติดเชื้อ COVID-19 แล้ว และมีสภาพร่างกายพร้อมที่จะปั๊มนมได้ ควรปฏิบัติดังนี้
5.3 ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่นานอย่างน้อย 20 วินาที หรือแอลกอฮอล์เข้มข้น 70% ขึ้นไป
5.4 สวมหน้ากากอนามัย ตลอดการทำกิจกรรมเกี่ยวกับการเตรียมนม และการปั๊มนม
5.2 อาบน้ำหรือเช็ดทำความสะอาดบริเวณเต้านมและหัวนมด้วยน้ำและสบู
5.5 หลังเสร็จสิ้นกิจกรรมที่เกี่ยวกับการเตรียมนมและการปั๊มนม
5.1 ก่อนเริ่มกิจกรรมที่เกี่ยวกับการเตรียมนมและการปั๊มนม
5.6 ล้างทำความสะอาดอุปกรณ์
5.7 การให้นม ควรให้ผู้ช่วยเหลือ หรือญาติที่มีสุขภาพแข็งแรงที่ทราบวิธีการป้อนนมที่ถูกต้อง และต้องปฏิบัติตามวิธีการป้องกันตนเองอย่างเคร่งครัด
การดูแลและการพยาบาลสตรีตั้งครรภ์และมารดาหลังคลอดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ COVID-19
1.2 รักษาระยะห่าง social distancing
1.3 หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสบริเวณดวงตา ปาก และจมูก
1.1 หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดผู้ที่มีอาการไอ เป็นไข้ หรือผู้ที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงและในสถานที่ที่มีผู้คนแออัด หรือรวมกลุ่มกันเป็นจำนวนมาก
1.4 รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่เสมอ หรือปรุงอาหารให้สุกร้อนทั่วถึง
1.5 หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะรับประทานอาหารและของใช้ส่วนตัว ร่วมกับผู้อื่น
1.6 ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำสะอาดนานอย่างน้อย 20 วินาที
1.7 ในขณะไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย ถ้ามีอาการไอ จาม ให้ใช้ต้นแขนด้านบนปิดปากทุกครั้ง
1.8 หากมีอาการป่วยเล็กน้อย ควรพักผ่อนอยู่ที่บ้าน
1.9 เน้นย้ำให้สตรีตั้งครรภ์มาฝากครรภ์ตามนัดได้ตามปกติ หากมีอาการผิดปกติให้มาพบแพทย์ก่อนวันนัด
สาเหตุ
กเกิดจากเชื้อไวรัสตระกูล Corona
ชื่อ SARS-CoV-2 การติดต่อส่วนใหญ่ผ่านทางสัมผัสละอองฝอยจากการไอ
3. หัดเยอรมัน (Rubella/German measles)
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ไม่เกิดผลกระทบต่อมารดา แต่อาจรู้สึกไม่สุขสบายเล็กน้อยเท่านั้น
ผลกระทบต่อทารกในครรภ์
ผลกระทบที่สำคัญคือเกิดการติดเชื้อจากมารดาไปยังทารกในครรภ์ ทำให้เกิดการแท้ง ตายคลอด หรือพิการแต่กำเนิด
อาการและอาการแสดง
อาการและอาการแสดงได้แก่ มีไข้ต่ำ ๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว เบื่ออาหาร ตาแดง ไอ เจ็บคอ และต่อน้ำเหลืองบริเวณหลังหูโต อาจมีอาการปวดข้อ โดยไข้จะเป็นอยู่ 1-2 วันก็จะหายไปหลังจากนั้นจะมีผื่นขึ้นเป็นตุ่มเล็ก ๆ สีแดง (maculopapular) มองเห็นเป็นปื้นหรือจุดกระจัดกระจายโดยจะเริ่มขึ้นที่ใบหน้าจากนั้นจะแผ่กระจายลงมาตามหน้าอก ลำตัว แขนขา จนทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว
การประเมินและการวินิจฉัย
การตรวจร่างกาย อาจพบผื่นสีแดงคล้ายหัด ตาแดง ไอ จาม เจ็บคอ ปวดเมื่อย ครั่นเนื้อครั่นตัว ต่อมน้ำเหลืองโต บางรายอาจไม่พบอาการผิดปกติใด ๆ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยตรวจ Hemagglutination inhibition test (HAI) เพื่อหา titer ของ antibody ของเชื้อหัดเยอรมัน
การซักประวัติการสัมผัสผู้ติดเชื้อหัดเยอรมัน หรือผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อ อาการและอาการแสดงของการติดเชื้อ
พยาธิสภาพ
ภายหลังการรับเชื้อหัดเยอรมันเข้าสู่ร่างกาย เชื้อจะแพร่กระจายไปทางกระแสเลือด เชื้อจะมีผลต่อร่างกายใน2 ลักษณะ คือ 1. กลุ่มไม่มีอาการทางคลินิก โดยกลุ่มนี้จะตรวจพบภูมิคุ้มกันต่อเชื้อหัดเยอรมันอย่างเดียว และจะกลายเป็นพาหะของโรคต่อไป 2. กลุ่มที่มีอาการทางคลินิก คือมีผื่นที่ใบหน้า ลามไปที่ลำตัวและแขนขา ลักษณะของผื่นจะเป็นตุ่ม เกิดได้ตั้งแต่วันที่ 7-10 หลังได้รับเชื้อ และจะคงอยู่ 4 สัปดาห์ อาจมีอาการปวดข้อ ปวดเข้า พบต่อมน้ำเหลืองโต ทั้งสองกลุ่มสามารถทำให้ทารกเกิดการติดเชื้อได้
การป้องกันและการรักษา
ให้ภูมิคุ้มกันเนื่องจากเป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง คุ้มกับค่าใช้จ่าย และควรเน้นการฉีดวัคซีนในเด็กหญิง สตรีวัยเจริญพันธ์ และคัดกรองหารายที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันเพื่อให้วัคซีน
ทารกแรกเกิดที่เกิดจากมารดาที่ติดเชื้อหัดเยอรมัน ภายหลังคลอดต้องเก็บเลือดจากสายสะดือส่งตรวจเพื่อยืนยันการติดเชื้อและตรวจร่างกายอย่างละเอียด
สาเหตุ
เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ rubella virus (german
measles virus) โดยติดต่อผ่านทางเดินหายใจ
การพยาบาล
ประเมินสุขภาพของสตรีตั้งครรภ์เกี่ยวกับการได้รับภูมิคุ้มกันโรคหัดเยอรมัน การสัมผัสกับผู้ที่เป็นโรค และอาการแสดงของโรค
เปิดโอกาสให้สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวได้ระบายความรู้สึกและซักถามข้อสงสัยเกี่ยวกับผลของการติดเชื้อต่อสุขภาพของตนเองและทารกในครรภ์
แนะนำให้มาฝากครรภ์อย่างสม่ำเสมอ และมารับการตรวจที่โรงพยาบาลทันทีที่สงสัยส่ามีการติดเชื้อหัดเยอรมัน
อธิบายข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจ การดำเนินของโรค ผลของโรคต่อการตั้งครรภ์และต่อทารกในครรภ์ และการรักษาพยาบาล
ในสตรีที่มาฝากครรภ์ควรตรวจดูว่ามีภูมิคุ้มกันหรือไม่ หากยังไม่มีภูมิคุ้มกันแนะนำให้สตรีตั้งครรภ์หลีกเลี่ยงการเข้าชุมชนในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อหัดเยอรมัน
กรณีที่ตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ เตรียมร่างกายและจิตใจของสตรีตั้งครรภ์ให้พร้อมสำหรับการทำแท้งเพื่อการรักษา
ให้วัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อเยอรมันแก่สตรีวัยเจริญพันธุ์ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนมาก่อนโดยก่อนฉีดวัคซีนจะต้องแน่ใจว่าไม่ได้ตั้งครรภ์ และหลังจากให้วัคซีนจะต้องคุมกำเนิดต่อไปอีกอย่างน้อย 3 เดือน
รายที่ตัดสินใจดำเนินการตั้งครรภ์ต่อ และคลอดทารกที่มีความพิการ ดูแลด้านจิตใจของมารดาและครอบครัวโดยเปิดโอกาสให้มารดาหลังคลอดและครอบครัวได้ระบายความรู้สึกและซักถามเกี่ยวกับอาการของ
ทารก
ควรได้รับการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันหัดเยอรมันหลังคลอดทุกราย
และหลังการให้วัคซีนจะต้องคุมกำเนิดต่อไปอีกอย่างน้อย 3 เดือน
2. การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี
(Hepatitis B virus)
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
หากมีการติดเชื้อ Hepatitis B virus ในไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์
จะเพิ่มความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนด
ผลกระทบต่อทารกในครรภ์
ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย ทารกตายในครรภ์ หรือเสียชีวิตแรกเกิด และทารกที่คลอดมามีโอกาสที่จะติดเชื้อได้
อาการและอาการแสดง
ระยะแรกผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ แต่ถ้ามีอาการจะเริ่มด้วยมีไข้ต่ำ ๆ เบื่ออาหารอาเจียน ปวดท้อง อาจปวดทั่วไปหรือปวดบริเวณชายโครงขวา คลำพบตับโต กดเจ็บ ปัสสาวะมีสีเข้มขึ้นเป็นสีชา
แก่ ในปลายสัปดาห์แรกจะเริ่มมีตาเหลืองตัวเหลือง ซึ่งเมื่อถึงระยะนี้ไข้จะลดลง มีบางส่วนที่กลายเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง อาจมีภาวะตับวาย กลายเป็นมะเร็งตับและเสียชีวิตในที่สุด
การประเมินและการวินิจฉัย
การตรวจร่างกาย พบอาการและอาการแสดง คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ตับโต ตัวเหลืองตาเหลือง
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ร ตรวจการทำงานของตับ และตรวจหา antigen และ antibody ของไวรัส
ได้แก่ HBsAg, Anti-Hbs, Anti-HBc, HBeAg และ Anti-HBe
การซักประวัติ การเป็นพาหะของโรคตับอักเสบจากไวรัสบี หรือเคยมีอาการแสดงของโรคตับอักเสบจากไวรัสบี เคยสัมผัสใกล้ชิดกับคนที่เป็นโรคตับอักเสบจากไวรัสบี หรือคนที่เป็นพาหะของโรคตับอักเสบจากไวรัสบี
พยาธิสภาพ
ระยะที่สอง
ประมาณ 2-3 เดือนหลังจากได้รับเชื้อ Hepatitis B virus จะเข้าสู่ระยะที่สองผู้ติดเชื้อจะมีอาการอ่อนเพลียคล้ายเป็นหวัด คลื่นไส้อาเจียน จุกแน่นใต้ชายโครงจากตับโต ปัสสาวะเข้ม ตัวเหลืองตาเหลือง ตับเริ่มมีการอักเสบชัดเจน ตรวจพบเอนไซม์ตับสูงขึ้น
ระยะที่สาม
เป็นระยะที่ anti-HBe ทำลาย HBeAg จนเหลือน้อยกว่า 105 copies/mL (20,000 IU/mL)อาการตับอักเสบจะค่อย ๆ ดีขึ้น ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกัน และเข้าสู่ระยะโรคสงบ
ระยะแรก
เมื่อได้รับเชื้อ Hepatitis B virus เข้าสู่ร่างกาย เชื้อจะแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว แต่ผู้ที่ได้รับเชื้อจะยังไม่มีอาการแสดง
ระยะที่สี่
เป็นระยะที่เชื้อกลับมามีการแบ่งตัวขึ้นมาใหม่ (re-activation phase) ทำให้เกิดการอักเสบของตับขึ้นมาอีก จะเข้าสู่ภาวะตับอักเสบเรื้อรังจนเนื้อตับเสียหาย มีพังผืดแทรกจนเป็นตับแข็งและกลายเป็นมะเร็งตับ
แนวทางการป้องกันและการรักษา
คัดกรองสตรีตั้งครรภ์ทุกราย โดยตรวจหา HBsAg เมื่อมาฝากครรภ์ครั้งแรก และตรวจซ้ำอีกครั้งในไตรมาสที่ 3 หากผลเป็นบวก
กรณีได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อ Hepatitis B virus ให้การรักษาดังนี้
2.1 ให้พักผ่อนอย่างเพียงพอ งดการออกแรงทำงานหนัก หรือออกกำลังกาย
2.2 แนะนำให้รับประทานอาหารอ่อนย่อยง่าย หลีกเลี่ยงอาหารที่ไขมันสูง
2.3 ในรายที่มีอาการเบื่ออาหารและอาเจียน อาจให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ
2.4 แนะนำให้พาสมาชิกในครอบครัวและสามีมาตรวจเลือด เพื่อหา HBsAg และ HBsAb
2.5 ต้องให้การรักษา ด้วยยา Tenofovir Disoproxil Fumarate (TDF)
2.6 ในรายที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อ Hepatitis B virus แต่ค่า HbeAg เป็นลบและเอนไซม์ตับปกติ
ไม่จำเป็นต้องรักษา
2.7 หลีกเลี่ยงการทำหัตถการที่จะทำให้เกิดความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีแก่ทารกในครรภ์
2.8 พิจารณาให้คลอดทางช่องคลอด
2.9 ทาทรกที่เกิดจากสตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ Hepatitis B virus ควรได้รับการฉีด Hepatitis B immunoglobulin (HBIG) ให้เร็วที่สุด และฉีด HB vaccine ภายใน 12 ชั่วโมงหลังคลอด
2.10 สามารถเลี้ยงบุตรด้วยนมารดาได้ทันที
สาเหตุ
ตับอักเสบจากไวรัสตับอักเสบชนิดบี (Hepatitis B virus) เกิดจากการติดเชื้อ Hepatitis B virus ผ่านทางเลือด น้ำลาย อสุจิ สิ่งคัดหลั่งทางช่องคลอด น้ำนม และผ่านทางรก
การพยาบาล
ระยะคลอด
ให้ผู้คลอดนอนพักบนเตียงและให้การดูแลเช่นเดียวกับผู้คลอดทั่วไป
หลีกเลี่ยงการเจาะถุงน้ำคร่ำ และการตรวจทางช่องคลอด
เมื่อศีรษะทารกคลอด ดูดมูก เลือดและสิ่งคัดหลั่งต่าง ๆ ออกจากปากและจมูกของทารกให้มากที่สุด
ทำความสะอาดทารกทันทีที่คลอด
ดูแลให้ทารกได้รับภูมิคุ้มกันภายหลังคลอด โดยฉีด Hepatitis B immunoglobulin (HBIG) ให้เร็วที่สุดหลังเกิด
ให้การดูแลผู้คลอดโดยยึดหลักการป้องกันการแพร่กระจายเชื้ออย่างเคร่งครัด
ระยะหลังคลอด
แนะนำการปฏิบัติตัวเช่นเดียวกับมารดาหลังคลอดทั่วไป โดยเน้นการรักษาความสะอาดของร่างกาย
แนะนำให้นำทารกมารับวัคซีนเพื่อป้องกันไวรัสตับอักเสบบี และนำบุตรมาตรวจตามนัดเพื่อติดตามอาการและป้องกันการติดเชื้อ
ไม่จำเป็นต้องงดให้นมมารดาแก่ทารก
ระยะตั้งครรภ์
อธิบายแก่สตรีตั้งครรภ์เข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของการมาตรวจตามนัด
แนะนำการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ การป้องกันการติดเชื้อซ้ำซ้อน
ให้คำแนะนำแก่สตรีตั้งครรภ์เกี่ยวกับสาเหตุ การติดต่อ การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ การดำเนินของโรค แผนการรักษาพยาบาลที่จะให้แก่สตรีตั้งครรภ์และทารกแรกเกิด
ตรวจคัดกรองสตรีตั้งครรภ์ทุกคนว่าเป็นพาหะของโรคหรือไม่
5. โรคติดเชื้อไซโทเมกะโรไวรัส (Cytomegalovirus: CMV)
ผลกระทบต่อทารกในครรภ์
ทารกในครรภ์เสี่ยงต่อภาวะ IUGR แท้ง fetal distress คลอดก่อนกำหนด น้ำหนักแรกเกิดน้อย ทารกเสียชีวิตในครรภ์ และตายคลอด
การประเมินและการวินิจฉัย
การตรวจร่างกาย มีไข้ คออักเสบ ต่อมน้ำเหลืองโต ข้ออักเสบ และตรวจพบอาการและอาการแสดงของโรค
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
3.2 Amniocentesis for CMV DNA PCR เพื่อยืนยันการติดเชื้อของทารกในครรภ์
3.3 การตรวจ Plasma specimen for culture หรือ quantitative real-time PCR
3.1 การเจาะเลือดส่งตรวจพบ Atypical Lymphocytes และเอ็นไซน์ตับสูงขึ้น
การซักประวัติเกี่ยวกับประวัติการติดเชื้อในอดีต ลักษณะของอาการและอาการแสดงที่เกิดขึ้น
การตรวจพิเศษ การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ทำให้เสี่ยงต่อการแท้ง คลอดก่อนกำหนด รกลอกตัวก่อน
กำหนด มีการติดเชื้อของถุงน้ำคร่ำ
การป้องกัน
สตรีที่เคยมีประวัติการติดเชื้อ CMV ควรวางแผนเว้นระยะการมีบุตรไปก่อนอย่างน้อย 2 ปี และควรเข้ารับการให้คำปรึกษาก่อนการมีบุตร
วิธีการหลักในการป้องกันคือการรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล ล้างมือด้วยสบู่
สามารถป้องกันได้โดยการหลีกเลี่ยงการ
สัมผัสกับผู้ที่มีการติดเชื้อ
อาการและอาการแสดง
ไข้สูงนาน ปวดกล้ามเนื้อ หรือมีอาการ ปอดบวม ตับ
อักเสบ และอาการทางสมอง การติดเชื้อในระหว่างการตั้งครรภ์เป็นการติดเชื้อในครรภ์ตรวจได้จากปัสสาวะภายใน 2 สัปดาห์หลังคลอด อาการในเด็กทารกมีตั้งแต่อาการอย่างอ่อน ถึงอาการที่รุนแรงทางสมองและระบบประสาท
การรักษา
การให้ยาต้านไวรัส เช่น Valtrex, Ganciclovil, Valavir
การประเมินอาการและอาการแสดงของทารกแรกเกิดที่มีการติดเชื้อ และให้การดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด
การให้ immunoglobulin ของ anti-cytomegalo viral human
พยาธิสภาพ
เชื้อ CMV ติดต่อเข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง ทั้งทางตรงและทางอ้อม แหล่งของเชื้อ CMV พบได้จากสารคัดหลั่งหลายชนิด ประชากรส่วนใหญ่มักจะได้รับเชื้อไวรัสชนิดนี้แล้วตั้งแต่วัยเด็ก โดยไม่มีอาการของโรค นอกจากบางกลุ่มที่อาจเป็นโรค Mononucleosis ซึ่งมีอาการไข้สูงเป็นเวลานาน มีตับอักเสบเล็กน้อย ดังนั้นในกลุ่มประชากรส่วนใหญ่ การติดเชื้อ CMV ไม่ก่อให้เกิดโรคร้ายแรงแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อ CMV ก่อให้เกิดอาการโรคที่รุนแรงในกลุ่มเสี่ยงต่าง ๆ
การพยาบาล
ระยะคลอด
ให้การดูแลในระยะคลอดเหมือนผู้คลอดทั่วไป โดยเน้นหลัก Universal precaution
ขณะคลอดควรดูดเมือกออกจากปากและจมูกทารกโดยเร็ว ทำความสะอาดร่างกายทันทีหลังคลอด
ระยะหลังคลอด
งดให้นมมารดา หากมารดาหลังคลอดมีการติดเชื้อ
แนะนำการปฏิบัติตนหลังคลอด เน้นย้ำเกี่ยวกับการรักษาความสะอาดและความสำคัญของการมาตรวจตามนัดหลังคลอด
ให้การดูแลในระยะหลังคลอดเหมือนมารดาทั่วไป โดยเน้นหลัก Universal precaution
แนะนำให้สังเกตอาการผิดปกติของทารกที่ต้องรีบพามาพบแพทย์
ระยะตั้งครรภ์
อธิบายสตรีตั้งครรภ์และครอบครัวทราบเกี่ยวกับโรค สาเหตุ อาการและอาการแสดง การดำเนินของโรค ผลกระทบ และแผนการรักษาพยาบาล
3.แนะนำและเน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
ซักประวัติ เพื่อคัดกรองสตรีตั้งครรภ์ทุกรายเกี่ยวกับการเจ็บป่วยติดเชื้อ CMV ในอดีต
สาเหตุ
การติดเชื้อไซโตเมกะโลไวรัส (Cytomegalovirus: CMV) โดยปกติมักพบการติดเชื้อในผู้ใหญ่ โดยอาจได้รับเชื้อทางการให้เลือด การสัมผัสทางปาก หรือทางเพศสัมพันธ์