Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การรักษาโรคเบื้องต้นในกลุ่มอาการที่พบบ่อย 1 - Coggle Diagram
การรักษาโรคเบื้องต้นในกลุ่มอาการที่พบบ่อย 1
Acute abdominal
ภาวะที่ผู้ป่วยมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง และเกิดขึ้นค่อนข้างรวดเร็วหรือมักจะน้อยกว่า 24 ชม. / มากกว่า 50% ของผู้ป่วยต้องการการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน
การประเมินอาการปวด
ลักษณะของการปวด
มีอาการปวดเป็นๆ หายๆ ที่ความปวดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นอยู่สักครู่แล้วอาการดีขึ้นเอง มักพบใน intestinal colic หรือ biliary colic
อาการปวดท้องมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างช้าๆ โดยอาการไม่ดีขึ้นเลย มักพบใน acute cholecystitis หรือ acute appendicitis
เป็นอาการปวดที่มากและเฉียบพลัน มักพบในผู้ที่มีการแตกของท่อภายในช่องท้อง เช่น peptic perforation
ตำแหน่ง เช่นปวดบริเวณท้องน้อยด้านขวา มักนึกถึง acute appendicitis
อาการปวดเริ่มจากน้อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆช้าๆ และทุเลาเองช้าๆ เช่นกัน มักพบใน โรคแผลในกระเพาะอาหาร หรือ acute gastroenteritis
การตรวจร่างกาย
การตรวจทั่วไป : เพื่อประเมินอาการขาดน้ำ หรือเสียเลือด-V/S
การตรวจหน้าท้อง : ดูว่าหน้าท้องโป่งตึงหรือไม่ มีแผล หรือ รอยเลือดออกหรือไม่ รวมถึง visible peristalsis ซึ่งจะพบในผู้ป่วยทางเดินอาหาร อุดตัน
ฟัง Bowel sound , การเคาะ อาจช่วยระบุภาวะมีลมในช่องท้องจากอวัยวะภายในทะลุ มีน้ำหรือเลือดออกในช่องท้องได้ , การคลำหรือกด ควรทำในอันดับสุดท้ายเพราะผู้ป่วยจะเจ็บ การคลำอาจพบก้อนหรือจุดกดเจ็บที่อาจช่วยระบุโรค หรือพบภาวะผิดปกติอื่นๆ เช่นหน้าท้องแข็งเกร็ง
การตรวจภายในช่องคลอด : หรือทวารหนัก การตรวจทางทวารหนักอาจช่วยระบุ acute appendicitis ได้ดี
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ CBC, U/A, electrolyte, BUN, creatinine, Liver function test
การตรวจพิเศษ การตรวจทางรังสี (X-ray Abdomen) คลื่นความถี่สูง (Ultrasound) หรือ(Computerized tomography-CT)
การพยาบาล
ช่วยบรรเทาอาการปวดให้กับผู้ป่วย รวมทั้งการประเมินภาวะน้ำและเกลือแร่ รวมทั้งช่วยแพทย์ในการสืบค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด เพื่อให้ได้รับการแก้ไขปัญหาที่สาเหตที่แท้จริง โรคในระบบทางเดินอาหารส่วนล่างที่ทำให้ปวดท้องที่พบบ่อย ได้แก่ ไส้ติ่งอักเสบ ลำไส้อุดตันและเยื่อบุช่องท้องอักเสบ
ไส้ติ่งอักเสบ (appendicitis)
สาเหตุ เกิดจากการอุดตันของไส้ติ่ง เช่น เนื้อเยื่อต่อมน้ำเหลืองโต มีอุจจาระแข็งอุดตัน
อาการและอาการแสดง ปวดท้องรอบๆสะดือเป็นพักๆ รู้สึกอยากถ่ายแต่ถ่ายไม่ออก อาการปวดจะย้ายมาปวดที่ท้องน้อยด้านขวา หากอยู่นิ่งๆ หรือนอนตะแคงงอตัวจะทุเลาปวด คลื่นไส้อาเจียน ตรวจพบ มีไข้ต่ำๆ กดเจ็บท้องน้อยด้านขวา ที่ตำแหน่ง McBurney
การรักษา
ต้องงดอาหารและน้ำ
ให้สารน้ำทางหลอดโลหิตดำ เพื่อรับการผ่าตัดนำไส้ติ่งออก(appendectomy)
ห้ามให้ยาแก้ปวด เพราะอาจบดบังอาการที่แท้จริง
ห้ามใช้ยาถ่ายหรือสวนอุจจาระ ไม่ควรตรวจโดยการกดหน้าท้องบ่อยๆ เพราะไส้ติ่งอาจแตกได้ ทำให้เกิดเยื่อบุช่องท้องอักเสบได้
การผ่าตัดนำไส้ติ่งออก(appendectomy)
ให้ยาปฏิชีวนะ
การพยาบาล
ดูแลผู้ป่วยก่อนและหลังผ่าตัดทั่วไป โดยเน้น การบรรเทาปวด และการป้องกันการแตกของไส้ติ่งในระยะก่อนผ่าตัด ส่วนในระยะหลังผ่าตัด จะเน้นการบรรเทาการปวดแผลผ่าตัด และป้องกันภาวะ แทรกซ้อนหลังผ่าตัด เช่นท้องอืด การติดเชื้อในช่องท้องในกรณีที่ไส้ติ่งแตก
ตับอ่อนอักเสบ (PANCREATITIS)
อาการ
ปวดท้องรุนแรงตรงบริเวณใต้ลิ้นปี่ซึ่งมักจะเกิดขึ้นทันทีทันใด (บางคนอาจมีประวัติดื่มเหล้าจัด หรือกินเลี้ยงมาก่อนสัก 12-24 ชั่วโมง)
ปวดตลอดเวลา มักปวดร้าวไปที่หลังเวลานอนหงายหรือเคลื่อนไหว มักทำให้ปวดมากขึ้น แต่จะรู้สึกสบายขึ้นเวลานั่งโก้งโค้ง
ผู้ป่วยมักมีไข้
คลื่นไส้อาเจียนในรายที่เป็นรุนแรง
อาจมีอาการอ่อนเพลียมาก
มีจ้ำเขียวขึ้นที่หน้าท้อง หรือรอบ ๆ สะดือ,
ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ (มือเท้าเกร็ง) และอาจมีภาวะช็อก (กระสับกระส่าย เหงื่อออก ตัวเย็น)
สาเหตุ การอักเสบมักเป็นผลมาจากการ "รั่ว" ของน้ำย่อย (เอนไซม์) ของตับอ่อนเองออกมาที่เนื้อเยื่อบางส่วนของตับอ่อน แต่ด้วยสาเหตุใดยังไม่ทราบแน่ชัด
การรักษา
ถ้ามีภาวะขาดน้ำหรือช็อก ควรให้น้ำเกลือ
อาจต้องพิสูจน์โดยการเจาะเลือดตรวจหาระดับเอนไซม์อะมิเลส (amylase) และ ไลเปส (lipase) ซึ่งจะพบสูงกว่าปกติมาก
ให้ยาแก้ปวด
ทำการรักษาโดยให้น้ำเกลือและสารอาหารทางหลอดเลือดดำ
ในระยะแรก ให้ผู้ป่วยงดกินอาหารและดื่มน้ำ ถ้าปวดท้องมาก ฉีดยาแก้ปวด (เช่น pentazocaine หรือ sosegon) ใส่สาย NG
อาจต้องให้เลือดถ้าซีด
เมื่อรักษาจนปลอดภัยดีแล้ว ค่อยตรวจหาสาเหตุ และรักษาตามสาเหตุต่อไป เช่น ถ้าพบว่ามีนิ่วในถุงน้ำดี
อาจต้องผ่าตัด
ถุงน้ำดีอักเสบ(Cholecystitis)
สาเหตุ
ติดเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดการอักเสบของถุงน้ำดีเฉียบพลัน
อาการ
ไข้สูง หนาวสั่น ปวดบริเวณใต้ชายโครงขวา คลื่นไส้ อาเจียน
การรักษา
จำเป็นต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ และผู้ป่วยมีความจำเป็นต้องอยู่ในโรงพยาบาล เพราะจะต้องได้รับยาปฏิชีวนะทางเส้นเลือด ในกรณีที่ผู้ป่วยมีโรคอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น โรคเบาหวาน อาจทำให้ภาวะถุงน้ำดีอักเสบอย่างรุนแรงมีอันตรายจนถึงเกิดภาวะเป็นหนองในถุงน้ำดี และมีการติดเชื้อในกระแสเลือดตามมาได้ ถ้าไม่ได้รับการรักษาให้ทันท่วงที
หลังจากผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะจนหายดีแล้ว
ควรส่งผู้ป่วยไปหาศัลยแพทย์เพื่อให้แพทย์พิจารณาว่าจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดหรือไม่
นิ่วในถุงน้ำดีมี 3 ชนิด : 70% เกิดจากไขมัน , 20% เกลือแร่ , 10% mixed / แบคทีเรียเป็นสาเหตุของโรค 50-80% ของผู้ป่วยที่พบ : เชื้อโรคที่พบบ่อย E.coli and Klebsiella (70%)
อาการของโรคนิ่วในถุงน้ำดี : ไข้สูง และมีเหงื่อออก ไข้เรื้อรัง ตัวเหลืองตาเหลือง หรือที่เรียกดีซ่าน อุจจาระเป็นสีขาว
วินิจฉัย Labs: WBC, BMP, AST/ALT/Alk Phos, Bilirubin, UA , X-Ray ,US ,CT of Abd and plevis to detect other intra-abdominal problems
การรักษา : การให้สารน้ำ , การให้ยาแก้คลื่นไส้ อาเจียน ยาลดอาการปวด : มอร์ฟีน (Meperidine causes less sphincter of Oddi spasms or Morphine) , ยาปฏิชีวนะสำหรับcholecystitis or cholangitis , การผ่าตัด
อาหารไม่ย่อย(dyspepsia)
โรคแผลในกระเพาะอาหาร (gastric ulcer) หรือ แผลในลำไส้เล็กส่วนต้น(duodenal ulcer)
สาเหตุ : เกิดจากความเสียสมดุลระหว่าง ปริมาณกรดที่หลั่งในกระเพาะอาหาร กับความต้านทานต่อกรดของเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ ในปัจจุบัน พบว่าสาเหตุสำคัญของการเกิดแผลเพ็ปติก
อาการ : มักมีอาการปวดท้องเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง ตรงบริเวณกลางยอดอก หรือใต้ลิ้นปี่ บางคนอาจค่อนมาทางขวาหรือซ้ายก็ได้
วินิจฉัย : การส่องกล้องตรวจกระเพาะ
อาหารและลำไส้ หรือเอกซเรย์โดยการกลืนแป้งแบเรียม
การรักษา : ถ้ามีอาการอาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายดำให้สารน้ำ , ให้ยาแก้อาการปวดท้อง , ถ้าตรวจพบว่ามีภาวะแผลเพ็ปติกทะลุ จำเป็นต้องผ่าตัดด่วน , ให้งดน้ำงดอาหาร , ให้ยาลดกรด บรรเทาอาการ
เยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis)
สาเหตุ : มักเกิดภายหลังมีการแตกทะลุของอวัยวะในช่องท้อง หรือได้รับอุบัติเหตุที่ท้อง หรือเกิดขึ้นเองโดยไม่อาจหาสาเหตุที่แท้จริง
อาการ :ปวดท้องรุนแรงตลอดเวลา ขยับเขยื้อนหรือกระเทือนจะรู้สึกเจ็บ ผู้ป่วยมักจะต้องนอนนิ่งๆ
การรักษา : แพทย์จะทำผ่าตัดเปิดหน้าท้องเพื่อสำรวจ สาเหตุ (Exploratory Laparotomy) และแก้ไข
การให้ยาปฏิชีวนะ
การอุดตันของลำไส้ (Gut/ Bowel obstruction)
สาเหตุ : มักเกิดจากความผิดปกติของลำไส้ เองทำให้มีการบิดตัว (Volvulus) หรือ การมีพังผืดไปรัด
สาเหตุ : มักเกิดจากความผิดปกติของลำไส้ เองทำให้มีการบิดตัว (Volvulus) หรือ การมีพังผืดไปรัด
การรักษา : แพทย์มักให้ยาปฏิชีวนะร่วมกับการใส่ NG tube เพื่อระบายสิ่งที่ค้างอยู่ในกระเพาะและสำไส้
พังผืดภายในช่องท้อง (Bowel Adhesion)
สาเหตุ : ส่วนใหญ่เกิดขึ้นตามหลังโรคไส้ติ่งอักเสบ หรือโรคติดเชื้ออื่น ๆ ของอวัยวะในช่องท้อง
การรักษา : การผ่าตัดในกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อน
อาการ : มักไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างไร แต่ก็มีบางรายที่เกิดปัญหาเนื่องจากพังผืดภายในช่องท้องเกิดไปอุดตันลำไส้
ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร (Gastrointestinal Hemorrhage)
1) เลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบน Upper gastrointestinal hemorrhage (UGIH)
หมายถึง ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้นซึ่งทางกายวิภาค (Bleeding upon the ligament of treitz)
2) เลือดออกในทางเดินอาหารส่วนล่าง Lower gastrointestinal hemorrhage( LGIH)
หมายถึง ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนล่าง ซึ่งเริ่มตั้งแต่ส่วนของ jejunum ลงไป (Bleeding below ligament of Treitz)
ถ่ายเป็นเลือด(hematochezia)
เลือดออกจากระบบทางเดินอาหารส่วนล่างจะแตกต่างจากเลือดออกจากระบบทางเดินอาหารส่วนบน โดยผู้ป่วยมักให้ประวัติการถ่ายเป็นเลือด โดยเลือดจะไม่ปนเป็นเนื้อเดียวกับอุจจาระ
ริดสีดวงทวาร (hemorrhoids)
เป็นภาวะที่กลุ่มของหลอดเลือดดำบริเวณปลายสุดของลำไส้ใหญ่ และที่ขอบรูทวารหนักโป่งพองและยื่นออกมา
สาเหตุ ยังไม่ทราบแน่ชัด คาดว่าเกิดจากมีแรงดันในช่องท้องสูง
การวินิจฉัย ผู้ที่เป็นริดสีดวงทวาร ส่วนมากจะมีเลือดสดออกทางทวารหนักระหว่างที่ถ่ายอุจจาระ สามารถสังเกตได้จากการมีเลือดเปื้อนกระดาษชำระ มีเลือดปนออกมากับอุจจาระหรือมีเลือดไหลออกมาเป็นหยด
แนวทางการรักษาพยาบาล
การฉีดยาเข้าที่หัวริดสีดวงให้ฝ่อไป(sclerotherapy)
วิธีใช้ยางรัด (ligation) ทำให้หัวริดสีดวงฝ่อ
3.ใช้การจี้ด้วยแสงเลเซอร์ ความเย็น คลื่นความร้อนหรือไฟฟ้า คลื่นอินฟราเรด
รักษาโดยการผ่าตัด (hemorrhoidectomy)
แผลแยกที่รูทวารหนัก (Anal fissure)
สาเหตุ ยังไม่ทราบแน่ชัด ผู้ป่วยจะมีอาการปวดก้นเมื่อมีการถ่ายคล้ายมีดบาด ร่วมกับอุจจาระมีเลือดสดติดปนกับก้อนอุจจาระ
การตรวจที่ทวารหนักต้องใช้นิ้วมือกดเบา ๆ จะพบรอยแตกแยกของ anoderm
การรักษา โดยให้ยาตามอาการและ stool softener ร่วมกับป้องกันมิให้ท้องผูก ถ้าเป็นเรื้อรังอาจเป็นฝี (Perianal abscess) ซึ่งจะมีอาการปวด บวมรุนแรงที่รอบทวารหนัก จะตรวจพบอาการบวมแดงร้อน และกดเจ็บมากที่ข้างทวารหนักชัดเจน
ไส้เลื่อน (Hernia)
สาเหตุ เกิดจากความอ่อนแอของผนังหน้าท้อง เมื่อมีความอ่อนแอของพังผืด ลำไส้จะเคลื่อนที่ออกจากช่องท้องมาสู่ภายนอก เช่นบริเวณขาหนีบ
อาการ ที่สำคัญสำหรับไส้เลื่อนทั้งสองชนิดได้แก่ การที่มีก้อนที่บริเวณขาหนีบ บางครั้งลำไส้อาจเคลื่อนกลับเข้าไปในช่องท้องได้ก็จะไม่มีอาการอะไร ถ้าหากกลับเข้าไปในช่องท้องไม่ได้ จะทำให้รู้สึกหน่วงๆ หรือ ปวดเวลายืนหรือเดิน
การวินิจฉัย การวินิจฉัยทำได้ง่ายโดยการซักประวัติและการตรวจร่างกาย
การรักษา การรักษาโรคไส้เลื่อนนี้ขึ้นอยู่กับอาการว่ามากน้อยเพียงใดและเกิดบ่อยครั้งแค่ไหน ศัลยแพทย์จะเป็นผู้ตัดสินใจเลือกวิธีการรักษาว่าจำเป็นที่จะต้องผ่าตัดหรือไม่ การรักษาโดยการผ่าตัดทำได้โดยนำลำไส้กลับเข้าไปในช่องท้องและเย็บซ่อมรูหรือตำแหน่งที่ลำไส้ออกมา
ท้องผูก (Constipation)
สาเหตุ อุปนิสัยที่ไม่ถูกสุขลักษณะ การอั้นอุจจาระเป็นประจำ รับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารน้อยเกินไป ดื่มน้ำน้อยเกินไป ขาดการเคลื่อนไหวหรือออกกำลังกาย บางรายที่หาสาเหตุไม่ได้ (idiopathic constipation) ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากการบีบตัวของไส้ตรง (rectum) น้อยกว่าปกติ หรือประสาทที่รับรู้ความรู้สึกปวดถ่ายเสื่อมไป หรือจากความเครียด แต่ในบางคนความเครียดทำให้ท้องเสีย
การพยาบาล ควรพิจารณาจากสาเหตุและแก้ไข โดยมีแนวทางดังนี้ ทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารมากๆ ได้แก่ ผัก ผลไม้ ออกกำลังกายเป็นประจำ ดื่มน้ำให้เพียงพอ ฝึกการถ่ายให้เป็นนิสัย ให้ขับถ่ายเป็นเวลา พิจารณาใช้ยาระบายที่เหมาะสมเป็นทางเลือกสุดท้าย และไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากท้องผูก hemorrhoid, CA colon
Diarrhea
สาเหตุของโรคแต่เราสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ
ท้องร่วงจากการติดเชื้อ ทั้งจากเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย โปรโตซัว ปรสิตและหนอนพยาธิ
ท้องร่วงชนิดไม่มีการติดเชื้อ โรคที่พบได้บ่อยในบ้านเรา
การป้องกัน ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ และน้ำทุกครั้ง ก่อนปรุงหรือรับประทานอาหารและภายหลังจากถ่ายอุจจาระ ปัสสาวดื่มน้ำที่สะอาด โดยน้ำต้มสุกจะดีที่สุด เลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ และสะอาดกำจัดขยะมูลฝอย เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธ์ของแมลงวัน ถ่ายอุจจาระลงในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ
โรคนิ่วไต
ทั้งปัจจัยเสี่ยงทางด้านสิ่งแวดล้อม เมแทบอลิซึม พันธุกรรม วิถีการดำเนินชีวิต และอุปนิสัยการกินอาหารของตัวผู้ป่วยเอง
เกิดจากการที่มีก้อนนิ่วไปอุดตันตามที่ต่างๆ ในทางเดินปัสสาวะ ทำให้มีอาการปัสสาวะขัดกระปริกระปรอย หากเป็นในระยะแรกร่างกายอาจขับก้อนนิ่วออกมาได้เองทางปัสสาวะ ซึ่งจะพบตะกอนเหมือนก้อนกรวดเล็กๆ ปนออกมาพร้อมกับปัสสาวะ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยการเจาะเลือดดูค่า creatinin / การตรวจทางรังสี x-ray เงาไตที่เรียก KUB (Kidney ureter and bladder) , IVP (Intravenous pyelogram) เป็นการฉีดสีเข้าเส้นเลือดดำ และสีนั้นจะถูกขับออกทางไต , Ultrasound
การรักษา การใช้คลื่นเสียงกระแทกเพื่อสลายนิ่ว (ESWL) การผ่าตัดเปิด การนำนิ่วออกผ่านการใช้กล้องที่ส่องเข้าสู่ไต ทั้งนี้การเลือกวิธีขึ้นกับขนาดและชนิดของนิ่ว
นางสาววรดา ภูสีดวง 601410030-7 นักศึกษาคณะพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 4