Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 6 การพยาบาลผู้ป่วยที่มีแผล - Coggle Diagram
บทที่ 6
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีแผล
ชนิดของแผลและปัจจัย
การส่งเสริมการหายของแผล
ชนิดของแผล
แบ่งตามลำดับความสะอาด
4 ประเภท
Class II: Clean contaminated
แผลสะอาดกึ่งปนเปื้อน
การผ่าตัดที่เกี่ยวกับท่อน้ำดี, อวัยวะสืบพันธุ์ และช่อง oropharynx ที่ควบคุมการเกิดปนเปื้อนได้ขณะทำผ่าตัด
เช่น Tracheostomy, Tonsillectomy
อัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อ 5 15 %
การผ่าตัดผ่านระบบทางเดินหาายใจและทางเดินอาหาร
Class III: Contaminated
แผลปนเปื้อน
อักเสบเฉียบพลัน เช่น แผลถูกแทง,แผลถูกยิง
อัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ≥15%
แผลเปิดและแผลสด จากการได้รับอุบัติเหตุ
แผลที่เกิดการปนเปื้อนสารคัดหลั่งจากระบบทางเดินอาหาร
Class I: Clean wound แผลผ่าตัดสะอาด
blunt trauma ที่ไม่มีแทงทะลุ/ฉีกขาด เป็นแผลผ่าตัดชนิดปิด
ท่อระบายชนิดระบบปิด (closed drainage) เช่น THR, TKR ,
Mastectomy, Thyroidectomy อัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ≤ 2%
แผลที่ไม่มีการติดเชื้อและอักเสบมาก่อน, การตัดไม่ผ่านนระบบทางเดินหายใจและทางเดินอาหาร
Class IV: Dirty/Infected
แผลสกปรก/แผลติดเชื้อ
แผลเก่า แผลมีเนื้อตาย ติดเชื้อมาก่อน
แผลกระดูกหักเกิน 6 ชั่วโมง
เช่น แผลไส้ติ่งแตก เยื่อหุ้มช่องท้องอักเสบ
อัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ≥30%
แบ่งตามระยะเวลาการเกิด
แผลเรื้อรัง (chronic wound)
ระยะเวลานาน รักษายาก
อาการแทรกซ้อนตามมา เช่น แผลเบาหวาาน
แผลเนื้อตาย
(gangrene wound)
การขาดเลือดไปเลี้ยง/เลือดมาเลี้ยงไม่เพียงพอ
สาเหตุ หลอดเลือดตีบแข็ง เช่น แผลเบาหวาน
ที่มีลักษณะสีดำและมีกลิ่นเหม็น
แผลที่เกิดเฉียบพลัน
(acute wound)
รักษาหายในระยะเวลาสั้น/การหาย
ของแผลเป็นไปตามขั้นตอน
เช่น แผลจากการผ่าตัด
แบ่งตามลักษณะพื้นผิว
แผลลักษณะแห้ง (dry wound)
แผลมีขอบแผลติดกัน
อาจเกิดการติดกันเอง
การเย็บด้วยวัสดุเย็บแผล ไม่มีสารคัดหลั่ง
เช่น แผลผ่าตัดเย็บปิด
แผลลักษณะเปียกชุ่ม
(wet wound)
ขอบแผลไม่ติดกัน/ขอบแผลกว้าง มีสารคัดหลั่ง
เช่น แผลผ่าตัดยังไม่เย็บปิด (delayed suture)
แบ่งตามการรักษา
แผลท่อระบาย
ท่อระบายระบบเปิด ได้แก่ Penrose drain
เจาะผิวหนังเพื่อใส่ท่อระบายของเสียจากการผ่าตัด
เป็นท่อระบายระบบปิด เช่น tube drain, Jackson’ Patt drain
แผลท่อหลอดคอ
(tracheostomy tube)
แผลท่อระบายที่ศัลยแพทย์ ทำการผ่าตัดเปิดหลอดลม
ช่วยหายใจในผู้ป่วยที่มีปัญหาของระบบทางเดินหายใจ
รักษาแผลด้วยสุญญากาศ (NPWT)
รักษาแผลที่มีเนื้อตาย/แผลเรื้อรัง
กลไกการทำงาน
เพิ่มปริมาณเลือดมาสู่แผล ผลจากแรงระหว่างเนื้อเยื่อแผล
กับแผ่นโฟม ทำให้เลือดไหลมาสู่แผล
กระตุ้นการงอกใหม่ของเซลล์ แรงจากการยืด
ลดการบวมของแผลและเนื้อเยื่อใกล้เคียงทันที
ลดแบคทีเรียในแผล
แผลท่อระบายทรวงอก
(chest drain)
เจาะปอด เพื่อใส่ท่อระบายของเสีย
ออกในผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพของปอด
เช่น ภาวะเลือดออกในปอด (hemothorax),
ภาวะลมรั่วในปอด (pneumothorax)
ผู้ป่วยศัลยกรรมกระดูกด้วยวิธีการ
จัดกระดูกให้อยู่นิ่ง (retention)
ดามกระดูกด้วยเหล็ก/แผ่นเหล็กและตะปูเกลียว
ใช้เครื่องตรึงกระดูกภายนอกร่างกาย
แผลทวารเทียมหน้าท้อง
(colostomy)
ผ่าตัดเปิดลำไส้ใหญ่ออกทางหน้าท้อง
ระบายอุจจาระในผู้ป่วยที่มีปัญหาของระบบทางเดินอาหาร
แบ่งตามสาเหตุ
การถูไถลถลอก "abrasion wound"
และการติดเชื้อมีหนอง "infected wound"
การตัดอวัยวะบางส่วน "stump wound"
เช่น แผลตัดเหนือเข่า
เกิดจากถูกยิง "gunshot wound"
และมีขอบแผลขาดกะรุ่งกะริ่ง "lacerated wound"
การกดทับ " pressure sore, bedsore,
decubitus ulcer, pressure injury"
การกระแทกด้วยวัตถุลักษณะมน "traumatic wound"
การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและเคมี
ถูกความเย็นจัด
สารเคมีที่เป็นกรดและด่าง
ไฟฟ้าช็อต
ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
รังสี
เกิดจากโดนระเบิด " explosive wound "
และถูกบดขยี้ "crush wound "
การปลูกผิวหนัง (skin graft)
: จะทำให้เกิดแผล 2 ตำแหน่ง
ส่วนที่ตัดผิวหนังออกมา (donor site)
ส่วนที่เป็นแผลเดิม นำผิวหนังส่วนที่ตัดออก
มาปลูกผิวหนัง (receipt site)
เกิดจากถูกของมีคมทิ่มแทง "stab wound"
เช่น แผลถูกแทงด้วยมีด
เกิดจากถูกของมีคมตัด "cut wound"
เช่น แผลจากโดนมีดฟัน
เกิดจากการผ่าตัด " surgical wound ,
sterile wound / incision wound "
ปัจจัยที่มีผลต่อ
การหายของบาดแผล
ปัจจัยเฉพาะที่
(Local factors)
การได้รับอันตรายและอาการบวม
การขนส่งออกซิเจน
และสารอาหารเข้าสู่แผลทำให้แผลหายช้า
การติดเชื้อ
เก็บสิ่งตัวอย่างส่งตรวจ (specimen)
เช่น เก็บหนองส่งเพาะเชื้อ
รักษาโดยเลือกใช้ยาปฏิชีวนะ
ที่ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคชนิดนั้นได้
ภาวะแวดล้อมแห้ง
เซลล์ขาดน้ำ เซลล์ตายทำให้เกิดสะเก็ด
ปกคลุมแผล ขัดขวางการหายของแผล
ทำความสะอาดแผล เพิ่มความชุ่มชื้นช่วยให้ epidermal cell มีโอกาสเกิดงอกใหม่ได้
ภาวะเนื้อตาย
slough ลักษณะเปียก สีเหลืองเหนียว ปกคลุมบาดแผล
eschar หนาเหนียว คล้ายหนังสัตว์มีสีดำ เนื้อตายต้องตัดออกก่อนการทำความสะอาดแผล จะทำให้แผลหายได้ดี
แรงกด
การนอนท่าเดียวนานๆ เลือดไปเลี้ยง
บาดแผลน้อยลง เกิดเป็นรอยแดง/แผลลุกลามมากยิ่งขึ้น
ความไม่สุขสบาย
การปัสสาวะและอุจจาระกะปิดกะปอย
ทำให้ผิวหนังเปียกแฉะทำให้แผลสกปรกตลอดเวลา
ปัจจัยระบบ
(Systemic factors)
การไหลเวียนของโลหิตบกพร่อง
กรณีมีแผลของอวัยวะส่วนปลาย
โดยเฉพาะแผลเบาหวาน แผลกดทับ ทำให้บาดแผลหายช้า
ภาวะกดภูมิคุ้มกันและรังสีรักษา
เนื่องจากโรค/ยา ทำให้แผลหายช้า
และรักษาด้วยรังสีทำให้เกิดแผล/เปลี่ยนแปลงของสีผิวหนัง
น้ำในร่างกาย
ผู้ป่วยอ้วนการหายของแผลค่อนข้างช้า
เลือดไปเลี้ยงน้อย เซลล์ได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่พอเพียง
ภาวะโภชนาการ
คาร์โบไฮเดรตและไขมัน
เสริมสร้างพลังงำน ให้เซลล์น้ำตาลมีความจำเป็นในการสร้างพลังงานให้ร่างกายและจำเป็นต่อการรวมตัวของเม็ดเลือดขาว
ไขมันเป็นแหล่งเก็บรักษาพลังงาน เป็นส่วนประกอบของผนังเซลล์
การขาดคาร์โบไฮเดรต สลายโปรตีนเพื่อนำมาใช้เป็นพลังงาน
เกลือแร่
ทำหน้าที่ของ Collagen formation และ epithelialization ประกอบด้วย Na K Ca และ P
ทำงานตามปกติของเซลล์และรักษาสมดุลของน้ำ Zn เป็นสารที่มีส่วนร่วม
ในกระบวนการจำลองสาย RNA สำคัญต่อระยะงอกขยายของเซลล์
ขาดสังกะสีรุนแรงเป็นเวลานานทำให้เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte
ทำงานผิดปกติทำให้เกิดความเสี่ยงการติดเชื้อ
Fe สังเคราะห์ Collagen และส่งเสริม
การทำหน้าที่ของเซลล์เม็ดโลหิตขาว
โปรตีน
สร้างเสริมและการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
ขาดโปรตีน การงอกขยายของเนื้อเยื่อใหม่ลดลง
วิตามิน
วิตามิน A สังเคราะห์ collagenและการงอกขยายใหม่ของเซลล์ ต่อต้านเชื้อโรคของเซลล์
ลดการติดเชื้อ ทำให้ macrophage มารวมตัวกันบริเวณที่มีแผลเพิ่มมำกขึ้น
วิตามินบี 6 (pyridoxine) วิตามินบี 2 (riboflavin)
และวิตามิน K รักษาและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
วิตามิน C รวมตัวของ collagen ต่อต้านการติดเชื้อ สังเคราะห์ collagen
สร้างหลอดเลือดฝอยใหม่ และสร้างความแข็งแรงของหลอดเลือด
น้ำ ช่วยคงสภาพที่ดีของการไหลเวียนเลือด
และส่งเสริมสภาพที่ดีของผิวหนัง รับน้ำอย่างน้อยวันละ 2,000 ml
โรคเรื้อรัง
มีผลต่อการหายของแผล ได้แก่ โรคหลอดเลือดแดง
โรคเกี่ยวกับหลอดเลือดส่วนปลาย มะเร็ง เบาหวาน
อายุ
อายุน้อยบาดแผลจะหายเร็วกว่าคนที่มีอายุมาก
เพราะมีภาวะการเจริญเติบโตและสุขภาพแข็งแรงกว่า
ลักษณะและกระบวนการ
หายของแผล
ลักษณะของบาดแผล
แบบทุติยภูมิ
แผลขนาดใหญ่ที่เนื้อเยื่อถูกทำลาย สูญเสียเนื้อเยื่อบางส่วน ขอบแผลมีขนาดกว้างเย็บแผลไม่ได้
การรักษา ทำแผลจนมีเนื้อเยื่อใหม่
มาปกคลุม ใช้ระยะเวลานาน
เสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง เช่น แผลกดทับ
แบบตติยภูมิ
พิจารณาปลูกถ่ายผิวหนัง (skin graft)
นำผิวหนังของผู้ป่วยมาปะติดคลุมแผล
แผลชนิดเดียวกับแผลทุติยภูมิ รักษาทำแผลจนมีเนื้อเยื่อ
เกิดใหม่ปกคลุมสีแดงสด และไม่มีอาการการแสดงภาวะติดเชื้อ
แบบปฐมภูมิ
สูญเสียเนื้อเยื่อเพียงเล็กน้อย และเป็นแผลที่สะอาด
เช่น แผลผ่าตัด เย็บดึงขอบแผลเข้าหากัน/แผลขนาด
เล็กน้อยแล้ว สมานหายได้เองตามธรรมชาติ
กระบวนการหายของแผล
(Stage of wound healing)
ระยะ 2 : การสร้างเนื้อเยื่อ
เริ่มมีเนื้อเยื่อเกิดใหม่ (granulation tissue) macrophage สร้าง growth factor ต่อไป จำเป็นต่อการสร้าง fibroblast และกระบวนการสร้างหลอดเลือด
หลังจากวันที่ 4 กระบวนการสร้างคลอลาเจนจะเริ่มขึ้นไปพร้อมกับไป angiogenesis
ซึ่ง collagen synthesis อาศัยกระบวนการ oxidation ของกรดอะมิโน คือ proline และ lysine
วิตามินซีเป็นตัวช่วย และต้องการออกซิเจนร่วมด้วย
สร้างเนื้อเยื่อใหม่ วันที่ 4-12 วัน เห็น fibroblast เกิดขึ้นในแผล
หลังการเกิดบาดแผลในระยะนี้ แผลจะเริ่มแข็งแรงขึ้น และการหดตัวมากขึ้น แผลจะเริ่มแห้ง ตกสะเก็ด และสารคัดหลั่งลดลง
มีคอลลาเจนจำนวนมำกพอ fibroblast จะตกแต่งหลอดเลือดให้แข็งแรง
กรณี fibroblast ทำหน้าที่ผิดปกติ เกิด fibrotic มากเกิน เกิดรอยแผลเป็นนูนและผิวหนังแข็ง
ระยะ 3 : การเสริมความแข็งแรง
ใช้เวลาหลังการผ่าตัด 20 วัน เพิ่มความแข็งแรงของผิวหนัง
เป็นปกติ ใช้เวลาอีก 60 180 วัน / 2 ปี
บาดแผลเริ่มมีความแข็งแรงมากขึ้น แผลเริ่มเล็กลงและแข็งแรงมากขึ้น
fibroblast เปลี่ยนเป็น myofibroblast มีความแข็งแรงเพิ่มมากขึ้นกว่า fibroblast ความแข็งแรง ร้อยละ 20 ของผิวหนังปกติ
ระยะ 1 : ห้ามเลือดและอักเสบ
platelet
ลดการหลั่งของ cytokine กระตุ้นให้เกิด acute inflammation ทำให้หลอดเลือดฝอยขยายตัว
ระยะแรก ผลิตเม็ดเลือดขาวชนิด neutrophil ต่อมาเป็น monocyte และกลายเป็น macrophage กำจัดสิ่งแปลกปลอม
หลั่งสาร thrombokinase และ thromboplastin ทำให้ prothrombin กลายสภาพเป็น thrombin ช่วยทำให้ fibrinogen เปลี่ยนเป็น fibrin เกิดเป็นลิ่มเลือดทำให้เลือดหยุด
พวกแบคทีเรียและเนื้อตาย มีความสำคัญต่อกระบวนการหาย
สร้างปัจจัยการเติบโต (growth factor)
ช่วยซ่อมแซมและควบคุมกระบวนกำรหำยของแผล
สารเคมีกระตุ้นให้เกิด
2.การเคลื่อนที่ของเซลล์เข้ามาในบาดแผล
3.การสร้าง matrix (เป็นสารโครงสร้างของเนื้อเยื่อประสาน (connective tissue) ระยะนี้แผลปกติจะใช้เวลา1-3 วัน
1.การแบ่งตัวของเซลล์
เกิดขึ้นก่อนเวลา 5-10 นาที เซลล์ที่มีความสำคัญของระยะนี้ ได้แก่ platelets, neutrophils, and macrophages
การบันทึกลักษณะบาดแผล
ขนาด ควรระบุเป็นเซนติเมตร
สี เช่น แดง เหลือง ดำ/ปนกัน
ตำแหน่ง/บริเวณ
ลักษณะผิวหนัง เช่น ผื่น
ชนิดของบำดแผล เช่น แผลผ่าตัด เย็บกี่เข็ม
ขั้นหรือระยะความรุนแรงของบาดแผล
มาตรการวัดของแผล คือ ความยาว,กว้าง,ลึก และช่องโพรง
สิ่งที่ปกคลุมบาดแผล/สารคัดหลั่ง (discharge)
วิธีการเย็บแผล
และวัสดุที่ใช้ในการเย็บแผล
วัตถุประสงค์
ส่งเสริมการหายของแผล
ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าไปในแผล
ดึงขอบแผลเข้าหากัน
รักษาสภาพปกติของผิวหนัง
ห้ามเลือด
วิธีการเย็บแผล
3. Subcuticular method
เหมาะสำหรับด้านศัลยกรรมตกแต่งเพื่อความสวยงาม
เพราะวัสดุที่ใช้เย็บเป็นวัสดุชนิดละลายได้เอง
แบบ continuous method แต่ใช้เข็มตรงในการเย็บ
และซ่อนวัสดุเย็บแผลไว้ในชั้นใต้ผิวหนัง
4. Retention method (Tension method)
เย็บรั้งแผลเข้าหากัน เพื่อพยุงแผลกรณีผู้ที่มีชั้นไขมัน
หน้าท้องหนา/แผลที่ตึงมากและแผลที่ต้องการทำ secondary suture
วัสดุเย็บแผล คือ nylon, steel wire, linen
และวัสดุป้องกันเส้นวัสดุเย็บแผลกดทับแผลโดยตรง
2. Interrupted method
ตัดวัสดุเย็บแผลในทุกฝีเข็ม
Simple interrupted method
เพื่อดึงรั้งให้ขอบแผลทั้งสองติดกัน เหมาะกับบาดแผลผิวหนังทั่วไป
Interrupted mattress method
ตัดเข็มเย็บที่ขอบแผลสองครั้ง
ใช้ในรายที่ต้องการความแข็งแรงของแผล เหมาะสำหรับเย็บแผลที่ลึกและยาว
1. Continuous method
เย็บแผลแบบต่อเนื่องตลอดความยาว
ของแผล/ของวัสดุเย็บแผล ไม่มีการตัดจนกว่าจะเสร็จ
วัสดุที่ใช้ในการเย็บแผล
วัสดุที่ละลายได้เอง
(Absorbable sutures)
เส้นใยธรรมชาติ
ละลายได้ กระตุ้นให้เกิด acute inflammation โดยรอบ เริ่มยุ่ยสลาย 4-5 วัน หมดไปภายใน 2 สัปดาห์
เส้นใยสังเคราะห์
polyglycolic acid (dexon), polyglycan (vicryl)
และ polydioxanone (PDS)
ส่วน plain catgut ละลายได้เร็ว 5 - 0 วัน
เย็บกล้ามเนื้อที่ไม่ลึกมาก เช่น บริเวณปาก
ส่วน chromic catgut ละลายช้า 10-20 วัน ไม่ค่อยระคายเคือง
ทำให้แผลติด เย็บแผลแบบ subcuticular method นิยมใช้ dexon
วัสดุที่ไม่ละลายเอง
(Non absorbable sutures)
เส้นใยสังเคราะห์
เช่น nylon เส้นแข็งแรงมากกว่าไหมเย็บแผล แต่ผูกปมยากและคลายได้ง่าย ไม่มีปฏิกิริยากับเนื้อเยื่อมาก
วัสดุที่เย็บเป็นโลหะ
เช่น ลวดเย็บ เย็บแผลสำเร็จรูป
มีเครื่องมือสำหรับใส่ลวดเย็บ
เส้นใยตามธรรมชาติ
ขนาด 0/0 เส้นไหมใหญ่แรงดึงรั้งมาก เหมาะสำหรับเย็บแผล
บริเวณที่มีผิวหนังหนา เช่น ศีรษะ
ขนาด 2/0 เย็บบริเวณเท้า และขนาด 3/0 และ 4/0 เย็บแขน ขา
เช่น ไหมเย็บแผล ราคาถูก ผูกปมง่าย และไม่คลายง่าย
วิธีการทำแผลชนิดต่างๆ
และการตัดไหม
ปัจจัยส่งเสริม มีวัตถุประสงค์
ดูดซึมสารคัดหลั่ง เช่น เลือด น้ำเหลือง
จำกัดการเคลื่อนไหวของแผลให้อยู่นิ่ง
และให้ความชุ่มชื้นกับพื้นผิวของแผลอยู่เสมอ
ป้องกันไม่ให้ผ้าปิดแผลติดและดึงรั้งเนื้อเยื่อที่งอกใหม่
และป้องกันแผลหรือเนื้อเยื่อที่เกิดใหม่จำกสิ่งกระทบกระเทือน
ป้องกันแผลปนเปื้อนเชื้อโรคจากอุจจาระปัสสาวะสิ่งสกปรกอื่น ๆ
ห้ามเลือด ช่วยให้รู้สึกสุขสบาย
ให้สภาวะที่ดีเหมาะแก่การงอกของเนื้อเยื่อ
ชนิดของการทำแผล
แบบแห้ง
ใช้ทำแผลสะอาด แผลปิด แผลที่ไม่อักเสบ
เป็นแผลเล็กไม่มีสารคัดหลั่งมาก
ไม่ต้องใช้ความชุ่มชื้นในการหายของแผล
แบบเปียก
ใช้วัสดุที่มีความชื้น เช่น gauze ชุบน้ำเกลือทำแผล (0.9% normal saline)
ปิดไว้ปิดทับด้วย gauze แห้งบน gauze เปียกอีกครั้ง
ใช้ความชุ่มชื้นในการหายของแผล ใช้ทำแผลเปิด แผลอักเสบติดเชื้อ แผลที่มีสารคัดหลั่งมาก
อุปกรณ์
วัสดุปิดแผล 10 ชนิด
ผ้าก๊อซหุ้มสำลี ปิดแผลที่มีสารคัดหลั่งจำนวนมาก
ผ้าซับเลือด ปิดแผลขนาดใหญ่ สารคัดหลั่งจำนวนมาก “fluff”
y gauze ปิดแผลที่มีการใส่ท่อเพื่อระบายสารคัดหลั่ง
ผ้าก๊อซ ปิดแผลขนาดเล็กและมีสารคัดหลั่งเล็กน้อย
vaseline gauze ปิดแผลเพื่อไม่ให้อากาศเข้าสู่แผล เช่น แผลท่อระบายทรวงอก
drain gauze สายยาว ใช้ใส่แผลที่มีรูโพรงขนาดเล็ก
transparent film แผ่นฟิล์มโปร่งใส มีรูขนาดเล็กให้อากาศซึมผ่านไม่ใหญ่พอที่จะให้เชื้อแบคทีเรียผ่านเข้าสู่แผล เช่น opsite, tegaderm
แผ่นเทปผ้าปิดแผล มี gauze และแผ่นเทปพร้อมใช้ เช่น nexcare
antibacterial gauze dressing เป็น gauze ปิดแผลชุบด้วยพาราฟิน และยาปฎิชีวนะ ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ เช่น sofa tulle, bactigras นิยมใช้ปิดที่มีขอบแผลกว้างแต่ไม่ลึกเช่น แผลถลอก
วัสดุสำหรับยึดติดผ้าปิดแผล
ควรใช้ plaster ชนิดพิเศษ เช่น micropore tape, fixomull
ใช้ก๊อซพันแผล/ผ้าพันแผลชนิดยืด ใช้เพื่อกดรัดและช่วยในการห้ามเลือด
plaster ชนิดธรรมดา เช่น transpore ง่าย สะดวก
ข้อเสีย ระคายเคืองผิวหนัง และเจ็บขณะดึงออกจากแผล
ในผู้ป่วยสูงอายุ/ผู้ที่ผิวหนังแพ้ plaster
4. อุปกรณ์อื่นๆ
เช่น กรรไกรตัดไหม กรรไกรตัดเชื้อเนื้อ ช้อนขูดเนื้อตาย อุปกรณ์วัดความลึกของแผล
5. ภาชนะสาหรับทิ้งสิ่งสกปรก
เช่น ชามรูปไต ถุงพลาสติก
ทำความสะอาดแผล
ชุดทำแผล (dressing set) ประกอบด้วย ปากคีบไม่มีเขี้ยว (non tooth forceps) ปากคีบมีเขี้ยว (tooth forceps) ถ้วยใส่สารละลาย สำลี และgauze
สารละลาย (solution)
แอลกอฮอล์ นิยมใช้ คือ alcohol 70%เช็ดผิวหนังรอบแผล
ฆ่าเชื้อโรคที่ผิวหนังได้ร้อยละ 90 ใน 2 นาที ไม่ใช้แอลกอฮอล์เช็ดแผลโดยตรง
น้ำเกลือล้ำงแผล (normal saline solution) 0.9% NSS external use
betadine ใช้ได้ดีใน mucous membrane ไม่มีปฏิกิริยาต่อ mucous และโปรตีน
ในสารคัดหลั่ง ข้อเสีย คือ ขัดขวางการเจริญเติบโตของ granulation tissue ไม่ควรทาบริเวณแผลโดยตรง
การทำแผลผ่าตัดแบบเปียก
ใช้สำลีชุบน้ำเกลือ/น้ำยาตำมแผนการรักษาเช็ดภายในแผลจนสะอาด
ใช้ผ้า gauze ชุบน้ำยาใส่ในแผล เพื่อฆ่าเชื้อและดูดซับ
สารคัดหลั่งให้ความชุ่มชื้นแก่เนื้อเยื่อ
ทำความสะอาดริมขอบแผลเช่นเดียวกับการทำ dry dressing
ปิดแผลด้วยผ้า gauze และปิดพลาสเตอร์ตามแนวขวางของลำตัว
เปิดแผล เปิดชุดทำแผล หยิบผ้าปิดแผลส่วนบนทิ้งลงในชามรูปไต
เปิดผ้าปิดแผลชั้นที่ติดกับแผลด้วย tooth forceps หากผ้า gauze แห้งติดแผลใช้สำลีชุบน้ำเกลือหยดบนผ้า gauze ก่อน เพื่อให้สารคัดหลั่งอ่อนตัว ผ้า gauze หลุดง่ายและไม่ทำลาย granulation tissue
การทำแผลผ่าตัดแบบแห้ง
เปิดแผลโดยใช้มือ(ใส่ถุงมือ) หยิบผ้าปิดแผล
พับส่วนที่สัมผัสแผลอยู่ด้านในทิ้งลงชามรูปไต
เปิดชุดทำแผล (หลักการของ IC) หยิบ forceps ตัวแรกโดยใช้มือจับด้านนอกของผ้าห่อชุดทำแผล หยิบขึ้นแล้วใช้ forceps ตัวแรกหยิบ forceps
ตัวที่สอง วาง forceps ไว้ด้านข้างถาดของชุดทำแผล
หยิบ tooth forceps ใช้รับของ sterile
ทำหน้าที่เป็น dressing forceps
หยิบสำลีชุบ alcohol 70% เช็ดรอบๆ วนจากในออกนอกห่างแผล 1 นิ้ว บริเวณกว้าง 2 นิ้ว
หยิบ non tooth forceps ใช้คีบส่งของ sterile
ทำหน้าที่เป็น transfer forceps
หยิบสำลีชุบ 0.9% NSS เช็ดบนลงล่างแล้วเช็ดด้วยสำลีแห้ง
ทำแผลด้วย antiseptic solution ตามแผนการรักษา (ถ้ามี)
ปิดแผลด้วย gauze ติดพลาสเตอร์ตามแนวขวาง ติดชิ้นแรกตรงกึ่งกลางของแผล
และไล่ขึ้นลงตามลำดับ ส่วนหัวและท้ายต้องปิดทับผ้า gauze กับผิวหนังให้สนิท
เก็บอุปกรณ์ ถอดถุงมือ ถอด mask และล้างมือ ทิ้งขยะในถังขยะติดเชื้อ
การทำแผลผ่าตัดที่มีท่อระบาย
ระบายสารคัดหลั่งและเลือดเก่าที่ค้างอยู่จากการผ่าตัดให้ไหลออกมาได้ดีขึ้น และช่วยให้เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังไม่เกิดช่องว่างทำให้การหายของแผลดีขึ้น
เช่น Penrose drain, T tube,
Jackson Pratt drain, redivac drain
วิธีการทำ
ใช้สำลีชุบ alcohol 70% เช็ดท่อระบายจากเหนือแผลออกมาด้านปลำยท่อระบาย เช็ดด้วยสำลีแห้ง
กรณี Penrose drain
ตัดท่อให้สั้น หยิบ gauze 1 ผืน เพื่อจับเข็มกลัดซ่อนปลาย
ใช้ forceps บีบเข็มกลัดให้อ้าออก จับไว้ในมือข้างที่ถนัด
ใช้มืออีกข้างถือ forceps จับท่อระบายดึงท่อระบายออกมา 1 นิ้ว
แทงเข็มกลัดเข้ากับท่อระบาย กลัดเข็มกลัดเข้าที่ ตัดท่อระบายส่วนที่อยู่เหนือเข็มกลัดซ่อนปลายทิ้งท่อระบายที่ตัดออกลงชามรูปไต ใช้สำลีเช็ดผิวหนังรอบๆท่อระบายอีกครั้ง
ใช้สำลีชุบ NSS เช็ดตรงกลางแผลท่อระบาย แล้วเช็ดด้วยสำลีแห้ง
พับครึ่งผ้ำ gauze วางสองข้างของท่อระบายแล้ววางผ้า gauze ปิดทับท่อระบายอีกชั้น และปิดพลาสเตอร์ให้เรียบร้อย
ใช้ non tooth forceps หยิบสำลีชุบ alcohol 70% ส่งต่อให้ tooth forceps
เช็ดผิวหนังรอบท่อระบายวนจากในออกนอกแบบวงกลม ทิ้งสำลีลงชามรูปไต
ระวัง forceps สัมผัสชมรูปไตและรไม่ข้ามกรายชุดทำแผล
จัดท่าให้ผู้ป่วยสุขสบาย
และดูแลสภาพแวดล้อม คำแนะนำการปฏิบัติตัว
รับประทานอาหารครบ 5 หมู่และน้ำ วันละ 2,000 มิลิลิตร เสริมโปรตีน
วิตามิน และเกลือแร่ เพื่อสร้างเนื้อเยื่อและเสริมความแข็งแรงให้กับแผล
หากแพ้พลาสเตอร์ แจ้งให้พยาบาลทราบ ไม่ควรแคะ
แกะ/เกา ทำให้ผิวหนังรอบแผลช้ำถลอก อักเสบติดเชื้อ
ระวังไม่ให้แผลถูกน้ำ/เปียกชื้น
เตรียมเครื่องใช้ เเช่นเดียวกับทำแผลแบบแห้ง สำหรับ Penrose drain
แพทย์จะรักษาให้ตัดท่อยางให้สั้นลงทุกวัน ตัดออกครั้งละ 1นิ้ว
เพิ่มอุปกรณ์ ได้แก่ กรรไกร ตัดไหม เข็มกลัดซ่อนปลาย
การตัดไหม
(Suture removal)
หลักการตัดไหม
เศษไหมที่เย็บแผลส่วนที่มองเห็นสัมผัสเชื้อแบคทีเรีย
ที่อาศัยอยู่ตามผิวหนัง การตัดและดึงไหมออกไม่ดึงไหม
ส่วนที่มองเห็นลอดผ่านใต้ผิวหนัง ต้องดึงไหมออกให้หมด
ขณะตัดไหมหำกพบว่ำมีขอบแผลแยกให้หยุดทำ และปิดแผลด้วยวัสดุที่ช่วยดึงรั้งให้ขอบแผลติดกัน (sterile strip)
ตรวจสอบคำสั่งการรักษาของแพทย์
ว่ามีจุดประสงค์ให้ตัดไหมทุกอัน / ตัดอันเว้นอัน
วิธีทำการตัดไหม
ชนิด interrupted mattress ตัดไหมส่วนที่มองเห็นและอยู่ชิดผิวหนังมากที่สุด
ตัดวิธีเดียวกับการเย็บแผลแบบ interrupted method
continuous method ตัดไหมส่วนที่อยู่ชิดผิวหนังด้านตรงกันข้ามกับปมที่ผูกอันแรก
และถัดไปด้านเดิม ไหมที่เย็บอันที่สองหลุดออก ไหมปมอันถัดไปให้ตัดไหมส่วนที่อยู่
ชิดผิวหนังด้านเดิม ทำจนถึงปมไหมอันสุดท้าย
ชนิด interrupted method ใช้ tooth forceps จับชายไหม ส่วนที่อยู่เหนือปม
ดึงขึ้นพอตึงมือ สอดปลายกรรไกรตัดไหมในแนวราบขนาดกับผิวหนังเล็ก ตัดส่วนที่อยู่ชิดผิวหนัง
การตัดลวดเย็บแผล ใช้เครื่องมือตัด “removal staple” โดยอ้าส่วนปลาย
สอดใต้ลวดเย็บกดด้านมือจับให้ส่วนปลายกดลวดเย็บงอแล้วดึงลวดออกทีละเข็มจนครบ
ใช้ alcohol 70% เช็ดรอบแผล เช็ดรอยพลาสเตอร์ด้วยเบนซิน และเช็ด alcohol 70%
และน้ำเกลือล้างแผล ลงมือตัดไหม หยิบผ้า gauze วางเหนือแผลตัดไหมทีละเข็ม
ให้วางวัสดุเย็บแผลลงบนผ้า gauze นับจำนวนเข็ม
ภายหลังตัดไหมครบทุกเส้นแล้ว เช็ดแผลด้วย normal saline 0.9% และเช็ดให้แห้งอีกครั้ง
ปิดแผลต่อไว้อีก 1 วัน ถ้าแผลติดไม่ดี ให้ติด sterile strip แล้วจึงปิดด้วยผ้า gauze และปิดพลาสเตอร์
วิธีการพันแผลชนิดต่างๆ
วัตถุประสงค์
ช่วยพยุงผ้าปิดแผลให้อยู่กับที่
ให้ความอบอุ่นบริเวณนั้น ๆ
ใช้เป็นแรงกดป้องกันเลือดไหล
ช่วยให้อวัยวะอยู่คงที่ และพยุงอวัยวะไว้
ป้องกันการติดเชื้อ
รักษารูปร่างของอวัยวะให้พร้อมที่จะใส่อวัยวะเทียม
ชนิดของผ้าพันแผล
ผ้าพันแผลชนิดม้วน (roller bandage)
เป็นม้วนกลม ชนิดที่ไม่ยืดและชนิดยืด
ผ้าพันแผลชนิดพิเศษ (special bandage) เช่น ผ้าพันท้องหลายหาง
ปัจจุบัน เช่น abdominal support หลายขนาดเลือกใช้
สำหรับพยุงอวัยวะภายในช่องท้องหลังการผ่าตัด
ผ้าสามเหลี่ยม
(triangular bandage)
หลักการพันแผล
ทำความสะอาดบาดแผล และปิดผ้าปิดแผล
ให้แล้วพันผ้าปิดทับ หากพันแน่นเกินไปอาจเจ็บแผล
ตำแหน่งที่บาดเจ็บ เช่น นิ้วมือ นิ้วเท้า ใช้ผ้าก๊อสคั่น
ระหว่างนิ้วก่อน ป้องกันการเสียดสีของผิวหนัง
การลงน้ำหนักมือให้เหมาะสม
ถ้าลงน้ำหนักมือมากอาจทำให้แน่นเกินไป
บริเวณเท้า ขา ตะโพก ผู้ช่วยคอยประคอง
อวัยวะส่วนนั้นไว้ ช่วยให้ผู้พันผ้าสะดวก
ตำแหน่งที่ต้องการจะพันผ้าผิวหนังบริเวณต้องสะอาดและแห้ง
การพันผ้าใกล้ข้อ ต้องพันผ้า โดยคำนึงถึงการขยับเคลื่อนไหวของข้อนั้นด้วย
ผู้พันผ้าและผู้บาดเจ็บหันหน้าเข้าหากัน จัดท่าให้ผู้บาดเจ็บ
อยู่ในท่าที่สบายวางอวัยวะส่วนที่จะพันผ้าให้รู้สึกผ่อนคลาย
วิธีการพันแผล
1.การใช้ผ้าสามเหลี่ยม สามเหลี่ยมที่มีมุมยอดเป็นมุมฉาก
ขนาดของผ้าที่ใช้ขึ้นอยู่กับขนาดของตัวผู้ป่วยและอวัยวะที่ต้องการพันผ้า
การใช้ผ้าพันแผลชนิดม้วน
ตั้งต้นและจบผ้าพันด้วยการพันรอบทุกครั้ง
การเริ่มต้น การต่อผ้า/จบการพันผ้า
ระวังไม่ตำแหน่งที่เริ่ม/จบผ้า ไม่ตรงกับบริเวณ
ที่เป็นแผลจะทำให้ระคายเคืองและปวดมากขึ้น
เริ่มต้นพันผ้าจากส่วนเล็กไปหาส่วนใหญ่
พันผ้าเข้าหาตัวผู้ป่วย
การพันผ้าแบบชนิดม้วน 5 แบบ
การพันแบบเกลียวพับกลับ ใช้พันเมื่อ
ต้องการความอบอุ่น/ต้องการแรงกด
การพันเป็นรูปเลข 8 พันบริเวณข้อพับ เช่น ข้อศอก ข้อเข่า ข้อเท้า เพื่อให้ข้อเคลื่อนไหวได้
การพันแบบเกลียว พันอวัยวะที่มีรูปทรงกระบอก
การพันแบบกลับไปกลับมา พันยึดผ้าปิดแผลที่ศีรษะ/พันแผล
จากการถูกตัดแขน เพื่อบรรเทาอาการบวมและ ทำให้คงรูปทรงเดิม เตรียมตอแขน/ขาไว้ใส่อวัยวะเทียม
การพันแบบวงกลม พันอวัยวะที่มีรูปทรงกระบอก เช่น แขน ขา นิ้วมือ นิ้วเท้า
ปัจจัยที่ทำให้เกิดแผลกดทับ
ระยะของแผลกดทับและการป้องกันแผลกดทับ
พยาธิสภาพของ
การเกิดแผลกดทับ
แรงกดประมำณ 32 มม.ปรอททำให้เกิดแผลกดทับได้ และผู้ป่วยที่
ไม่เคลื่อนไหวบนเตียงได้เองจะมีแรงกดที่ผิวหนังบนปุ่มกระดูกถึง 100 มม.ปรอท
แรงกดทับผิวหนังที่ทำกับปุ่มกระดูกเป็นเวลานา
ทำให้ผิวหนังและเนื้อเยื่อรอบๆ ขาดออกซิเจนจากโลหิต
มาเลี้ยงไม่ได้การตายของผิวหนังและเนื้อเยื่อต่าง ๆ
ปัจจัยส่งเสริมการเกิดแผลกดทับ
ปัจจัยภายในร่างกาย
ภาวะโภชนาการ ผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอ
ระดับ albumin ในเลือดน้อยกว่า 3.5 mg % เสี่ยงต่อเกิดแผลกดทับ
การผ่าตัด ผู้ป่วยที่ใช้เวลาในการนานกว่า 3 ชั่วโมง เสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับ
อายุ ผู้ป่วยที่เกิดแผลกดทั เป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้น
ชั้นผิวหนังชั้น epidermis บางลง การแบนราบของ rate ridges มาก
ทำให้จำนวนเซลล์ประสาทและหลอดเลือดฝอยลดลง capillary blood flow ลดลง
ยาที่ได้รับการรักษา ได้แก่ ยาขับปัสสำวะ เกิดการเปียกชื้นของผิวหนัง
ยาคลายกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย ง่วงซึมมีการเคลื่อนไหวลดลง
ยา steroid กดการสร้าง fibroblast และ epithelium cell แผลหายช้า
ปัจจัยภายนอกร่างกาย
แรงเสียดทาน เกิดระหว่างผิวหนังชั้นนอกกับพื้นผิวสัมผัส
แรงเฉือน แรงดึงรั้งระหว่างชั้นผิวหนังเกี่ยวข้องกับ
แรงโน้มถ่วงของโลกและแรงต้านที่ทำให้ผิวหนังอยู่กับที่
แรงกด ปริมาณแรงกดน้อยแต่เวลานานทำให้เกิดแผลกดทับได้มากกว่าปริมำณแรงกดมากแต่เวลาน้อย/แรงกดจากอุปกรณ์ทางการแพทย์
ความชื้น สารคัดหลั่งของร่างกายผู้ป่วย
ความต้านทานต่อแรงกดลดลงจะเกิดแผลกดทับได้ง่าย
ระยะของแผลกดทับ
ระดับที่ 2 ผิวหนังแดงเริ่มมีแผลเล็กๆ หนังแท้ถูกทำลายฉีกขาดเป็นแผลตื้น รอยแดงและเริ่มมีสำรคัดหลั่ง
ระดับที่ 3 แผลลึกถึงชั้นไขมัน ไม่ถึงชั้นกล้ามเนื้อ
รอยแผลลึก กลิ่นเหม็นยังไม่มีเนื้อตาย
ระดับที่ 1 ผิวหนังแดง ไม่ฉีกขาดของผิวหนัง
และไม่จางหายภายใน 30 นาที
ระดับที่ 4 แผลลึก เป็นโพรงถึงกล้ามเนื้อ กระดูก
และเยื่อหุ้มข้อ พบมีเนื้อตาย
การป้องกันการเกิดแผลกดทับ
การประเมินความเสี่ยงตามแบบประเมิน
ความเสี่ยงของการเกิดแผลกดทับ
การแปลผล
13 -14 คะแนน เสี่ยงเกิดแผลกดทับ ระดับปำนกลาง
12 คะแนน/น้อยกว่า เสี่ยงเกิดแผลกดทับ ระดับสูง
15-16 คะแนน เสี่ยงเกิดแผลกดทับ ระดับต่ำ
การเฝ้าระวังความเสี่ยงและ
ควรประเมินซ้ำเมื่อมีปัจจัยเสี่ยง
ผู้ป่วยที่ระดับความรู้สึกตัวลดลง
และผู้ป่วยที่มีภาวะพร่องทางโภชนาการ
ผู้ป่วยที่ไม่ถควบคุมการขับถ่ายได้
และผู้ป่วยที่มีไข้สูงมีเหงื่อออกมาก
ผ่าตัดที่นานกว่า 3 ชั่วโมง
และผู้ป่วยที่ได้รับยาแก้ปวด ยาระงับชัก ยา steroid
ใส่อุปกรณ์ทางการแพทย์เป็นเหตุ
ให้ผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหวลดลง
ลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับ
และเพิ่มปัจจัยเสริมการหายของแผล
คำแนะนำเรื่องอาหาร
และโภชนาการ
รับสารอาหารครบถ้วน/มีแคลอรี่เพียงพอ (2,500 - 2,800 กิโลแคลอรี่/วัน)
รายที่ทานอาหารได้น้อย คำนวนพลังงาน
ที่ควรได้รับใน 1 วันให้เพียงพอกับความต้องการ
คำแนะนำเรื่องยา
ช่วยเหลือในการกระตุ้นการเคลื่อนไหว/เปลี่ยนท่าให้ทุก 2 ชั่วโมง
ประเมินอาการหลังได้รับยา
ดูแลช่วยเหลือและคำแนะนำทั่วไป
กระตุ้นให้มีการเคลื่อนไหวร่างกาย/ให้มีกิจกรรม
ใช้อุปกรณ์เพื่อช่วยลดแรงกดและแรงเสียดทาน
ประเมินผิวหนังและการดูแลความสะอาด
เคลื่อนย้ายผู้ป่วย วิธียก/ใช้อุปกรณ์ที่มีแรงเสียดทานต่ำ
ดูแลแรกรับ ประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับ
จัดเสื้อผ้าให้เรียบ หลีกเลี่ยงการนอนทับตะเข็บเสื้อ
และปมผูกต่างๆ เลดแรงกดเฉพาะที่บนผิวหนัง
ให้หม้อนอนแก่ผู้ป่วยและดูแลผ้าปูที่นอนสะอาด แห้ง และเรียบตึง
ผู้ป่วยที่ต้องใช้อุปกรณ์
คาท่อระบายทรวงอก กระตุ้นให้ผู้ป่วยขยับตัว
ยกตัว/ช่วยเหลือเปลี่ยนท่านอนรายที่ช่วยตัวเองไม่ได้ ทุก 2 ชั่วโมง
ใช้กายอุปกรณ์ ดูแลการใส่อุปกรณ์ให้พอดีกับร่างกาย
ผู้ป่วย สวมเสื้อก่อนใส่กายอุปกรณ์
ใส่เครื่องช่วยหายใจ เลือกสายยางชนิดอ่อน
ความยืดหยุ่นดี และเปลี่ยนตำแหน่งติดพลาสเตอร์ทุกวัน
ใส่เฝือก ตรวจสภาพผิวหนังก่อนใส ดูแลแต่งขอบเฝือก
ให้เรียบและหลังการ ยกอวัยวะที่ใส่เฝือกให้สูงเหนือระดับหัวใจ
ใส่เครื่องดึงถ่วงผิวหนัง ประเมินสภาพผิวหนัง
ตรวจดู elastic bandage และสอนผู้ป่วยในการบริหาร
ใส่เครื่องดึงถ่วงกระดูกที่ขา ใช้ผ้านุ่มรองบริเวณต้นขา ตรวจสอบอวัยวะที่ได้รับการดึงถ่วง
ใส่ Head halter traction ใช้ผ้ารองคางไว้
กรณีใส่ Gardner Well Tongs traction
ดูแลหมุนน็อตให้แน่น ป้องกันก่รเลื่อนของ traction
การดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีปัญหา
การขับถ่ายปัสสาวะ/อุจจาระ
ทำความสะอาดผิวหนังที่เปื้อทันทีด้วยน้ำ/น้ำสบู่อ่อน
ไม่ใช้สบู่/โลชั่นให้ความชุ่มชื้นที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
ตรวจสภาพผิวหนังบริเวณสะโพกและส่วนล่างอย่างน้อยเวรละครั้ง/แนะนำประเมินด้วยตนเอง ลักษณะ สี ของผิวหนัง คลำ
สวมใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่ซึมซับได้เร็วและเปลี่ยนทุกครั้งที่ขับถ่าย
ใช้ครีม/โลชั่นทาบริเวณผิวหนังเพื่อช่วยเคลือบ
ผิวหนังจากความเปียกชื้น
ประเมินสาเหตุของปัญหาการขับถ่ายปัสสาวะ/อุจจาระ
กระบวนการพยาบาลใน
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีแผล
การประเมินภาวะสุขภาพ
ประเมินระดับคะแนนความเจ็บปวด
ประเมินความวิตกกังวลจากการผ่าตัด
และพยาธิสภาพของโรค
ประเมินสภาพร่างกายและจิตใจ ความรุนแรงของโรค
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
วัตถุประสงค์
ส่งเสริมการหายของแผล
ให้เป็นไปตามกระบวนการหายของแผลผ่าตัด
เกณฑ์การประเมินผล
ไม่มีอาการที่แสดงว่ามีการติดเชื้อและอุณหภูมิร่างกายอยู่ในเกณฑ์ปกติ
ผู้ป่วยปลอดภัยตามหลักความปลอดภัย SIMPLE ของ patient safety goals
การหายของแผลเป็นไปตามกระบวนการหายของแผล
การปฏิบัติการพยาบาลแบบองค์รวม
ด้านจิตใจ เช่น การพยาบาลแบบองค์รวมและแบบเอื้ออาทร
ด้านสังคม ได้รับการต้องรับตามบนฐานของ
ความต้องการของมนุษย์ 8 ขั้นของมาสโลว์
ด้านร่างกาย
แนะนำและกระตุ้นให้ผู้ป่วยรับประทานอาหาร
และกระตุ้นให้ผู้ป่วยได้รับน้ำ วันละ 2,000 มิลิลิตร
แนะนำไม่ให้แผลเปียกน้ำ
และช่วยทำความสะอาดร่างกายบางส่วน
ประเมินประเภทแผลผ่าตัดและขั้นตอนการหายของแผลและทำแผล
จัดสิ่งแวดล้อมสถานที่ให้สะอาด
ติดตามอาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
และลงบันทึกทางการพยาบาล
ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนและติดตามอาการแพ้ยา
ด้านจิตวิญญาณ
แนะนำให้สวดมนต์ทำสมาธิก่อนนอน
แนะนำให้ทำใจปล่อยวางกับความเจ็บป่วย
ขณะนอนพักบนเตียงให้ฟังเพลง/อ่านหนังสืออ่านเล่น
การประเมินผล
ผลกิจกรรมการพยาบาล
การปฏิบัติการพยาบาลตามแผนที่วางไว้
การจัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องใช้ครบถ้วน
ผลคุณภาพการบริการ
ผลการพยาบาล
การหายของแผลผ่าตัดเป็นไปตาม stage of wound healing
อากการแทรกซ้อนและปลอดภัย SIMPLE
ประเมินสัญญาณชีพและความสุขสบายของผู้ป่วย
ความพึงพอใจด้านจิตใจและจิตวิญญาณ
และประทับใจในการบริการพยาบาล
กระบวนการพยาบาลในการดูแล
ผู้ป่วยที่มีแผลกดทับ
การประเมินภาวะสุขภาพ
ความสามารถของผู้ป่วย
ประเมินความเสี่ยงโดยใช้แบบประเมินความเสี่ยง
ผิวหนังและความสะอาด
ประเมินภาวะโภชนาการ
สารอาหารที่ได้รับพอต่อความต้องการ
ค่าดัชนีมวลกาย แปลผลภาวะโภชนาการ
การวินิจฉัยทางการพยาบาล
การวางแผนให้การพยาบาล
การ ให้การพยาบาลตามแผน
การพยาบาลที่วางไว้
การใช้อุปกรณ์กดแรงกด
การจัดโปรแกรมการให้ความรู้
การจัดท่าทาง
การประเมินผลการพยาบาล มีความสอดคล้อง
กับข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลและเกณฑ์การประเมินผลรายข้อ