Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่6 การพยาบาลผู้ป่วยที่มีแผล - Coggle Diagram
บทที่6 การพยาบาลผู้ป่วยที่มีแผล
ลักษณะและกระบวนการหายของแผล
กระบวนการหายของแผล(Stage of wound healing)
ระยะ2: การสร้างเนื้อเยื่อ
(Proliferate phase)
การสร้ํางเนื้อเยื่อใหม่จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 4-12 วัน ซึ่งจะเห็น fibroblast
เกิดขึ้นในแผล เริ่มมีเนื้อเยื่อเกิดใหม่ macrophage ยังคงทำหน้ําที่สร้ําง growth factor ต่อไปgrowth factor จำเป็นต่อการสร้ํางfibroblast
และกระบวนการสร้ํางหลอดเลือด และหลังจากวันที่ 4 กระบวนการ
สร้ํางคลอลาเจน จะเริ่มขึ้นไปพร้อมกับไปangiogenesis
ระยะ3: การเสริมความแข็งแรง
(Remodeling phase)
ระยะสุดท้ํายของการสร้ํางและความสมบูรณ์ของคอลลาเจนซึ่งfibroblast จะเปลี่ยนเป็น myofibroblast ที่มีความแข็งแรงเพิ่มมากขึ้นกว่า fibroblastความแข็งแรง ร้อยละ 20 ของผิวหนังปกติ ระยะนี้จะใช้เวลาหลังการผ่าตัด 20 วัน แล้วจะเพิ่มความแข็งแรงของผิวหนังเป็นปกติจะใช้เวลาอีก 60-180 วัน หรือ 2 ปี ระยะที่บาดแผลเริ่มมีความแข็งแรงมากขึ้น
แผลเริ่มเล็กลงและแข็งแรงมํากขึ้น
ระยะ1: ห้ามเลือดและอักเสบ
(Hemostasis and Inflammatory phase)
เกิดขึ้นก่อน ในเวลา 5-10 นาที เซลล์ที่มีความสำคัญของระยะนี้
ได้แก่ platelets, neutrophils, and macrophages
เมื่อเกิดการฉีกขาดของผิวหนังและหลอดเลือดมีเลือดไหลออก platelet จะทำหน้ําที่แรก คือ หลั่งสาร thrombokinase และthromboplastinทำให้ prothrombin กลายสภาพเป็น thrombin ช่วยทำให้ fibrinogen
เปลี่ยนเป็น fibrin เกิดเป็นลิ่มเลือดทำให้เลือดหยุด
ลักษณะการหายของแผล(Type ofwound healing)
การหายของแผลแบบทุติยภูมิ(Secondaryintentionhealing)
เป็นแผลขนาดใหญ่ที่เนื้อเยื่อถูกทำลาย มีการสูญเสียเนื้อเยื่อบางส่วน ขอบแผลมีขนาดกว้ํางเย็บแผลไม่ได้การรักษาโดยการทำแผล
จนเกิดมีเนื้อเยื่อใหม่ (granulation tissue) มาปกคลุม
ซึ่งต้องใช้ระยะเวลานาน เนื่องจากแผลมีขนาดกว้ําง
จึงมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง เช่น แผลกดทับ แผลไฟไหม้
การหายของแผลแบบตติยภูมิ(Tertiaryintentionhealing)
เป็นแผลชนิดเดียวกับแผลทุติยภูมิ เมื่อทำการรักษาโดยการทำแผล
จนมีเนื้อเยื่อเกิดใหม่ปกคลุมสีแดงสด และไม่มีอาการการแสดง
ภาวะติดเชื้อแล้ว ศัลยแพทย์จะพิจารณาปลูกถ่ายผิวหนัง (skin graft)
โดยนำผิวหนังของผู้ป่วยมาปะติดคลุมแผล
การหายของแผลแบบปฐมภูมิ(Primaryintentionhealing)
เป็นแผลประเภทที่ผิวหนังมีการสูญเสียเนื้อเยื่อเพียงเล็กน้อย
และเป็นแผลที่สะอาด เช่น แผลผ่าตัด การรักษาโดยการเย็บดึงขอบแผล
เข้ําหากันหรือแผลขนาดเล็กน้อยแล้วแผลสมานหาย
ได้เองตามธรรมชาติ(naturalhealing)
การบันทึกลักษณะบาดแผล
สี
ลักษณะผิวหนัง
ขนาด
ขั้นหรือระยะความรุนแรงของบาดแผล
ตำแหน่ง/บริเวณ
สิ่งที่ปกคลุมบาดแผลหรือสารคัดหลั่ง
ชนิดของบาดแผล
วิธีการเย็บแผลและวัสดุที่ใช้ในการเย็บแผล
ส่งเสริมการหายของแผล
ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้ําไปในแผล
ดึงขอบแผลเข้ําหากัน
รักษาสภาพปกติของผิวหนัง
ห้ํามเลือด
วิธีการเย็บแผล
Subcuticular method
เป็นการเย็บแผลแบบ continuous methodแต่ใช้เข็มตรง
ในการเย็บ และซ่อนวัสดุเย็บแผลไว้ในชั้นใต้ผิวหนัง
เหมาะสำหรับการเย็บด้านศัลยกรรมตกแต่งเพื่อความสวยงาม
Interrupted method
เป็นวิธีการเย็บแผลที่ต้องตัดวัสดุ
เย็บแผลในทุกฝีเข็ม
Interrupted mattress method
เป็นวิธีการเย็บแผลโดยการตักเข็มเย็บที่ขอบแผลสองครั้ง
ใช้ในรายที่ต้องการความแข็งแรงของแผล
เหมําะสำหรับเย็บแผลที่ลึกและยาว
Simple interrupted method
เป็นวิธีการเย็บแผลเพื่อดึงรั้งให้ขอบแผลทั้งสองติดกัน
เหมาะสำหรับเย็บบาดแผลผิวหนังทั่วไป
Retention method (Tension method)
เป็นวิธีการเย็บรั้งแผลเข้ําหากัน เพื่อพยุงแผลในกรณีผู้ที่มีชั้นไขมันหน้าท้องหนาหรือแผลที่ตึงมาก และแผลที่ต้องการทำsecondary suture
Continuous method
เป็นวิธีการเย็บแผลแบบต่อเนื่องตลอดความยาวของแผล
หรือความยาวของวัสดุเย็บแผล โดยไม่มีการตัด
จนกว่าจะเสร็จสิ้นการเย็บแผล
วิธีการทำแผลชนิดต่างๆและการตัดไหม
การทำแผลผ่าตัดแบบแห้ง (Dry dressing)
เปิดแผลโดยใช้มือ(ใส่ถุงมือ) หยิบผ้ําปิดแผลโดยพับส่วนที่สัมผัสแผลอยู่ด้ํานในทิ้งลงชามรูปไตหรือถุงพลาสติก
เปิดชุดทำแผล (ตามหลักการของ IC) หยิบforceps ตัวแรกโดยใช้มือจับด้ํานนอกของผ้ําห่อชุดทำแผล หยิบขึ้นแล้วใช้ forcepsตัวแรกหยิบforceps ตัวที่สอง วาง forceps ไว้ด้ํานข้ํางถาดของชุดทำแผล
หยิบnon-tooth forceps ใช้คีบส่งของsterile ทำหน้ําที่เป็น transfer forceps
หยิบtooth forceps ใช้รับของsterile ทำหน้ําที่เป็นdressing forceps
หยิบสำลีชุบ alcohol 70% เช็ดรอบๆ แผลวนจากในออกนอกห่างแผล 1นิ้วเป็นบริเวณกว้ําง 2 นิ้ว
หยิบสำลีชุบ 0.9% NSS เช็ดจากบนลงล่างจนแผลสะอาดแล้วเช็ดด้วยสำลีแห้ง
ทําแผลด้วย antiseptic solutionตามแผนการรักษา
ปิดแผลด้วยgauze ติดพลาสเตอร์ตามแนวขวางของลำตัวโดยเริ่มติดชิ้นแรกตรงกึ่งกลํางของแผลและไล่ขึ้น-ลงตามลำดับ ส่วนหัวและท้ํายต้องปิดทับ ผ้ําgauzeกับผิวหนังให้สนิท
เก็บอุปกรณ์ ถอดถุงมือ ถอดmask และล้ํางมือ ทิ้งขยะในถังขยะติดเชื้อทุกครั้ง
การทำแผลผ่าตัดแบบเปียก (Wet dressing)
เปิดแผลโดยใช้มือ(ใส่ถุงมือ) เปิดชุดทำแผลตามหลัก IC หยิบผ้ําปิดแผลส่วนบนทิ้งลงในชามรูปไตหรือถุงพลาสติกเปิดผ้ําปิดแผลชั้นที่ติดกับแผลด้วยtooth forcepsหากผ้ําgauze แห้งติดแผลใช้สำลีชุบนํ้าเกลือหยดบนผ้ําgauze ก่อน เพื่อให้เลือดหรือสารคัดหลั่งอ่อนตัว จะช่วยให้ผ้ําgauze หลุดง่ายและไม่ทำลายgranulation tissue
ทำความสะอาดริมขอบแผลเช่นเดียวกับการทำ dry dressing
ใช้สำลีชุบนํ้าเกลือหรือนํ้ายาตามแผนการรักษําเช็ดภายในแผลจนสะอาด
ใช้ผ้ําgauze ชุบนํ้ายา(solution) ใส่ในแผล(packing)เพื่อฆ่ําเชื้อและดูดซับสารคัดหลั่งให้ความชุ่มชื้นแก่เนื้อเยื่อ
ปิดแผลด้วยผ้ําgauzeและปิดพลาสเตอร์ตามแนวขวางของลำตัว
อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำแผล
วัสดุสำหรับปิดแผล
ก๊อซเดรน (drain gauze)
วาสลินก๊อซ (vaseline gauze)
transparent film
วายก๊อซ (y-gauze)
แผ่นเทปผ้ําปิดแผล
antibacterial gauze dressing
ผ้ําซับเลือด (abdominal swab)
ผ้ําก๊อซหุ้มสำลี (top dressing)
ผ้ําก๊อซ (gauze dressing)
อุปกรณ์ทำความสะอาดแผล
สารละลาย(solution)
-แอลกอฮอล์
-นํ้าเกลือล้ํางแผล(normal saline solution)
-เบตาดีน หรือโปรวิโดน ไอโอดีน(betadine, providone-iodine solution)
ชุดทำแผล (dressing set)
-ปากคีบไม่มีเขี้ยว (non-tooth forceps)
-ปากคีบมีเขี้ยว (tooth forceps)
-ถ้วยใส่สํารละลาย(iodine cup)
-สำลี (cotton ball)
-gauze
วัสดุสำหรับยึดติดผ้าปิดแผล
plaster ชนิดธรรมดาเช่น transporeเพราะง่าย สะดวก
แต่มีข้อเสียคือ ระคายเคืองผิวหนัง และเจ็บขณะดึงออกจากแผล
ในผู้ป่วยสูงอายุ หรือผู้ที่ผิวหนังแพ้ plaster ควรใช้ plaster ชนิดพิเศษ
อุปกรณ์อื่น ๆ
-กรรไกรตัดไหม (operating scissor)
-กรรไกรตัดเชื้อเนื้อ (Metzenbaum)
-ช้อนขูดเนื้อตําย (curette)
-อุปกรณ์วัดความลึกของแผล (probe)
ภาชนะสำหรับทิ้งสิ่งสกปรก
-ชามรูปไต
-ถุงพลาสติก
การทำแผลผ่าตัดที่มีท่อระบาย (Tube drain)
การเตรียมเครื่องใช้ในการทแผล เช่นเดียวกับการทำแผลแบบแห้ง สำหรับ Penrose drain นั้นโดยปกติแพทย์จะมีแผนการรักษาให้ตัดท่อยางให้สั้นลง(short drain) ทุกวัน โดยอาจตัดออกครั้งละ 2-5เซนติเมตร จึงต้องเพิ่มอุปกรณ์ในการทำแผลท่อระบาย
ใช้non-tooth forceps หยิบสำลีชุบalcohol70% ส่งต่อให้ tooth forceps เช็ดผิวหนังรอบท่อระบายวนจากในออกนอกแบบครึ่งวงกลมหรือวงกลมจนสะอาดทิ้งสำลีที่ใช้แล้วลงในชามรูปไตหรือถุงพลาสติกระวัง forceps สัมผัสชามรูปไตหรือถุงพลาสติก และระวังไม่ข้ํามกรายชุดทำแผล 3. ใช้สำลีชุบ NSS เช็ดตรงกลางแผลท่อระบําย แล้วเช็ดด้วยสำลีแห้ง
ใช้สำลีชุบalcohol70% เช็ดท่อระบํายจากเหนือแผลออกมาด้ํานปลายท่อระบาย เช็ดด้วยสำลีแห้ง
กรณี Penrose drain และแพทย์มีแผนการรักษาให้ตัดท่อยางให้สั้น (short drain) หยิบgauze 1ผืน เพื่อจับเข็มกลัดซ่อนปลาย ใช้ forceps บีบเข็มกลัดให้อ้ําออก จับไว้ในมือข้ํางที่ถนัด ใช้มืออีกข้ํางถือ forceps จับท่อระบายดึงท่อระบายออกมา1 นิ้ว แทงเข็มกลัดเข้ํากับท่อระบายกลัดเข็มกลัดเข้ําที่แล้วตัดท่อระบายส่วนที่อยู่เหนือเข็มกลัดซ่อนปลํายทิ้งท่อระบํายที่ตัดออกลงชํามรูปไตหรือถุงพลําสติกใช้สำลีเช็ดผิวหนังรอบๆ ท่อระบายและท่อระบายอีกครั้ง
พับครึ่งผ้ําgauzeวางสองข้ํางของท่อระบํายแล้ววางผ้ํา gauzeปิดทับท่อระบํายอีกชั้น และปิดพลาสเตอร์ให้เรียบร้อย
หลังการทำแผลเสร็จแล้วจัดท่ําให้ผู้ป่วยสุขสบาย
และดูแลสภาพแวดล้อม พยาบาลต้องให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัวเกี่ยวกับการดูแลตนเอง
ชนิดของการทำแผล
การทำแผลแบบเปียก (Wet dressing)
หมายถึง การทำแผลที่ต้องใช้ความชุ่มชื้นในการหายของแผล
ใช้ทำแผลเปิด แผลอักเสบติดเชื้อ แผลที่มีสํารคัดหลั่งมาก
การทำแผลแบบแห้ง(Dry dressing)
หมายถึง การทำแผลที่ไม่ต้องใช้ความชุ่มชื้นในการหายของแผล
ใช้ทำแผลสะอาดแผลปิดแผลที่ไม่อักเสบเป็นแผลเล็กไม่มีสารคัดหลั่งมา
การตัดไหม (Sutureremoval)
ทำความสะอาดแผลใช้alcohol 70% เช็ดรอบแผล เช็ดรอยพลาสเตอร์ออกด้วยเบนซิน และเช็ดตํามด้วยalcohol 70% และนํ้าเกลือล้ํางแผลแล้วเช็ดแห้งก่อนทำการลงมือตัดไหม หยิบผ้ํา gauze วางเหนือแผล เมื่อตัดไหมทีละเข็มให้วางวัสดุเย็บแผลลงบน ผ้ํา gauze เพื่อนับจำนวนเข็ม
การตัดไหมที่เย็บแผลชนิดinterrupted method โดยใช้ไหมผูกเป็นปมแยกเป็นอัน ๆ โดยใช้tooth forceps จับชํายไหมส่วนที่อยู่เหนือปมที่ผูกไว้ ดึงขึ้นพอตึงมือจะเห็นไหมใต้ปมโผล่พ้นผิวหนังขึ้นมาและสอดปลํายกรรไกรตัดไหมในแนวราบขนาดกับผิวหนังเล็กตัดไหมส่วนที่อยู่ชิดผิวหนังซึ่งอยู่ใต้ปมที่ผูกแล้วดึงไหมในลักษณะดึงเข้ําหาแผลเพื่อป้องกันแผลแยก
การตัดไหมที่เย็บแผลชนิด interrupted mattress โดยใช้ไหมผูกปมเป็นอัน ๆ ชนิดสองชั้น ให้ตัดไหมส่วนที่มองเห็นและอยู่ชิดผิวหนังมากที่สุด
ซึ่งอยู่ด้ํานตรงกันข้ํามกับปมไหมให้ตัดไหมด้วยวิธีเดียวกับการเย็บแผลแบบinterrupted method
การตัดไหมที่เย็บแผลแบบต่อเนื่อง continuous method ให้ตัดไหมส่วนที่อยู่ชิดผิวหนังด้ํานตรงกันข้ํามกับปมที่ผูกอันแรกและอันถัดไปด้ํานเดิม เมื่อดึงไหมออกส่วนที่เป็นปมผูกไว้อันแรก และส่วนที่อยู่ชิดผิวหนัง
ซึ่งติดกับไหมที่เย็บอันที่สองจะหลุดออก ส่วนไหมปมอันถัดไปให้ตัดไหมส่วนที่อยู่ชิดผิวหนังด้ํานเดิม ทำเช่นนี้จนถึงปมไหมอันสุดท้ําย
กรณีที่ใช้ลวดเย็บเป็นวัสดุเย็บแผล ทำความสะอาดแผลผ่าตัดตามปกติ การตัดลวดเย็บแผลต้องใช้เครื่องมือตัด เรียกว่ํา “removal staple”โดยอ้ําส่วนปลายซึ่งมีลักษณะคล้ํายคีมสอดใต้ลวดเย็บกดด้ํานมือจับให้ส่วนปลาย
กดลวดเย็บงอแล้วดึงลวดออกทีละเข็มจนครบ
ภายหลังตัดไหมครบทุกเส้นแล้ว เช็ดแผลด้วย normal saline 0.9% และเช็ดให้แห้งอีกครั้ง ปิดแผลต่อไว้อีก 1 วัน (ถ้ําแผลแห้งดี)
ถ้ําแผลยังติดไม่ดีแพทย์อาจติด sterile strip แล้วจึงปิดด้วย
ผ้ํา gauze และปิดพลาสเตอร์อีกครั้ง
ชนิดของแผลและปัจจัยการส่งเสริมการหายของแผล
ปัจจัยที่มีผลต่อการหายของบาดแผล
ปัจจัยระบบ (Systemic factors)
นํ้าในร่างกาย (body fluid)
การไหลเวียนของโลหิตบกพร่อง (vascular insufficiencies)
โรคเรื้อรัง(chronic disease)
ภาวะกดภูมิคุ้มกันและรังสีรักษา(immunosuppression and radiation therapy)
อายุ (age)
ภาวะโภชนํากําร (nutritional status)
ปัจจัยเฉพาะที่ (Local factors)
การได้รับอันตรายและอาการบวม (trauma and edema)
การติดเชื้อ (infection)
ภาวะแวดล้อมแห้ง (dry environment)
ภาวะเนื้อตาย (necrosis)
แรงกด (pressure)
ความไม่สุขสบาย (incontinence)
ชนิดของแผล (Type of wound)
ชนิดของแผลแบ่งตามลำดับความสะอาด
Class III: Contaminated ประเภทที่ 3 แผลปนเปื้อน
ลักษณะแผลเปิด (open wound) แผลสด (fresh wound)
แผลจากการได้รับอุบัติเหตุแผลที่เกิดการปนเปื้อนสํารคัดหลั่ง
จากระบบทางเดินอาหาร เป็นแผลที่มีการอักเสบเฉียบพลัน
อัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ≥15%
Class II: Clean-contaminated ประเภทที่ 2
แผลสะอาดกึ่งปนเปื้อนลักษณะแผลที่มีการผ่าตัดผ่านระบบทางเดินหายใจ, ระบบทางเดินอาหาร, ระบบทางเดินปัสสาวะ,เป็นการผ่าตัดที่เกี่ยวกับท่อนํ้าดี, อวัยวะสืบพันธุ์ และช่องoropharynx ที่ควบคุมการเกิดปนเปื้อนได้ขณะทำผ่าตัด อัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อ 5-15 %
Class IV: Dirty/Infected ประเภทที่ 4 แผลสกปรก/แผลติดเชื้อ
ลักษณะแผลเก่า (old traumatic wound) แผลมีเนื้อตาย (gangrene)แผลมีการติดเชื้อมาก่อน แผลกระดูกหักเกิน 6 ชั่วโมง
อัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ≥30%
Class I: Clean wound ประเภทที่ 1 แผลผ่าตัดสะอาด
ลักษณะเป็นแผลที่ไม่มีการติดเชื้อ,ไม่มีการอักเสบมาก่อน,การผ่าตัด
ไม่ผ่านระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหาร,อวัยวะสืบพันธุ์,
ท่อปัสสาวะ,blunt trauma ที่ไม่มีการแทงทะลุหรือฉีกขาดเป็นแผลผ่าตัดชนิดปิด
ชนิดของบาดแผลแบ่งตามระยะเวลาการเกิด
แผลเรื้อรัง(chronic wound)
เป็นแผลที่เกิดขึ้นเป็นระยะเวลานาน และรักษายากหรือรักษา
เป็นเวลานาน อาจมีอาการแทรกซ้อนตามมาภายหลัง
แผลเนื้อตาย(gangrene wound)
เป็นแผลที่เกิดจากการขาดเลี้ยงไปเลี้ยงหรือเลือดมาเลี้ยงไม่เพียงพอ
สาเหตุจากหลอดเลือดตีบแข็ง
ผลที่เกิดเฉียบพลัน(acute wound)
เป็นการเกิดแผล และรักษาให้หายในระยะเวลาอันสั้น
หรือการหายของแผลเป็นไปตามขั้นตอนการหายของบําดแผล
ชนิดของแผลแบ่งตามลักษณะพื้นผิว
แผลลักษณะเปียกชุ่ม (wet wound)
หมายถึง ลักษณะของขอบแผลไม่ติดกัน
หรือขอบแผลกว้ําง มีสารคัดหลั่ง
เช่น แผลผ่ําตัดยังไม่เย็บปิด (delayedsuture)
แผลลักษณะแห้ง (dry wound)
หมายถึง ลักษณะของแผลมีขอบแผลติดกัน
อาจเกิดการติดกันเอง หรือจากการเย็บด้วยวัสดุเย็บแผล
ไม่มีสารคัดหลั่ง เช่น แผลผ่าตัดเย็บปิด
ชนิดของแผลแบ่งตามการรักษา
การรักษาแผลด้วยสุญญากาศ
(Negative Pressure Wound Therapy: NPWT)
เป็นการรักษาแผลที่มีเนื้อตาย หรือแผลเรื้อรังโดยการปิดแผลสุญญากาศ
มีวัตถุประสงค์ เพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
แผลท่อระบาย
เป็นแผลผ่าตัดซึ่งศัลยแพทย์เจาะผิวหนังเพื่อใส่ท่อระบายของเสียจากการผ่าตัดเป็นท่อระบายระบบปิด ได้แก่ tube drain,
Jackson’ Patt drain, redivac drain,hemovac drain,
nephrostomy tube drain ส่วนท่อระบายระบบเปิด ได้แก่ Penrose drain
การรักษาผู้ป่วยศัลยกรรมกระดูกด้วยวิธีการจัดกระดูกให้อยู่นิ่ง(retention)
ด้วยการดามกระดูกด้วยเหล็กหรือแผ่นเหล็กและตะปูเกลียว(plate and screw) หรือการใช้เครื่องตรึงกระดูกภายนอกร่างกาย (external fixator)
จึงมีแผลที่รอยเจาะกระดูก และแผลที่ผิวหนัง
แผลท่อหลอดคอ (tracheostomy tube)
เป็นแผลท่อระบายที่ศัลยแพทย์ ทําการผ่าตัดเปิดหลอดลม
เพื่อใส่ท่อช่วยหายใจในผู้ป่วยที่มีปัญหาของระบบทางเดินหายใจ
แผลท่อระบายทรวงอก (chest drain)
เป็นแผลท่อระบายที่ศัลยแพทย์ทำการเจาะปอด
เพื่อใส่ท่อระบายของเสียออกจากปอดในผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพของปอด เช่น ผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกในปอด (hemothorax)
ผู้ป่วยที่มีภาวะลมรั่วในปอด (pneumothorax)
แผลทวารเทียมหน้าท้อง (colostomy)
เป็นแผลท่อระบายที่ศัลยแพทย์ทำผ่าตัดเปิดลำไส้ใหญ่ออกทางหน้าท้อง เพื่อระบายอุจจาระในผู้ป่วยที่มีปัญหาของระบบทางเดินอาหาร
ชนิดของแผลแบ่งตามสาเหตุ
แผลที่เกิดจากถูกยิง
(gunshot wound)
แผลที่มีขอบแผลขาดกะรุ่งกะริ่ง
(lacerated wound)
แผลที่เกิดจากการกระแทกด้วยวัตถุลักษณะมน
(traumatic wound)
แผลที่เกิดจากการถูไถลถลอก
(abrasion wound)
แผลที่เกิดจากถูกบดขยี้
(crush wound)
แผลที่เกิดจากการติดเชื้อมีหนอง
(infected wound)
แผลที่เกิดจากโดนระเบิด
(explosive wound)
แผลที่เกิดจากการตัดอวัยวะบางส่วน
(stump wound)
แผลที่เกิดจากถูกของมีคมทิ่มแทง
(stabwound หรือ peneturatingwound)
แผลที่เกิดจากการกดทับ
(pressure sore, bedsore,decubitus ulcer, pressure injury)
ผลที่เกิดจากถูกของมีคมตัด
(cut wound)
แผลที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและเคมี
จากไฟไหม้นํ้าร้อนลวก (burn and scald)
จากสารเคมีที่เป็นด่าง(alkaline burn)
จากสารเคมีที่เป็นกรด(acid burn)
จากถูกความเย็นจัด(frost bite)
จากไฟฟ้ําช็อต (electrical burn)
จากรังสี(radiation burn)
แผลที่เกิดจากการผ่าตัด
(surgical wound , sterile wound หรือincision wound)
แผลที่เกิดจากการปลูกผิวหนัง
(skin graft)
วิธีการพันแผลชนิดต่างๆ
หลักการพันแผล
ต้องทำความสะอาดบาดแผลและปิดผ้ําปิดแผลให้เรียบร้อยก่อน
แล้วจึงพันผ้ําปิดทับต้องระวังหากพันแน่นเกินไปผู้ป่วยอาจเจ็บแผล
ตำแหน่งที่บาดเจ็บ เช่น นิ้วมือ นิ้วเท้ํา ต้องใช้ผ้ําก๊อสคั่นระหว่างนิ้วก่อน
ป้องกันการเสียดสีของผิวหนังอาจทำให้เกิดแผลระหว่างนิ้วได้
การลงนํ้าหนักมือเพื่อดึงผ้ําพันแผลควรระวังใช้นํ้าหนักให้เหมาะสม
ถ้ําลงนํ้าหนักมือมากอาจทำให้แน่นเกินไป
การพันผ้ําบริเวณเท้ํา ขา ตะโพก ต้องมีผู้ช่วยคอยประคองอวัยวะส่วนนั้นไว้ เพื่อช่วยให้ผู้พันผ้ําสะดวกและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการพันผ้ําในตำแหน่งนั้น ๆ
ตำแหน่งที่ต้องการจะพันผ้ําผิวหนังบริเวณนั้นต้องสะอาดและแห้ง
การพันผ้ําใกล้ข้อ ต้องพันผ้ํา โดยคำนึงถึงการขยับเคลื่อนไหวของข้อนั้นด้วย
ผู้พันผ้ําและผู้บาดเจ็บหันหน้ําเข้ําหากัน จัดท่ําให้ผู้บาดเจ็บอยู่ในท่าที่สบายวางอวัยวะส่วนที่จะพันผ้ําให้รู้สึกผ่อนคลาย
วิธีการพันแผล
การใช้ผ้ําพันแผลชนิดม้วน เริ่มต้นพันผ้ําจากส่วนเล็กไปหําส่วนใหญ่
พันผ้ําเข้ําหาตัวผู้ป่วย ตั้งต้นและจบผ้ําพันด้วยการพันรอบทุกครั้งเพื่อให้ผ้ําไม่เลื่อนหลุด การเริ่มต้น การต่อผ้ํา หรือการจบของการพันผ้ํา ต้องระวังไม่ตำแหน่งที่เริ่มหรือจบผ้ํานั้นต้องไม่ตรงกับบริเวณที่เป็นแผลหรือบริเวณที่มีการอักเสบ เพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองและปวดมากขึ้น
การใช้ผ้ําสามเหลี่ยม ผ้ําสามเหลี่ยมเป็นสามเหลี่ยมที่มีมุมยอดเป็นมุมฉาก ขนาดของผ้ําที่ใช้ขึ้นอยู่กับขนาดของตัวผู้ป่วยและอวัยวะที่ต้องการพันผ้ํา
ชนิดของผ้าพันแผล
ผ้าพันแผลชนิดม้วน(roller bandage)
เป็นม้วนกลมชนิดที่ไม่ยืด (roll gauze) และชนิดยืด (elastic bandage)
ผ้าพันแผลชนิดพิเศษ (special bandage)
เป็นผ้ําที่มีรูปร่างแตกต่างกันไป ปัจจุบันมีวัสดุการแพทย์ที่ทันสมัยมาใช้แทน เช่น abdominal support เป็นวัสดุการแพทย์สำเร็จรูปมีหลายขนาดเลือกใช้สำหรับพยุงอวัยวะภายในช่องท้องหลังการผ่าตัด
ผ้าสามเหลี่ยม (triangular bandage)
เป็นผ้ําสามเหลี่ยมทำด้วยผ้ําเนื้อละเอียดไม่ระคายเคืองต่อผิวหนัง
ด้ํานยาวยาวกว่าด้ํานกว้ําง
การพันผ้าแบบชนิดม้วน
การพันแบบเกลียวพับกลับ(spiral reverse)
เหมาะสำหรับอวัยวะที่เป็นทรงกระบอก การพันแบบนี้ใช้พันเมื่อต้องการความอบอุ่นหรือต้องการแรงกด
การพันเป็นรูปเลข 8(figure ofeight)
เหมาะสำหรับพันบริเวณข้อพับ เช่น ข้อศอก ข้อเข่าข้อเท้ํา
เพื่อให้ข้อเคลื่อนไหวได้
การพันแบบเกลียว (spiral turn)
เหมาะสำหรับพันอวัยวะที่มีรูปทรงกระบอก เช่น แขน ขํา นิ้วมือ นิ้วเท้ํา
การพันแบบกลับไปกลับมา (recurrent)
เหมาะสำหรับการพันเพื่อยึดผ้ําปิดแผลที่ศีรษะ หรือการพันแผลที่เกิดจากการถูกตัดแขน ขา (stump) เพื่อบรรเทาอาการบวมและทำให้คงรูปทรงเดิมซึ่งเตรียมต่อแขนหรือต่อขาไว้ใส่อวัยวะเทียม(prosthesis)
การพันแบบวงกลม(circular turn)
เหมาะสำหรับพันอวัยวะที่มีรูปทรงกระบอก เช่น แขน ขา นิ้วมือ นิ้วเท้ํา
ปัจจัยที่ทำให้เกิดแผลกดทับ
ระยะของแผลกดทับและการป้องกันแผลกดทับ
ระยะของแผลกดทับ
ระดับที่3
แผลลึกถึงชั้นไขมันแต่ยังไม่ถึงชั้นกล้ํามเนื้อ
มีรอยแผลลึก มีสิ่งขับหลั่งจากแผล เริ่มมีกลิ่นเหม็นยังไม่มีเนื้อตาย
ระดับที่ 2
ผิวหนังแดงเริ่มมีแผลเล็กๆ มีหนังแท้ถูกทำลายฉีกขาดเป็นแผลตื้น
มีรอยแดงบริเวณเนื้อเยื่อรอบๆ และเริ่มมีสารคัดหลั่งจากแผล
ระดับที่ 4
แผลลึกเป็นโพรงถึงกล้ํามเนื้อ กระดูก และเยื่อหุ้มข้อ พบมีเนื้อตาย
ระดับที่1
ผิวหนังแดงไม่มีการฉีกขาดของผิวหนังและไม่จางหายไปภายใน 30 นาที
การป้องกันการเกิดแผลกดทับ
การเฝ้ําระวังความเสี่ยงและควรการประเมินซํ้าเมื่อมีปัจจัยเสี่ยง
ลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับและเพิ่มปัจจัยเสริมการหายของแผล
การประเมินความเสี่ยงตามแบบประเมินความเสี่ยงของการเกิดแผลกดทับ
ปัจจัยส่งเสริมการเกิดแผลกดทับ
ปัจจัยภายนอกร่างกาย
แรงเสียดทาน
แรงเฉือน
แรงกด
ความชื้น
ปัจจัยภายในร่างกาย
ภาวะโภชนาการ
ยาที่ได้รับการรักษา
อายุ
การผ่าตัด