Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Kingdom Fungi - Coggle Diagram

- - - - ไคทริด(Chytid) ส่วนใหญ่อยู่ในน้ำจืดและดิน
      - เป็นปรสิตในโพรทิสต์พืช และสัตว์ หายใจแบบไม่ใช้ O2
      - เป็นฟังไจกลุ่มแรกที่มีวิวัฒนาการขึ้นมาก่อน เซลล์สืบพันธุ์จึงคงมีเฟลเจลลาเหมือนบรรพบุรุษ
      - บางชนิดมีลักษณะคล้ายโพรโทซัว
    - - เป็นราที่มีไมซีเลียมเป็นแบบไม่มีผนังกั้น (aseptate) เรียกซีโนไซติกไฮฟํา (coenocytichypha)
      - สืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศโดยสร้างสปอร์แฮพลอยด์ในอับสปอร์ (sporangium)
      - สืบพันธุ์แบบอาศัยเพศเกิดโดยการสร้างไซโกสปอร์ (zygospore) ภายในอับสปอร์
    - - สืบพันธุ์แบบอาศัยเพศเรียก แอสโคสปอร์ (ascospore) อยู่ในแอสคัส (ascus) สปอร์เรียงกันตามยาวเหมือนลูกหิน
      - ไมซีเลียมแบบมีผนังกันไม่สมบูรณ์ (incomplete septate mycelium)
      - มีรูปร่าง 2 แบบ คือ ในยีสต์ที่เป็นเซลล์เดียวๆ มีการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศโดยกํารแตกหน่อและที่เป็นไฮฟําสร้ํางเอสโคสปอร์ที่เป็นสปอร์แบบอาศัยเพศ ดอกเห็ดหรือแอสโคคาร์ป แบ่งออกได้เป็นสามแบบคือ
        
        ไคลสโททีเซียม (cleistothecium) มีรูปร่างกลม กลวงปิดสนิท
        
        เพริทีเซียม (perithecium) มีรูปร่างคล้ายขวดรูปชมพู่กลวงและมีปากเปิดแคบ
        
        อะโพทีเซียม (apothecium) มีรูปร่างคล้ายถ้วยมีก้าน ปากกว้าง
    - - โครงสร้างซับซ้อนที่สุด ดูจากขนาดและโครงสร้างของส่วนที่ทำหน้าที่สืบพันธุ์
      - เป็นราชั้นสูง ได้แก่ ราหิ้ง (bracket fungi) ที่ขึ้นอยู่ตามต้นไม้
      - มีการสร้างส่วนที่สร้างสปอร์แบบอาศัยเพศหรือ basidiospor เรียก basidiocarp
      - มี 2 คลาส คือ 1. Class Homobasidiomycetes สร้างเบสิเดียมรูปร่างคล้ายกระบอง 2.Class Herterobasidiomycetes ไม่สร้างเบสิดิโอคาร์ปแต่มีความสำคัญมากทางด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ ราสนิมเหล็ก
    - - พบแต่การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเท่านั้น วัฏจักรชีวิตที่ไม่สมบูรณ์
      - มีไฮฟําที่มีผนังกั้น อาจจัดอยู่ในไฟลัมแอสโคไมโคตาหรือเบสิดิโอไมโคตาก็ได้
      - Penicillium และ Aspergillus เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย ทำให้เกิดสีเขียวน้ำเงินและดำในไม้ผลพวกส้ม
- - - - เส้นใยมีผนังกั้น ทำให้มีลักษณะเป็นห้องๆ
        แต่ละห้องมีนิวเคลียสและไซโทพลาสซึมอยู่เป็นสัดส่วน
        เชื้อรําบํางชนิดมีนิวเคลียส 1 อัน บางชนิดมีหลายอัน
    - - เส้นใยเป็นท่อทะลุต่อกัน ไม่มีผนังกั้น นิวเคลียสและไซโทพลาสซึมเคลื่อนไหวปะปนกัน แต่จะเกิดผนังกั้นได้
- - - - Blastospore
        
        เป็น Conidia อีกชนิดหนึ่ง ประกอบด้วยหน่อเล็กๆที่ติดอยู่กับ hypha พบในยีสต์บางชนิด
      - Conidiospore
        
        เป็นสปอร์ที่ไม่มีสิ่งหุ้ม
        
        เกิดที่ปลายเส้นใยที่ทำหน้าที่ชูสปอร์(conidiophore) ที่ปลายของเส้นใย จะมีเซลล์ที่เรียกว่า sterigma ทำหน้าที่สร้าง conidia
      - Sporangiospore
        
        เป็นสปอร์ที่เกิดจากปลายเส้นใยพองออกเป็นกระเปําะ แล้วต่อมามีผนังกั้นเกิดขึ้นภายใน กระเปําะจะมีผนังหนาและเจริญเป็นอับสปอร์
        
        นิวเคลียสภายในอับสปอร์จะมีการแบ่งตัวหลาย ๆ ครั้งโดยมีส่วนของโปรโตพลาสซึมและผนังหนามาหุ้มกลายเป็นสปอร์ที่เรียกว่า sporangiospore จำนวนมากมาย
      - Arthrospore Chlamydospore
        
        Arthrospore : จัดเป็น conidia ชนิดหนึ่ง เกิดจากการหักของ Septate hypha แล้วกลายเป็นเซลล์ที่มีผนังหนา พบใน Coccidioides immitis
        
        Chlamydospore : เป็นสปอร์ที่มีผนังหนา เกิดจากเส้นใยของรา บางส่วนมีลักษณะกลม และมีขนาดใหญ่ขึ้น พบในฟังไจทั่วไป
  - - - เป็นระยะที่เกิดการรวมตัวกันของโปรโตพลาสซึม ทำให้นิวเคลียสของทั้งสองเซลล์มาอยู่ร่วมกัน นิวเคลียสระยะนี้มีโครโมโซมเป็น n หรือ haploid
    - - เกิดการรวมตัวกันของนิวเคลียสจากแกมีตทั้ง 2 เพศ กลายเป็นไซโกตที่มีนิวเคลียสเป็นดิพลอยด์(2n)
        
        ในเชื้อราชั้นต่ำ : นิวเคลียสจะรวมตัวกันอย่างรวดเร็วหลังจํากเกิดระยะพลาสโมแกมีแล้ว
        
        ในเชื้อราชั้นสูง : การรวมตัวกันของนิวเคลียสจะเกิดขึ้นช้ามากหลังจาการะยะพลําสโมแกมี ทำให้เซลล์ในระยะนี้มี 2 นิวเคลียสเรียกว่า Dikaryon
    - - นิวเคลียสในลักษณะดิพลอยด์(2n) จะกลายเป็นนิวเคลียสในลักษณะแฮพลอยด์(n) ซึ่งจะเจริญไปเป็นสปอร์แบบอาศัยเพศสปอร์ชนิดนี้จึงอาจมีการเปลี่ยนแปลงทางยีนได้