Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 3กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ - Coggle…
บทที่ 3กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์
1.วิวัฒนาการของกฎหมายวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์
พ.ศ. 2466 รัชกาลที่6 ออกกฎหมายขึ้นควบคุมการให้บริการด้านการดูแลสุขภาพแก่ประชาชน ได้กำหนดความหมายของโรคศิลปะว่า "การบำบัดโรคทางยา แลัทางผ่าตัด รวมทั้งการผดุงครรภ์ การช่างฟัน การสัตวเเพทย์ การปรุงยา การพยาบาล การนวดหรือการรักษาคนเจ็บป่วยโดยประการต่างๆ"
พ.ศ. 2472 ตัดสาขาสัตวเเพทย์ออกโดยให้การประกอบโรคศิปละเป็นการกระทำต่อมนุษย์เท่านั้น
พ.ศ. 2480 ใช้กฎหมายใหม่คือ พรบ. ควบคุมการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2479 แบ่งการประกอบโรคศิลปะเป็น 2 แบบ คือ แผนโบราณ และเเผนปัจจุบัน กำหนวความหมายของโรคศิลปะไว้ว่า "กิจการใดๆอันกระทำโดยตรงต่อร่างกายมนุษย์โดยการบำบัด รวมถึงการตรวจและป้องกันโรคในสาขาต่างๆ ได้แก่ เวชกรรม การพยาบาลการผดุงครรภ์"
พ.ศ. 2518 เพิ่มอีก 2 สาขา คือ กายาพบำบัด และเทคนิคการแพทย์
พ.ศ. 2528 ประกาศใช้ พรบ. วิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ ดังนั้นกฎหมายควบคุมการประกอบวิชาชีพยาบาลและการผดุงครรภ์จึงแยกออกจาก พรบ. ควบคุมการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2479
พ.ศ. 2534 คณะกรรมการสาการพยาบาลเห็นว่า บ้านเมืองเปลี่ยนแปลง การเจ็บป่วยซับซ้อนขึ้น วิทยาการทางการเเพทย์และด้านอื่นก้าวหน้า จึงปรับปรุงสาระสำคัญ ได้แก่ ค่านิยมการพยาบาลและการผดุงครรภ์ การกำหนดขอบเขตของการประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ จำนวนกรรมการสภาการพยาบาล การเลือกนายกสาการพยาบาล การสอบขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ การต่ออายุใบอนุญาต รวมทั้งการปรับปรุงค่าธรรมเนียม จนกระทั่ง พรบ.2528 ประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้ตั้งเเต่ วันที่ 24 ธันวาคม 2540 ถึงปัจจุบัน
2.กฎหมายแพ่งและพาณิชย์สำหรับพยาบาลและการกระทำความผิดที่พบบ่อย
ความหมายและลักษณะของกฎหมายแพ่ง
กฎหมายแพ่งเป็นส่วนหนึ่งในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ปพพ.) ที่กำหนดสิทธิ หน้าที่ และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชนโดยทุกฝ่ายมีฐานะเท่าเทียมกัน และสามารถต่อรองเพื่อตกลงกระทำการใดๆ ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย
กฎหมายพาณิชย์:เป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการค้าขายหรือกิจการใดๆ ที่ได้กระทำในเรื่องหุ้นส่วนบริษัท ประกันภัยตั๋วเงิน เป็นต้น
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง:เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับวิธีการดำเนินพิจารณาพิพากษาคดีในกรณีที่เกิดข้อพิพาทในทางแพ่งขึ้น เช่น วิธีฟ้อง ศาลที่ฟ้อง วิธีพิจารณาของศาลตลอดจนการบังคับให้ฝ่ายที่ผิดปฏิบัติตามคำพิพากษา เป็นต้น
นิติกรรม
ปพพ. มาตรา149“นิติกรรม หมายความว่า การใดๆ อันทำลงโดยชอบด้วยกฎหมายและด้วยใจสมัคร มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล เพื่อจะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ”
นิติกรรมหมายถึง การกระทำของบุคคลด้วยใจสมัครและถูกต้องตามกฎหมาย มุ่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับสิทธิระหว่างบุคคล
องค์ประกอบของนิติกรรม
1.ผู้กระทำต้องแสดงออกในฐานะที่เป็นเอกชนหมายถึง ผู้กระทำนิติกรรมต้องแสดงออกในฐานะเอกชน มิใช่เจ้าพนักงานของรัฐ
2.การกระทำโดยเจตนาเป็นการกระท าอย่างหนึ่งอย่างใดด้วยใจสมัคร
การแสดงเจตนาโดยชัดแจ้ง
อาจทำโดยวาจา เป็นลายลักษณ์อักษร หรือแสดงกิริยาที่ทำให้เข้าใจอย่างหนึ่งอย่างใด เช่น การทำสัญญาจ้างแรงงาน การทำสัญญาซื้อขาย การส่ายหน้า หรือโบกมือปฏิเสธการเสนอขายสินค้า เป็นต้น
การแสดงเจตนาโดยปริยาย
เป็นการแสดงเจตนาไม่ชัดแจ้งแต่การกระทำอื่นๆ ที่ทำให้ต่างฝ่ายต่างเข้าใจว่า มีความประสงค์ใดในกิริยาเช่นนั้น เช่น การขึ้นรถเมล์แล้วยื่นเงินค่าโดยสารให้กระเป๋ารถเมล์ และรับตั๋วโดยสาร ก่อให้เกิดนิติกรรมการซื้อขาย หรือเจ้าหนี้คืนหรือทำลายสัญญาเงินกู้ แสดงว่าเจ้าหนี้ไม่ต้องการให้ลูกหนี้คืนเงินตามสัญญาเป็นต้น
3.การกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหมายถึง การกระทำที่กฎหมายให้อำนาจบุคคลกระทำได้โดยชัดแจ้ง หรือกฎหมายไม่ได้กำหนดไว้ว่าห้ามกระทำหากนิติกรรมที่กระทำนั้นขัดต่อกฎหมาย ความสงบเรียบร้อย ศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเป็นการกระทำที่พ้นวิสัยที่มนุษย์จะทำได้ ให้ถือเป็นโมฆะ
4.ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวสิทธิหมายถึง ผลของการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่งแก่คู่กรณีตามนิติกรรมนั้นๆ เช่นการรับของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากผู้ป่วยเพื่อตอบแทนน้ำใจการขึ้นเวรล่วงเวลา พยาบาลย่อมได้รับค่าตอบแทนเพิ่ม เป็นต้น
ประเภทของนิติกรรม
1.นิติกรรมที่พิจารณาแบ่งตามจำนวนคู่กรณี
นิติกรรมหลายฝ่าย
ได้แก่ นิติกรรมที่เกิดขึ้นโดยการแสดงเจตนาของบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไป และทุกฝ่ายตกลงยินยอมตามข้อตกลง กล่าวคือ ฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาทำเป็นคำเสนอ แล้วอีกฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาเป็นคำสนอง เมื่อคำเสนอและคำสนองถูกต้องตรงกัน จึงเกิดนิติกรรม หรือสัญญา เช่น สัญญาใช้ทุนการศึกษา สัญญาค้ำประกัน สัญญาซื้อขาย สัญญากู้ยืมเงิน สัญญาจ้างดูแลผู้ป่วยอัมพาตที่บ้าน เป็นต้น
นิติกรรมฝ่ายเดียว
ได้แก่ นิติกรรมที่เกิดผลโดยการแสดงเจตนาของบุคคลเพียงฝ่ายเดียว และมีผลผูกพันทางกฎหมาย เช่น พินัยกรรม คำมั่นจะให้รางวัล การบอกล้างโมะียกรรม เป็นต้น
2.นิติกรรมที่พิจารณาแบ่งตามการมีผลของนิติกรรม
นิติกรรมที่มีผลขณะผู้แสดงเจตนาไม่มีชีวิต
เช่น พินัยกรรม เป็นต้น
นิติกรรมที่มีผลขณะผู้แสดงเจตนายังมีชีวิต
เช่น การให้โดยเสน่หา สัญญาการซื้อขาย สัญญาการใช้ทุนการศึกษา สัญญาค้ำประกัน เป็นต้น
3.นิติกรรมที่พิจารณาแบ่งตามค่าตอบแทน
นิติกรรมที่ไม่มีค่าตอบแทน
อาทิ การให้โดยเสน่หา สัญญายืมเงินโดยไม่มีดอกเบี้ย เป็นต้น
นิติกรรมที่มีค่าตอบแทน
อาทิ สัญญาจ้างงาน สัญญาซื้อขาย สัญญากู้ยืมเงิน สัญญาเช่าทรัพย์ เป็นต้น
ความสามารถของบุคคลในการให้การยินยอมรักษาพยาบาล
1.บุคคลธรรมดา
การตายโดยธรรมชาติ
หมายถึง การป่วยตาย แก่ตาย หรือถูกฆ่าตายของบุคคล ทำให้สภาพบุคคลสิ้นสุด
การสาบสูญ
หมายถึง การที่บุคคลได้ไปจากภูมิล าเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่า บุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เป็นเวลาติดต่อกัน 5ปี ในเหตุการณ์ปกติ หรือเป็นเวลา 2ปี
2.นิติบุคคล
สิ่งซึ่งกฎหมายสมมติให้เป็นบุคคล เพื่อให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย (ปพพ. มาตรา 65 –66) และภายในวัตถุประสงค์ที่จดทะเบียน
บุคคลบางประเภทที่กฎหมายจำกัดสิทธิในการทำนิติกรรม
1.ผู้เยาว์(Minor)
หมายถึง บุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ในทางกฎหมาย บุคคลจะพ้นจากการเป็นผู้เยาว์หรือบรรลุนิติภาวะใน 2กรณี คือ อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ (ปพพ. มาตรา 19) หรือการสมรส (ปพพ. มาตรา 20) เมื่อหญิงและชายอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์ และได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม
2.คนไร้ความสามารถ(Incompetence)
หมายถึง คนวิกลจริต (Unsound mind) หรือ อยู่ในภาวะผัก (Vegetative state) ที่คู่สมรส ผู้สืบสันดาน (ลูก หลาน เหลน ลื้อ) บุพการี (บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ทวด) ผู้อนุบาล หรือพนักงานอัยการยื่นเรื่องต่อศาล และศาลมีคำสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ
3.คนเสมือนไร้ความสามารถ(Quasi –incompetence)
หมายถึง บุคคลที่ไม่สามารถจัดท าการงานโดยตนเอง หรือจัดกิจการไปในทางเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครัว และศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ(ปพพ. มาตรา 32) บุคคลที่ศาลจะสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ ต้องปรากฎว่าบุคคลนั้นไม่สามารถท างานได้
4.ลูกหนี้ที่ถูกศาลสั่งเป็นบุคคลล้มละลาย
ตาม พรบ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 เมื่อศาลมีค าสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นผู้มีอ านาจในการจัดการ จ าหน่ายทรัพย์ของลูกหนี้ และกระท าการอื่นๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้
5.สามีภริยา
เป็นผู้จัดการสินสมรสร่วมกัน จึงต้องให้ความยินยอมซึ่งกันและกันเป็นการทำนิติกรรมบางประเภท
สภาพบังคับทางแพ่ง
1.โมฆะกรรม
1.1นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย
1.2นิติกรรมที่ไม่ได้ท าให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายกำหนด
1.3การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม
2.โมฆียกรรม
2.1ความสามารถของบุคคล
2.2การแสดงเจตนาโดยวิปริต
3.การบังคับชำระหนี้
4.การชดใช้ค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทน
ความรับผิดทางแพ่งที่เกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์
1.การกระทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายหมายถึง การประทุษกรรม หรือกระทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมายด้วยการฝ่าฝืนข้อห้าม
2.การกระทำโดยจงใจหรือประมาท
การกระทำโดยจงใจ
หมายถึง การกระทำที่ตั้งใจหรือเจตนาโดยผิดกฎหมาย
การกระทำโดยประมาทเลินเล่อ
หมายถึง การกระทำโดยมิได้จงใจ แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวังในระดับวิญญูชน
3.ทำให้บุคคลอื่นเสียหายหมายถึง การกระทำที่ทำให้บุคคลอื่นขาดประโยชน์ที่เคยได้รับ
3.กฎหมายอาญาสำหรับพยาบาลและการกระทำความผิดที่พบบ่อย
ความหมายและวัตถุประสงค์ของกฎหมายอาญา
กฎหมายอาญาเป็นกฎหมายมหาชน ซึ่งบัญญัติว่าการกระทำใดเป็นความผิดและกำหนดโทษอาญาแก่ผู้ฝ่าฝืน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมความประพฤติของบุคคลให้อยู่ในสังคมด้วยความสงบเรียบร้อย
ประเภทของความรับผิดทางอาญา
2.ความผิดต่อส่วนตัว
เป็นความผิดที่ไม่ร้ายแรงมีผลกระทบต่อผู้เสียหายฝ่ายเดียว และกฎหมายบัญญัติประเภทไว้ชัดเจน
1.ความผิดต่อแผ่นดิน
เป็นความผิดที่สำคัญและร้ายแรง มีผลกระทบต่อผู้เสียหายและสังคมส่วนรวม
ลักษณะสำคัญของความรับผิดทางอาญา
1.ต้องมีบทบัญญัติความผิด และกำหนดโทษไว้โดยชัดแจ้ง
2.ต้องตีความเคร่งครัดตามตัวอักษร
3.ไม่มีผลย้อนหลังที่เป็นโทษ
หลักเกณฑ์ความรับผิดทางอาญา
3.กระทำโดยเจตนา ประมาท หรือไม่เจตนา
ความผิดทางอาญานอกจากมีการกระทำที่เป็นองค์ประกอบภายนอกแล้ว กฎหมายยังคำนึงถึงองค์ประกอบภายใน คือ จิตใจของผู้กระทำ
4.เหตุยกเว้นความรับผิดทางอาญา
การกระทำของบุคคลที่เป็นความผิดทางอาญา หากกฎหมายระบุเหตุเพื่อยกเว้นความรับผิด ยกเว้นโทษ หรือลดหย่อนโทษ
5.อายุความ
5.1อายุความฟ้องคดีทั่วไประยะเวลาของอายุความแปรตามอัตราโทษตามความผิด
5.2อายุความฟ้องคดีความผิดอันยอมความได้เช่น ความผิดฐานบุกรุกหรือหมิ่นประมาท กฎหมายกำหนดให้ผู้เสียหายต้องร้องทุกข์ภายใน 3เดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องและรู้ตัวผู้กระท าความผิด
2.กฎหมายบัญญัติว่าการกระท านั้นเป็นความผิดและกำหนดโทษ
ซึ่งเป็นลักษณะส าคัญของความรับผิดตามกฎหมายอาญา ที่สอดคล้องตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้ต้องหาหรือจ าเลยไม่มีความผิดจนกว่าจะมีค าพิพากษาถึงที่สุด
1.การกระทำ
หมายถึง การเคลื่อนไหวร่างกาย หรือไม่เคลื่อนไหวร่างกาย โดยรู้ส านึกและอยู่ภายใต้การบังคับของจิตใจ
โทษทางอาญา
3.โทษกักขัง
เป็นโทษที่เปลี่ยนจากโทษอย่างอื่นมาเป็นโทษกักขัง
5.โทษริบทรัพย์สิน
4.โทษปรับ
การเสียค่าปรับ คือ การชำระเงินต่อศาลตามจำนวนที่ศาลกำหนดไว้ในคำพิพากษา
2.โทษจำคุก
เป็นโทษจำกัดเสรีภาพของนักโทษที่ถูกควบคุมไว้ในเรือนจำ ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในคำพิพากษ
1.โทษประหารชีวิต
เป็นโทษสูงสุด สำหรับลงโทษผู้กระทำความผิดคดีอุกฉกรรจ์
ความรับผิดทางอาญาที่เกี่ยวกับการปฏิบัติการพยาบาล
1.ความประมาทในการประกอบวิชาชีพ(Malpractice / Professional negligence / Professional misconduct)
หมายถึง การกระท าหรือการพยาบาลโดยขาดความระมัดระวัง หรือไม่ได้ใช้ความระมัดระวังเพียงพอตามวิสัยของวิชาชีพ จนเกิดความเสียหายอันตรายต่อสุขภาพหรือชีวิตแก่ผู้ใช้บริการ
2.การทอดทิ้งหรือละเลยผู้ป่วย
ความผิดฐานนี้เกี่ยวกับผู้มีหน้าที่ตามกฎหมายหรือสัญญาที่ต้องดูแลผู้ซึ่งพึ่งตนเองไม่ได้ เพราะอายุ ความเจ็บป่วย กายพิการ หรือจิตพิการ ทอดทิ้งบุคคลที่ตนเองรับผิดชอบตามหน้าที่หรือตามสัญญา เป็นเหตุให้อันตรายแก่ชีวิต
3.การเปิดเผยความลับของผู้ป่วย(Confidential disclosure)
1)รู้ความลับผู้อื่นมาเนื่องจากการประกอบอาชีพหรือจากการศึกษาอบรม
2)เปิดเผยความลับนั้น ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
3)ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
4.การปฏิเสธความช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในอันตรายต่อชีวิต
การไม่ช่วยเหลือหรือปฏิเสธการช่วยเหลือผู้อื่นที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต ทั้งๆ ที่ตนอาจช่วยได้
5.ความผิดเกี่ยวกับเอกสาร
: การปลอมเอกสารและการทำหรือรับรองเอกสารเท็จ
6.การทำให้หญิงแท้งลูก(Induced abortion)
6.1การทำให้ตนเองแท้งลูก
หรือยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้งลูก ไม่ว่าจะกระทำให้แท้งโดยวิธีใด เช่น การกินยาขับเลือดกระโดดโลดเต้น ขี่ม้าหรือมพฤติกรรมที่ผาดโผน เป็นต้น
6.2การทำให้หญิงแท้งลูกโดยผู้เสียหายยินยอม
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุให้หญิงได้รับอันตรายสาหัสและถึงแก่ความตายผู้กระทำจะได้รับโทษหนักขึ้น
6.3การทำให้หญิงแท้งลูกโดยผู้เสียหายไม่ยินยอม
การทำแท้งตามมาตรานี้เป็นการกระทำที่หญิงตั้งครรภ์ไม่สมัครใจ จึงมีบทลงโทษหนักขึ้น ตามลักษณะการกระทำ
6.4การพยายามทำให้หญิงแท้งลูก
หมายถึง การท าแท้งที่ไม่ได้กระทำไปจนครบกระบวนการ หรือกระทำไปจนครบทุกขั้นตอน แต่ไม่บรรลุผล คือ ไม่แท้ง หากหญิงนั้นยอม ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ (ปอ. มาตรา 304) เพราะความผิดยังไม่สำเร็จ คือ ยังไม่แท้งลูก
6.5การทำให้หญิงแท้งที่ถูกกฎหมาย
การทำแท้งจะถูกกฎหมาย หากแพทย์เป็นผู้กระทำภายใต้เงื่อนไข