Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

ปัญหาสุขภาพของ ตา หูคอ จมูกและปวดศีรษะ - Coggle Diagram

- - - - มีอาการคันหัวตาต้องขยี้ตาบ่อย ตาแดง เคืองตา มีน้ำตาไหล หนังตาไม่บวม การมองเห็นปกติผู้ป่วยมีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัวให้คิดถึง เยื่อตาขาวอักเสบจากการแพ้ (Allergic conjunctivitis)
      - ถ้ามีตาแดง หนังตาบวม มีขี้ตาสีเหลืองหรือสีเขียวตื่นเช้าขึ้นมาตาจะติดกันลืมตาไม่ได้ มักไม่ปวดหรือเคืองหรือคันตา ต่อมน้ำเหลืองไม่โต เป็นข้างใดข้างหนึ่งแล้วลุกลามไปทั้งสองข้าง ให้คิดถึงเยื่อบุตาขาวอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial conjunctivitis)
      - ถ้ามีอาการตาแดง หนังตาบวม แสบตา เคืองตาคล้ายผงเข้าตา น้ำตาไหลเกือบตลอด ตาไม่สู้แสง ลืมตาขึ้นมีขี้ตาเล็กน้อย อาจตรวจพบต่อมน้ำเหลืองหน้าหูโตให้คิดถึง เยื่อตําขาวอักเสบจากเชื้อไวรัส (Viral Conjunctivitis) หรือ โรคตาแดง
  - - - ถ้ามีหนังตาบวมมากให้ยาปฏิชีวนะ Dicloxacillin หรือ Erythromycin ถ้าปวดให้ยาแก้ปวด Paracetamol ถ้าอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานยาให้ครบ 5-7 วัน แต่ถ้าไม่ดีขึ้นให้ส่งพบแพทย์ที่โรงพยาบาล
- - - - ถ้ามีอาการแสบตา ระคายเคืองตา ตาแดง น้้ำตาไหลเวลาถูกลม เป็นๆหายๆสัมพันธ์กับการถูกลมและแสงแดดบ่อยๆตรวจพบแผ่นเนื้อสีเหลืองนูนอยู่ใกล้ขอบตาด าบริเวณหัวตาหรือหางตา
    - - ถ้ายังไม่เข้าถึงตาดำหรือไม่มีการอักเสบใดๆก็ไม่ต้องรักษาใดๆ แต่ถ้าต้อเนื้อยื่นเลยขอบตาดำประมาณ 3-4 เมตร ค่อยผ่าตัดลอกออก ที่ส าคัญควรหลีกเลี่ยงลม แดด(UV light) ฝุ่น ควันด้วยการสวมแว่นตากันแดดป้องกันแสงอุลตร้าไวโอเลต ถ้ามีการอักเสบหรือเคืองตาให้หยอดยาลดการอักเสบ ยาหยอดตา artificial tear, topical vasoconstrictor น้ าตาเทียมและ antihistamine, Hista-oph Eye drop
  - - - ถ้าผู้ป่วยมีอายุ 40 ปีขึ้นไป มีอาการตามัว ปวดตา สายตาเลวลง มองเห็นแสงสีรุ้ง ความดันลูกตาเพิ่มขึ้น บวม ฝ้า ตาแดง ตรวจพบความดันในลูกตาสูงกว่าปกติทำให้ประสาทตาเสื่อม
    - - ลูกตาผิดปกติเพราะมีช่องลูกตาหน้าแคบและตื้น จึงมีมุมระบายน้้ำเลี้ยงลูกตาแคบกว่าปกติ ทำให้กล้ามเนื้อม่านตาหดตัวหรือรูม่านตาขยายตัวเมื่ออยู่ในที่มืด มีอารมณ์โกรธ ตกใจ เสียใจ น้้ำเลี้ยงลูกตาคั่งทำให้ความดันลูกตาสูงขึ้นเฉียบพลัน จะปวดลูกตา ปวดศีรษะรุนแรง ร่วมกับตาพร่ามัว เห็นแสงสีรุ้ง คลื่นไส้อาเจียน
    - - กระจกตาขุ่น ตามัวลงทีละน้อย การมองเห็นแคบลง มีช่องลูกตาหน้าและ
        มุมระบายน้ำเลี้ยงลูกตาปกติ แต่ท่อชเลมส์ซึ่งเป็นตะแกรงระบายน้ำอุดตันช้าๆ ทำให้น้ำเลี้ยงลูกตาคั่งและความดันลูกตาสูงขึ้นมักพบในคนที่มีสายตาสั้นหรือผู้ป่วยเบาหวาน
    - - การรักษาส่งต่อจักษุแพทย์
  - - - ภาวะที่แก้วตาหรือเลนส์ตามีลักษณะขุ่นขาวโปร่งเหมือนกระจกทำ
        ให้การมองเห็นมัวทีละน้อย ทึบแสง และลดแสงผ่านเข้าสู่ลูกตาไปรวมภาพที่จอตา ทำให้สายตาฝ้ามัวคล้ายมีหมอกบัง ผู้ป่วยมักขาดสารอาหาร สูบบุหรี่ ดื่มสุราหรือมีประวัติตาถูกรังสีหรือแสง
    - - การรักษามีวิธีเดียวคือการผ่าตัด
- - - - 2) ระหว่างที่กลัดหนองอาจปวดให้ยาแก้ปวด paracetamal 500 mg.
      - 3) ถ้ามีหนองอักเสบบวมแดง หรือมีต่อมน้ าเหลืองหน้าหูโต ให้รับประทานยาantibiotics,topical antibiotics (Dicloxacillin or Erythromycin) เป็นเวลา 5-7 วัน
      - 1) เมื่อตุ่มฝีขึ้นใหม่ๆยังแข็งไม่กลัดหนอง ให้ประคบน้ าอุ่นจัดๆกดบริเวณหัวฝีและนวดเบาๆวันละ 4 ครั้งๆละ 20-30 นาที หลังประคบใช้ยาป้ายตาหรือหยอดที่มีปฏิชีวนะ
      - 4) ใช้ Hot compresses หรือ Warm compresses ครั้งละ 15 นาที วันละ 4 ครั้ง
      - Topical antibiotics ทุก 1 ชั่วโมง
      - 6) ถ้าฝีเป่งเห็นหัวหนองชัดเจนให้สะกิดหรือผ่าระบายหนองออก (Incision and curettage) แล้วให้ยา
        Dicloxacillin or Erythromycin
      - 7) ถ้าเป็นๆหายๆหรือสงสัยว่ามีภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวานหรือสายตาผิดปกติ ควรแนะนำไปพบแพทย์หาสาเหตุให้แน่ชัด
  - - - ชนิดแผลเปื่อยและมีคราบหนอง ควรใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำต้มสุกเช็ดให้สะอาดแล้วประคบด้วยน้ำอุ่นและป้ายตาด้วยยาที่มีส่วนผสมของยาปฏิชีวนะ
      - ชนิดเกร็ดรังแค ไม่มีแผลเปื่อย มีเพียงเกร็ดสีขาวของรังแค ให้ทำความสะอาดเช่นเดียวกันและใช้แชมพูรักษารังแค เช่น Selenium sulfade หรือ Zine pyrithrione สระผมให้ทั่วบริเวณที่มีรังแค
  - - - อาการ
        
        ระยะแรกมีอาการเคืองตา คันตา
        น้ำตาไหล ตาแดงเล็กน้อย หรือเป็นทั้งสองข้างอาจมีขี้ตา
        เมื่อตรวจร่างกายพบว่าเยื่อบุตาหนาขึ้นเมื่อ
        พลิกเปลือกตาดู มีตุ่มเล็กๆที่เยื่อบุตาบนด้านในของผนังตาบนอาจพบเยื่อบางๆสีเทาส่วนบนสุดของตา
        ดำ
      - การรักษา
        
        รักษาด้วย Doxycycline 100 mg. วันละ 1-2 ครั้งนาน 4 สัปดาห์ยกเว้นเด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี หรือหญิง
        ตั้งครรภ์หรือหญิงให้นมบุตร ให้กิน Erythromycin แทน
- - - - บางรายมีอาการหูอื้อ คันหู ถ้าดึงใบ
        หูแรงๆจะเจ็บในรูหู ใช้เครื่องส่องหู (Otoscope)จะเห็นการอักเสบแต่เยื่อแก้วหูปกติไม่ทะลุ ต่อมน้ าเหลืองหน้าหู หลังหูและบริเวณคอจะโต
  - - - มักจะเป็นทันทีทันใดเมื่อเปลี่ยนอิริยาบถ ขณะลุกนั่ง ยืนเร็วเป็นเพียงชั่วขณะไม่กี่นาทีก็จะหายหรือทำศีรษะนิ่งๆ
- - - - เจ็บคอบ่อย เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ไอแห้งๆมีเสมหะเล็กน้อย
    - - ที่พบบ่อยคือ หูชั้นกลางอักเสบ จมูกอักเสบ ไซนัสอักเสบ ที่ส าคัญคือ ไข้รูมาติกหน่วยไตอักเสบ มักเกิดหลังทอลซิลอักเสบ 1-4 สัปดาห์
    - - ในเด็กอาจมีอาเจียน ไอ ปวดท้องหรือท้องเดินร่วม เสียงแห้ง
      - เด็กบางคนไข้สูงจนชัก ร้องกวนไม่ยอมนอน
      - ไข้สูงทันทีทันใด (39-40 องศาเซลเซียส) ปวดศีรษะ อ่อนเพลียอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ครั่นเนื้อครั่น
        ตัว หนาวสั่น เจ็บคอ
      - ต่อมน้ าเหลืองอักเสบบริเวณใต้คางข้างใดข้างหนึ่งหรือสองข้าง
- - - - เป็นหวัดน้ ามูกใสๆไหล คัดจมูก คันตา คันคอ แสบคอหรืออาจมีไอแห้งๆเหมือนระคายคอมีอาการสัมพันธ์กับ
        อากาศเย็นหรือฝุ่นละออง เกสร เป็นตอนเช้าๆ
  - - - มีเสลดในคอเจ็บคอ ปวดมึนๆหนักๆบริเวณหัวตา หน้าผาก โหนกแก้ม รอบๆกระบอกตาปวดศีรษะมากขึ้นเวลาก้มศีรษะลงหรือเปลี่ยนท่า เยื่อจมูกแดง แน่นคัดจมูก พูดเสียงขึ้นจมูก
        ถ้าเป็นเฉียบพลันอาจมีไข้ 38 องศา มีอาการอ่อนเพลีย ไอ หายใจล าบาก จมูกไม่ค่อย
        ได้กลิ่น
- - - - 2.1 ถ้ามีอาการปวดมากขึ้นช้าๆในผู้สูงอายุและมีประวิอุบัติเหตุที่ศีรษะ: subdural
        hematoma หรือ post concussive syndrome
      - 2.2 มีอาการเบื่ออาหาร ไข้ คอแข็ง : subacute meningitis จากเชื้อวัณโรคหรือเชื้อรา
      - 2.3 มี focal sign ร่วมกับน้ าหนักลด: primary or metastatic brain tumor
      - 2.4 ตามัวเวลาไอ จามหรือเบ่ง (visual obscuraton): increased intracranial pressure
    - - กลุ่มนี้ส่วนใหญ่มักเป็นกลุ่ม primary headaches เช่น migraine, tension-type headache
        เป็นต้น
    - - การเกิดครั้งแรกแตกต่างจากที่เคยเป็นมาก่อน
      - 1.2 ปวดศีรษะทั่วๆไปและมีคอแข็งร่วมกับไข้สูง :meningitis
      - 1.1 ปวดศีรษะมากแบบไม่เคยเป็นมาก่อน : subarachnoud hemorrhage
      - 1.3 ปวดศีรษะรอบกระบอกตา : glauma