การการพยาบาลข้ามวัฒนธรรมของบุคคลแต่ละวัย🌈✨🇯🇵🇨🇦🇨🇳🧓🏻👴🏻

1 การพยาบาลข้ามวัฒนธรรมของบุคคลวัยเด็กและวัยรุ่น

2. การพยาบาลข้ามวัฒนธรรมของบุคคลวัยผู้ใหญ่

3.การพยาบาลข้ามวัฒนธรรมของบุคคลวัยผู้สูงอายุ

1.1 ประเทศไทย

1.2 ประเทศกัมพูชา

1.3 ประเทศจีน

อธิบาย

ความเชื่อเกี่ยวกับความเจ็บป่วยของเด็กจะได้รับอิทธิพลจากสังคมรอบข้าง โดยเฉพาะผู้ปกครอง

เช่น การบอกกล่าวของบิดามารดา คำสั่งสอนของปู่ย่าตายาย

ครอบครัวที่เลี้ยงดูเด็กจะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการเจ็บป่วยของเด็กเป็นอันดับแรก

รองลงมาอาจเป็นครู หรือเพื่อนที่จะมีอิทธิพลต่อความเชื่อของเด็ก

ความเชื่อของเด็กต่อศาสนาแตกต่างกัน

ศาสนาอิสลามเชื่อว่าเด็กเป็นลูกของพระอัลลอล์

เป็นสิ่งที่มีคุณค่า ดังนั้นต้องดูแลเด็กให้เป็นคนดีของสังคมต่อไป

มารดาต้องดูแลบุตรตั้งแต่ในครรภ์จนถึงวัยผู้ใหญ่หรืออายุ 21 ปี

ดูแลทั้งร่างกายและจิตใจ

ศาสนาคริสต์เชื่อว่าเด็กเป็นของขวัญจากพระเจ้า

ต้องดูแลให้เติบโตในทางที่ดี

เมื่อเด็กเกิดมาต้องเข้าพิธีบัติศมาเพื่อแสดงถึงการชำระเพื่อให้พ้นจากความบาป

ประกาศตัวเป็นศาสนิกชน ศาสนาคริสต์เชื่อว่าทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้า

มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน

นับถือนิกายพยานในพระเยโฮวา จะปฏิเสธการรับเลือดจากผู้อื่น

นิกายนี้มีความเชื่อว่า การได้รับเลือดจากผู้อื่นจะเป็นบาป

ในเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ การเลือกนับถือศาสนาของเด็กนั้นยังมิใช่การตัดสินใจของเด็กอย่างเต็มที่ เพราะยังอยู่ใต้อิทธิพลของบิดามารดาหรือผู้แทนโดยชอบธรรมการตัดสินใจเกี่ยวกับชีวิตและร่างกายของเด็กเป็นเรื่องที่รัฐสามารถเข้าไปควบคุมได้

แต่อย่างไรก็ตามบิดามารดาก็ยังถือว่าเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินในการรักษาพยาบาลบุตร ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน

ความเชื่อในการดูแลเด็กของคนไทยในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

จะคล้ายคลึงกับประชากรในประเทศลาว

มีการรักษาความเจ็บป่วยจากอำนาจเหนือธรรมชาติ

ได้แก่ การประกอบพิธีกรรมต่างๆ

การสะเดาะห์เคราะห์

การผูกข้อมือเรียกขวัญ

การบูชาบวงสรวง

เพื่อให้เกิดความหวังและกำลังใจในรายที่การเจ็บป่วยหาสาเหตุไม่ได้

มีการรักษาตามอาการจากแพทย์พื้นบ้าน

มีการใช้สมุนไพร การประคบน้ำมัน รวมไปถึงการรักษาแบบผสมผสาน เช่น มีการสมุนไพรร่วมกับวิธีการรักษาอื่นๆ

การใช้น้ำมนต์

การผูกข้อมือ

รักษาจากอำนาจเหนือธรรมชาติหรือรักษาตามอาการจากแพทย์พื้นบ้านร่วมกับการรักษาจากแพทย์แผนปัจจุบัน

ความเชื่อในยุคสมัยใหม่

หากเด็กมีอาการเล็กน้อย

ซื้อยาให้รับประทานเอง

ถ้ามีอาการรุนแรง หรือ เรื้อรัง

ไปใช้บริการจากโรงพยาบาล

ประชากรในประเทศไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ

เชื่อเกี่ยวกับการดูแลเด็กก็จะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละสังคม แต่ละภูมิภาค

ตัวอย่างเช่น

ในสมัยโบราณจะมีพิธีการสู่ขวัญเด็กเมื่ออายุครบ 1 เดือนและมีการโกนผมไฟ

เพราะเชื่อว่าจะทำ ให้เด็กที่มีสุขภาพดีไม่เจ็บป่วยง่าย

เมื่อเด็กไม่สบายหรืองอแงก็จะให้ผู้ใหญ่ผูกข้อมือให้

ในพื้นที่อำเภอเมืองน่านและอำเภอกระนวนจะมีการทำพิธีสู่ขวัญให้กับเด็กเพื่อให้เด็กหยุดร้องอแงและอยู่ดีมีสุข

ความเชื่อในการดูแลเด็ก

1.1.1.จกคอละอ่อน

การที่แม่ช่าง (หมอตำแย) หรือหมอทำคลอดใช้นิ้วมือล้วงเข้าไปในลำคอของทารกแรกคลอด

เพื่อล้วงเอาเสลดหรือเลือดที่ติดค้างในลำคอออกมา

เชื่อว่าถ้าไม่ทำเช่นนี้ เมื่อโตขึ้นเด็กคนนั้นจะป่วยเป็นโรคหืดหอบได้

1.1.2 2. น้ำนม

1.1.3 3. เม่า

1.1.4 4. รก

ถ้าเอาน้ำนมของคนทาที่ศีรษะของเด็กทารกที่มีผมบาง จะทำให้ผมขึ้นดกหนา

เอาน้ำนมหยอดตาคนที่เป็นโรคตาแดง ก็จะหาย

ถ้าเอาน้ำนมมนุษย์ผสมกับดินปืนที่ใช้ทำบอกไฟดอก เชื่อว่าเมื่อจุดบอกไฟจะไม่ค่อยมีควันและมีดอกสวยงามสว่างไสว

โรคที่เกิดขึ้นกับเด็กทารกในช่วงที่ยังกินนม

อาการ

บริเวณรอบริมฝีปากและลิ้นของเด็กจะมีลักษณะคล้ายกับถูกน้ำร้อนลวกจนสุก

รู้สึกแสบแล้วร้องไห้

การรักษาโรค

พ่อแม่เด็กจะทำกรวยดอกไม้ จากนั้นจะนำกรวยไปเสียบไว้ข้างฝาหรือหลังคาเรือน ทิ้งไว้ประมาณครึ่งวันจึงนำกรวยดอกไม้นั้นมาทำพิธีเสกเป่าอีกครั้งหนึ่ง และทำอย่างนี้ทุก ๆ วัน จนกว่าเด็กจะหาย

ชาวล้านนาเชื่อว่าหลังจากคลอดแล้วแต่รกไม่ออกตามมา ให้ระวังว่ารกจะขึ้นปิดลิ้นปี่จนทำให้เด็กหายใจไม่ออก และอาจถึงตายได้

สมัยก่อนต้องให้หมอเวทมนตร์มาเสกคาถาสะเดาะเคราะห์ใส่น้ำให้แม่เด็กดื่มเพื่อบังคับรกให้ออก


การเกิดของเด็กเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจในครอบครัว

การเกิดถือว่าเป็นอันตรายทั้งต่อแม่และเด็ก

สตรีที่ตายเพราะการคลอดบุตรจะเชื่อว่าเกิดจากการกระทำของปีศาจ

หญิงที่ตั้งครรภ์จึงมีข้อห้ามต่างๆมากมาย

ข้อห้ามเหล่านี้ยังนิยมอยู่ในชนบท แต่น้อยลงแล้วในเขตเมือง

การเลี้ยงดู

จนกว่าจะอายุประมาณ 2-4 ปี หลังจากนั้น เด็กจะมีอิสระมากขึ้น

เด็กอายุ 5 ขวบจะสามารถช่วยดูแลน้องๆได้

ส่วนใหญ่จะเริ่มไปโรงเรียนเมื่ออายุ 7-8 ปี

10 ขวบ

เด็กหญิงจะเริ่มช่วยงานบ้านได้

เด็กผู้ชายต้องช่วยงานในไร่นาภายใต้การควบคุมของผู้ใหญ่

วัยรุ่นมักจะจับกลุ่มในเพศเดียวกัน

เด็กผู้ชายบางคนบวชเป็นสามเณร

ในยุคก่อนคอมมิวนิสต์ พ่อแม่มีอำนาจปกครองจนกว่าบุตรจะแต่งงาน

ความเชื่อ

ชาวกัมพูชาถือว่าศีรษะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด

ชาวกัมพูชาจะให้การเคารพแพทย์เพราะถือว่าเป็นบุคคลที่อยู่ในชั้นที่สูงกว่าในสังคม

เวลาผู้ป่วยคุยกับแพทย์จึงก้มหน้าไม่สบตา

ในอดีตประเทศจีนจะมีนโยบาย “ลูกคนเดียว (One child policy)” แต่ในปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนนโยบายให้สามารถมีลูกคนที่สองได้ เพื่อมุ่งหวังแก้ไขปัญหาในเชิงโครงสร้างประชากรจีนในระยะยาว

วัฒนธรรมจีนชื่นชอบลูกผู้ชายมากกว่าผู้หญิง

“ฉางโซ่วทัง”

จะเป็นการอาบน้ำให้เด็กเป็นครั้งแรกนับแต่คลอด

พิถีพิถันตั้งแต่การเลือกภาชนะ น้ำ รวมถึงผู้ประกอบพิธี

สำหรับเด็กที่เกิดในประเทศจีน เมื่อครบสามวันจะมีพิธีล้างวันที่สาม

หมายถึง มีความหมายว่า น้ำอายุมั่นขวัญยืน

สำหรับส่วนผสมของน้ำจะแตกต่างกันตามความเชื่อในแต่ละท้องถิ่น

หมีเย่ว์

ถือเป็นพิธีกรรมที่สำคัญที่สุดในบรรดาพิธีกรรมเกี่ยวกับการเกิด

ด้วยการโกนผมไฟ การจัดเลี้ยงในหมู่ญาติสนิทมิตรสหาย และการตั้งชื่อให้เด็ก ในงานเลี้ยงจะมีการจุดประทัดรื่นเริง

ส่วนจะจัดใหญ่โตแค่ไหนขึ้นอยู่กับฐานะของแต่ละครอบครัว

ในกรณีที่สมาชิกใหม่เป็นเด็กคนแรกในครอบครัวหรือเป็นเด็กที่เกิดเมื่อพ่อแม่อายุมาก

หลังจากผู้โกนผมจุดธูปเสร็จก็จะเริ่มโกนผมพร้อมการจุดประทัด โดยอาของเด็กจะอุ้มเด็กให้นั่งตัวตรง จากนั้นผู้ที่รับหน้าที่โกนผมจะเอาใบชาที่อมจนเปื่อยในปากชโลมลงบนศีรษะเด็ก ด้วยเชื่อว่าใบชาเขียวจะช่วยฆ่าเชื้อโรคบนศีรษะทารกและลบรอยแผลเป็น นอกจากนี้ยังทำให้ผมขึ้นอย่างดกดำอีกด้วย

จะไม่โกนผมทั้งหมด แต่จะเหลือเป็นรูปสี่เหลี่ยมบริเวณโคนหน้าผาก และตรงบริเวณท้ายทอยจะเหลือผมไว้หนึ่งปอย

เส้นผมที่โกนทิ้งจะไม่โยนทิ้ง แต่จะเก็บรวมกันและนำมาสานเป็นแผ่น แล้วจึงนำไปวางไว้หัวเตียงเด็กหรือเย็บติดกับเสื้อเด็ก

เพื่อปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายและคุ้มครองให้แคล้วคลาดภยันตรายใดๆ

วัยผู้ใหญ่เริ่มตั้งแต่สิ้นสุดวัยรุ่นเมื่ออายุประมาณ 20-25 ปี

วัยผู้ใหญ่แบ่งออกเป็น 3 ระยะ

2.วัยผู้ใหญ่ตอนกลางหรือวัยกลางคน อายุ 40 ปีถึง 60-65 ปี

3.วัยผู้ใหญ่ตอนปลายหรือวัยสูงอายุ อายุ 60-65 ปีขึ้นไป

1.วัยผู้ใหญ่ตอนต้นหรือวัยหนุ่มสาว อายุ 20-25 ปีถึง 40 ปี

พัฒนาการเต็มที่ของร่างกาย วุฒิภาวะทางจิตใจอารมณ์

พร้อมที่จะมีบทบาทที่จะเลือกแนวทางในการดำเนินชีวิตของตนในเรื่องอาชีพ คู่ครอง และความสัมพันธ์กับบุคคลต่าง

เป็นวัยที่ได้ผ่านชีวิตครอบครัวและชีวิตการงานมาระยะหนึ่ง

มีความมั่นคงและความสำเร็จในชีวิต

เป็นวัยของความเสื่อมถอยของร่างกาย สภาพจิตใจ และบทบาททางสังคม

การปรับตัวต่อความเสื่อมถอยและการเผชิญชีวิตในบั้นปลาย

2.1 การพยาบาลข้ามวัฒนธรรมในวัยผู้ใหญ่ที่นับถือศาสนาอิสลาม

ตัวชี้วัดด้านคุณภาพชีวิตที่สำคัญ

การมีสุขภาพดีที่เอื้อต่อการประกอบศาสนกิจในโอกาสต่างๆ ทั้งที่เป็นศาสนกิจภาคบังคับ และเพิ่มเติมอื่นๆ

ศาสนกิจที่สอดคล้องกับเดือนในปฏิทินฮิจเราะห์ศักราช

ซึ่งจะมีจำนวนวันน้อยกว่า

ปฏิทินตามพุทธศักราช(จันทรคติ) และเป็นปฏิทินที่ยึดการดูดวงจันทร์ในการกำหนดวัน

ทำให้ผู้ให้บริการที่ดูแลผู้ป่วยต้องมีการวางแผนการดูแลผู้ป่วยล่วงหน้าด้วย

การดูแลทำความสะอาดผู้ป่วยสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม

  1. ผู้ป่วยที่ไม่สามารถทำความสะอาดได้
  1. ผู้ป่วยที่มีนะญิส (สิ่งสกปรกที่ต้องชำระให้สะอาดตามหลักนิติบัญญัติอิสลาม) ติดตัวอยู่ตลอดเวลา
  1. ผู้ป่วยที่สามารถทำความสะอาดได้

อาจจะทำด้วยตนเอง หรือให้คนอื่นช่วย ก็ให้ทำความสะอาดตามปกติ ก่อนที่จะอาบน้ำละหมาดในแต่ละเวลา

อาจเป็นเพราะผู้ป่วยเองไม่สามารถจะทำได้ หรือไม่มีผู้ที่จะช่วยทความสะอาด ก็ให้ทำความสะอาดเท่าที่สามารถจะกระทำได้

การละหมาดของเขาก็ใช้ได้ โดยไม่ต้องละหมาดชดใช้อีก

เราต้องแนะนำให้ผู้ป่วยทำความสะอาดบริเวณดังกล่าวตามปกติหรือตามคำแนะนำของแพทย์

การอาบน้ำละหมาดของเขานั้นไม่เสีย แต่เขาจะต้องอาบน้ำละหมาดหรือตะยัมมุม (การทำความสะอาดร่างกายด้วยฝุ่นแทนน้ำเพื่อเตรียมตัวละหมาด)

2.2 สตรีตั้งครรภ์และหลังคลอดชนเผ่าม้ง ภาคเหนือ ประเทศไทย

หญิงตั้งครรภ์จะถูกแนะนำ ให้ดื่มนํ้ามะพร้าวเมื่ออายุครรภ์ได้ประมาณ 7-8 เดือน

เพราะจะทำ ให้ ลูกไม่มีไขคลอดง่ายและมีผิวสวย

ให้กินแกงผักพื้นบ้าน ชื่อผักปรัง

มีลักษณะลื่นๆ เพื่อจะทำ ให้ลูกคลอดไม่ลำบาก

ข้อพึงปฏิบัติตามความเชื่อคือ

นำ หัวปลาไหลแห้ง ผักปลังดิน ใบหนาด มามัดรวมกันแล้วแช่อาบนํ้าทุกวันในระยะท้องแก่ใกล้คลอด

โดยมีความเชื่อว่าจะทำ ให้คลอดง่าย

เมื่อท้องแก่ใกล้คลอดให้เอานํ้ามันละหุ่ง มาถูทาหน้าท้อง

เชื่อว่าลูกเกิดมาจะได้ตัวสะอาด ไม่มีไข คลอดง่าย

หญิงตั้งครรภ์ในกลุ่มชาวเขาเผ่าม้งยังมีการคลอดที่บ้านเป็นส่วนใหญ่

เป็นเพราะความเชื่อ และ
การปฏิบัติที่สืบต่อกันมานาน

แม้ว่าปัจจุบันจะมีชาวเขาบางคนที่คลอดบุตรในโรงพยาบาล

หลังคลอดหลังจากคลอดบุตรแล้วแม่เด็กจะใช้ผ้ารัดหน้าท้องให้แน่นเพื่อไม่ให้ท้องโต

อาหารที่รับประทานก็จะเป็นพวกไก่ ไข่

รับประทานประมาณ 30 วัน

ไข่ที่รับประทานจะมีการผสมพริกไทย

ในเวลาต่อมาจึงทานเนื้อหมูได้

หญิงหลังคลอดทุกคนจะอยู่ไฟประมาณ 1 เดือน

หญิงหลังคลอดเผ่าม้งจะมีความเชื่อในการปฏิบัติที่ทำให้มีนํ้านมมาก โดยการเชิญหมอผีทำ พิธีเรียกนํ้านมคล้ายๆ การบนผี

2.3 การพยาบาลข้ามวัฒนธรรมในวัยผู้ใหญ่ชาวจีน

สาระสาคัญ

  1. ถ้าร่างกายแข็งแรงไม่จำเป็นต้องพบแพทย์ ไม่ค่อยสนใจการตรวจคัดกรองเพื่อการป้องกันโรค (Preventive screening)

ตรวจร่างกายประจาปี

ตรวจดูเลือดและเอ็กเรย์ปอด

คลื่นไฟฟ้าหัวใจ

  1. การใช้การรักษาดั้งเดิม (Traditional treatments)

ชาวจีนนิยมการรักษาด้วยการแพทย์แผนจีน

การฝังเข็ม (Acupuncture)

การขูดผิวหนังด้วยวัตถุใดๆ

การนวด

  1. การใช้สมุนไพรเพื่อการบำบัดโรค

มีทั้งผลดีและผลไม่พึงประสงค์คล้ายกับการแพทย์แผนปัจจุบัน

สมุนไพรบางชนิดอาจมีปฏิกิริยาต่อยารักษาของแพทย์แผนปัจจุบัน

สมุนไพรบางชนิดก็อาจถูกอาหารบางชนิดรบกวนการออกฤทธิ์

โสมจีน

มีฤทธิ์ลดความเครียด เพิ่มภูมิคุ้มกันโรค และส่งเสริมความรู้สึกทางแพศ (sexual function)

แต่ทำให้มีอาการข้างคียง คือ กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง เพิ่มความดันเลือด

ได้รับปริมาณมากๆ อาจมีอาการปวดศีรษะ เบื่ออาหาร ใจสั่น

การพยาบาลผู้ป่วยและผู้ใช้บริการชาวจีนจำเป็นต้องใช้กรอบแนวคิดของการพยาบาลข้ามวัฒนธรรม(Trans-cultural nursing theory)

  1. พัฒนาทักษะการสื่อสารกับผู้ใช้บริการชาวจีนด้วยภาษาจีนง่ายๆ หรือตามความสนใจ
  1. เลือกใช้วิธีการพยาบาลบนพื้นฐานของการบูรณาการศาสตร์ทางการพยาบาล
  1. ศึกษาวัฒนธรรมของชาวจีนในด้านต่างๆเพื่อให้เกิดความเข้าใจและสามารถให้การพยาบาลสอดคล้องกับวัฒนธรรมของผู้ใช้บริการกลุ่มนี้

เช่น

ขนบธรรมเนียมประเพณี

ภาษา

ความเป็นอยู่

วามเชื่อ

เพื่อให้สามารถสื่อสารกับผู้ใช้บริการได้อย่างราบรื่นและรวดเร็ว

เป็นประโยชน์ต่อการดูแลผู้ป่วยแบบ องค์รวม

หากสื่อสารไม่ได้ อาจสื่อสารผ่านญาติ หรือใช้ล่ามแปล

ไปกับวัฒนธรรมของผู้ใช้บริการให้เหมาะสมกับบริบทต่างๆเพื่อให้การดูแลที่มีความสอดคล้องกับวัฒนธรรม

3.1 การคงไว้ซึ่งแบบแผนของการดูแลเชิงวัฒนธรรมระบบพื้นบ้านและของวิชาชีพ (Culture care preservation or maintenance)

3.2 การปรับเข้าหากันระหว่างแบบแผนของการดูแลเชิงวัฒนธรรมของพื้นบ้านและของวิชาชีพ (Culture care accommodation or negotiation)

3.3 การปรับเปลี่ยนแบบแผนของวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาแบบแผนของการดูแลเชิงวัฒนธรรมขึ้นใหม่ (Culture care repatterning or restructuring)

เช่น ชาวจีนจะให้หญิงหลังคลอด รับประทานไก่ผัดขิงโดยชาวจีนมีความเชื่อว่า ขิงช่วยขับลม บำรุงกระเพาะ

เช่น ชาวจีนจะให้หญิงหลังคลอด รับประทานไก่ผัดขิงผสมสุรา เพื่อบำรุงร่างกายของมารดา ความเชื่อนี้ต้องตัดสุราออกไป เนื่องจากแอลกอฮอล์จะส่งผลให้เกิดความดันโลหิตสูงของมารดา หากให้นมลูก แอลกอฮอล์จะปนออกมากับน้านมแม่

เช่น หญิงหลังคลอดให้ดื่มน้ำน้อยแต่ให้กินน้ำซุปเป็นหลัก กินอาหารรสร้อน

ผู้สูงอายุในแถบประเทศตะวันตกค่อนข้างจะให้ความสำคัญของการคำนึงถึงความเป็นบุคคลและการมีอิสระในการดำเนินชีวิตด้วยตนเองให้มากที่สุด

ส่วนผู้สูงอายุในแถบตะวันออกมักจะมีความต้องการพึ่งพาลูกหลานและครอบครัวมากกว่า

ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ยังต้องการความเคารพในการเป็นผู้สูงวัยหรือผู้นำในครอบครัว

นอกจากนั้นยังมีประเด็นที่มีความคล้ายคลึงกันในการพยาบาลข้ามวัฒนธรรมของบุคคลวัยผู้สูงอายุทั่วๆไป

ความสามารถในทางกายภาพ

สิ่งแวดล้อม

โครงสร้างทางสังคม

การมีส่วนร่วมในสังคมและคุณค่าในสังคม

ปัจจัยที่มีผลต่อการดูแลข้ามวัฒนธรรมของบุคคลวัยผู้สูงอายุ

การเคลื่อนย้ายถิ่นฐานของผู้สูงอายุ

การคัดเลือกบุคลากรที่จะมาดูแลผู้สูงอายุที่มีภูมิหลังหรือวัฒนธรรมแตกต่างกันเป็นปัจจัยที่สำคัญ

ประเด็นที่ควรพิจารณาในการพยาบาลข้ามวัฒนธรรมในผู้สูงอายุ

1) การเคารพนับถือความเป็นบุคคลของผู้สูงอายุ

2) การสื่อสาร ควรใช้ภาษาที่ตรงกับภาษาที่ผู้สูงอายุสามารถสื่อสารได้

3) สุขภาพและยาที่ใช้ ควรคำนึงถึงภาวะสุขภาพและโรคที่ผู้สูงอายุเป็นอยู่

4) การจัดสิ่งแวดล้อมและป้องกันอุบัติเหตุ ความปลอดภัยของผู้สูงอายุเป็นสิ่งสำคัญ

5) ความสามารถในการเคี้ยวและกลืน

6) การดูแลด้านจิตสังคม ควรจัดกิจกรรมให้ผู้สูงอายุที่ยังมีสุขภาพดี

7) การดูแลด้านจิตวิญญาณตามความเชื่อของผู้สูงอายุ

เช่น

การเรียกชื่อ การใช้สรรพนาม การเคารพในสัญชาติ ภูมิหลัง ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม

การเข้าใจถึงบุคลิกภาพหรือสิ่งที่ผู้สูงอายุชอบ

ใช้ภาษากายในการสื่อสารกับผู้สูงอายุที่มีปัญหาด้านความจำเสื่อม

สูงอายุมักมีปัญหาด้านสายตา

เช่น

เบาหวาน หัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง ผู้สูงอายุอาจเป็นลมจากน้ำตาลต่ำหรือสูงเกิน

ผู้สูงอายุที่มีภาวะแขนขาอ่อนแรง

จัดสถานที่ให้ปลอดภัยจากการพลัดตกหกล้ม

ไม่ควรจัดอาหารที่เหนียวเกินไป แข็งเกินไป จัดอาหารรสชาติที่ผู้สูงอายุชอบ

ให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมสังคมต่างๆ เ

ฟังคำเทศนา

ฟังพระคัมภีร์

ฟังเพลงนมัสการ

การละหมาด

วัดหรือร่วมนมัสการในบ้านหรือไปโบสถ์


จัดทำโดย นางสาวพลินี จำปา 19A 620121078🥰🌈✨