Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 4.3 การให้สารน้้าทางหลอดเลือดดำ เลือดและส่วนประกอบของเลือด (ทำต่อ) …
บทที่ 4.3
การให้สารน้้าทางหลอดเลือดดำ เลือดและส่วนประกอบของเลือด (ทำต่อ)
4.3.9การให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำ
ข้อบ่งชี้ในการให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำ
3) ภาวะทางศัลยกรรม เช่น ถูกน้ำร้อนลวก ภายหลังการผ่าตัด เป็นต้น
4) ความผิดปกติของจิตใจ เช่น anorexia nervosa เป็นต้น
2) โรคของอวัยวะต่างๆ เช่น ภาวะไตวาย โรคหัวใจแต่กำเนิด เป็นต้น
5) โรคมะเร็งต่างๆ เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร เป็นต้น
1) โรคทางเดินอาหาร เช่น อุจจาระร่วงเรื้อรัง การอักเสบในระบบทางเดินอาหาร ลำไส้ อักเสบจากการฉายรังสี เป็นต้น
ชนิดของสารอาหารทางหลอดเลือดดำ
Total parenteral nutrition (TPN) เป็นการให้โภชนบำบัดครบตามความต้องการของผู้ป่วย ทั้งปริมาณพลังงานที่ต้องการ และสารอาหารทุกหมู่ ในกรณีนี้สารอาหารที่ให้ทางหลอดเลือดดำจะมีความเข้มข้นสูงมาก จำเป็นต้องให้ทาง Central vein จึงจะไม่เกิดการอักเสบของหลอดเลือดดำ (Phlebitis) แต่ผู้ป่วยจะได้อาหารครบสมบูรณ์
2.Partial or peripheral parenteral nutrition (PPN) เป็นการให้โภชนาการทางหลอดเลือดดำเพียงบางส่วน อาจได้พลังงานไม่ครบตามความต้องการ หรือได้สารอาหารไม่ครบทุกหมู่ กรณีนี้ถ้าความเข้มข้น ของสารอาหารไม่มากนัก สามารถให้ทางหลอดเลือดดำแขนง (peripheral vein) ได้ การให้ PPN นี้เป็นการดูแลไม่ให้ผู้ป่วยขาดสารอาหารมากเกินไป แพทย์อาจคาดการณ์ว่าผู้ป่วยจะสามารถรับประทานอาหารได้เองได้ในระยะเวลาอีกไม่นาน
วัตถุประสงค์
ให้ผู้ป่วยที่รับประทานอาหารและน้ำทางปากไม่ได้ หรือรับประทานได้น้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หรือมีภาวะผิดปกติของระบบทางเดินอาหารไม่สามารถให้อาหารทางปากได้ ให้ได้รับสารอาหารครบถ้วนตามความต้องการของร่างกาย โดยผ่านทางหลอดเลือดเลือดดำ
ทดแทนน้ำที่ร่างกายสูญเสียไป เช่น อาเจียน อุจจาระร่วงรุนแรง หรืออุจจาระร่วงเป็นระยะเวลานาน เป็นต้น
4.3.13อาการแทรกซ้อนจากการให้เลือดและส่วนประกอบของเลือด
ปฏิกิริยาภูมิแพ้ (Allergic reaction) เกิดจากผู้รับแพ้สารอย่างใดอย่างหนึ่งในเลือดที่ได้รับ ผู้ป่วยจะมีอาการมีผื่นคัน หรือลมพิษ อาการคั่งในจมูก หลอดลมบีบเกร็ง หายใจล าบาก ฟังได้เสียงวี๊ซ (wheeze) ในปอด
การถ่ายทอดโรค (Transfusion-associated graft versus host disease) มักเกิดจากการขาดการตรวจสอบเลือดของผู้ให้ ซึ่งมีการติดเชื้อต่าง ๆ
ไข้ (Febrile transfusion reaction) เกิดจากการได้รับสารที่ทำให้เกิดไข้เชื้อแบคทีเรียจากเครื่องใช้หรือเทคนิคการให้เลือดที่ไม่สะอาด นอกจากนี้ อาจเกิดจากปฏิกิริยาต่อเม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือดหรือ โปรตีนในเลือดของผู้ให้ อาการไข้จากเชื้อบักเตรี พบได้ยากแต่มีอันตรายถึงชีวิตได้ในเวลาอันรวดเร็ว มักเกิดขึ้นทันทีหลังได้รับเลือด 2-3 นาที หรือภายใน 6 ชั่วโมง อาการมีไข้หนาวสั่นที่เกิดจากเชื้อบักเตรีไข้จะสูง 38.4 ° C ขึ้นไป ผิวหนังอุ่น แดงขึ้น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียนเป็นเลือด ท้องเดิน ปวดท้อง รู้สึกสับสน ความดันเลือดต่ำ เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก อาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว
การอุดตันจากฟองอากาศ (Air embolism) เกิดจากการไล่ฟองอากาศไม่หมดไปจากสายให้เลือดอากาศจะลอยไปตามกระแสเลือด และอาจไปอุดตันหลอดเลือดดำให้ขัดขวางการนำออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะส่วนนั้น ถ้าฟองอากาศไปอุดตันที่ปอดจะเจ็บหน้าอก หอบเหนื่อย เป็นลม ช็อค และถึงแก่กรรมได้
ปริมาตรการไหลเวียนของเลือดมากเกินไป (Volume overload) เกิดจากการให้เลือดในอัตราเร็วเกินไป จึงเพิ่มปริมาตรการไหลเวียนในกระแสเลือด ส่งผลให้หัวใจทำงานหนักขึ้น เกิดภาวะหัวใจวายและมีอาการน้ าท่วมปอด จะพบว่าผู้ป่วยจะหายใจลำบาก ไอ เหนื่อยหอบ หลอดเลือดดำที่คอโป่งพอง แรงดันในหลอดเลือดดำสูงกว่าปกติ
ภาวะสารซิเตรทเกินปกติ เกิดจากการให้เลือดติดต่อกันเป็นจำนวนมากจึงมีการสะสมของสารกันการแข็งตัวของเลือด (Acid – citrate dextrose) เพิ่มขึ้นและไปจับตัวกับแคลเซี่ยมในเลือดระดับแคลเซี่ยมจึงลดน้อยลง พบว่าผู้ป่วยมีอาการกล้ามเนื้อเป็นตะคริวเจ็บแปลบตามปลายนิ้วมือ ถ้าขาดแคลเซี่ยมมากจะเป็นลมชัก มีอาการบีบเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณกล่องเสียง หัวใจทำงานผิดปกติ
เม็ดเลือดแดงสลายตัว (Hemolysis) เกิดจากการให้เลือดผิดหมู่ เม็ดเลือดแดงจะแตกและบางส่วนไปอุดตันหลอดเลือดฝอยของท่อไตทำให้ไตวาย อาจเกิดอาการหลังให้เลือดไปแล้วประมาณ 50 มล.หรือน้อยกว่า จะพบว่าผู้ป่วยมีอาการหนาวสั่น มีไข้ปวดศีรษะ ปวดหลังบริเวณเอว กระสับกระส่าย ปัสสาวะเป็นเลือด และปัสสาวะไม่ออกในภายหลัง ตัวและตาเหลือง หายใจลำบาก เจ็บแน่นหน้าอก หลอดเลือดแฟบ ความดันเลือดต่ า อาจเสียชีวิตจากยูรีเมีย บางรายอาการอาจปรากฏภายหลังให้เลือดแล้วประมาณ 10-30นาทีแรกหลังการให้เลือด
ภาวะโปตัสเซียมเกินปกติ (Hyperkalemia) เกิดจากการให้เลือดที่เก็บไว้ในธนาคารเลือดนานเกินไป หลังจากที่ผู้ป่วยได้เลือดจะพบอาการคลื่นไส้อาเจียน ท้องเดิน กล้ามเนื้ออ่อนแรง อาการคล้ายอัมพาตบริเวณใบหน้ามือและขา ชีพจรเบา ช้า ถ้าระดับโปตัสเซียมสูงมากหัวใจจะหยุดเต้น
4.3.15การบันทึกสารน้ำเข้าออกร่างกาย
หลักการบันทึกจำนวนสารน้ำที่เข้าและออกจากร่างกาย
4) จดบันทึกจำนวนน้ำและของเหลวทุกชนิดที่ให้ขณะมื้ออาหารและระหว่างมื้ออาหาร พร้อมทั้งอธิบายให้ผู้ป่วยดื่มน้ำในขวดที่เตรียมไว้ให้ไม่นำน้ำที่เตรียมไว้ไปบ้วนปากหรือเททิ้ง
5) การจดบันทึกควรสรุปทุก 8 ชั่วโมง และทุกวัน
3) ร่วมกับผู้ป่วยในการวางแผนกำหนดจำนวนน้ำที่เข้าสู่ร่างกายในแต่ละช่วงเวลา
6) บันทึกจำนวนสารน้ำที่สูญเสียทางอื่น ๆ เช่น อาเจียน ท้องเดิน ของเหลวที่ระบายออกจากการใช้เครื่องดูดกับสายยางจากกระเพาะ
2) อธิบายเหตุผลและความสำคัญของการวัดและการบันทึกจำนวนน้ำที่รับเข้าและขับออกจากร่างกาย
1) แบบฟอร์มการบันทึกควรแขวนไว้ที่เตียงผู้ป่วย เพื่อสะดวกในการจดบันทึกและเมื่อครบ 24ชั่วโมง ต้องสรุปลงในแผ่นรายงานประจำตัวของผู้ป่วยหรือฟอร์มปรอท
4.3.11การใช้กระบวนการพยาบาลในการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ
เกณฑ์การประเมินผล
บริเวณที่ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำไม่มีบวมแดง
สัญญาณชีพปกติ
วัตถุประสงค์ เพื่อ
ไม่เกิดภาวะหลอดเลือดดำอักเสบ
ไม่เกิดสิ่งแปลกปลอมอยู่ในระบบไหลเวียนของเลือด
4.3.16กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมความสมดุลของน้ำในร่างกาย
กระบวนการพยาบาล
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing diagnosis)
การวางแผนการพยาบาล (Planning)
วัตถุประสงค์
เกณฑ์การประเมินผล
การประเมินภาวะสุขภาพ (Health assessment)
การปฏิบัติการพยาบาล (Implementation)
การประเมินผลการพยาบาล (Evaluation)
4.3.14การใช้กระบวนการพยาบาลในการให้เลือดและส่วนประกอบของเลือด
ขั้นตอนที่3 การวางแผนในการให้เลือด
และส่วนประกอบของเลือด
วางแผนให้ผู้ป่วยได้รับเลือดและสารประกอบของเลือดโดยประยุกต์ใช้หลักการ 6 Rights และหลักความปลอดภัย SIMPLE ของ patient safety goals
ขั้นตอนที่ 4 การให้เลือด
และสารประกอบของเลือด
เครื่องใช้
intravenous catheter (IV cath.) เบอร์ 18
blood transfusion set (Blood set)
intravenous fluid (IV fluid) ตามแผนการรักษา
tourniquet
ส าลีชุบแอลกอฮอล์ 70%
extension tube
three ways
IV stand (เสาน้ำเกลือ)
พลาสเตอร์ หรือ transparent สำเร็จรูป
แผ่นฉลากชื่อ
ถุงมือสะอาด mask
ขั้นตอนที่2 ข้อวินิจฉัย
มีความพร้อมในการเริ่มให้เลือด
และสารประกอบของเลือดตามแผนการรักษา
ขั้นตอนที่ 5 การประเมินผลการให้เลือด
และสารประกอบของเลือด
การประเมินผลกิจกรรมการพยาบาล เป็นการประเมินผลของการปฏิบัติงาน เพื่อนำมาปรับปรุงการปฏิบัติงานในครั้งต่อไป โดย
2.1 ประเมินการปฏิบัติถูกต้องครบและเป็นไปตามขั้นตอนของการปฏิบัติ
2.2 ประเมินการจัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องใช้ครบถ้วนเพียงพอหรือไม่
การประเมินผลคุณภาพการบริการ เป็นการประเมินคุณภาพของผลการปฏิบัติงาน เพื่อนำมาปรับปรุงการปฏิบัติงานในครั้งต่อไป โดย
3.1 ประเมินคุณภาพของการปฏิบัติงานในข้อ 2 อยู่ในคุณภาพระดับใด (โดยการให้คะแนนระดับดีมาก-ดี-ปานกลาง-ปรับปรุง)
3.2 ประเมินคุณภาพของการให้บริการ ข้อ 3 อยู่ในคุณภาพระดับใด
(โดยการให้คะแนนระดับดีมาก-ดี-ปานกลาง-ปรับปรุง)
การประเมินผลการให้เลือดและส่วนประกอบของเลือด
เป็นการประเมินผลลัพธ์การพยาบาล โดย
1.3 ประเมินสภาพร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย (โดยการสอบถามผู้ป่วย)
1.4 ประเมินความสุขสบายของผู้ป่วยและจัดท่านอนให้สุขสบายและเหมาะสม (โดยการสอบถามผู้ป่วย)
1.2 ติดตามประเมินสัญญาณชีพก่อน ขณะ และหลังการได้รับเลือดฯ
1.5 ประเมินความพึงพอใจของผู้ป่วย (โดยการสอบถามผู้ป่วย)
1.1 ประเมินอาการแทรกซ้อนและอาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ของผู้ป่วยและปลอดภัยตามหลักการ 6 Rights และหลักความปลอดภัย SIMPLE ของ patient safety goals
ขั้นตอนที่1 การประเมินสภาพผู้ป่วย
การประเมินด้านจิตใจ
2.2 ความต้องการรับบริการให้เลือดและสารประกอบของเลือด
2.3 ความวิตกกังวลและความกลัว
2.1 ความพร้อมของการรับบริการให้เลือดและสารประกอบของเลือด
การประเมินสิ่งแวดล้อม
3.2 ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสิ่งแวดล้อมผู้ป่วย
3.3 ความพร้อมใช้ของสิ่งแวดล้อมตัวผู้ป่วย เช่น ตู้ข้างเตียง เหล็กกั้นเตียง เป็นต้น
3.1 ความสะอาดของสิ่งแวดล้อมรอบตัวผู้ป่วยและรอบเตียง
3.4 บรรยากาศในหอผู้ป่วย และมีอากาศถ่ายเทสะดวก
การประเมินด้านร่างกาย
1.1 ระดับความรู้สึกตัว
1.2 พยาธิสภาพของโรค ประวัติเจ็บป่วย โรคของผู้ป่วย
และโรคหรืออาการแทรกซ้อน
การประเมินแผนการรักษา
4.1 ตรวจสอบแผนการรักษา และประวัติการรับเลือด (มีอาการแพ้หรือไม่?)
4.2 ตรวจสอบชนิดของเลือดและส่วนประกอบของเลือดตามแผนการรักษา ชนิด ปริมาณ อัตราและเวลา
4.3.10 อาการแทรกซ้อนจากการได้รับสารอาหารทางหลอดเลือดดำ
มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในระบบไหลเวียน
ของเลือด (Embolism)
2.1 ลักษณะที่พบได้แก่
1) อาการเขียว เนื่องจากขาดออกซิเจน ความดันเลือดต่ำ ชีพจรเบาเร็ว หมดความรู้สึก และอาจตายได้ ซึ่งเป็นผลจากฟองอากาศไปอุดกั้นการไหลเวียนเลือดที่จะไปเลี้ยงอวัยวะที่สำคัญ เช่น สมอง หัวใจ ปอด
2) สังเกตพบว่าอัตราการหยดของสารอาหารจะช้าลง หรือหยุดไหล
2.2 การพยาบาลและการป้องกัน
2) หยุดให้สารอาหารทันทีถ้าพบว่ามีก้อนเลือดอุดตันที่เข็ม
3) ห้ามนวดคลึงเพราะอาจทำให้ก้อนเลือดนั้นหลุดเข้าไปในกระแสเลือดและถ้าผู้ป่วยมีอาการแสดงให้บันทึกสัญญาณชีพ และรายงานแพทย์ด่วน
1) ระมัดระวังในการเปลี่ยนขวดสารอาหารไม่ให้อากาศผ่านเข้าไปในชุดสายให้สารอาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ป่วยอยู่ในท่านอนหรือยืน
การให้สารอาหารมากเกินไป
(Circulatory overload)
3.1 ลักษณะที่พบ ได้แก่
3) ผู้ป่วยมีปริมาณน้ำเข้าและออก (intake/output) ไม่สมดุล
4) มีการคั่งของเลือดดำจะพบว่าหลอดเลือดดำที่คอโป่ง
2) ตรวจพบความดันเลือดและแรงดันหลอดเลือดส่วนกลางสูงขึ้น ชีพจรเร็ว
1) อาการแสดงที่ปรากฏเริ่มแรก คือ ปวดศีรษะ หายใจตื้น และหอบเหนื่อย
5) ถ้ารุนแรงจะมีภาวะปอดบวมน้ำ อาการคือ หายใจลำบาก นอนราบไม่ได้ผิวหนังเขียวคล้ำ ไอมีเสมหะเป็นฟองและอาจมีเลือดปน
3.2 การพยาบาลและการป้องกัน
2) บันทึกสัญญาณชีพ
3) จัดผู้ป่วยให้อยู่ในท่านั่งเพื่อช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น
1) ปรับอัตราหยุดให้ช้าที่สุดและรายงานให้แพทย์ทราบด่วน
บวมเนื่องจากมีสารอาหารเข้าไปอยู่ในเนื้อเยื่อชั้นผิวหนัง
(Local infiltration)
1.1 ลักษณะที่พบได้แก่
2) ผู้ป่วยรู้สึกไม่สุขสบายบริเวณที่ให้ ซึ่งเป็นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารอาหาร ซึ่งถ้าสารอาหารเหล่านี้ซึมออกไปจากหลอดเลือดจะทำให้รู้สึกปวดมาก
1) บวมบริเวณที่ให้ บางครั้งอาจมองเห็นไม่ชัดเจน แต่บางครั้งก็อาจมองไม่ชัดเจน อุณหภูมิของบริเวณนั้นจะเย็นกว่าบริเวณอื่นๆ เนื่องจากสารอาหารมีอุณหภูมิต่ำกว่าร่างกาย
1.2 การพยาบาลและการป้องกัน
1) ถ้าพบว่ามีสารอาหารซึมออกมาอยู่ในเนื้อเยื่อ
ควรหยุดให้สารอาหารทันที
2) ควรดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการเกิดสารอาหารซึมออกมาอยู่ในเนื้อเยื่อส่วนมากภาวะนี้มักเกิดจากการเลือกตำแหน่งที่แทงเข็มไม่เหมาะสม ผู้ป่วยมีกิจกรรมมากเกินไป หรือติดพลาสเตอร์ไม่เหมาะสม ดังนั้นควรเลือดตำแหน่งที่เหมาะสมและอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจเพื่อจะได้ระมัดระวังมากขึ้น
ไข้(pyrogenic reactions)
4.1 ลักษณะที่พบได้แก่
3) หนาวสั่น
4) ความรุนแรงของอาการขึ้นอยู่กับเชื้อจุลินทรีย์ที่ได้รับและสภาวะของผู้ป่วย
2) ปวดหลัง ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน
1) ไข้สูง 37.3-41 องศาเซลเซียส
4.2 การพยาบาลและการป้องกัน
4) การเตรียมสารอาหารควรท าด้วยวิธีปลอดเชื้อ ก่อนให้สารอาหารทุกครั้ง ควรตรวจดูว่ามีการร้าวของขวดให้สารอาหารหรือไม่ และความขุ่นของสารอาหาร
5) เขียนวัน เวลาที่เริ่มให้สารอาหารข้างขวดเพื่อให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องทราบโดยทั่วไป สารอาหารแต่ละขวดไม่ควรให้นานเกิน 24 ชั่วโมง
3) ถ้าเป็นไปได้ ควรเก็บชุดให้สารอาหารและชุดสายให้สารอาหารส่งเพาะเชื้อ
6) ตรวจสอบรูรั่วของสายให้อาหารก่อนใช้ทุกครั้ง
2) บันทึกสัญญาณชีพ และรายงานแพทย์
7) เปลี่ยนชุดให้สารอาหารทุก 24 ชั่วโมง
1) หยุดให้สารอาหาร
8) ควรมีสถานที่เฉพาะสำหรับเตรียมสารอาหารและหมั่นรักษาความสะอาด กำจัดฝุ่นละอองให้มากที่สุด
9) ล้างมือทุกครั้งก่อนสัมผัสอุปกรณ์และบริเวณที่แทงเข็ม
10) หุ้มผ้าก๊อซปราศจากเชื้อบริเวณรอยข้อต่อต่างๆ
4.3.12 การให้เลือดและส่วนประกอบของเลือด
เลือด (whole blood)
เกร็ดเลือด (platelet)
น้ำเลือด (plasma)
เซลล์เม็ดเลือดขาว
(white blood cell หรือ leukocyte)
เซลล์เม็ดเลือดแดง (red
blood cell หรือ erythrocyte)
การให้และการรับเลือดในหมู่เลือด
คนเลือดกรุ๊ป ABรับได้จากทุกกรุ๊ป แต่ให้เลือดแก่ผู้อื่นได้เฉพาะคนที่เป็นเลือดกรุ๊ป AB
คนเลือดกรุ๊ป A รับได้จาก A และ O ให้ได้กับ A และ AB
คนเลือดกรุ๊ป O รับได้จาก O เท่านั้น แต่ให้กับกรุ๊ปอื่นได้ทุกกรุ๊ป
คนเลือดกรุ๊ป B รับได้จาก B และ O ให้ได้กับ B และ AB
คนเลือดกรุ๊ป Rh-ve ต้องรับจาก Rh-ve เท่านั้น แต่ต้องดูกรุ๊ปเลือดตามระบบ ABO ด้วย (หากคนเลือดกรุ๊ป Rh-ve รับเลือดจาก Rh+ve อาการข้างเคียงจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น ในครั้งถัดๆไป)