Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Cervical cancer (CA cervix) มะเร็งปากมดลูก, นางสาวศิริรัตน์ อ้นปรารมภ์…
Cervical cancer (CA cervix)
มะเร็งปากมดลูก
Recurrent CA cervix
พยาธิสภาพ
เชื้อ human papillomavirus (HPV)
เชื้อ HPV จะไปรบกวนการทำงานของโปรตีน ทำให้เซลล์แบ่งตัวต่อเนื่องไม่หยุด เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเซลล์ เรียกว่า Koilocytes และเปลี่ยนเป็นรอยโรค ภายในเยื่อบุปากมดลูก
การติดเชื้อเป็นแบบเนิ่นนาน (persistent infection) ร่างกายไม่สามารถขับออกไปได้ (ขับออกได้ภายใน 2 ปีในหญิงอายุน้อย)
ติดเชื้อชนิด Oncogenic HPV ที่บริเวณเยื่อบุผิวบริเวณ transformation zone ของปากมดลูก
การมีเพศสัมพันธ์
สาเหตุ/ปัจจัย
มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย
คลอดบุตรมีชีพมากกว่าหรือเท่ากับ 4 ครั้ง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ที่ปากมดลูก (Cervical metaplasia)
รับประทานยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม โดยฮอร์โมนเอสโทรเจนและโปรเจสตินไปส่งเสริมการทำงานของเชื้อ HPV
เปลี่ยนคู่นอนหลายคน
มีประวัติเป็นโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์
อาการและอาการแสดง
เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด
อาการตกขาวมีกลิ่นเหม็น
อาการของโรคที่ลุกลามไปยังอวัยวะอื่น
ปัสสาวะปนเลือดจากมะเร็งกระจายไปยังกระเพาะปัสสาวะ
ปัสสาวะและอุจจาระออกทางช่องคลอด เนื่อจากมะเร็งลุกลาม ทำให้เกิดรูรั่วระหว่างช่องคลอดและกระเพาะปัสสาวะ หรือลำไส้ตรง
อาการไตวายจากมะเร็งกดท่อไต (Obstructive uropathy)
ขาบวมเนื่องจากเกิดการอุดตันของหลอดเลือดดำ หรือหลอดน้ำเหลือง
ไอเรื้อรังเนื่องจากมะเร็งลุกลามไปที่ปอด
อาการปวดหลัง ปวดกระดูกอย่างรุนแรง เนื่องจากมะเร็งกระจายไปที่กระดูก
การรักษา
เคมีบำบัด (Chemotherapy)
ใช้รักษาในระยะลุกลามมาก และในกรณีที่มะเร็งกลับเป็นซ้ำ (recurrent tumor)
ระยะ IVB
การให้ยาเคมีบำบัดชนิดเดียว (single agent) ที่นิยมในการรักษามะเร็งปากมดลูกระยะนี้คือ cisplatin ขนาด 50 มิลลิกรัมต่อตารางเมตร ทุก 3 สัปดาห์
การผ่าตัด (Surgical treatment)
ใช้รักษามะเร็งปากมดลูกระยะที่ 1 และ 2A
รังสีรักษา (Radiation therapy)
ใช้รักษาได้ทุกระยะของมะเร็งปากมดลูก
การรักษาร่วม (Combined treatment)
ใช้หลายวิธีร่วมกัน
การรักษาแบบประคับประคอง (Palliative care)
บรรเทาความเจ็บปวดและอาการที่ก่อนให้เกิดความทุกข์ทรมาน
ยอมรับว่าความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ
ไม่ทำให้ตายเร็วขึ้น และไม่ยื้อความตายให้นานออกไป
บูรณาการการดูและทางด้านจิตใจและจิตวิญญาณ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของการรักษา
ช่วยเหลือให้ผู้ป่วยได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มศักยภาพจนถึงนาทีสุดท้ายของชีวิต
ดูแลช่วยเหลือครอบครัวผู้ป่วยในการเผชิญกับปัญหา
ค้นหาความต้องการของผู้ป่วย
เน้นเพิ่มคุณภาพชีวิต ดูแลแบบประคับประคองร่วมไปกับการรักษาโรค
ข้อมูลผู้ป่วย
ผู้ป่วยเพศ
หญิง
อายุ
77
ปี
เชื้อชาติ
ไทย
สัญชาติ
ไทย
ศาสนา
พุทธ
การวินิจฉัยโรคในปัจจุบัน
Recurrent CA cervix with Lung metastasis with Anemia with Pleural effusion with bicytopenia
ความหมาย
การกลับเป็นซ้ำของมะเร็งปากมดลูก ที่มีการกระจายมายังปอด ร่วมกับภาวะโลหิตจาง ภาวะมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอดและภาวะที่มีความผิดปกติของระบบเลือดโดยที่มีจำนวนน้อยลง
อาการสำคัญที่มาโรงพยาบาล
หายใจเหนื่อย 1 วันก่อนมาโรงพยาบาล
ประวัติการเจ็บป่วยปัจจุบัน
1 สัปดาห์ก่อนมาโรงพยาบาล หลังได้รับ Chemo มีถ่ายเป็นเลือด ไม่ปนอุจจาระ มีอาการเหนื่อย ขาบวมทั้ง 2 ข้าง
1 วัน ก่อนมาโรงพยาบาล เหนื่อยมากขึ้น ขาบวม 2 ข้างจากเดิม ไม่มีอาการเหนื่อยหอบขณะหลับ ไม่มีอาการหอบในท่านอนราบ ตัวไม่เหลือง ไม่มีปัสสาวะเป็นฟอง
ผู้ป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะ IVB คือ มะเร็งที่แพร่กระจายไปในอวัยวะที่อยู่ห่างไกล คือ ปอด
ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต
โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension), โรคไขมันในเลือดสูง (Dyslipidemia), 4 ปีก่อน เป็นมะเร็งปากมดลูก (CA cervix) รักษาที่โรงพยาบาลราชวิถีจนตรวจไม่พบ และ 2 ปีก่อน กลับมาเป็นซ้ำ รักษาด้วยการให้เคมีบำบัด 2 คอร์ส
ภาวะแทรกซ้อน
จาก CA cervix
ความเจ็บปวด
มะเร็งอาจแพร่ลามไปยังปลายประสาทต่าง ๆ กระดูก หรือกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดความเจ็บปวดบริเวณที่มีเซลล์มะเร็ง
ภาวะมีเลือดออก
มะเร็งที่กระจายลุกลามไปยังอวัยวะและเนื้อเยื่อต่าง ๆ จะสร้างความเสียหายแก่บริเวณเนื้อเยื่อเหล่านั้น จนเกิดภาวะมีเลือดไหลออกจากช่องคลอด หรือปัสสาวะมีเลือดปน
ช่องคลอดมีกลิ่นไม่พึงประสงค์
กลิ่นที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการที่เซลล์มะเร็งลุกลามและทำลายเนื้อเยื่อบริเวณต่าง ๆ กระเพาะปัสสาวะรั่ว และอาจทำให้เกิดการติดเชื้อภายในช่องคลอด
การเกิดลิ่มเลือด
เซลล์มะเร็งสามารถทำให้เลือดเหนียวข้นขึ้น เอื้อต่อการจับตัวเป็นลิ่มของเลือด อีกทั้งเนื้อที่งอกจากเซลล์มะเร็งอาจไปกดเส้นเลือดในบริเวณอุ้งเชิงกราน ทำให้เลือดไหลช้าลงจนอาจเกิดลิ่มเลือดที่ขา ลิ่มเลือดที่เกิดขึ้นอาจเคลื่อนไปที่ปอด แล้วปิดกั้นทางเดินเลือดเกิดเป็นภาวะลิ่มเลือดอุดตันในปอด
การเกิดช่องทะลุระหว่างเนื้อเยื่ออวัยวะ (Fistula)
ในผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก โดยช่องทะลุระหว่างเนื้อเยื่ออวัยวะมักเกิดระหว่างกระเพาะปัสสาวะกับช่องคลอด ส่งผลให้มีของเหลวไหลออกจากช่องคลอด หรืออาจเกิดที่ช่องคลอดกับลำไส้ตรง
ไตวาย
เซลล์มะเร็งที่แพร่กระจายในเลือดอาจเจริญเติบโตกีดขวางบริเวณท่อไต ไตจึงไม่สามารถขับปัสสาวะออกมาได้ การอุดตันนี้ทำให้เกิดภาวะไตโป่งพองจากน้ำปัสสาวะคั่งค้าง (Hydronephrosis) เป็นเหตุให้ระบบการทำงานของไตไม่สามารถทำงานตามปกติได้ และอาจเกิดไตวายในที่สุด
ภาวะแทรกซ้อนจากการให้เคมีบำบัด (Chemotherapy)
ระบบทางเดินอาหาร
คลื่นไส้อาเจียน
ขึ้นอยู่กับชนิดของยา อาการส่วนใหญ่จะหายภายใน 24 ชั่วโมง
เบื่ออาหาร
ยาเคมีบำบัดมีผลทำให้การรับรสมีการเปลี่ยนแปลง ความอยากทานอาหารลดลง หายภายใน 2 - 6 สัปดาห์ หลังได้รัยา
เยื่อบุช่องปากอักเสบ
ยาเคมีบำบัดมีผลต่อการแบ่งเซลล์ของเยื่อบุช่องปาก ทำให้มีการปากแห้งและเจ็บ อาจเกิดการติดเชื้อในช่องปากได้
ท้องผูก
ยามีผลต่อเส้นประสาทบริเวณลำไส้ ลดการเคลื่อนไหวของลำไส้
ระบบไขกระดูก
ภูมิต้านทานโรคต่ำ
ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดขาวน้อยลง เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
โลหิตจาง
อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
ภาวะเลือดออกง่าย
เกล็ดเลือดต่ำ
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
1. เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายจากการเสียเลือด
วัตถุประสงค์
เกิดภาวะเลือดออกง่ายลดลง
เกณฑ์การประเมินผล
Platelet count อยู่ในค่าปกติ คือ 150 – 400
Stool Occult Blood อยู่ในค่าปกติ คือ Negative
Urine Analysis Color สีเหลือง
Urobilinog อยู่ในค่าปกติ คือ (0.2-1 E.U./dL)
Blood (Negative)
RBC (0.3 Cells/HPF)
WBC (0.5 Cells/HPF)
ไม่มีอาการถ่ายเป็นมูกเลือด
ข้อมูลสนับสนุน
O : Platelet count ต่ำกว่าปกติ คือ 14, 78
O : Stool Occult Blood Positive ผิดปกติ
O : Urine Analysis
Color สีน้ำตาล
Urobilinog 2.0 E.U./dl
Blood 1+
RBC 30 – 50 cells/HPF
WBC 30 – 50 cell/HPF
S : หลังได้รับ Chemo มีถ่ายเป็นเลือด ไม่ปนอุจจาระ
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินการมีเลือดออก หรือการสูญเสียเลือดของผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง
1.1 วัดและบันทึกสัญญาณชีพทุก 1,2 ชั่วโมง เมื่อพบความผิดปกติ ต่อไปทุก 4 ชั่วโมง เมื่อสัญญาณชีพกลับเข้าสู่ปกติ เพื่อเฝ้าระวังลักษณะชีพจรที่ปรับตัวเต้นเร็วเมื่อปริมาณเลือดในร่างกายลดลง
1.2 ประเมินและบันทึกปริมาณปัสสาวะอย่างน้อยทุก 8 ชั่วโมง สังเกตสีและปริมาณของปัสสาวะเพื่อประเมินเลือดที่มาเลี้ยงไต หากมีปริมาณปัสสาวะน้อยกว่า 30 มิลลิลิตรต่อชั่วโมง ติดต่อกัน 2 ชั่วโมง ควรรายงานแพทย์ เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วย
1.3 เจาะเลือดผู้ป่วยส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อวัดปริมาณเกล็ดเลือด ค่า PT, PTT และฮีโมโกลบิน ฮีมาโตคริท เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อการสูญเสียเลือด
ให้ความรู้ครอบครัวและผู้ดูแลเกี่ยวกับการสังเกตการมีเลือดออกจากร่างกาย คือ ปัสสาวะมีเลือดปนเป็นสีน้ำตาล อุจจาระมีเลือดปนเป็นสีดำ เพื่อให้ครอบครัวและผู้ดูแลมีความเข้าใจเกี่ยวกับอาการที่เกิดจากการสูญเสียเลือด
แนะนำให้รับประทานอาหารอ่อนย่อยง่าย รสอ่อน หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารแข็ง รสจัด เพื่อลดการระคายเคืองต่อเยื่อบุทางเดินอาหาร
เตรียมการให้เลือด PRC 2 U Unit Nl 3 hr และให้เลือดอย่างถูกต้องและปลอดภัย เพื่อลดการทำงานของหัวใจ และให้เซลล์ทั่วร่างกายได้รับเลือดเพียงพอ
2. มีการอักเสบของเยื่อบุในช่องปาก เนื่องจากผลข้างเคียงของยาเคมีบำบัด
ข้อมูลสนับสนุน
O : มีแผลบริเวณภายในปาก กระพุ้งแก้มเป็นฝ้าสีขาวและลิ้นลอกเป็นแผ่น
O : รับประทานอาหารได้น้อยลง
A : ภาวะเยื่อบุช่องปากอักเสบเกิดจากการได้รับยาเคมีบำบัด ซึ่งทำให้เซลล์เยื่อบุช่องปากเกิดการแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว มักมีอาการบวมแดง มีแผลในช่องปาก ทำให้มีความเจ็บปวด แสบร้อน ปากแห้ง การรับรสและการรับประทานอาหารเปลี่ยนแปลง ทำให้มีโอกาสติดเชื้อในช่องปากและทั้งระบบของร่างกาย
วัตถุประสงค์
บรรเทาอาการอักเสบของเยื่อบุช่องปาก
เกณฑ์การประเมิน
เยื่อบุในช่องปากมีการอักเสบลดลง
รับประทานอาหารได้มากขึ้น
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินความเจ็บปวดในช่องปาก โดยใช้แบบประเมินความเจ็บปวด Face Rating Scale เนื่องจากผู้ป่วยไม่สามารถพูดได้ และประเมินสภาพเยื่อบุในช่องปากของผู้ป่วย เพื่อวางแผนการให้คำแนะนำและปรับเปลี่ยนอาหารที่เหมาะสมกับสภาพช่องปากผู้ป่วย
ประเมินความรู้ครอบครัวเกี่ยวกับการดูแลช่องปากและวิธีการทำความสะอาดในช่องปาก ให้เช็ดในปากอย่างเบามือ โดยใช้ไม้พันสำลีชุบด้วยน้ำเกลือแทนการแปรงสีฟัน จิบน้ำบ่อย ๆ
หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาทำความสะอาดช่องปากที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
ทาวาสลีนบริเวณริมฝีปาก เพื่อช่วยลดอาการริมฝีปากแห้งเป็นแผลแตกมากขึ้น
ควรรับประทานอาหารอ่อน รสไม่จัด หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีรสเปรี้ยว ร้อนจัด หรือเย็นจัด สามารถอมน้ำแข็งเพื่อบรรเทาอาการปวดในช่องปากได้
3. มีภาวะน้ำเกิน เนื่องจากไตมีความบกพร่อง
ข้อมูลสนับสนุน
O : ปริมาณน้ำเข้ามากกว่าน้ำออกจากร่างกาย
Intake : Oral Fluid 50, Parenteral 600 รวมเท่ากับ 650
Output : Urine 200
O : มีภาวะบวมกดบุ๋ม Putting edema 2+
O : ตรวจ Urine Analysis พบ Protein 4+ (ค่าปกติ 1.003 – 1.030)
O : ความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 mmHg เท่ากับ 165/66 mmHg
A : อาการบวมน้ำ (Edema) เป็นภาวะที่มีน้ำหรือน้ำเหลืองสะสมคั่งค้างอยู่ภายในเนื้อเยื่อเกี่ยวพันของร่างกายในปริมาณมากจนทำให้เกิดอาการบวม ซึ่งสามารถเกิดได้กับทุกส่วนของร่างกาย แต่จะสังเกตเห็นได้ชัดเจนเมื่อเกิดขึ้นบริเวณมือ แขน ขา ข้อเท้า และเท้า
BUN มีค่ามากกว่าปกติ คือ 24.06 mg/dl (ค่าปกติคือ 7 – 20 mg/dl)
วัตถุประสงค์
ลดปริมาณน้ำที่คั่งในร่างกาย
เกณฑ์การประเมิน
อาการบวมลดน้อยลง ระดับ Putting edema น้อยกว่าหรือเท่ากับ +1
น้ำเข้า – ออกมีความสมดุลกัน
ตรวจ Urine Analysis พบ Protein อยู่ในค่าปกติ 1.003 – 1.030
ความดันโลหิตไม่สูงกว่า 140/90 mmHg
BUN ค่าปกติคือ 7 – 20 mg/dl
กิจกรรมการพยาบาล
จัดท่านอนศีรษะสูงเพื่อลดการคั่งของน้ำที่ปลายมือปลายเท้า
ดูแลให้รับประทานอาการอ่อนย่อยง่ายครั้งละน้อย เพื่อจะได้ดูดซึมเร็ว
ดูแลให้ยาขับปัสสาวะ Lasix 40 mg V q 8 hr เพื่อช่วยลดอาการบวม
ดูแลทำความสะอาดผิวหนังบริเวณร่างกายทั่วไป โดยเฉพาะซอกนิ้วมือนิ้วเท้า เพราะอาการบวมทำให้ผู้ป่วยมีผิวหนังบาง อาจติดเชื้อได้ง่ายกว่าปกติ
บันทึกปริมาณสารน้ำที่เข้าและออกจากร่างกายในแต่ละวัน เพื่อทราบความสมดุลของน้ำในร่างกาย
สังเกตอาการบวมทั่วไปของผู้ป่วย เพื่อประเมินผลการรักษาพยาบาลว่าดีขึ้นหรือไม่
4. มีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ เนื่องจากพยาธิสภาพของโรคมะเร็งปากมดลูก
ข้อมูลสนับสนุน
O : ใส่คาสายสวนปัสสาวะ มีน้ำปัสสาวะสีเหลืองขุ่น มีตะกอน
O : ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ Urine Aerobic culture พบเชื้อ Pseudomonas Aeruginosa
O : ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ Urine Analysis WBC มากกว่าปกติ คือ 30 – 50 cells/HPF
A : สาเหตุของโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะที่สำคัญคือ แบคทีเรีย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในลำไส้ของคนเรา โดยมีกลไกการติดเชื้อคือ แบคทีเรียดังกล่าวมีการเคลื่อนที่จากลำไส้มาปนเปื้อนบริเวณส่วนนอกของรูก้น จากนั้นเข้าสู่บริเวณช่องเปิดของท่อปัสสาวะ และเคลื่อนขึ้นไปตามท่อปัสสาวะ เข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ ท่อไต และไต และทำให้เกิดการติดเชื้อในอวัยวะที่เคลื่อนไปถึง นอกจากนั้นแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดการติดเชื้ออาจมาจากกระแสเลือด ในผู้ที่มีการติดเชื้อในกระแสเลือดนำมาก่อน หรือมาจากการติดเชื้อของอวัยวะใกล้เคียงกับระบบทางเดินปัสสาวะ
วัตถุประสงค์
การติดเชื้อลดลง
ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค
เกณฑ์การประเมินผล
น้ำปัสสาวะใส ไม่มีตะกอนขุ่น
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ Urine Aerobic culture ไม่พบเชื้อ
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ Urine Analysis WBC อยู่ในค่าปกติ คือ (0.3 Cells/HPF)
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลความสะอาดบริเวณสายสวนปัสสาวะ (Foley catheter) ดูแลผู้ป่วยโดยยึดหลักปราศจากเชื้อในการทำกิจกรรมและทำหัตถการ ล้างมืออย่างถูกต้องทุกครั้งทั้งก่อนและหลังให้การพยาบาลผู้ป่วย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคเพิ่มขึ้น
สังเกตลักษณะ ปริมาณและสีของน้ำปัสสาวะ เพื่อประเมินลักษณะความผิดปกติของการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะมีลักษณะตะกอนขุ่น
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย อย่างน้อยวันละ 2,000 ซีซี เพื่อขับน้ำและแบคทีเรียออกทางปัสสาวะ การไหลออกของน้ำปัสสาวะจะช่วยขับเอาเชื้อแบคทีเรียที่ปนเปื้อนออกสู่นอกร่างกาย
ดูแล Foley catheter ให้อยู่ในระบบปิด (Close system) โดยการไม่ปลดข้อต่อระหว่างสายสวนปัสสาวะกับถุงรองรับน้ำปัสสาวะ เพื่อลดการปนเปื้อนของเชื้อโรค
ดูแลถุงรองรับน้ำปัสสาวะให้อยู่ต่ำกว่ากระเพาะปัสสาวะ และจัดให้ถุงรองรับน้ำปัสสาวะอยู่สูงกว่าพื้นห้องเสมอ เพื่อป้องกันการติดเชื้อเนื่องจากน้ำปัสสาวะจากถุงรองรับปัสสาวะไหลย้อนกลับเข้าไปในสายสวนปัสสาวะ (Ascending infection)
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาปฏิชีวนะ คือ Ceftazidime 2 g V q 8 hr ตามแผนการรักษา และสังเกตอาการข้างเคียงของยา คือ ผิวหนังบวมแดงหรือมีเลือดออก (Phlebitis) ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายปนเลือด ปวดเกร็งบริเวณท้อง มีไข้ขึ้น
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ Urine Analysis และ Urine Aerobic culture ภายหลังการรักษา
4. ความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันลดลงเนื่องจากขาบวม จากภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดดำส่วนลึก
ข้อมูลสนับสนุน
O : PTT น้อยกว่าปกติ คือ 27.30 sec (ค่าปกติ คือ 28.7 – 39.3 sec)
O : มีภาวะบวมกดบุ๋ม Putting edema 2+
O : ความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 mmHg เท่ากับ 165/66 mmHg
O : เคลื่อนไหวร่างกายได้น้อย
A : หลอดเลือดดำที่ขาซึ่งมองเห็นได้คือหลอดเลือดดำที่ผิว (superficial vein) จะทำหน้าที่นำเลือดดำจากเซลล์ไปสู่หลอดเลือดดำส่วนลึก (deep vein) ที่อยู่ในกล้ามเนื้อเพื่อนำเลือดกลับสู่หัวใจ โดยอาศัยการบีบตัวของกล้ามเนื้อร่วมกับลิ้นในหลอดเลือดดำ เมื่อมีการอักเสบของหลอดเลือดดำ (thrombophlebitis) หรือมีลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ ซึ่งมักพบในหลอดเลือดดำส่วนลึกทำให้การไหลเวียนเลือดลดลง หรือหยุดเกิดการคั่งของเลือดอยู่ที่ตำแหน่งนั้นผู้ป่วยจึงมีอาการขาบวมและปวดที่ขาและเท้าข้างนั้นหากเลือดลอยไปอุดกั้นที่ปอด (pulmonary embolism) อาจเป็นสาเหตุให้ชีวิต
วัตถุประสงค์
สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้มากขึ้น
เกณฑ์การประเมิน
PTT อยู่ในค่าปกติ คือ 28.7 – 39.3 sec
อาการบวมลดน้อยลง ระดับ Putting edema น้อยกว่าหรือเท่ากับ +1
ความดันโลหิตไม่สูงกว่า 140/90 mmHg
สามารถเคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้มากขึ้น
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินภาวะลิ่มเลือดกั้นหลอดเลือดดำส่วนลึก และภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ คือภาวะหลอดเลือดแดงปอดอุดกั้น ดังนี้
1.1 ประเมินอาการบวมที่ขาด้วยการวัดรอบขาทั้งสองข้าง ที่ตำแหน่งเดิมทุกวัน เพื่อเปรียบเทียบกัน และติดตามผลการรักษา
1.2 วัดและบันทึกสัญญาณชีพทุก 1, 2 ชั่วโมง เมื่อพบความผิดปกติ และทุก 4 ชั่วโมง เมื่อผู้ป่วยมีอาการปกติ
1.3 เจาะเลือดส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจวิเคราะห์ก๊าซในเลือดแดง วัดปริมาณเกล็ดเลือด ค่า PT, PTT
ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคและอาการ การปฏิบัติตนให้ครอบครัวและผู้ดูแลสังเกตอาการที่ผิดปกติ แนะนำให้สังเกตอาการเหนื่อย หายใจลำบาก ให้รีบแจ้งพยาบาลทันที
จัดท่าผู้ป่วยให้นอนวางขาข้างที่บวมให้สูงกว่าระดับหัวใจ เพื่อช่วยให้การไหลของเลือดดำกลับเข้าสู่หัวใจสะดวกขึ้น จะช่วยให้อาการขาบวมทุเลาลง
แนะนำให้ดื่มน้ำวันละ 1,500 มิลลิลิตร ในรายที่ไม่มีข้อห้าม เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายและช่วยให้การไหลเวียนของเลือดสะดวก
หมั่นออกกำลังกาย ขาและนิ้วเท้า ด้วยการเคลื่อนไหวและหมุนข้อ (Rang of Motion exercise) เพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด
ไม่ควรใช้หมอนรองบริเวณใต้หัวเข่า เพราะเป็นการเพิ่มแรงกดหลอดเลือดที่เข่า ทำให้การไหลเวียนเลือดไปที่ปลายเท้าไม่สะดวก อาจเกิดลิ่มเลือดเพิ่มขึ้น
ห้ามบีบนวดขาและเท้าที่มีอาการบวม เพราะอาจทำลิ่มเลือดที่ขาแตกออกเป็นก้อนเล็ก ๆ ลอยไปตามหลอดเลือด และหลุดเข้าไปในปอด
การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง (Palliative care)
นางสาวศิริรัตน์ อ้นปรารมภ์ เลขที่ 77 ชั้นปีที่ 3 ห้อง A