Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
11 Health problems in Musculoskeletal system - Coggle Diagram
11 Health problems in Musculoskeletal system
ปวดข้อ (Joint pain)
อาการทางข้อ (Articular symptoms)
เวลาที่เริ่มมีอาการ
จําแนกเป็นกลุ่มอาการปวดข้อแบบเฉียบพลัน (Acute) คือมีอาการปวดข้อน้อย กว่า 6 สัปดาห์ และกลุ่มอาการปวดข้อแบบเรื้อรัง (Chronic) คือมีอาการปวดข้อตั้งแต่ 6 สัปดาห์ขึ้นไป
จํานวนและตําแหน่งข้อที่มีอาการ
แบ่งเป็นแบบข้อเดียว (Monoarticular type) แบบ 2-3 ข้อ (Oligoarticular type) และแบบหลายข้อคือตั้งแต่ 4 ข้อขึ้นไป (Polyarticular type)
อาการร่วมสําคัญ
ลักษณะการอักเสบของข้อ บวม แดง ร้อน
อาการข้อฝืด หมายถึงการขยับเคลื่อนไหวข้อลําบาก ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะกํามือหรือขยับนิ้วมือลําบาก
โดยทั่วไปโรคข้อที่ไม่มีการอักเสบของข้อ
ปัจจัยที่ทําให้อาการเป็นมากขึ้นหรือน้อยลง
โรคข้อที่เกิดจากการทํางาน (Mechanical condition) ผู้ป่วยจะมีอาการปวดข้อมากขึ้นเมื่อมีการ ใช้งานของข้อนั้นๆ เช่น โรคข้อเสื่อม เป็นต้น
โรคข้อที่เกิดจากการอักเสบ (Inflammatory arthritis) เมื่อมีการใช้งานของข้ออาการปวดจะลดลง การพักจะทําให้ปวดมากขึ้น พบในโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) โรคกลุ่ม Spondyloarthropathy (SpA) เช่น Ankylosing spondylitis (AS) และ Psoriatic arthritis เป็นต้น
อาการนอกข้อ (Extra-articular symptoms)
อาการทั่วไป (Constitutional symptoms)
ได้แก่ อาการไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ําหนักตัว ลดลง ในโรคที่มีการอักเสบจากการติดเชื้อ ข้ออักเสบจากผลึก ปฏิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกัน หรือมะเร็ง ผู้ป่วย จะมีอาการทั่วไปเหล่านี้ได้ ในขณะที่ผู้ป่วยที่มีภาวะข้อเสื่อมหรือ Myofascial pain syndrome ไม่ควรมี อาการดังกล่าว
อาการและอาการแสดงนอกข้อที่เป็นสาเหตุทําให้ผู้ป่วยมีอาการปวดข้อ
Arthritis associated with infectious agents
ไข้อาจพบรอยโรคที่เกิดจากการติดเชื้อที่ระบบอื่นๆ เช่น ตุ่มหนอง
Disseminated gonococcal infection
ไข้ เส้นเอ็นอักเสบ รอยโรคที่ผิวหนัง เช่น ผื่น ตุ่มหนอง ท่อปัสสาวะอักเสบ
ปีกมดลูกและอุ้งเชิงกรานอักเสบ
Gout
ไข้ (ขณะที่มีข้ออักเสบกําเริบ) ก้อน Tophi และความผิดปกติที่ไต เช่น นิ่วที่ไตการทํางานของไตพร่อง
Rheumatic fever
ไข้รอยโรคที่ผิวหนัง ได้แก่ Subcutaneous nodule และ Erythma marginatum การอักเสบที่หัวใจ ได้แก่ เยื่อหุ้มหัวใจ ลิ้นหัวใจ และกล้ามเนื้อหัวใจ
Rheumatoid arthritis
การอักเสบของเยื่อบุตาขาว (Episcleritis, Scleritis) ปุ่มรูมาตอยด์(Rheumatoid nodule) เยื่อหุ้มปอดอักเสบ (Pleuritis) การเกิดพังผืดที่ชายปอด (Pulmonary fibrosis) การกดทับของเส้นประสาท Median ที่ข้อมือ (Carpal tunnel syndrome)
Systemic lupus erythematosus; SLE
ผื่นหลายรูปแบบ เช่น ผื่น Malar หรือผื่นรูปผีเสื้อบนใบหน้า (Butterfly rash) ผื่นแพ้แดด (Photosensitivity rash) เยื่อหุ้มปอดอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ไตอักเสบ สมองอักเสบ เกร็ดเลือดต่ํา ต่อมน้ําเหลืองโต ฯลฯ
การตรวจร่างกาย (Physical Examination)
ลักษณะผิดรูป (Deformity)
ผิวหนังที่ปกคลุมข้อแดงและอุ่น (Reddening and warm)
ข้อบวม (Joint swelling)
การกดเจ็บ (Tenderness)
ขยับข้อได้ไม่เต็มที่หรือมีการจํากัดพิสัยการเคลื่อนไหวข้อ (Limitation range of motion)
การตรวจพบความรู้สึกกรอบแกรบในข้อ (Crepitation หรือ Joint crepitus)
กล้ามเนื้อรอบๆข้อฝ่อลีบ (Muscle hypotrophy) อ่อนแรง (Motor weakness) หรือหดเกร็ง
(Muscle spasm)
ตรวจเพิ่มเติมโดยวิธีการที่
เฉพาะเจาะจงกับโรคที่สงสัย
Phalen’s test
โดยการให้ผู้ป่วยหักข้อมือทํามุม 900ค้างไว้ 1 นาที และ Tinel’ test โดยการให้ ผู้ป่วยหงายมือขึ้นแล้วผู้ตรวจเคาะลงบนข้อมือ (รูปที่ 1) ผู้ป่วยจะมีอาการปวด ชา หรืออ่อนแรง บริเวณนิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง และครึ่งซีกของนิ้วนางที่ติดกับนิ้วกลาง แสดงว่าเส้นประสาท Median ถูกกดทับ เรียกว่า
Carpal tunnel syndrome
Finklestein test
โดยให้ผู้ป่วยกํานิ้วหัวแม่มือข้างที่ปวดและให้หักข้อมือลงทางด้านนิ้วก้อย (รูปที่ 2) ผู้ป่วยจะมีอาการปวดบริเวณโคนนิ้วหัวแม่มือมาก แสดงว่าปลอกหุ้มเอ็นอักเสบ เรียกว่า
De Quervain’s tenosynovitis
Bulge sign
โดยการดันน้ําจากด้านในหรือด้านนอกกระดูกสะบ้า (Patellar) แล้วสังเกตการโป่งของ ผิวข้อด้านตรงข้าม (รูปที่ 3) และการตรวจ Ballottement test โดยผู้ตรวจใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งกดไล่ น้ําบริเวณเหนือเข่าด้านบนเพื่อให้กระดูกสะบ้าลอยขึ้นมา แล้วใช้มืออีกข้างกดไปบนกระดูกสะบ้า แล้วปล่อยจะรู้สึกว่ากระดูกสะบ้าลอยตามมือ ทั้ง 2 วิธีนี้เป็นการตรวจ
เพื่อยืนยันการมีน้ํา หรือของเหลวในข้อ ซึ่งพบในผู้ป่วยที่มีภาวะข้ออักเสบหรือติดเชื้อ
Patrick’s test หรือ Sign of four
เป็นการ
ตรวจกรณีสงสัยมีความผิดปกติของข้อสะโพก หรือ Sacroiliac arthritis
มีวิธีการตรวจโดยให้ผู้ป่วยนอนหงาย งอเข่าและกางข้อสะโพกข้างที่จะตรวจ ให้ส้นเท้าข้างนั้นวางอยู่ที่เข่าอีกข้างหนึ่ง ผู้ตรวจใช้มือกดตรึงที่กระดูกเชิงกรานให้อยู่กับที่ อีกมือ หนึ่งกดลงไปตรงๆบนเข่าข้างที่งอ ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บหรือมีการเกร็งของกล้ามเนื้อสะโพกข้าง ที่ตรวจ
อาการปวดคอ (Neck pain)
การใช้งานหรือลักษณะท่าทางการทํางานที่ไม่ถูกต้อง (Mechanical pain)
ความผิดปกติทางระบบประสาท (Neuropathic pain) ผู้ป่วยจะมีอาการหายใจไม่ออก ชา อ่อน แรง ปวดร้าวตามเส้นประสาท หรือปัสสาวะไม่ออกร่วมด้วย
การอักเสบ (Inflammatory pain) ได้แก่ การติดเชื้อที่กระดูกคอ และอาการปวดที่พบร่วมกับการ เจ็บป่วยจากสาเหตุอื่น เช่น มะเร็ง เป็นต้น
การตรวจร่างกาย (Physical examination)
ดูความผิดปกติที่บริเวณคอทั้งทางด้านหน้าและด้านหลัง ดูความสมดุลของมวลกล้ามเนื้อ มีกล้ามเนื้อ ด้านใดด้านหนึ่งหดเกร็งหรือฝ่อลีบผิดปกติหรือไม่
ตรวจดารเคลื่อนไหวบริเวณคอโดยให้ผู้ป่วยทำเอง ( Active motion) ในท่า Flexion/Extension/Rotation และ lateral bending มีอาการเจ็บหรือเคลื่อนไหวได้จํากัดหรือไม่ การตรวจนี้จะบ่งบอกถึงความรุนแรงของพยาธิสภาพของผู้ป่วย
ตรวจหาตําแหน่งที่กดเจ็บ ถ้ากดเจ็บตามแนว Spinous process แสดงว่าพยาธิสภาพน่าจะอยู่ที่ตัว กระดูกต้นคอ แต่ถ้ากดเจ็บทางด้านข้างของ Spinous process พยาธิสภาพน่าจะอยู่ที่กล้ามเนื้อหรือ เนื้อเยื่ออ่อนบริเวณต้นคอ
ตรวจหาความผิดปกติของระบบประสาท
โดยการประเมิน Motor power, Sensation, Reflex และ Log tract signs เช่น Barbinski’s sign และ Clonus ผู้ป่วยที่มี Myelopathy อาจเกิดอัมพาตของแขน ขาทั้งสี่ข้าง (Quadriparesis) มีอาการชาที่มีลักษณะเป็น Level, Hyperreflexia และ Sustained ankle clonus
การตรวจพิเศษเฉพาะโรค (Specific sign)
โดยเฉพาะ Spurling maneuver เป็นการตรวจดูว่ามี การกดทับรากประสาทหรือไม่ โดยให้ผู้ป่วยเอียงคอไปด้านใดด้านหนึ่งแล้วผู้ตรวจประสานมือกดลงบนศรีษะ ผู้ป่วยตามแนวแกนกลางลําตัว หากเกิดอาการปวดร้าวไปตามแขนถือว่าการทดสอบให้ผลบวก แสดงว่าราก ประสาทที่ไปเลี้ยงแขนข้างนั้นถูกกดทับ
การวินิจฉัยแยกโรค (Differential diagnosis)
:red_flag: Red flags
มีไข้ เหงื่อออกกลางคืน น้ําหนักลด
ปวดมากเวลากลางคืนหรือเวลานอนพัก
มีอาการอ่อนแรง เดินลําบาก แขนและขาอ่อนแรง หรือกลั้นปัสสาวะอุจจาระไม่ได้
มีโรคประจําตัว เช่น โรคมะเร็ง เบาหวาน เอดส์ ผู้ฉีดยาเสพติดเข้าเส้น โรคสะเก็ดเงิน โรคข้อกระดูก สันหลังอักเสบติดยึด เป็นต้น
Mechanical pain
เป็นอาการปวดต้นคอที่ไม่จําเพาะ (Nonspecific neck pain) หรือที่เรียกว่า อาการคอเคล็ด (Neck strain) สาเหตุเกิดจากการทํางานหรือการอยู่ในท่าทาง ที่ไม่เหมาะสมเป็นระยะเวลานาน มักปวดเป็นๆหายๆ
Whiplash injury
เป็นการบาดเจ็บของกระดูกต้นคอจากแรงกระแทกทําให้คอสะบัดก้มแล้วเงยอย่างรวดเร็ว
Cervical spondylosis
เกิดจากการเสื่อมตามวัย สภาพการใช้งาน หรือเคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน มัก ปวดเป็นๆหายๆ อาจปวดร้าวขึ้นท้ายทอยหรือลงมาที่ไหล่ หรืออยู่ระหว่าง กระดูกสะบักสองข้าง อาจมีเสียงลั่นเวลาขยับต้นคอ หรือกลืนลําบากจากการ กดของ Osteophyte ขนาดใหญ่
Herniated Nucleus Pulposus (HNP)
มักเกิดหลังจากการยกของหนักหรือออกแรงอย่างมากทันทีผู้ป่วยจะมีอาการ ปวดคอร้าวมายังไหล่และแขน ตรวจพบอาการอ่อนแรงหรือชาตามราก ประสาทที่ถูกกดทับ และพบว่ามี Radicular pain จาก Spurling test
Cervical myelopathy
โรคของไขสันหลังระดับคอเกิดจากกระดูกคอเสื่อมอย่างรุนแรง กระดูกพอก หนาจนทําให้ช่องไขสันหลัง (Spinal canal) แคบกว่าปกติและกดเบียดไขสัน หลัง แต่อาจเกิดจากสาเหตุอื่นได้ เช่น มะเร็ง การติดเชื้อ หรือข้อต่อกระดูกคอ คลอน (Instability) จากโรคข้ออักเสบเรื้อรัง ได้แก่ ข้ออักเสบรูมาตอยด์ และ โรคในกลุ่ม Spondyloarthritis
Fibromyalgia
เป็นโรคที่ทําให้ผู้ป่วยมีอาการปวดหลายตําแหน่งทั่วร่างกาย (Diffuse pain syndrome) มักพบร่วมกับภาวะอื่นๆ เช่น อาการซึมเศร้า นอนไม่หลับหรือ หลับไม่สนิท ปวดศรีษะไมเกรน และลําไส้แปรปรวน ( Irritible bowel syndrome;IBS) วินิจฉัยจากประวัติที่มีอาการปวดทั่วร่างกายต่อเนื่องกันเกิน 3 เดือน ตรวจร่างกายพบจุดกดเจ็บ (Tender point) 11 ใน 18
Spodyloarthropathy (SpA)
โดยเฉพาะโรคข้อสันหลังติดยึด (Ankylosing spondylitis; AS) ผู้ป่วยมักจะมี อาการปวดหลังเรื้อรังนํามาก่อน อาจซักได้ประวัติว่าเป็นโรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) โรคลําไส้อักเสบ (Inflammatory bowel disease) หรือมีประวัติ ครอบครัวเป็นโรคดังกล่าว และอาการปวดคอที่เกิดจากโรคในกลุ่มนี้จะมี อาการปวดมากขณะพัก ออกกําลังกายแล้วดีขึ้น อาจมีอาการข้อฝืดแข็งตอน เช้าร่วมด้วย (Morning stiffness)
Metastatic malignancy
มะเร็งที่มักแพร่กระจายมายังกระดูกคอ ได้แก่ มะเร็งปอด เต้านม ต่อม ลูกหมาก ต่อมน้ําเหลือง และ Multiple myeloma วินิจฉัยจากประวัติของ การเป็นมะเร็ง ภาพถ่ายรังสี และอาการปวดมากตอนกลางคืน
Cervical spine infection
ที่พบบ่อยได้แก่
Epidural abscess ผู้ป่วยมักจะมีไข้สูง ปวดคอ และร้าวไปตามรากประสาท
Tuberculous spondylitis (Pott’s disease) ผู้ป่วยจะมีอาการปวดคอ เรื้อรัง ร่วมกับอ่อนเพลีย น้ําหนักลด เหงื่อออกกลางคืน วินิจฉัยได้จากการ ตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยาหรือย้อมพบเชื้อวัณโรคจากรอยโรค แต่บางครั้ง อาจให้การวินิจฉัยจากภาพถ่ายรังสีที่มีลักษณะเฉพาะ
การรักษาพยาบาลขั้นต้น
กลุ่มที่เกิดจาก Mechanical pain รักษาตามอาการโดยการให้ยาบรรเทาปวด
กลุ่มที่มีอาการผิดปกติทางระบบประสาท กรณีที่มีการกดทับรากประสาท แต่การทํางานของไขสัน หลังยังปกติ แนะนําให้พักการใช้งาน (Immobilize) ส่วนคอโดยการสวมปลอกคอชนิดนุ่ม (Soft collar) หรือ ชนิดที่ค่อนข้างแข็ง (Semi-hard cervical collar)
อาการปวดหลัง (Back pain) และกล้ามเนื้อ (Myalgia)
:red_flag: Red flag
Musculoskeletal pain หมายถึงโรงของกระดูก กล้ามเนื้อ และข้อต่อ หรือเอ็นที่ยึดโครงสร้างของกระดูกสันหลัง ได้แก่ Back stain/sprain, Lumbar strain/sprain, Osteoporosis, Lumbar spondylosis
Neurogenic pain คือโรคที่ทําให้เกิดการระคายเคือง หรือกดทับ หรือเกิดการอักเสบของ เส้นประสาท รากประสาท และไขสันหลัง ได้แก่ Lumbar stenosis, Herniated disc, Lumbar spondylolisthesis, Cauda equina syndrome คือการกดทับรากประสาทส่วนที่ต่ํากว่าระดับ L1-2 ผู้ป่วย จะมีอาการกล้ามเนื้อขาอ่อนแรง ปวดร้าวลงขา มีอาการชา โดยเฉพาะชารอบทวารหนัก (saddle anesthesia) ไม่สามารถถ่ายหรือกลั้นอุจจาระปัสสาวะ
Visceral/Referred pain หมายถึงอาการปวดหลังที่เกิดจากอวัยวะภายในใกล้เคียงที่ทําให้มี อาการปวดหลัง เช่น ถุงน้ําดีอักเสบ ตับอ่อนอักเสบ นิ่วที่ไต หรือภาวะหลอดเลือดแดงเอออต้าที่ท้องโป่งพอง เป็นต้น
การรักษาพยาบาลเบื้องต้น
การบรรเทาอาการปวด ควรให้ยากลุ่ม Muscle relaxant ได้แก่
Orphenadine 100 mg. p[o b.i.d. pc. หรือ Tolperisone (mydoclam) 50-100 mg. po t.i.d.pc. ซึ่งไม่ควรให้เกิน 7 วัน เนื่องจากการเกร็งตัวนี้มักเป็นชั่วคราว
ส่วนอาการปวดหลังเรื้อรัง อาจพิจารณา ยาในกลุ่ม Trycyclic antidepressant ร่วมด้วย ได้แก่ Amitryptyline 25-150 mg. po hs.