Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

โรคเลือดในสตรีตั้งครรภ์ - Coggle Diagram

- - - - เนื่องจากในขณะตั้งครรภ์หมู่เลือด ABO ของมารดาและทารกเข้ากันไม่ได้
  - - - พบเฉพาะในแถบประเทศตะวันตก
    - - anti-A และ anti-B จะมีความแรงมากกว่าคนเอเชีย (Asian) และคนผิวขาว (Caucasian)
  - - - anti-A มักจะเป็นสาเหตุของภาวะเม็ดเลือดแดงแตกในทารกแรกเกิดได้บ่อยกว่า anti-B1
    - - ระหว่างการตั้งครรภ์เม็ดเลือดแดงของทารกจะผ่านเข้าไปในกระแสเลือดของมารดา
        
        ไปกระตุ้นให้มารดาสร้าง antibody ทําให้มี antibody
        
        ทําปฏิกิริยากับเม็ดเลือดแดง ทําให้เม็ดเลือดแดงแตก
  - - - ทารกที่เกิดภาวะkernicterusจะเสียชีวิตประมาณ75 %
      - ส่วนคนที่รอดชีวิต
        
        mental retard
        
        develop paralysis or nerve deafness
  - - - เพื่อค้นหาความเสี่ยงของทารกแรกเกิด
    - - เพื่อให้เกิดความเข้าใจ คลายความวิตกกังวล และให้ความร่วมมือในการรักษา
    - - เพื่อเฝ้าระวังและรายงานแพทย์ทันทีเพื่อการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
    - - เพื่อเฝ้าระวังและประเมินภาวะpathologic jaundice รายงานแพทย์เพื่อให้การช่วยเหลือได้ทันที
    - - เพื่อป้องกันตาเกิดการระคายเคืองและดูแลตามแนวปฏิบัติการพยาบาลของทารกที่ได้รับการส่องไฟ
- - - - heme มีองค์ประกอบที่สําคัญคือ ธาตุเหล็ก และ porphyrin
      - globin ประกอบด้วยสายของโปรตีน 4 สาย (polypeptide chain)
        
        alpha (α)
        
        beta (β)
        
        gemma (γ)
        
        delta (δ)
  - - - ความผิดปกติทางโครงสร้าง
        
        มีการเปลี่ยนแปลงการเรียงตัวของ amino acid บน polypeptide chain
      - ความผิดปกติทางปริมาณ
        
        มีการสร้าง globin สายใดสายหนึ่งลดลงหรือไม่สร้างเลย โดยที่โครงสร้างของ polypeptide chain ยังปกติ
  - - - ทําให้ globin ที่เหลืออยู่รวมตัวกันเอง แล้วตกตะกอนอยู่ในเม็ดเลือด ทําให้เลือดแดงมีรูปร่างผิดปกติ ขาดความยืดหยุ่นผนังของเม็ดเลือดแดงถูกทําลายง่าย เม็ดเลือดแดงมีอายุสั้น
        
        ผู้ป่วยมีอาการซีด ตัวเหลือง ตาเหลือง ตับม้ามโต
        
        ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของลักษณะกระดูก
        
        มีนิ่วในถุงน้ําดี ในรายที่ซีดมาก
        
        หัวใจจะทํางานหนักเพื่อนําออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกายทําให้หัวใจโต และหัวใจล้มเหลว
  - - - รายที่มีภาวะ Hb Bart’s hydropfetalis
        
        เกิดภาวะแทรกซ้อนคือ ความดันโลหิตสูงระหว่างตั้งครรภ์ คลอดยาก
        
        อาจตกเลือดหลังคลอด เนื่องจากมดลูกหดรัดตัวไม่ดี
      - มีโอกาสติดเชื้อเนื่องจากความต้านทานต่ํา เสี่ยงต่อการแท้ง คลอดก่อนกําหนด
    - - เกิดภาวะขาดออกซิเจนเรื้อรังส่งผลให้ทารกเจริญเติบโตช้าในครร
      - น้ําหนักน้อย หรือขาดออกซิเจนในระยะคลอด
      - อาจได้รับการถ่ายทอดความผิดปกติของโครโมโซมทําให้เป็นโรคหรือเป็นพาหะ
  - - - เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการรักษา แนะนําให้ตรวจทั้งสามีและภรรยาไปพร้อมกัน
    - - ให้สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวลดความวิตกกังวลและให้ความร่วมมือในการรักษา
    - - ควรแนะนําเกี่ยวกับการตรวจวินิจฉัยทารกในครรภ์ก่อนคลอด และให้สตรีตั้งครรภ์และสามีตัดสินใจว่าจะดําเนินการตั้งครรภ์ต่อไปหรือยุติการตั้งครรภ์
    - - ให้การสนับสนุนทางด้านจิตสังคมแก่สตรีตั้งครรภ์และครอบครัว พร้อมทั้งให้การดูแลให้ได้รับการส่งต่อเพื่อปรึกษานักจิตวิทยาเมื่อมีความจําเป็น
    - - แนะนําเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวขณะตั้งครรภ์ โดยเน้นการป้องกันการติดเชื้อในระบบต่างๆ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การพักผ่อนอย่างเพียงพอ
- - - - เป็นหมู่เลือดอาร์เอชบวก(Rh positive)
      - คนที่ไม่มีสารDอยู่บนผิวเม็ดเลือดแดง
        
        หมู่เลือดอาร์เอชลบ(Rh negative)
  - - - คนผิวขาวร้อยละ85
      - คนผิวดําร้อยละ95
      - ภาคตะวันออกของอเมริกามีRh positive นอกนั้นจะมีRh negative
  - - - ผ่านรกเข้าไปในระบบไหลเวียนเลือดของมารดา ทําให้เกิดการสร้าง antibodies
        
        จะไปจับและทําลายเม็ดเลือดแดงของทารก ทําให้ทารกมีภาวะโลหิตจาง
        
        อาการรุนแรงอาจทําให้เกิด Hydropsfetalis ทารกจะมีภาวะบวมน้ําและมีการไหลเวียนล้มเหลว (circulatory collapse)
  - - - ไม่ค่อยพบผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
    - - มักพบผลกระทบต่อทารกในการตั้งครรภ์ที่ 2
        
        neonatal anemia
        
        hydrops fetalis
        
        ตับและม้ามโต
        
        hyperbilirubinemia
        
        kernicterus
        
        dead fetus in uterus
        
        still birth
  - - - เมื่อหญิงตั้งครรภ์มี Rh negative และทารกมี Rh positive
        
        Rh positive ของทารกจะผ่านรกเข้าไปในระบบไหลเวียนเลือดของมารดา
        
        antibodies นี้จะไหลเวียนกลับเข้าสู่ทารกในครรภ์ ะไปจับและทําลายเม็ดเลือดแดงของทารก
    - - การเจาะเลือดครั้งแรกที่มาฝากครรภ์ เพื่อตรวจหาหมู่เลือด Rh typing ทุกราย
        
        ควรตรวจ Indirect Coomb’s test
        
        เพื่อหา antibodies ในมารดาการตรวจหา antibodies screening (การคัดกรอง) อีกทั้งการให้ RhoGAM จะให้ในหญิงตั้งครรภ์ที่มี Rh negative ที่มีความเสี่ยง
      - ควรตรวจ Indirect Coomb’s test อีกครั้ง เมื่ออายุครรภ์ 28 สัปดาห์
        
        เพื่อป้องกันการสร้าง antibodies ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในช่วงระยะตั้งครรภ์
      - ควรให้คําแนะนําเพื่อให้หญิงตั้งครรภ์เข้าใจถึงแผนการรักษา
        
        ควรเก็บเลือดจากสายสะดือ
        
        เพื่อส่งตรวจหาหมู่เลือดและ Rh type ของทารก
        
        ทํา Direct Coomb’s test
        
        เพื่อดูจํานวนเซลล์เม็ดเลือดแดงของทารกที่ถูกจับโดย antibodies ของมารดา