Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (Congenital Heart Diseasa) - Coggle Diagram
โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
(Congenital Heart Diseasa)
สาเหตุ
ความผิดปกติทางพันธุกรรมร่วมกับปัจจัยภายนอก
ไม่ทราบสาเหตุ
ปัจจัยภายนอก ได้แก่ ความเจ็บป่วยของแม่ ยาหรือสารเคมีบางอย่าง ความผิดปกติของโครโมโซม เช่น Trisomy 21 (Down syndrome)
ชนิดของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
1.กลุ่มโรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดไม่เขียว
แบ่งออกเป็น 2 ชนิด
1.1 โรคหัวใจชนิดที่มีเลือดไหลลัดจากซีกซ้ายไปขวา (left to right shunt)
1) การมีรูรั่วของผนังกั้นระหว่างห้องหัวใจห้องบน (Atrial septal defect หรือ ASD)
พยาธิสรีรวิทยา
Small ASD: ขนาดเล็ก 3 mm. ปิดเองได้ ขนาด 3-8 mm. ปิดเองได้ก่อนอายุ 18 เดือน
Moderate to large ASD: เกิด shunt ปริมาณมากจนเกิด volume overload ทำให้เกิด right atrial enlargement และ right ventricular
hypertrophy หากไม่รักษาจนเวลาผ่านไปหลายปี ทิศทางของ shunt จากเดิม left to right จะ
เปลี่ยนเป็น right to left shunt
อาการและอาการแสดง
small ASD: ไม่ก่ออาการ
Moderate to large ASD: เหนื่อยง่ายเมื่อออกแรง,หัวใจเต้นผิดจังหวะ ,ใจสั่น, เมื่อยล้า, มีลิ่มเลือดอุดตัน
การวินิจฉัยโรค
Echocardiography ใช้ยืนยันการวินิจฉัยหรือตรวจหา heart defect ชนิดอื่นที่สามารถพบร่วมได้
Chest radiograph พบ cardiomegaly ร่วมกับ right atrial and right ventricular dilation และพบ
increased pulmonary vascular marking (บ่งบอกถึง pulmonary blood flow ที่เพิ่มขึ้น)
Electrocardiography อาจพบ right axis deviation, right ventricular hypertrophy และ right
bundle branch block
Cardiac catheterization ไม่มีความจ าเป็น ยกเว้นในกรณีวางแผนการรักษาโดย transcatheter
intervention
การรักษา
Small ASD อาจไม่จำเป็นต้องรักษาและมีโอกาสปิดเองได้สูง
Moderate to large ASD ที่มีเลือดไปปอดเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ เช่น pulmonary flow: systemic flow
ratio >1.5:1 ควรได้รับการรักษาโดย transcatheter closure หรือการผ่าตัด
2) การมีรูรั่วของผนังกั้นระหว่างห้องหัวใจห้องล่าง (Ventricular septal defect หรือ VSD)
พยาธิสรีรวิทยา: Small VSD: เกิดทางลัดการไหลของเลือดจากซีกซ้ายไปขวาน้อย ไม่เกิดหัวใจวาย หรือความดันปอดสูง และ Lange VSD: เกิดทางลัดการไหลของเลือดปริมาณมากไหลไปปอดทำให้หัวใจวายและไหลย้อนกลับ left atrium ไหลลงสู่ left venticle ทำให้หัวใจห้องล่างซ้ายโต
อาการและอาการแสดง
Small VSD มักไม่ก่ออาการเด็กจะเติบโตได้เป็นปกติ
Large VSD จะมีอาการ heart failure โตช้า ติดเชื้อในทางเดินหายใจบ่อย
การวินิจฉัยโรค
Echocardiography ใช้ยืนยันการวินิจฉัยและบอกตำแหน่งของ VSD เพื่อวางแผนการรักษา
Chest radiograph ในผู้ป่วยที่มี large VSD พบ cardiomegaly, increased pulmonary vascular
marking
Electrocardiography พบ left ventricular hypertrophy หรือ combined left and right
ventricular hypertrophy
การรักษา
Small VSD มีโอกาสปิดเองได้สูง โดยเฉพาะ muscular defect มักเปิดเองได้ ในช่วง 1-2 ปีแรก
Large VSD มีโอกาสปิดเองได้น้อย หากมีอาการ heart failure สามารถใช้ยาได้ เช่น Diuretic,
digoxin, ACE inhibitor การผ่าตัดพิจารณาในกรณีที่มีเลือดไปปอด
3) การมีความผิดปกติของเส้นเลือดใหญ่ระหว่างหัวใจและปอด (Patent ductus arteriosus หรือ PDA)
พยาธิสรีรวิทยา
PDA ขนาดเล็กมักไม่ก่อผลเสียต่อระบบไหลเวียนโลหิตแต่หากมีขนาดใหญ่จะ
ส่งผลให้เกิด left to right shunt ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคล้ายกับที่พบใน large VSD คือ เกิด heart failure
การรักษา
Prostaglandin synthesis inhibitor (เช่น indomethacin, ibuprofen) ใช้ได้ผลเฉพาะ ในทารกคลอดก่อน
กำหนด
การผ่าตัด (ligation or division)
Transcatheter closure
อาการและอาการแสดง
ทารกหรือเด็กที่มี small PDA มักไม่มีอาการ
ทารกที่มี PDA ขนาดใหญ่ จะมีอาการของ heart failure
ทารกคลอดก่อนก าหนด มักพบภาวะแทรกซ้อนที่สัมพันธ์กับ prematurity ร่วม ด้วย
ทารกหรือเด็กที่มี small PDA ตรวจพบลักษณะของชีพจรปกติ ฟังหัวใจพบ continuous
murmur grade 1-3 ที่ตำแหน่ง left upper sternal border
ทารกคลอดครบก าหนดที่มี large PDA ตรวจพบลักษณะของชีพจรแบบ bounding pulse
ทารกคลอดก่อนกำหนด ตรวจพบ bounding pulse และ hyperactive precordium เสียง
murmur
การวินิจฉัยโรค
Electrocardiography คล้ายกับที่พบใน VSD
Chest radiograph คล้ายกับที่พบใน VSD ร่วมกับเห็น enlarged ascending aorta
Echocardiography ใช้ยืนยันการวินิจฉัยและหาความผิดปกติร่วม
1.2 โรคหัวใจที่มีการอุดกั้นของทางออกเลือด เช่น aortic valve ตีบ (Aortic stenosis:AS),PS และหลอดเลือด aorta ตีบ (Coarctation of Aorta:CoA)
1) Aortic stenosis (AS) การตีบแคบของลิ้นเอออร์ติค
พยาธิสรีรภาพ:
ความผิดปกติของ aortic แบ่งเป็น 3 ตำแหน่งของการตีบ ได้แก่ ตีบบริเวณลิ้นเอออร์ติค(valvular AS), ตีบ
บริเวณใต้ลิ้นเอออร์ติค (subvalvular AS) และ ตีบบริเวณเหนือลิ้นเอออร์ติค (supravalvular AS) ส่งผลให้เกิดการอุดกั้นของทางออกของเวรตริเคิลซ้าย ระยะเวลานานเป็นผลให้เวนตริเคิลซ้ายมีการหนาตัวขึ้น จนเกิดภาวะหัวใจซีกซ้ายวาย และเกิดการคั่งของน้ำในหลอดเลือดที่ปอด และภาวะปอดบวมน้ำตามมาได้
การวินิจฉัย:
การซักประวัติ
การตรวจร่างกาย
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiography)
ภาพรังสีทรวงอก
คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจความถี่สูง (Echocardiography)
การตรวจสวนหัวใจและการฉีดสารทึบรังส
อาการและอาการแสดง
AS ในรายที่ตีบไม่มาก เด็กจะไม่มีอาการผิดปกติ
ลิ้นตีบมากอาจจะมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เวลาเล่น เจ็บหน้าอก
รายที่มีการตีบของลิ้นรุนแรงมากอาจถึงขั้นเป็นลมหมดสติ หรือเสียชีวิตทันทีทันใดในขณะที่เล่น หรือออกกำลัง
กายได้
ในเด็กเล็กอาจมาด้วยอาการของภาวะหัวใจวาย คือ เหนื่อยหอบ หายใจเร็วได้
การรักษา
percutaneous balloon aortic valvuloplasty โดย
ขยายลิ้นเออร์ติคด้วย balloon catheter
การผ่าตัดขยายลิ้นเอออร์ติค (aortic valvulotomy) ในเด็กเล็กทีมีอาการของภาวะหัวใจวาย
2) Pulmonary stenosis (PS) การตีบแคบของลิ้นพัลโมนารี
พยาธิสรีรภาพ:
เมื่อมีการตีบที่ลิ้นพัลโมนารีหรือเนื้อเยื่อใต้ลิ้น หรือมีการตีบแคบของหลอดเลือดแดงพัลโมนารีจะเกิดการอุดกั้น
ของทางออกของเวรตริเคิลขวาทำให้เกิดมีเลือดคั่งในเวนตริเคิลขวา แล้วส่งผลให้กล้ามเนื้อของเวนตริ
เคิลขวาหนาตัวขึ้น แต่ห้องหัวใจอาจจะมีขนาดปกติ หรือเล็กกว่าปกติ นอกจากนี้การที่เวนตริเคิลขวาหนาตัวขึ้นทำให้เลือดไหลจากเอเตรียมขวาจะไหลลงสู่เวนตริเคิล
ขวาได้ไม่สะดวก เอเตรียมขวาจึงขยายตัวออกเป็นผลให้เกิดการไหลลัดของเลือดดำจากเอเตรียมขวาไปผสมกับเลือดแดงในเอเตรียมซ้ายได้ทำให้ผู้ป่วยเขียวได้ ซึ่งมักพบในทารกแรกเกิด
การวินิจฉัย
การซักประวัติ
การตรวจร่างกาย
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiography)
ภาพรังสีทรวงอก ในผู้ป่วยที่มี mild PS และ moderate PS จะพบขนาดหัวใจปกติ และหลอดเลือดในปอด
ปกติ ส่วนในรายที่ severe PS จะพบขนาดหัวใจโตกว่าปกติ
คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจความถี่สูง (Echocardiography) จะพบเวนตริเคิลขวาโต และอาจพบเอเตรียมขวาโต
ร่วมด้วย รวมทั้งสามารถบอกตำแหน่งของ PS ได้
การตรวจสวนหัวใจและการฉีดสารทึบรังสี
อาการและอาการแสดง
ในผู้ป่วยที่มี mild PS จะไม่มีอาการผิดปกติ ส่วนในรายที่มี moderate PS และ severe PS อาจมีภาวะหัวใจ
วาย หรืออาการเขียวเล็กน้อยได้ เช่น มีอาการเหนื่อยง่าย หรือเจ็บแน่นหน้าอก และจะเป็นมากขึ้นเวลาออกกำลังกายบางรายอาจจะมีอาการเป็นลมหมดสติ หรือถึงขั้นเสียชีวิตในขณะออกก าลังกายอย่างหนักหรือมากเกินไปได้
การรักษา
ในรายที่มี mild PS ไม่จำเป็นต้องทำผ่าตัด ควรติดตามดูอาการต่อไป และแนะนำให้ป้องกันภาวะเยื่อบุหัวใจ
อักเสบ
ในรายที่มี moderate PS และ severe PS ควรพิจารณาให้การรักษา ดังนี้
2.1 การขยายลิ้นพัลโมนารีที่ตีบ ด้วย balloon catheter ในระหว่างการสวนหัวใจ
2.2 การทำผ่าตัดขยายลิ้นพัลโมนารีที่ตีบ (pulmonary valvulotomy)
3) Coarctation of Aorta (CoA) การคอดหรือการตีบแคบของหลอดเลือดเอออร์ต้า
การรักษา
ในรายที่เป็น preductal coarctation และมีอาการของหัวใจวาย ให้รักษาจนทุเลา แล้วพิจารณาทำการผ่าตัด
coarctectomy คือ ตัดส่วนที่ตีบแคบของหลอดเลือดเอออร์ต้าออก ควรพิจารณาทำผ่าตัดในผู้ป่วย CoA ก่อนอายุ 2 ปี
อาการและอาการแสดง
กลุ่ม preductal coarctation มักมีอาการผิดปกติตั้งแต่ 2-3 เดือน คือ มีภาวะหัวใจวาย เช่น หายใจแรง
และเร็ว เหนื่อยหอบ เหนื่อยออกมาก ดูดนมช้า เลี้ยงไม่โต
กลุ่ม postductal coarctation อาจไม่พบอาการผิดปกติในช่วงขวบปีแรก แต่เมื่อเด็กโตขึ้น การคอดหรือ
การตีบแคบของหลอดเลือดเอออร์ต้าจะมากขึ้น ผู้ป่วยมักมีอาการเหนื่อยง่าย และปวดขา 2 ข้างเวลาออกกำลังกาย
พยาธิสรีรภาพ
การตีบแคบที่หลอดเลือดเอออร์ต้า แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มดังนี้
กลุ่ม preductal coarctation จะมีการตีบแคบของหลอดเลือดเอออร์ต้าอยู่เหนือรอยต่อของหลอดเลือด
ductus arteriosus
กลุ่ม postductal coarctation จะมีการตีบแคบของหลอดเลือดเอออร์ต้าเป็นช่วงสั้น และอยู่ใต้รอยต่อของ
ductus arteriosus
การวินิจฉัย
การซักประวัติ
การตรวจร่างกาย
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiography)
ภาพรังสีทรวงอก
คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจความถี่สูง (Echocardiography)
การตรวจสวนหัวใจและการฉีดสารทึบรังสี
2.กลุ่มโรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดที่มีอาการเขียว แบ่งออกเป็น 2 ชนิด
2.2 ชนิดมีอาการเขียวที่มีเลือดไปปอดมาก (increase pulmonary blood flow)
1) Transposition of the Great Arteries (TGA)
อาการและอาการแสดง
ผู้ป่วยที่เป็น TGA และมี infact ventricular septum ทารกจะมีอาการเขียวมากตั้งแต่แรกเกิดหรือภายใน 2-3
วันแรกหลังเกิด ต่อมาจะมีอาการหอบเหนื่อย มีอาการของหัวใจวาย
การรักษา
ในทารกแรกเกิดที่เป็น TGA และ intact ventricular septum ควรให้ยา prostaglandin E
การผ่าตัดเพื่อแก้ไขความผิดปกติ ในปัจจุบันนิยมทำ arterial switch operation โดยการผ่าตัดสลับหลอด
เลือดเอออร์ต้ากับหลอดเลือดแดงพัลโมนารี
พยาธิสรีรภาพ ผู้ป่วยที่เป็น TGA และมี infact ventricular septum ทารกจะมีอาการเขียวมากต่อมาจะมีอาการหอบเหนื่อย มีอาการของหัวใจวาย
การวินิจฉัย
การซักประวัติ มีอาการเขียวจัดตั้งแต่แรกเกิด บางรายจะมีอาการหอบลึก และมีประวัติของภาวะหัวใจวาย
การตรวจร่างกาย ในรายที่มี VSD จะได้ยินเสียง systolic murmur บริเวณขอบซ้ายของกระดูกอก
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiography) มีเวนตริเคิลขวาโต แต่ในสัปดาห์แรกหลังเกิดอาจพบว่าอยู่ใน
เกณฑ์ปกติ
ภาพรังสีทรวงอก พบว่าหัวใจโต โดยขั้วหัวใจ จะมีลักษณะแคบยาวคล้ายไข่ตะแคง
คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจความถี่สูง (Echocardiography)
การตรวจสวนหัวใจและการฉีดสารทึบรังสี
2) Truncus Artriosus
2.1 ชนิดที่มีเลือดไปปอดน้อยมีอาการเขียว (Decrease pulmonary blood flow)
1) Tetrology of Fallot (TOF) มีความผิดปกติ 4 อย่างที่ทำให้เลือดไปปอดน้อยลง ได้แก่ 1. มีการตีบหรืออุดกั้นของทางออกของเวนตริเคิลขวา 2. ผนังระหว่างเวนตริเคิล (VSD) ขนาดใหญ่ 3. ตำแหน่งของลิ้นเอออร์ติคเลื่อนไปทางด้านขวา (overriding aorta) 4. การหนาตัวของเวนตริเคิลขวา (right ventricular hypertrophy)
พยาธิสรีรภาพ
เนื่องจากมีการตีบหรืออุดกั้นของเวนตริเคิลขวาทำให้ความดันเลือดเวนตริเคิลขวาและซ้ายใกล้เคียงกันหรือเท่ากัน และถ้ามีการตีบของลิ้นพัลโมนารีมากขึ้น หรือ
บางครั้งมีการหดเกร็งของเนื้อเยื่อ infundibulum บริเวณใต้ลิ้นพัลโมนารีปริมาณเลือดที่ไปปอดจะลดลง ความดัน
ในเลือดแดงพัลโมนารีจะต่ำลง ความดันในเวนตริเคิลขวาจึงสูงขึ้นท าให้เลือดดำส่วนใหญ่ไหลลัดจากเวนตริเคิลขวาไปผสมกับเลือดแดงในเวนตริเคิลซ้าย
อาการและอาการแสดง
อาการเขียวทั่วร่างกาย (central cyanosis)
ภาวะหัวใจวาย โดยเฉพาะในเด็กเล็กในช่วงอายุ 2-3 เดือนแรก
การวินิจฉัย
การซักประวัติ
การตรวจร่างกาย ในรายที่มี VSD ขนาดเล็ก จะฟังได้เสียง murmur ผู้ป่วยบางรายอาจมีภาวะ anoxic spells บางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น ฝีในสมอง (brain abscess)
มีการอุดตันของหลอดเลือดที่สมอง (cerebral thrombosis) หรือมีการติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiography) พบว่าเวนตริเคิลขวาโต บางรายที่มีอาการรุนแรงอาจพบว่ามีเอ
เตรียมขวาโต
ภาพรังสีทรวงอก ขนาดหัวใจมักมีขนาดปกติเด็กโตที่มีอาการเขียวมากๆ อาจมีหัวใจโต
คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจความถี่สูง (Echocardiography)
การตรวจสวนหัวใจและการฉีดสารทึบรังสี
การรักษา
เด็กที่มีอาการไม่มาก ควรให้มีค่าฮีมาโตคริทอยู่ประมาณร้อยละ 50-60 โดยให้ธาตุเหล็ก วันละ 2-6
มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน หรือในบางรายผู้ป่วยอาจมีอาการซีดจากการขาดเหล็ก ควรให้เหล็กเสริม
เด็กที่มีประวัติของภาวะ anoxic spells ชัดเจน ควรให้ propranolol ขนาด 1 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน ทาง
ปากให้ทุก 6 ชั่วโมง
เด็กที่มีอาการ anoxic spells มีหลักการรักษา ดังนี้
3.1 จับให้เด็กอยู่ในท่าเข่าชิดอก (knee chest position) และดูแลให้ออกซิเจน
3.2 ให้สารน้ าและกลูโคสทางหลอดเลือดดำ เพื่อให้สารน้ำและยา
3.3 ให้โซเดียมไบคาร์บอเนต ในรายที่มีภาวะออกซิเจนเป็นเวลานาน และมี acidosis
3.4 ให้ sedative ทำให้สงบ เช่น chloral hydrate หรือ morphine ในขนาด 0.1 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ฉีด
เข้าใต้ผิวหนัง
3.5 ให้ beta adrenergic blocker ในกรณีที่ยังไม่ดีขึ้นให้ทางหลอดเลือดดำ
การรักษาโดยการผ่าตัด
2) Pulmonary atresia (PA) pulmonary valve ตัน
การรักษา
การรักษา โดยการใช้ยา prostaglandin E1
ในรายที่เป็น PA ไม่มี VSD และมีเวนตริเคิลขวา และหลอดเลือดแดงพัลโมนารีที่มีขนาดโตพอ อาจพิจารณา
ทำ pulmonary valvotomy หรือ การทำ systemic- pulmonary shunt ร่วมกับ atrial septostomy ก็ได้
พยาธิสรีรภาพ
เนื่องจากมีการตันของลิ้นพัลโมนารีหรือมีการตีบที่ลิ้นพัลโมทนารี เวนตริเคิลขวาจึงไม่สามารถบีบตัวส่งเลือดดำ
ผ่านลิ้นพัลโมนารีที่ตันหรือตีบมากไปสู่ปอดได้ แต่หัวใจด้านขวาจะสามารถส่งเลือดดดำไปสู่ปอดได้
อาการและอาการแสดง
ผู้ป่วยมักมีอาการเขียวให้เห็นตั้งแต่ในวัยทารกแรกเกิด อาการเขียวจะขึ้นอยู่กับขนาดของ PDA ด้วย ถ้าในรายที่
PDA ปิด ผู้ป่วยจะมีอาการเขียวมากทันที และอาจเสียชีวิตได้ ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
การวินิจฉัย
การซักประวัติ มีประวัติอาการเขียว หายใจหอบลึก
การตรวจร่างกาย
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiography)
ภาพรังสีทรวงอก
คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจความถี่สูง (Echocardiography)
การตรวจสวนหัวใจและการฉีดสารทึบรังสี
3) Tricuspid atresia (TA) tricuspid valve ตัน
พยาธิสรีรภาพ
เมื่อมีการตันของลิ้นไตรคัสปิด เลือดดำจากเอเตรียมขวาจะไหลไปสู่เอเตรียมซ้าย และมักจะพบว่าเวนตริเคิลขวาขนาดเล็กและมีผนังหนา ส่วนใหญ่จะพบ VSD
มีขนาดเล็ก หรือการตีบบริเวณใต้ลิ้นพัลโมนารีร่วมด้วย ทำให้มีเลือดไปสู่ปอดน้อยกว่าปกติ ส่วนในบางรายที่มีVSD ขนาดใหญ่และไม่มีทางอุดกั้นของการไหลของเลือดไปปอด ทารกจะมีอาการเหนื่อยจากภาวะหัวใจวาย ส่วนในรายที่ไม่มี VSD เลือดผสมจะถูกส่งจากเวนตริเคิลซ้ายและไปสู่ หลอดเลือดเอออร์ต้า โดยเลือดบางส่วนจะถูกส่งไปที่ปอดโดยผ่านทาง PDA ได้
อาการและอาการแสดง
ผู้ป่วยมักมีอาการเขียวให้เห็นตั้งแต่ในวัยทารก การตรวจร่างกาย จะพบคล้ายกับผู้ป่วย TOF คือเสียง
systolic murmur ในเด็กเล็กบางรายอาจมีหัวใจเต้นเร็ว และอาการหายใจลำบาก ในเด็กโตอาจมีภาวะออกซิเจน ในเลือดต่ำ และมีนิ้วมือนิ้วเท้าปุ้ม
การรักษา
การรักษาโดยการใช้ยา prostaglandin E1
การผ่าตัดเพื่อบรรเทาอาการ
การผ่าตัดเพื่อแก้ไขความผิดปกติ โดยการทำผ่าตัด bidirectional Glenn operation
การวินิจฉัย
การซักประวัติ มีประวัติอาการเขียว และอาจมีภาวะหัวใจวายร่วมด้วย
การตรวจร่างกาย ฟังเสียง S2
ได้ดังขึ้นและเป็นเสียงเดี่ยว และเสียง systolic murmur
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiography) อาจพบว่าเวนตริเคิลซ้ายโต ในรายที่มี TGA ร่วมด้วย จะพบว่า
เวนตริเคิลขวาโตด้วย
ภาพรังสีทรวงอก ขนาดของหัวใจมักโตเล็กน้อย หลอดเลือดในปอดลดลง นอกจากนี้ในรายที่มี VSD ขนาด
ใหญ่หรือมี TGA ร่วมด้วยจะมีหลอดเลือดในปอดเพิ่มขึ้น
คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจความถี่สูง (Echocardiography)
การตรวจสวนหัวใจและการฉีดสารทึบรังสี
การพยาบาล
ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ปอด เนื่องจากมีเลือดไปปอดมาก
ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดการติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ เนื่องจากมีความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือดที่ทำให้มีการ
ไหลลัดของเลือด
เนื้อเยื่อของร่างกายมีโอกาสได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ เนื่องจากประประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจลดลง
ผู้ป่วยมีโอกาสเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตที่ไม่สมวัย หรือต่ำกว่าเกณฑ์ เนื่องจากดูดนม/รับประทานอาหารได้
น้อย
ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดพัฒนาการล่าช้า เนื่องจากผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยง่าย การเคลื่อนไหวร่างกาย แขน ขา จึงมี
น้อย หรือในเด็กเล็กบางรายที่มีอาการหายใจลำบาก
บิดามารดามีความวิตกกังวลเกี่ยวกับความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือดตั้งแต่กำเนิดของบุตร
ในที่นี้จะกล่าวเพิ่มเติมเฉพาะในส่วนการพยาบาลสำหรับผู้ป่วยเด็กโรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดเขียว
โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด เป็นความผิดปกติด้านโครงสร้างของหัวใจและหลอดเลือดที่พบหลังคลอด ส่วนใหญ่สัมพันธ์กับความผิดปกติในช่วงอายุครรภ์ 3-8 สัปดาห์