Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยในระยะก่อน-หลังผ่าตัดการเคลื่อนไหวและการออกกำลังกาย :check…
การพยาบาลผู้ป่วยในระยะก่อน-หลังผ่าตัดการเคลื่อนไหวและการออกกำลังกาย :check:
1 การพยาบาลผู้ปุวยก่อนผ่าตัด :star:
1การประเมินผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
1การซักประวัติ
ประวัติการแพ้ยาหรืออาหาร
การใช้ยา สารเสพติด การสูบบุหรี่ และดื่มสุรา
ประวัติการผ่าตัด
ประวัติของคนในครอบครัวหรือญาติที่มีปัญหา
เกี่ยวกับการได้รับยาระงับความรู้สึก
ประวัติโรคประจำตัว
ประวัติเกี่ยวกับโรคของระบบต่างๆ ของร่างกาย
2การตรวจร่างกาย
การชั่งน้ าหนัก วัดส่วนสูง
การตรวจประเมินทางระบบหายใจ
สัญญาณชีพ
การตรวจร่างกายตามระบบ โดยเน้น
ในส่วนบริเวณที่จะทำการผ่าตัด
3การส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1)ข้อบ่งชี้ของการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษอื่นๆ
Urinalysis Screening test สำหรับโรคไต
Electrolytes โรคไต โรคเบาหวาน ภาวะพร่องน้ า
Complete blood count ภาวะซีด เลือดออกผิดปกติ
BUN/Creatinine โรคไต โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง
Blood sugar โรคเบาหวาน ใช้ยากลุ่ม steroids
Liver function tests โรคตับถุงน้ำดี โรคพิษสุราเรื้อรัง ได้รับยาเคมีบำบัด
Coagulogram โรคตับ เลือดออกผิดปกติ (Anticoagulants)
Chest X-ray โรคหัวใจ โรคปอด โรคมะเร็ง สูบบุหรี่ ไอเรื้อรัง
ECG โรคหัวใจ โรคปอด โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน
2)ข้อแนะนำการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ (Screening tests)
อายุ≤45 ปี แข็งแรง
ไม่มีโรคประจำตัว
CBC
อายุ>45 ปี แข็งแรง
ไม่มีโรคประจำตัว
CXR
CBC
ECG
ผู้ป่วยที่มารับ
การผ่าตัดใหญ่
CXR
ECG
CBC
E’lytes
BUN/Cr
BS
Coag
อายุ>60 ปี แข็งแรง
ไม่มีโรคประจำตัว
CXR
ECG
E’lytes
BUN/Cr
BS
CBC
2 การเตรียมผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
1 การเตรียมผู้ป่วย
1) ด้านร่างกาย
ประเมินความสมบูรณ์ของร่างกาย
ในการได้รับอาหารที่พอเหมาะ
ภาวะสารน้ำและอีเล็คโทรลัยต์ในร่างกาย
ระบบทางเดินปัสสาวะ
การพักผ่อนและการออกกำลังกาย
ระบบทางเดินหายใจ
ให้คำแนะนำและข้อมูลต่างๆ
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
2)ด้านจิตใจ
ควรได้รับการเตรียมทางจิตใจทุก
คนโดยการเยี่ยมผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
พยาบาลควรให้ผู้ปุวยได้รับข้อมูลจริงทำความเข้าใจและแก้ไขเกี่ยวกับความเชื่อผิดๆ
3) การให้คำแนะนำการปฏิบัติหลังผ่าตัด
2)Quadriceps Setting Exercise (QSE)
3)Straight Leg Raising Exercise (SLRE)
1)Early ambulation
4)Range of Motion (ROM)
5)Deep-breathing exercises
7)Abdominal breathing
8)Turning and ambulation
6)Effective cough
9)Extremity exercise
10)Pain management
2การเตรียมผู้ปุวยก่อนวันที่ผ่าตัด
3)การเตรียมผิวหนังก่อนผ่าตัด
4)การดูแลสภาพร่างกายทั่วไป
ในคืนก่อนวันผ่าตัด
ของปลอมของมีค่าต่างๆถอดเก็บไว้ให้ญาติดูแลรักษา
สื่อไฟฟูาต่างๆเช่นกิ๊บที่ทำด้วยโลหะ
ให้ผู้ปุวยทำความสะอาดปาก
ไม่ให้ผู้ปุวยแต่งหน้าทาปากทาเล็บ
ในเช้าวันที่จะผ่าตัด
เปลี่ยนชุดสำหรับใส่เพื่อผ่าตัดและหวีผมเก็บผมให้เรียบร้อย
สังเกตสภาพร่างกายทั่วไป
วัดและบันทึกสัญญาณชีพ
สังเกตภาวะทางอารมณ์ของ
ผู้ป่วยความกลัวการผ่าตัด
2)การขับถ่าย แพทย์อาจให้สวนอุจจาระหรือไม่ก็ได้
5)การให้ยาแก่ผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
แพทย์มักจะให้ยาในคืนวันก่อนผ่าตัดเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยคลายความวิตกกังวลและนอนหลับพักผ่อนได้ดี
1) อาหารและน้ำดื่ม ควรงดอาหารผู้ป่วยก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 8 ชั่วโมง
6)เตรียมเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆที่พิเศษ
7)แผ่นบันทึกรายงานต่างๆต้องบันทึก
ให้ครบและรวบรวมให้เรียบร้อย
8)การส่งผู้ปุวยไปห้องผ่าตัดให้ผู้ปุวยนอนบนรถนอน
9)การดูแลครอบครัวผู้ปุวย
10) การเตรียมผ่าตัดผู้ปุวยฉุกเฉิน
1)เจาะเลือดเพื่อส่งตรวจCBC และ Blood group ทันที
2)ให้ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะให้เร็วที่สุดเท่าที่จะท าได้
3)ทำความสะอาดและเตรียมผิวหนังบริเวณที่จะผ่าตัดให้เรียบร้อย
4)ให้ผู้ป่วยหรือญาติที่มีสิทธิทางกฎหมายเซ็นใบยินยอมผ่าตัด
5)ถ้าผู้ป่วยไม่มีญาติมาด้วยพยาบาลต้องถามหรือหาที่อยู่ของครอบครัว
6)วัดและบันทึกอาการสัญญาณชีพ รวมทั้งการให้ยาก่อนผ่าตัด
7)สังเกตสภาพร่างกายทั่วไปอาการและสัญญาณชีพ
5 กระบวนการพยาบาลในการ
ดูแลผู้ปุวยก่อนและหลังผ่าตัด :<3:
1การประเมินสภาพผู้ป่วย
รวบรวมข้อมูลที่จำเป็นเพื่อนำไปสู่การวางแผนการพยาบาลเช่น การปรับตัวและความทนทานต่อความเครียด
2 ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
1 วิตกกังวลเนื่องจากกลัวการผ่าตัด
2 วิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและแผนการรักษา
3 การวางแผนการพยาบาล ให้การพยาบาลและประเมินผลหลังให้การพยาบาล
3 ร่วมกันหาทางแก้ไขสาเหตุของความวิตกกังวลร่วมกับผู้ป่วยและญาติ
4 ดูแลความสุขสบายทั่วไป
2 เปิดโอกาสให้ผู้ปุวยระบายความรู้สึก และค้นหาสาเหตุของความวิตกกังวล
5 จัดหมวดหมู่กิจกรรมการพยาบาลเพื่อลดการรบกวนผู้ป่วยและให้ผู้ปุวยได้พัก
1 ประเมินระดับความวิตกกังวล
6 รายงานแพทย์เมื่อพบอาการผิดปกติ
2การพยาบาลผู้ปุวยหลังผ่าตัด :red_flag:
1การประเมินสภาพผู้ป่วย
4 แบบแผนการรับรู้และการดูแลสุขภาพ
3 แบบแผนการขับถ่าย
2 แบบแผนอาหารและการเผาผลาญ
5 แบบแผนการปรับตัวและการเผชิญกับความเครียด
1 แบบแผนกิจกรรมและการออกกำลังกาย
2 กิจกรรมการพยาบาลหลังผ่าตัด
.1 การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการหายใจให้โล่ง
4)เปลี่ยนท่านอนหรือพลิกตะแคงตัวบ่อยๆ
5)กระตุ้นให้ทำกิจวัตรประจ าวันด้วยตนเอง
3)กระตุ้นให้ผู้ปุวยหายใจเข้าออกลึกๆ
6)ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา เช่น ยาขับปัสสาวะ
2)สังเกตการหายใจของผู้ปุวย
7)สังเกตอาการบ่งชี้ภาวะแทรกซ้อนทางเดินหายใจ
1)การจัดท่านอน ให้นอนราบไม่หนุนหมอน ตะแคงหน้าไปด้านใดด้านหนึ่ง
8)ถ้าผู้ปุวยมีอาการผิดปกติให้รีบรายงานแพทย์
.2 การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการทำงานของระบบหัวใจและไหลเวียน
3)ดูแลให้ได้รับสารน้ำ เลือด หรือพลาสมาทดแทนทางหลอดเลือดดำ
4)ควรให้ผู้ป่วยนอนพักนิ่งๆ ในบริเวณที่มีเลือดออกมากๆ
2)สังเกตลักษณะบาดแผลและปริมาณสิ่งคัดหลั่งต่างๆ
5)เตรียมเครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นให้พร้อมในรายที่มีภาวะช็อก
1)ตรวจวัดสัญญาณชีพทึก 15นาที 4ครั้ง ทุก 30นาที 4 ครั้ง และทุก 1ชั่วโมงจนสัญญาณชีพสม่ำเสมอ
6)สังเกต บันทึก และติดตามผลการตรวจคลื่นหัวใจ
7)ดูแลให้ผู้ปุวยได้รับการพักผ่อนทั้งร่างกาย และจิตใจ จัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบสงบ อยู่เป็นเพื่อน คอยใจก าลังใจ
3 การพยาบาลเพื่อบรรเทา
อาการเจ็บปวดจากแผลผ่าตัด
โดยพยาบาลประเมินความเจ็บปวดของผู้ปุวยโดยใช้ Pain scale
แนะนำให้ทำกิจกรรมที่เบี่ยงเบนความสนใจและกิจกรรมที่เป็น
การกระตุ้นให้มีการหลั่งเอนโดรฟินเพื่อลดความรู้สึกเจ็บปวด
4 การพยาบาลเพื่อส่งเสริม
ภาวะโภชนาการของผู้ป่วย
2)ดูแลให้ได้รับสารอาหารและพลังงานอย่างเพียงพอ
3)สังเกตและบันทึกอาการเปลี่ยนแปลงที่บ่งชี้ถึงการย่อยและดูดซึมอาหารผิดปกติ
1)กระตุ้นให้ผู้ปุวยลุกออกจากเตียง
.5 การพยาบาลเพื่อส่งเสริมความสุขสบายและความปลอดภัยของผู้ป่วย
2)การดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล โดยเฉพาะช่องปาก อวัยวะสืบพันธุ์ และระบบขับถ่าย
3)ดูแลความปลอดภัยในรายที่ยังไม่ฟื้นจากยาสลบ
1)ดูแลความสุขสบายทั่วไป เช่น การนอนหลับ อาการคลื่นไส้
6 การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการหายของแผล
2)สังเกตลักษณะแผลที่ผิดปกติ โดยเฉพาะแผลมีการติดเชื้อ เช่น ปวด บวม แดง
3)ท าความสะอาดแผลด้วยหลักปราศจากเชื้อ เพื่อปูองกันการติดเชื้อ
1)สังเกตและประเมินปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการหายของแผล
4)สอนและให้ค าแนะน าเกี่ยวกับการดูแลแผล และวิธีการส่งเสริมการหายของแผล
7 การให้คำแนะนำก่อนกลับ
บ้านสำหรับผู้ปุวยหลังผ่าตัด
3)การส่งเสริมภาวะโภชนาการของผู้ปุวย อาหารที่ควรรับประทานหรือควรงด
4)การดูแลความสะอาดของร่างกาย
2)การเคลื่อนไหวหรือกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นข้อจำกัดหลังผ่าตัด
5)การมาตรวจตามแพทย์นัด
1)การสังเกตอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อ
.4การออกกำลังกายและการเคลื่อนไหวร่างกาย :muscle:
2 การเคลื่อนไหวร่างกาย
2 ป้องกันไม่ให้เกิดอันตราย หรือมีความพิการของกระดูกและกล้ามเนื้อ
3 ลดการเมื่อยล้าหรือการใช้พลังงานมากเกินไป
1 ส่งเสริมและสนับสนุนการทำงานของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ
3 ผลกระทบจากการไม่เคลื่อนไหวร่างกาย
1 ระบบผิวหนัง
เกิดแรงกดทับ (Pressure),เซลล์ตายและลุกลามกลายเป็นแผล,การเสียดทาน (Friction),แรงดึงรั้ง (Shearing force)
2 ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
กระดูกผุเปราะบาง (Osteoporosis),การประสานงานของกล้ามเนื้อแขนขาลดลงหรือไม่สัมพันธ์กัน,กล้ามเนื้ออ่อนแรง ลีบเล็ก (Muscle atrophy),อาการปวดหลัง (Back pain)
3 ระบบหัวใจและหลอดเลือด
หัวใจทำงานมากขึ้น,มีการคั่งของเลือดในหลอดเลือดดำที่ขา,เกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ (Thrombus) ,ความดันต่ำขณะเปลี่ยนท่า (Orthostatic Hypotension)
4 ระบบทางเดินหายใจ
ปอดขยายตัวลดลง (Decrease lung expansion),มีการคั่งของเสมหะมากขึ้น
5ระบบทางเดินอาหาร
เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย กังวลใจจากการนอนเฉยๆ,ทำให้ท้องผูก (Constipation)
6ระบบทางเดินปัสสาวะ
การถ่ายปัสสาวะมากกว่าปกติในระยะแรกๆ (Diuresis),มีการคั่งของปัสสาวะในไตและกระเพาะปัสสาวะ (Urinary stasis),เกิดนิ่วในไตและกระเพาะปัสสาวะ (Renal Calculi)
7 ระบบเมตาบอลิซึมและการเผาผลาญอาหา
ร การเผาผลาญอาหารลดลง,มีระดับโปรตีนในกระแสเลือดลดต่ าลง (Hypoproteinemia),มีความผิดปกติด้านอัตมโนทัศน์และภาพลักษณ์
1 การออกกำลังกาย
5 การออกกำลังกายให้ผู้ป่วยออกแรงต้านกับแรงอื่น (Resistive exercise)
ช่วยให้กล้ามเนื้อมีขนาดใหญ่ขึ้นมีความแข็งแรง และทำงานได้ดี จึงเป็นการกระตุ้นกล้ามเนื้อให้แข็งแรงเร็วขึ้น
.4 การออกกำลังกายโดยให้กล้ามเนื้อทำงานแต่ข้อไม่เคลื่อน (Isometric or Static exercise)
เพื่อเพิ่มความตึงตัวและแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ป้องกันกล้ามเนื้อลีบ
2 การออกกำลังกายโดยให้ผู้อื่นทำให้ผู้ป่วย (Passive exercise)
ช่วยให้ข้อมีการเคลื่อนไหวและช่วยป้องกันการหดรั้งของกล้ามเนื้อผิดรูป
3 การออกกำลังกายชนิดที่ให้ผู้ปุวยทำร่วมกับความช่วยเหลือของผู้อื่น (Active assistive exercise)
การพยุงหรือช่วยเหลือผู้ป่วยในการลุก –นั่งข้างเตียง เดินข้างเตียง หรือช่วยผู้ป่วยออก กำลังกายขา แขนข้างที่ได้รับการผ่าตัดให้สูงเท่าที่จะทำได้
1 การออกกำลังกายชนิดให้ผู้ปุวยทำเอง (Active or Isotonic Exercise)
การทำกิจวัตรประจำวันด้วยตนเอง การให้ผู้ปุวยยกแขน ขา ขณะนอนอยู่บนเตียง การให้ผู้ป่วยลุกเดินข้างเตียง
3 การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วย :up:
1การช่วยเหลือผู้ป่วยเคลื่อนไหวบนเตียง
1การประเมินผู้ป่วย
2)ท่าที่เหมาะสมและระยะเวลาที่ผู้ปุวยจะคงอยู่ในท่าที่เปลี่ยนให้ใหม่
3)ความยากล าบากและไม่สุขสบายในขณะเปลี่ยนท่า
1)ความสามารถของผู้ปุวยในการช่วยเหลือตนเอง
4)ปัญหาอื่นๆ ที่พบในผู้ปุวย เช่น ความผิดปกติเกี่ยวกับผิวหนัง
2 ปฏิบัติการพยาบาลในการให้ความช่วยเหลือผู้ปุวยบนเตียง
2) การเตรียมตัวพยาบาลพยาบาลควรยืนในท่าที่ถูกต้องพยุงผู้ป่วยด้วยความนุ่มนวลและมั่นคง ขณะยกตัวหรือเลื่อนตัวผู้ปุวยให้ใช้วิธีสอดมือเข้าใต้ตำแหน่งร่างกายส่วนที่จะยก
3) การจัดท่าผู้ป่วย มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ปุวยเกิดความสุขสบายขณะนอนพักบนเตียง และป้องกันภาวะแทรกซ้อน
1)ท่านอนหงาย (Dorsal orSupine position)
2) ท่านอนตะแคง (Lateral or Slide-lying position)
3) ท่านอนคว่ำ (Prone position)
4) ท่านอนตะแคงกึ่งคว่ำ (Semiprone position)
5) ท่านั่งบนเตียง (Fowler’s position)
6) ท่านอนหงายชันเข่า (Dorsal recumbent position)
7) ท่านอนหงายพาดเท้าบนขาหยั่ง (Lithotomy position)
8) ท่านอนคว่ำคุกเข่า (Knee-chest position)
9) ท่านอนศีรษะต่ำปลายเท้าสูง (Trendelenburg position)
1)การเตรียมผู้ป่วยให้เอาหมอนหนุนศีรษะของผู้ปุวยออก วางหมอนไว้ที่พนักหัวเตียงปรับระดับเตียงให้อยู่ในแนวราบพร้อมทั้งดูแลความปลอดภัยของผู้ป่วย
2 การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
2การประเมินผู้ป่วยก่อนการเคลื่อนย้าย
4)ความมั่นคงในการคงท่าของผู้ป่วย
5)ส่วนที่จำเป็นต้องให้อยู่นิ่งๆ
3)ส่วนที่อ่อนแรงหรือพิการ
6)ผู้ป่วยอ่อนเพลียมากน้อยแค่ไหน
2)ท่าที่เป็นข้อห้ามของผู้ป่วย
7)ความต้องการการเคลื่อนย้ายเปลี่ยนท่าและความสุขสบายของผู้ปุวย
1)ความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง
1หลักการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
4)ยืนแยกเท้าทั้งข้างห่างกันพอสมควร
5)หลังตรง ป้องกันการปวดหลัง
3)ควรยืนในท่าที่ถูกต้องและมั่นคง
6)ย่อเข่าและสะโพก
2)หันหน้าเข้าหาผู้ปุวยและไปในทิศทางที่จะเคลื่อนย้าย
7)หาวิธีที่เหมาะสมเพื่อผ่อนแรงในการยกหรือเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
1)ควรจัดท่าผู้ปุวยให้นอนหงายราบอยู่ในท่าที่สบาย
8)ผู้ป่วยควรอยู่ใกล้พยาบาลมากที่สุด
9)ยกตัวผู้ป่วยให้พ้นจากที่นอนเล็กน้อยเพื่อลดแรงเสียดทาน
10)ใช้ผ้าขวางเตียงช่วยในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแทนการเลื่อนผู้ป่วย
12)ผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ควรหาผู้ช่วยเหลือตั้งแต่ 2คน
11)ให้สัญญาณเพื่อความพร้อมเพรียง
3วิธีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
2)น าหมอนหนุนศีรษะของผู้ปุวยออก
3)พยาบาลยืนในท่าที่ถูกต้องมั่นคงและใช้หลักการของกลไกการเคลื่อนไหวร่างกาย
1)แจ้งให้ผู้ปุวยทราบและบอกวิธีการให้ความร่วมมือถ้าทำได้
4)พยุงผู้ปุวยด้วยความนุ่มนวลและมั่นคง
3 การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดิน
1 การออกกำลังกาย
เพื่อเตรียมผู้ป่วยเดิน
การออกกำลังกายให้ผู้ปุวยนั้นเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับผู้ปุวย
เนื่องจากการเดินต้องใช้ตะโพกและขามากที่สุดและข้อที่จะเคลื่อนไหวได้ต้องอาศัยการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อตะโพก ต้นขา และปลายขา
การออกกำลังกายนั้นต้องไม่ทำให้ผู้ปุวยเหนื่อยควรทำแต่ละชนิด 3 ครั้ง และให้ทำวันละ 2–3 ครั้ง
2 การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดิน
2)การช่วยเหลือผู้ปุวยหัดเดินโดยพยาบาล 2
1) การช่วยเหลือผู้ปุวยหัดเดินโดยพยาบาล 1คน
4 การช่วยเหลือผู้ป่วยหัดเดินด้วยอุปกรณ์ช่วยเดิน
1 ชนิดของอุปกรณ์ช่วยเดิน
2)Walker หรือ Pick –up frames มีหลายชนิดเช่นStandard walker , Rolling walker
3)Cane มีหลายชนิด เช่น Walk cane , Tripod cane , Quad cane , Standard cane เป็นการเดินด้วยไม้เท้าอันเดียว
1)Parallel bar = ราวคู่ขนานราวเดิน
4)Crutches ( ไม้ยันรักแร้ , ไม้ค้ ายัน ) มีหลายชนิด เช่น Auxiliary crutches
2 ประโยชน์ของอุปกรณ์ช่วยเดิน
2)ช่วยแบ่งเบาหรือรับน้ าหนักแทนขา 1 หรือ 2ข้าง
3)เพิ่มการพยุงตัว (Support) เพื่อให้สามารถทรงตัวได้ (Balance)
1)ช่วยแบ่งเบาหรือรับน้ าหนักแทนขา 1 หรือ 2ข้าง
3 การเตรียมผู้ปุวยก่อนการฝึกใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน
2)การฝึกในท่าตั้งตรง (Upright) บนเตียงหรือเบาะ
3)การฝึกในราวคู่ขนาน เช่น ฝึกยืน ฝึกทรงตัว
1)การฝึกความแข็งแรง (Strength) ความทนทาน(Endurance) และการประสานสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อ
4 การลงน้ าหนักที่ขาเวลาเดิน
(Weight BearingStatus)
(PWB) เดินโดยลงน้ าหนักข้างที่เจ็บได้บางส่วน20-50%
(FWB) เดินโดยขาข้างที่เจ็บลงน้ าหนักได้เต็มที่100%
(TTWB)เดินโดยเอาปลายเท้าข้างที่เจ็บแตะพื้นUp to 20%
(WB AS Tol.)เดินโดยขาข้างที่เจ็บลงน้ำหนักเท่าที่ทนไหว เท่าที่ทนได้
(NWB) ไม่ลงน้ าหนักของขาข้างที่เจ็บ0%
.5 รูปแบบการเดิน (Gait pattern)
3)Three –point gait
4)Swing –to gait
2)Two –point gait
5)Swing –through gait
1)Four –point gait
6 วิธีการฝึกผู้ป่วยใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน
1)ไม้ค้ำยันรักแร้(Auxiliary crutches)
(1)การวัดขนาด ในท่านอนและท่ายืน
(2)การสอนเดิน การเดินโดยใช้ไม้ค้ ายันรักแร้ มี2 แบบคือPoint gait และ Swing gait
2)Lofstrand crutch
(1)การวัดความยาวให้ผู้ปุวยถือLofstrand crutch โดยให้ปลายไม้ห่างจากนิ้วก้อยไปทางด้านข้าง6 นิ้ว ผู้ปุวยจับแล้วข้อศอกงอ 20 –30 องศา
(2)การสอนเดินเดินPoint gait เช่นเดียวกับAxillary crutches
3)Platform crutch
(1)การวัดความยาวของPlatform crutch ที่เหมาะสมคือให้ปลายไม้ห่างจากนิ้วก้อยไปทางด้านข้าง6 นิ้ว อยู่ในระดับที่ข้อศอกงอ90 องศา
(2)การสอนเดินเช่นเดียวกับ Auxiliary crutches
4)ไม้เท้า(Cane)
(1)การวัดความยาวของไม้เท้าที่เหมาะสมโดยให้ปลายไม้ห่างจากปลายนิ้วก้อยไปทางด้านข้าง6 นิ้ว จับแล้วข้อศอกงอ20 –30 องศา
(2)การสอนเดิน ควรให้ผู้ปุวยถือRegular cane ในมือด้านตรงข้ามกับขาข้างที่มีปัญหา เพื่อให้เหมือนการเดินปกติ
(3)รูปแบบการเดิน
เดินบนพื้นราบ 3-Point gaitหรือ2-Point gait
เดินขึ้น–ลงบันได : ควรมีราวบันไดช่วยเดินขึ้นบันไดเดินขึ้นบันได
5)ไม้เท้า3 ขา(Tripod cane)
(1)การวัดความยาวของไม้เท้า3 ขาให้แกนกลางไม้ห่างจากนิ้วก้อยของเท้าไปทางด้านข้าง6 นิ้ว และขาทั้ง3 อยู่ทางด้านนอก ให้ข้อศอกงอ20-30 องศา
(2)การสอนเดินเดินบนทางราบ: เช่นเดียวกับไม้เท้าขาเดียว
6)Walker
(1)การวัดความสูงของWalker ที่เหมาะสมคือ ระดับมือจับตรงกับGreater trochanter หรือ จัดแล้วข้อศอกงอ20 –30 องศา
(2)การสอนเดิน เวลายกและวางWalker บนพื้น จะต้องให้ทั้ง4 ขา ถึงพื้นพร้อมกัน เพื่อให้มีความมั่นคงแล้วผู้ปุวยจะต้องไม่ก้าวไปยืนใกล้กับขาหน้าของWalker
(3)แบบแผนการเดิน
ยกWalker ไปด้านหน้า ห่างประมาณ1 ช่วงแขน
ยกขาด้านที่มีปัญหาก้าวไปจนถึงระดับขาหลังหรือไม่เกินกึ่งกลางความลึกของWalker
จากนั้นก้าวขาข้างที่ดีตามไปถึงระดับเดียวกัน พร้อมกับยันน้ าหนักตัวลงบนแขน2 ข้าง