ธรรมชาติของภาษา

ประเภทของภาษา

ความหมายของภาษา

คุณสมบัติและหน้าที่ของภาษาในสังคมไทย

ความสัมพันธ์ระหว่างวัจนภาษาและอวัจนภาษา

มโนทัศน์เกี่ยวกับภาษา

คุณสมบัติและหน้าที่ของภาษาในสังคมไทย

เสียงพูดที่มีระเบียบและความหมาย ซึ่งมนุษย์ใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการสื่อสาร ความคิด ความรู้สึกความต้องการ และใช้ในการประกอบกิจกรรมร่วมกัน

  1. วัจนภาษา (verbal language) คือ ภาษาถ้อยคำ ได้แก่ คำพูดหรือตัวอักษรที่กำหนดใช้ร่วมกันในสังคม รวมทั้งเสียงและลายลักษณ์อักษร
  1. อวัจนภาษา (non - verbal language) คือ ภาษาที่ไม่ใช่ถ้อยคำแต่เป็นภาษาซึ่งแฝงอยู่ ได้แก่
    กิริยาท่าทาง ตลอดจนสิ่งอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแปลความหมาย เช่น น้ำเสียง ภาษากาย การยิ้มแย้ม เป็นต้น
  1. ใช้อวัจนภาษาแทนคำพูด หมายถึง การใช้อวัจนภาษาเพียงอย่างเดียวให้ความหมายเหมือนถ้อยคำภาษาได้เช่น กวักมือ สั่นศีรษะ เป็นต้น
  1. ใช้อวัจนภาษาขยายความเพื่อให้รับรู้สารเข้าใจยิ่งขึ้น
  1. ใช้อวัจนภาษาย้ำความให้หนักแน่น หมายถึง การใช้อวัจนภาษาประกอบวัจนภาษาในความหมายเดียวกัน เพื่อย้ำความให้หนักแน่นชัดเจนยิ่งขึ้น
  1. ใช้อวัจนภาษาเน้นความ หมายถึง การใช้อวัจภาษาบางประเด็นของวัจนภาษาทำให้ความหมายเด่นชัดขึ้น
  1. ใช้อวัจนภาษาขัดแย้งกัน หมายถึง การใช้ภาษาที่ให้ความหมายตรงข้ามกับ
    วัจนภาษาผู้รับสารมักจะเชื่อถือสารจากอวัจนภาษาว่าตรงกับความรู้สึกมากกว่า
  1. ใช้อวัจนภาษาควบคุมปฏิสัมพันธ์ระหว่างการสื่อสาร หมายถึง การใช้กิริยาท่าทาง สายตาน้ำเสียงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างการสื่อสาร เช่น การยิ้มแย้มแจ่มใส
  1. ภาษาเป็นสิ่งสมมติ ภาษาเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นแทนความหมายที่ตนต้องการสื่อสาร บางครั้งไม่อาจหาเหตุผลได้ว่าเพราะเหตุใดจึงเรียกสิ่งต่างๆอย่างนั้น
  1. ภาษาพูดเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารทั่วไปมากที่สุด ส่วนภาษาเขียนใช้บันทึกแทนภาษาพูด
  1. ภาษาของมนุษย์ซึ่งเป็นพฤติกรรมการสื่อสารแบบต้องเรียนรู้ ส่วนภาษาของสัตว์ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเรียกว่าภาษาได้ ทั้งนี้เพราะสัตว์ส่งเสียงตามสัญชาตญาณไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้ภาษาเหมือนมนุษย์
  1. ภาษามีโครงสร้างหรือองค์ประกอบ โครงสร้างของภาษาประกอบด้วยเสียงซึ่งมนุษย์เปล่งออกมาโดยใช้อวัยวะต่างๆ และความหมายซึ่งเป็นที่กำหนดตกลงกันทั่วไป
  1. ภาษามีระบบกฎเกณฑ์แน่นอนในตัวเอง ทำให้มนุษย์สามารถเรียนรู้และเข้าใจภาษานั้นๆได้ โดยใช้ระบบสื่อสารของตนเพื่อเข้าใจตรงกัน
  1. ภาษามีจำนวนประโยคไม่รู้จบ ภาษามีเสียงจำกัด แต่เมื่อนำเสียงมาเรียงต่อกันเป็นคำและนำคำเหล่านั้นมาผลิตเป็นคำพูดเราจะได้จำนวนประโยคไม่รู้จบ สร้างประโยคใหม่ๆในภาษานั้นขึ้นได้เองและผู้ฟังเข้าใจ
  1. ภาษาเป็นพฤติกรรมของสังคม

7.1 ภาษาเกิดจากการเรียนรู้ เลียนแบบ และถ่ายทอดจากสังคมเดียวกัน ไม่ใช่เกิดในสังคมธรรมชาติ

7.2 ภาษาแต่ละภาษามีหลายประเภทตามสังคมนั้นๆ ในสังคมที่มีวัฒนธรรมต่างกันภาษาย่อมต่างกันด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะทางภูมิศาสตร์ ฐานะทางครอบครัวและสังคมหรือวัตถุประสงค์ทีใช้

7.3 ภาษามีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

  1. ภาษาเป็นเครื่องแสดงความเจริญของสังคม
  1. ภาษาเป็นสิ่งที่ได้ทางวิทยาศาสตร์ วิธีการทางวิทยาศาสตร์นั้นคือ การสังเกตและรวบรวมข้อมูลโดยบันทึกเป็นสัทอักษร และวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาเพื่อหาหน่วยเสียง หน่วยคำและลักษณะประโยค อาจใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์

ภาษาถิ่น

ภาษาไทยที่พูดในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ของประเทศไทย เป็นภาษาเดียวกัน แต่มีความแตกต่างกัน ความแตกต่างนี้เป็นไปตามถิ่น เราจึงสามารถจัดภาษาแต่ละภาษาประจำภาคต่างๆ ให้เป็นภาษาถิ่นเอกลักษณ์ประจำตัว

ภาษาย่อย

  1. ภาษาใดก็ตามที่ต่างจากอีกภาษาด้วยปัจจัยทางสังคมของผู้พูด
  1. dialect คือหมายถึงภาษาถิ่นซึ่งก็คือภาษาใดก็ตามที่ต่างจากอีกภาษา

วิธภาษา

ชนิดต่างๆของภาษาใดภาษาหนึ่ง

ภาษามาตรฐาน

วิธภาษาที่ได้รับการยอมรับในสังคมว่า ถูกต้อง และเป็นตัวแทนของภาษา ใช้สื่อสารกันระหว่างเขตต่างๆในสังคม และใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารในวงราชการ สถาบัน

  1. ความเป็นมาตรฐาน หมายถึง การที่ภาษาใดภาษาหนึ่งได้รับการจัดระเบียบโดยการจัดทำพจนานุกรม และตำราไวยากรณ์ ซึ่งกำหนดระเบียบของการใช้ภาษานั้นๆ และมีการเรียนการสอนอย่างเป็นทางการ มีการสร้างตัวอักษร และกำหนดกฎเกณฑ์ของการสะกดคำและการอ่านภาษาใด
  1. ความเป็นเอกเทศ หมายถึง การที่ภาษาใดภาษาหนึ่งมีความเป็นตัวของตัวเอง
  1. ความมีประวัติอันยาวนาน หมายถึง การที่ภาษาหนึ่งถูกใช้ในสังคมมาเป็นเวลานาน
  1. ความมีชีวิต คุณสมบัติข้อสุดท้ายนี้ หมายถึงการที่ภาษาใดภาษาหนึ่งมีผู้รู้พูดภาษายังมีชีวิตอยู่ผู้พูด

ภาษาในสังคมไทยจำแนกตามเกณฑ์หน้าที่

ภาษาราชการ (official language)

ภาษาเมืองหลวง (capital language)

ภาษาภูมิภาค (provincial language)

ภาษานานาชาติ (international language)

ภาษากลางในประเทศไทย (local lingua franca)

ภาษาเฉพาะกลุ่ม (group language)

ภาษาการศึกษา (educational language)

ภาษาสอนเป็นวิชา (school-subject language)

ภาษาศาสนา (religions language)

ภาษาวรรณกรรม (Literary language)

  1. พลวัตรของภาษาในกระแสปัจจุบันบนพื้นที่ปฏิบัติการโรงเรียน

ลักษณะการเปลี่ยนแปลงของภาษ

ลำดับที่หนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น ความแตกต่างของภาษาที่มีอยู่ในสังคมความ

ลำดับที่สอง คือ กลไกที่ทำให้ภาษาเปลี่ยนแปลง เช่น การกลายเสียง เป็นต้น

ลำดับที่สาม คือ ภาษามีการเปลี่ยนแปลงลักษณะการเปลี่ยนแปลงภาษาดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ภาษาไม่อาจเปลี่ยนแปลงในตัวเองได้ทันที แต่การเปลี่ยนแปลงของภาษาจะต้องได้รับอิทธิพล ผลกระทบหรือปัจจัยที่เปลี่ยนไป

ภาษาไทยยุคใหม่กับโลกสมัยที่เปลี่ยนแปลง

  1. การเปลี่ยนแปลงในภาษาไทยสมัยใหม่
  1. สาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในภาษาไทยสมัยใหม่ การเปลี่ยนแปลงภาษามีสาเหตุมาจากการตอบสนองความต้องการของมนุษย์ เพื่อให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
  1. ตัวอย่างภาษาที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมภาษาวิบัติ หรือ ภาษาอุบัติ เป็นคำเรียกของการใช้ภาษาไทยที่มีการเปลี่ยนแปลง และไม่ตรงกับกับภาษามาตรฐานตามหลักภาษาไทยในด้านการสะกดคำ

2.นิสิตคิดว่าภาษากับความเป็นครูมีความสำคัญต่อกันอย่างไร อธิบาย และในปัจจุบันภาษามีการเปลี่ยนแปลงจงบอกข้อดีและข้อเสียเป็นตัวอย่าง

ตอบ เพราะครูต้องใช้ภาษาในการสื่อสารในการพูดสอนเนื้อวิชาให้นักเรียนได้เข้าใจถ้าใช้ภาษาผิดความหมายก็จะผิดทำให้นักเรียนได้รับความรู้ที่ผิดไปจึงทำให้ภาษามีความสำคัญสำหรับครูไม่ว่าจะภาษาพูดหรือภาษาเขียนก็ตาม

ข้อดีของภาษา

ข้อเสียของภาษา

ภาษาใหม่ๆเกิดทำให้เกิดการเรียนรู้เพื่อปรับตัวให้ทันสมัย

ทำให้ภาษาอาจเกิดการผิดเพี้ยน

นส.พัชราภรณ์ พลตาล 60206688 วศ.ฟิสิกส์