Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การการพยาบาล ข้ามวัฒนธรรมของบุคคลแต่ละวัย - Coggle Diagram
การการพยาบาล
ข้ามวัฒนธรรมของบุคคลแต่ละวัย
5.1 การพยาบาลข้ามวัฒนธรรมของบุคคลวัยเด็กและวัยรุ่น
5.1.2 ประเทศกัมพูชา
ดังนั้นหญิงที่ตั้งครรภ์จึงมีข้อห้ามต่างๆมากมาย ซึ่งข้อห้ามเหล่านี้ยังนิยมอยู่ในชนบท แต่น้อยลงแล้วในเขตเมือง
เด็กในแต่ล้ะช่วงวัย
เด็กอายุ 5 ขวบจะสามารถช่วยดูแลน้องๆได้
เด็กส่วนใหญ่จะเริ่มไปโรงเรียนเมื่ออายุ 7-8 ปี
เด็กในกัมพูชาจะได้รับการเลี้ยงดูจนกว่าจะอายุประมาณ 2-4 ปี หลังจากนั้นเด็กจะมีอิสระมากขึ้น
เมื่ออายุ 10 ขวบ เด็กหญิงจะเริ่มช่วยงานบ้านได้ ส่วนเด็กผู้ชายต้องช่วยงานในไร่นาภายใต้การควบคุมของผู้ใหญ่
การเกิดของเด็กเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจในครอบครัว การเกิดถือว่าเป็นอันตรายทั้งต่อแม่และเด็ก สตรีที่ตายเพราะการคลอดบุตรจะเชื่อว่าเกิดจากการกระทำของปีศาจ
วัยรุ่นมักจะจับกลุ่มในเพศเดียวกัน
เด็กผู้ชายบางคนบวชเป็นสามเณร ในยุคก่อนคอมมิวนิสต์
พ่อแม่มีอำนาจปกครองจนกว่าบุตรจะแต่งงาน
ชาวกัมพูชาจะให้การเคารพแพทย์เพราะถือว่าเป็นบุคคลที่อยู่ในชั้นที่สูงกว่าในสังคม เวลาผู้ป่วยคุยกับแพทย์จึงก้มหน้าไม่สบตา
นอกจากนี้ชาวกัมพูชาถือว่าศีรษะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ผู้ให้บริการด้านสุขภาพไม่ควรแตะศีรษะผู้ป่วยก่อนได้รับอนุญาตจากผู้ป่วยเองหรือจากบิดามารดาของผู้ป่วยเด็ก
ถ้าบุคลากรทางการสุขภาพไปแตะศีรษะหรือผมเด็ก และถ้าเด็กป่วย จะโดนโทษว่าเป็นคนที่ทำให้เด็กป่วย
5.1.3 ประเทศจีน
รายละเอียดต่างๆ
ในอดีตประเทศจีนจะมีนโยบาย “ลูกคนเดียว (One child policy)” แต่ในปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนนโยบายให้สามารถมีลูกคนที่สองได้ เพื่อมุ่งหวังแก้ไขปัญหาในเชิงโครงสร้างประชากรจีนในระยะยาว
ความเชื่อต่างๆ
เมื่อครบสามวันจะมีพิธีล้างวันที่สาม ในวันนี้จะเป็นการอาบน้ำให้เด็กเป็นครั้งแรกนับแต่คลอด จึงต้องพิถีพิถันตั้งแต่การเลือกภาชนะ น้ำ รวมถึงผู้ประกอบพิธี น้ำที่ใช้อาบมีชื่อเรียกว่า
“ฉางโซ่วทัง”
มีความหมายว่า น้ำอายุมั่นขวัญยืน
ชาวจีนบางกลุ่มที่นิยมใส่ต้นหอมหรือนำเศษเหรียญใส่ลงในน้ำ เพราะต้นหอมหรือชงในภาษาจีนพ้องเสียงกับคำว่า
“ชงหมิง”
ที่แปลว่า ฉลาดหลักแหลม ส่วนเงินหมายความว่าพรั่งพร้อมไปด้วยทรัพย์สินเงินทอง
พิธีครบเดือนหรือที่ชาวจีนโบราณเรียกว่า
“หมีเย่ว์”
ถือเป็นพิธีกรรมที่สำคัญที่สุดในบรรดาพิธีกรรมเกี่ยวกับการเกิด
การจัดเลี้ยงในหมู่ญาติสนิทมิตรสหาย
การตั้งชื่อให้เด็กในงานเลี้ยงจะมีการจุดประทัดรื่นเริง
ประกอบไปด้วยการโกนผมไฟ
ส่วนจะจัดใหญ่โตแค่ไหนขึ้นอยู่กับฐานะของแต่ละครอบครัว
การประยุกต์ใช้การพยาบาลข้ามวัฒนธรรมในการดูแลเด็ก
3.หากสื่อสารไม่ได้หรือไม่มีประสิทธิภาพ อาจสื่อสารผ่านญาติที่เป็นคนไทย หรือการใช้ล่าม
4.อาจทำรูปภาพสื่อสารแทนภาษาพูด คู่มือหรือแนวทางการดูแลเด็กป่วยของครอบครัวที่เป็นภาษาต่างประเทศ
2.พัฒนาทักษะการสื่อสารกับเด็กตามพัฒนาการของเด็กรวมทั้งผู้ดูแลเด็กด้วยภาษาง่ายๆ เพื่อให้สามารถสื่อสารได้อย่างราบรื่น รวดเร็ว
5.การปฏิบัติพยาบาลควรใช้กระบวนการพยาบาลควบคู่กับการพยาบาลข้ามวัฒนธรรมตามแนวคิดไลนิงเจอร์ ตั้งแต่การประเมินปัญหาของผู้ป่วย วินิจฉัย วางแผนการพยาบาล ปฏิบัติการพยาบาลและประเมินผลการพยาบาล
1.ศึกษาวัฒนธรรมของผู้ป่วยและครอบครัวในด้านต่างๆเพื่อให้เกิดความเข้าใจและสามารถให้การพยาบาลที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมของผู้รับบริการได้
สรุป
วัฒนธรรมเป็นวิถีชีวิตของบุคคลที่ถูกหล่อหลอมมาจากการเลี้ยงดูที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความเชื่อ ค่านิยม ขนบธรรมเนียมหรือศาสนา ของครอบครัวซึ่งมีผลต่อสุขภาพเด็ก มาแต่แรกเกิด ดังนั้นบุคคลากรทางด้านสุขภาพจึงต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวเพื่อให้สามารถเข้าใจและเรียนรู้ที่จะให้การดูแลให้ถูกต้องเหมาะสมกับผู้รับบริการที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรมได้
5.1.1 ประเทศไทย
ศาสนาคริสต์เชื่อว่าเด็กเป็นของขวัญจากพระเจ้า ต้องดูแลให้เติบโตในทางที่ดี เมื่อเด็กเกิดมาต้องเข้าพิธีบัติศมาเพื่อแสดงถึงการชำระเพื่อให้พ้นจากความบาป และประกาศตัวเป็นศาสนิกชน
ส่วนความเชื่อในการดูแลเด็กของคนไทยในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะคล้ายคลึงกับประชากรในประเทศลาว กล่าวคือ จะมีการรักษาความเจ็บป่วยจากอำนาจเหนือธรรมชาติ
ความเชื่อเกี่ยวกับเด็กหรือลูกของแต่ละศาสนาจะแตกต่างกันไป
เนื่องจากประชากรในประเทศไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ความเชื่อเกี่ยวกับการดูแลเด็กก็จะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละสังคม แต่ละภูมิภาค
ความเชื่อเกี่ยวกับความเจ็บป่วยของเด็กจะได้รับอิทธิพลจากสังคมรอบข้าง โดยเฉพาะผู้ปกครอง
ตัวอย่าง ความเชื่อในการดูแลเด็ก
2.น้ำนม
เชื่อว่าถ้าเอาน้ำนมของคนทาที่ศีรษะของเด็กทารกที่มีผมบาง จะทำให้ผมขึ้นดกหนา ถ้าเอาน้ำนมหยอดตาคนที่เป็นโรคตาแดง ก็จะหาย
และถ้าเอาน้ำนมมนุษย์ผสมกับดินปืนที่ใช้ทำบอกไฟดอก เชื่อว่าเมื่อจุดบอกไฟจะไม่ค่อยมีควันและมีดอกสวยงามสว่างไสว
3.เม่า
อาการคือบริเวณรอบริมฝีปากและลิ้นของเด็กจะมีลักษณะคล้ายกับถูกน้ำร้อนลวกจนสุก ทำให้เด็กรู้สึกแสบแล้วร้องไห้
การรักษาโรคเม่าของคนสมัยก่อนนั้น พ่อแม่เด็กจะทำกรวยดอกไม้ จากนั้นจะนำกรวยไปเสียบไว้ข้างฝาหรือหลังคาเรือน ทิ้งไว้ประมาณครึ่งวันจึงนำกรวยดอกไม้นั้นมาทำพิธีเสกเป่าอีกครั้งหนึ่ง
เป็นโรคที่เกิดขึ้นกับเด็กทารกในช่วงที่ยังกินนม
และทำอย่างนี้ทุกๆวัน จนกว่าเด็กจะหาย
1.จกคอละอ่อน
คือการที่แม่ช่าง (หมอตำแย) หรือหมอทำคลอดใช้นิ้วมือล้วงเข้าไปในลำคอของทารกแรกคลอด เพื่อล้วงเอาเสลดหรือเลือดที่ติดค้างในลำคอออกมา
เชื่อว่าถ้าไม่ทำเช่นนี้เมื่อโตขึ้นเด็กคนนั้นจะป่วยเป็นโรคหืดหอบได้
4.รก
ชาวล้านนาเชื่อว่าหลังจากคลอดแล้วแต่รกไม่ออกตามมา ให้ระวังว่ารกจะขึ้นปิดลิ้นปี่จนทำให้เด็กหายใจไม่ออก และอาจถึงตายได้
ในสมัยก่อนต้องให้หมอเวทมนตร์มาเสกคาถาสะเดาะเคราะห์ใส่น้ำให้แม่เด็กดื่มเพื่อบังคับรกให้ออก
5.3 การพยาบาลข้ามวัฒนธรรมของบุคคลวัยผู้สูงอายุ
Mirabelle (2013) กล่าวถึงปัจจัยที่มีผลต่อการดูแลข้ามวัฒนธรรมของบุคคลวัยผู้สูงอายุว่า การเคลื่อนย้ายถิ่นฐานของผู้สูงอายุ และการคัดเลือกบุคลากรที่จะมาดูแลผู้สูงอายุที่มีภูมิหลังหรือวัฒนธรรมแตกต่างกันเป็นปัจจัยที่สำคัญ
เนื่องจากปัจจุบันผู้สูงอายุมีการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานมากขึ้น เช่น มีผู้สูงอายุจากประเทศต่างๆที่เข้ามาพักอาศัยในประเทศไทย
ส่วนผู้สูงอายุในแถบตะวันออกมักจะมีความต้องการพึ่งพาลูกหลานและครอบครัวมากกว่า
คุณสมบัตินี้มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าความรู้ ความสามารถในการดูแลผู้สูงอายุที่มีปัญหาในด้านกายภาพทั่วๆไป
ผู้สูงอายุในแถบประเทศตะวันตกค่อนข้างจะให้ความสำคัญของการคำนึงถึงความเป็นบุคคลและการมีอิสระในการดำเนินชีวิตด้วยตนเองให้มากที่สุด
ประเด็นที่ควรพิจารณาในการพยาบาลข้ามวัฒนธรรมในผู้สูงอายุ
4.การจัดสิ่งแวดล้อมและป้องกันอุบัติเหตุ
ความปลอดภัยของผู้สูงอายุเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีภาวะแขนขาอ่อนแรง ควรจัดสถานที่ให้ปลอดภัยจากการพลัดตกหกล้ม มีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่นติดราวที่ฝาผนัง ในห้องน้ำ
7.การดูแลด้านจิตวิญญาณตามความเชื่อของผู้สูงอายุ
เช่น ฟังเพลงนมัสการ ฟังคำเทศนา ฟังพระคัมภีร์ การละหมาด การไปวัดหรือร่วมนมัสการในบ้านหรือไปโบสถ์
3.สุขภาพและยาที่ใช้ ควรคำนึงถึงภาวะสุขภาพและโรคที่ผู้สูงอายุเป็นอยู่
ความดันโลหิตสูง
โรคหลอดเลือดสมอง
หัวใจ
ผู้สูงอายุอาจเป็นลมจากน้ำตาลต่ำหรือสูงเกินจึงควรรู้จักยาที่ผู้สูงอายุใช้อยู่
เบาหวาน
6.การดูแลด้านจิตสังคม
ควรจัดกิจกรรมให้ผู้สูงอายุที่ยังมีสุขภาพดี ให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมสังคมต่างๆ เช่น การเป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อที่ผู้สูงอายุมีความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์สูง
2.การสื่อสาร
ควรใช้ภาษาที่ตรงกับภาษาที่ผู้สูงอายุสามารถสื่อสารได้ และใช้ภาษากายในการสื่อสารกับผู้สูงอายุที่มีปัญหาด้านความจำเสื่อม อัลไซม์เมอร์ ผู้สูงอายุมักมีปัญหาด้านสายตาและการมองเห็นที่ลดน้อยลง จึงควรมองตรงๆ ที่ใบหน้าและการใช้สายตาเพื่อให้การสื่อการง่ายขึ้น
5.ความสามารถในการเคี้ยวและกลืน
ไม่ควรจัดอาหารที่เหนียวเกินไป แข็งเกินไป จัดอาหารรสชาติที่ผู้สูงอายุชอบเช่น รสจืด ไม่เผ็ด รสหวาน ให้รับประทานผลไม้ ไอศกรีม ขนม และ อาหารเสริม ควรระวังเรื่องการสำลัก เนื่องจากผู้สูงอายุมักสำลักง่าย และอาจเกิดภาวะปอดบวมจากากรสำลักได้
1.การเคารพนับถือความเป็นบุคคลของผู้สูงอายุ
ภูมิหลัง
ประวัติศาสตร์
การเคารพในสัญชาติ
วัฒนธรรม
การใช้สรรพนาม
การเข้าใจถึงบุคลิกภาพหรือสิ่งที่ผู้สูงอายุชอบ
การเรียกชื่อ
เช่นเดียวกับการพยาบาลข้ามวัฒนธรรมในบุคคลวัยอื่นๆ ประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาในการพยาบาลข้ามวัฒนธรรมของบุคคลวัยผู้สูงอายุขึ้นกับ คุณค่า ความเชื่อ ของผู้สูงอายุ ซึ่งมีความแตกต่างกัน
5.2 การพยาบาลข้ามวัฒนธรรมของบุคคลวัยผู้ใหญ่
วัยผู้ใหญ่แบ่งออกเป็น 3 ระยะ
2.วัยผู้ใหญ่ตอนกลางหรือวัยกลางคน
อายุ 40 ปีถึง 60-65 ปี เป็นวัยที่ได้ผ่านชีวิตครอบครัวและชีวิตการงานมาระยะหนึ่ง มีความมั่นคงและความสำเร็จในชีวิต
3.วัยผู้ใหญ่ตอนปลายหรือวัยสูงอายุ
อายุ 60-65 ปีขึ้นไป เป็นวัยของความเสื่อมถอยของร่างกาย สภาพจิตใจ และบทบาททางสังคม
การปรับตัวต่อความเสื่อมถอยและการเผชิญชีวิตในบั้นปลายเป็นสิ่งสำคัญในการดำรงชีวิตของวัยนี้
1.วัยผู้ใหญ่ตอนต้นหรือวัยหนุ่มสาว
อายุ 20-25 ปีถึง 40 ปี วัยนี้มีพัฒนาการเต็มที่ของร่างกาย วุฒิภาวะทางจิตใจอารมณ์
พร้อมที่จะมีบทบาทที่จะเลือกแนวทางในการดำเนินชีวิตของตนในเรื่องอาชีพ คู่ครอง และความสัมพันธ์กับบุคคลต่าง ๆ อย่างมีความหมาย
วัยผู้ใหญ่เริ่มตั้งแต่สิ้นสุดวัยรุ่นเมื่ออายุประมาณ 20-25 ปี หรืออาจเร็วกว่านั้น หากวัยรุ่นแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อยก็ก้าวเข้าสู้ความเป็นผู้ใหญ่เลย วัยผู้ใหญ่คือวัยที่รับผิดชอบการดำเนินชีวิตของตน
5.2.1 การพยาบาลข้ามวัฒนธรรมในวัยผู้ใหญ่ที่นับถือศาสนาอิสลาม
การมีสุขภาพดีที่เอื้อต่อการประกอบศาสนกิจในโอกาสต่างๆ ทั้งที่เป็นศาสนกิจภาคบังคับ และเพิ่มเติมอื่นๆ
การดูแลทำความสะอาดผู้ป่วยสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
2.ผู้ป่วยที่ไม่สามารถทำความสะอาดได้ อาจเป็นเพราะผู้ป่วยเองไม่สามารถจะทำได้ หรือไม่มีผู้ที่จะช่วยทความสะอาด ก็ให้ทำความสะอาดเท่าที่สามารถจะกระทำได้ การละหมาดของเขาก็ใช้ได้ โดยไม่ต้องละหมาดชดใช้อีก
3.ผู้ป่วยที่มีนะญิส (สิ่งสกปรกที่ต้องชำระให้สะอาดตามหลักนิติบัญญัติอิสลาม) เราต้องแนะนำให้ผู้ป่วยทำความสะอาดบริเวณดังกล่าวตามปกติหรือตามคำแนะนำของแพทย์ และการอาบน้ำละหมาดของเขานั้นไม่เสีย
1.ผู้ป่วยที่สามารถทำความสะอาดได้ อาจจะทำด้วยตนเอง หรือให้คนอื่นช่วย ก็ให้ทำความสะอาดตามปกติ ก่อนที่จะอาบน้ำละหมาดในแต่ละเวลา
5.2.3 การพยาบาลข้ามวัฒนธรรมในวัยผู้ใหญ่ชาวจีน
ความเชื่อด้านสุขภาพของชาวจีนมีหลายประการ พอสรุปสาระสาคัญได้ดังนี้
2. การใช้การรักษาดั้งเดิม (Traditional treatments)
ชาวจีนนิยมการรักษาด้วยการแพทย์แผนจีน เช่น การฝังเข็ม (Acupuncture)
3.การใช้สมุนไพรเพื่อการบำบัดโรค
สมุนไพรบำบัดโรคมีทั้งผลดีและผลไม่พึงประสงค์คล้ายกับการแพทย์แผนปัจจุบัน สมุนไพรบางชนิดอาจมีปฏิกิริยาต่อยารักษาของแพทย์แผนปัจจุบัน และสมุนไพรบางชนิดก็อาจถูกอาหารบางชนิดรบกวนการออกฤทธิ์
1.ถ้าร่างกายแข็งแรงไม่จำเป็นต้องพบแพทย์
ไม่ค่อยสนใจการตรวจคัดกรองเพื่อการป้องกันโรค (Preventive screening)
แนวทางการดูแลผู้ใช้บริการกลุ่มนี้มีวิธีการปฏิบัติ
2.พัฒนาทักษะการสื่อสารกับผู้ใช้บริการชาวจีนด้วยภาษาจีนง่ายๆ หรือตามความสนใจ เพื่อให้สามารถสื่อสารกับผู้ใช้บริการได้อย่างราบรื่นและรวดเร็ว
3.เลือกใช้วิธีการพยาบาลบนพื้นฐานของการบูรณาการศาสตร์ทางการพยาบาลไปกับวัฒนธรรมของผู้ใช้บริการให้เหมาะสมกับบริบทต่างๆเพื่อให้การดูแลที่มีความสอดคล้องกับวัฒนธรรมดังนี้
3.2.2 การปรับเข้าหากันระหว่างแบบแผนของการดูแลเชิงวัฒนธรรมของพื้นบ้านและของวิชาชีพ (Culture care accommodation or negotiation)
3.2.3 การปรับเปลี่ยนแบบแผนของวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาแบบแผนของการดูแลเชิงวัฒนธรรมขึ้นใหม่ (Culture care repatterning or restructuring)
3.2.1การคงไว้ซึ่งแบบแผนของการดูแลเชิงวัฒนธรรมระบบพื้นบ้านและของวิชาชีพ (Culture care preservation or maintenance)
1.ศึกษาวัฒนธรรมของชาวจีนในด้านต่างๆเพื่อให้เกิดความเข้าใจและสามารถให้การพยาบาลสอดคล้องกับวัฒนธรรมของผู้ใช้บริการกลุ่มนี้
5.2.2 สตรีตั้งครรภ์และหลังคลอดชนเผ่าม้ง ภาคเหนือ ประเทศไทย
นอกจากนี้หญิงตั้งครรภ์ยังมีข้อพึงปฏิบัติตามความเชื่อคือ ให้นำ หัวปลาไหลแห้ง ผักปลังดิน ใบหนาด มามัดรวมกันแล้วแช่อาบนํ้าทุกวันในระยะท้องแก่ใกล้คลอด โดยมีความเชื่อว่าจะทำ ให้คลอดง่าย
หญิงตั้งครรภ์ในกลุ่มชาวเขาเผ่าม้งยังมีการคลอดที่บ้านเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้เป็นเพราะความเชื่อ และการปฏิบัติที่สืบต่อกันมานาน
หญิงตั้งครรภ์จะถูกแนะนำ ให้ดื่มนํ้ามะพร้าวเมื่ออายุครรภ์ได้ประมาณ 7-8 เดือนเพราะจะทำ ให้ ลูกไม่มีไขคลอดง่ายและมีผิวสวย นอกจากนั้นหญิงตั้งครรภ์ก็จะถูกแนะนำ ให้กินแกงผักพื้นบ้าน ชื่อผักปรัง ซึ่งมีลักษณะลื่นๆ เพื่อจะทำ ให้ลูกคลอดไม่ลำบาก
ความเชื่อและการปฏิบัติในเรื่องเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ การคลอด และหลังคลอดของชาวเขาเผ่าม้งนี้ยังมีการปฏิบัติกันมาจนถึงปัจจุบันถึงแม้แม่บางส่วนจะคลอดลูกที่โรงพยาบาลแต่เมื่อกลับมาอยู่บ้านทุกคนจะปฏิบัติตามความเชื่อและประเพณีดังกล่าว
การปฏิบัติตัวหลังคลอดหลังจากคลอดบุตรแล้วแม่เด็กจะใช้ผ้ารัดหน้าท้องให้แน่นเพื่อไม่ให้ท้องโต อาหารที่รับประทานก็จะเป็นพวกไก่ ไข่ ซึ่งจะรับประทานประมาณ 30 วัน
หญิงหลังคลอดเผ่าม้งจะมีความเชื่อในการปฏิบัติที่ทำให้มีนํ้านมมาก โดยการเชิญหมอผีทำ พิธีเรียกนํ้านม ซึ่งจะทำคล้ายๆ การบนผี รวมทั้งมีการกินยาสมุนไพรที่มียางสีขาว กินมะละกอต้มใส่ไก่ ส่วนอาหารอื่นๆ จะกินน้อยมาก แต่ก็มีแม่หลายคนที่กินแป้งข้าวหมัก ซึ่งมีแอลกอฮอล์และอาจมีผลเสียต่อลูกได้