Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
หน่วยที่ 2 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเสริมสุขภาพและการป้องกันการเจ็บป่ว…
หน่วยที่ 2 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเสริมสุขภาพและการป้องกันการเจ็บป่วย
แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องในการสร้างเสริมสุขภาพและการป้องกันการเจ็บป่วย
1.1 ทฤษฎีการสร้างเสริมสุขภาพของเพนเดอร์
ในปี ค.ศ. 1975 เพนเดอร์ (Pender) ได้พัฒนาแบบจําลองการป้องกันสุขภาพที่กล่าวถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อกระบวนการ ตัดสินใจและการปฏิบัติของปัจเจกบุคคลในการป้องกันโรค
องค์ประกอบของโมเดล
ประกอบด้วย 3 มโนทัศน์หลัก ได้แก่
ลักษณะและประสบการณ์ของบุคคล
1.1 พฤติกรรมที่เกี่ยวข้องในอดีต (Prior related behavior)
1.2 ปัจจัยส่วนบุคคล (Personal Factors)
ปัจจัยด้านร่างกาย เช่น อายุ เพศ ดัชนีมวลกาย น้ําหนัก สมรรถภาพทางกาย
ปัจจัยด้านจิตใจ ได้แก่ ความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง แรงจูงใจในการปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพ การรับรู้ภาวะสุขภาพของตนเอง
ปัจจัยด้านสังคมวัฒนธรรมได้แก่ สีผิว เชื้อชาติ การศึกษาและเศรษฐานะ
ความคิดและอารมณ์ต่อพฤติกรรม
2.1 การรับรู้ประโยชน์ของการปฏิบัติพฤติกรรมหมายถึง ความเชื่อของบุคคลโดยคาดหวังประโยชน์ที่ได้รับภายหลังปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพ
2.2 การรับรู้อุปสรรคในการปฏิบัติพฤติกรรมหมายถึง ความเชื่อหรือการรับรู้ถึงสิ่งขัดขวางที่ทําให้บุคคลไม่สามารถปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ
2.3 การรับรู้ความสามารถของตนเอง หมายถึง ความเชื่อหรือความมั่นใจในความสามารถของตนเองในการบริหารจัดการและกระทําพฤติกรรมใดๆ
2.4 ความรู้สึกที่มีต่อพฤติกรรมหมายถึง ความรู้สึกในทางบวกหรือลบที่ที่มีต่อลักษณะกิจกรรมต่อตนเองขณะปฏิบัติกิจกรรมความรู้สึกนี้อาจเกิดก่อน ขณะ และหลังการปฏิบัติกิจ
2.5 อิทธิพลระหว่างบุคคลหมายถึง พฤติกรรม ความเชื่อ หรือทัศนคติของคนอื่นที่มีอิทธิพลต่อความคิดของบุคคล แหล่งของอิทธิพลระหว่างบุคคลที่มีผลต่อพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ ได้แก่ ครอบครัว (พ่อ แม่ พี่ น้อง) เพื่อน
2.6 อิทธิพลจากสถานการณ์หมายถึง การรับรู้และความคิดของบุคคลเกี่ยวกับสถานการณ์หรือบริบทที่สามารถเอื้อหรือขัดขวางการปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ
พฤติกรรมผลลัพธ์
3.1 ความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติพฤติกรรม
3.2 ความจําเป็นอื่นและทางเลือกอื่นที่เกิดขึ้น
3.3 พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ
ทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรค
ทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรค มีขึ้นครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2518 โดยโรเจอร์โดยทฤษฎีนี้เกิดขึ้นจากความพยายามที่จะทําความเข้าใจในกฎเกณฑ์ของการกระตุ้นใหเกิดความกลัว โดยเน้นเกี่ยวกับการประเมินการรับรู้ด้านข้อมูลข่าวสารที่เป็นความรู้
ปัจจัยที่อาจส่งผลเพิ่มหรือลดของการตอบสนองอาจเป็นได้ทั้งปัจจัยภายในหรือภายนอกร่างกายบุคคล
ความรุนแรงของโรค หรือสิ่งที่กําลังคุกคาม (noxiousness)
การรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรค หรือสิ่งที่กําลังคุกคาม (perceived probability)
ความคาดหวังในประสิทธิผลของการตอบสนอง (response efficacy)
องค์ประกอบหรือตัวแปรทีทําให้เกิดความกลัว จะทําให้เกิดสื่อกลางของกระบวนการรับรู้ในด้าน
ทําให้เกิดการรับรู้ในความรุนแรง จนสามารถประเมินความรุนแรงได้
ทําให้เกิดการรับรู้ในการทนสถานการณ์ และเกิดความคาดหวังในการทนรับสถานการณ์
ทําให้เกิดการรับรู้ในความสามารถในการตอบสนองการทนรับสถานการณ์
ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบในทฤษฎี
โรเจอร์ นํา 4 องค์ประกอบข้างต้นมาสรุปรวมเป็นกระบวนการรับรูป 2 แบบ คือ
1) การประเมินความน่ากลัวต่อสุขภาพ (threat appraisal) ประกอบด้วยตัวองค์ประกอบการรับรู้ความรุนแรงและการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรค
2) การประเมินการทนรับสถานการณ์ (coping appraisal) ประกอบด้วยองค์ประกอบความคาดหวังในประสิทธิผลของการตอบสนอง และความคาดหวังในประสิทธิผลตนเอง
แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ
-บุคคลจะแสวงหาแนวทางเพื่อจะปฏิบัติตามคําแนะนําเพื่อการ
ป้องกันและฟื้นฟูสภาพตราบเท่าที่การปฏิบัติเพื่อป้องกันโรคนั้นเป็นสิ่งที่มีค่าเชิงบวกมากกว่าความยากลําบากที่จะเกิดขึ้น
องค์ประกอบของแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ
1.การรับรู้ของบุคคล
1.1 การรับรู้ต่อโอกาสเสี่ยงของการเป็นโรค หมายถึง ความเชื่อหรือการคาดคะเนว่าตนมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคหรือปัญหาสุขภาพนั้นมากน้อยเพียงใด
1.2. การรับรู้ความรุนแรงของโรคหมายถึงความเชื่อที่บุคคลเป็นผู้ประเมินเองในด้านความรุนแรงของโรคที่มีต่อร่างกายการก่อให้เกิดพิการ เสียชีวิต ความยากลําบาก และการต้องใช้ระยะเวลานานในการรักษา
1.3 การรับรู้ภาวะคุกคามของโรค การรับรู้ภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคและการรับรู้ความรุนแรงของโรคหักลบกันจะมีผลให้บุคคลรับรู้ต่อการคุกคามของโรค
ปัจจัยร่วม
2.1 ปัจจัยทางประชากร (Demographic factor) ได้แก่ เพศ อายุ รายได้ และการศึกษา
2.2 ปัจจัยทางสังคมจิตวิทยา (Socio-psychological factor) ความกดดันหรืออิทธิพลจากสังคมมีบทบาทสําคัญในการกระตุ้นพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสม
2.3 ตัวแปรทางโครงสร้าง (Structural variables) ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับโรค หรือการที่เคยเป็นโรคมาก่อน หรือประสบการณ์เกี่ยวกับโรคที่เคยได้รับ
แนวโน้มของการปฏิบัติพฤติกรรม
3.1 การรับรู้ประโยชน์ของการแสดงพฤติกรรม (Perceived benefits of taking action) เป็นความเชื่อเกี่ยวกับประสิทธิผลของการกระทําหรือพฤติกรรมตามที่ได้รับการแนะนําว่าจะนําไปสู่การลดภาวะที่ถูกคุกคามจากโรค
3.2 การรับรู้อุปสรรคของการแสดงพฤติกรรม (Perceived barriers of taking action) เป็นการรับรู้อุปสรรคหรือผลที่ไม่พึงปารถนาจากการแสดงพฤติกรรมที่ได้รับการแนะนํา อุปสรรคที่พบอาจเป็นเพียงอุปสรรคที่คาดคิดหรือที่เกิดขึ้นจริงอย่างเห็นได้ชัด
ตัวชี้แนะการแนะนํา
-เป็นตัวกระตุ้นหรือตัวเร่งให้เกิดการแสดงพฤติกรรมหรือการกระทําที่เหมาะสมออกมา ตัวชี้แนะอาจเป็นตัวชี้แนะภายใน (Internal cues) ได้แก่ การรับรูสภาวะทางร่างกายและอาการไม่สุขสบายต่างๆ
ทฤษฎีแรงสนับสนุนทางสังคม
แรงสนับสนุนทางด้านสังคม หมายถึง สิ่งที่ผู้รับได้รับแรงสนับสนุนทางสังคมในด้านความช่วยเหลือทางดานข้อมูล ข่าวสาร วัตถุสิ่งของ หรือการสนับสนุนทางด้านจิตใจจากผู้ให้การ
แหล่งของแรงสนับสนุนทางสังคม โดยปกติกลุ่มสังคมจัดแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภท คือ กลุ่มปฐมภูมิและกลุ่มทุติยภูมิ
กลุ่มปฐมภูมิเป็นกลุ่มที่มีความสนิทสนมี้ได้แก่ ครอบครัว ญาติพี่น้องและเพื่อนบ้าน
กลุ่มทุติยภูมิถือว่าเป็นผู้ให้บริการทางสุขภาพ ได้แก่ แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และบุคลากร อื่นๆ
องค์ประกอบของการสนับสนุนทางสังคม
ต้องมีการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ให้และผู้รับแรงสนับสนุน
ลักษณะของการติดต่อสัมพันธ์นั้น จะต้องประกอบด้วย
2.1 ข้อมูลข่าวสารที่ทําให้ผู้รับเชื่อว่ามีความเอาใจใส่ และมีความรัก ความหวังดีในสังคมอย่างจริงใจ
2.2 ข้อมูลข่าวสารที่มีลักษณะทําให้ผู้รับรู้สึกว่าตนเองมีค่า และเป็นที่ยอมรับในสังคม
2.3 ข้อมูลข่าวสารที่มีลักษณะ ทําให้ผู้รับเชื่อว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและมีประโยชน์แก่สังคม
ปัจจัยนําเข้าของการสนับสนุนทางสังคมอาจอยู่ในรูปของข้อมูล ข่าวสาร วัสดุสิ่งของ หรือด้านจิตใจ จะต้องช่วยให้ผู้รับได้บรรลุถึงจุดหมายที่เขาต้องการ
ประเภทของแรงสนับสนุนทางสังคม
Appraisal Support คือการสนับสนุนด้านการให้การประเมินผล เช่น การให้ข้อมูลป้อนกลับ(Feed Back) การเห็นพ้องหรือให้รับรอง
(Affirmation) ผลการปฏิบัติ หรือการบอกให้ทราบผล
InformationSupport คือการให้การสนับสนุนทางด้านข้อมูลข่าวสาร เช่น การให้คําแนะนํา (Suggestion) การตักเตือน การให้คําปรึกษา (Advice) และการให้ข่าวสารรูปแบบต่างๆ
Emotional Support คือการสนับสนุนทางอารมณ์ เช่น การให้ความพอใจ การยอมรับนับถือการแสดงถึงความห่วงใย
Instrumental Support คือ การให้การสนับสนุนทางด้านเครื่องมือเช่น แรงงาน เงิน เวลา
ระดับของแรงสนับสนุนทางสังคม
1.ระดับกว้าง (Macro level) เป็นการพิจารณาถึงการเข้าร่วม หรือการมีส่วนร่วมในสังคม อาจวัดได้จากความสัมพันธ์กับสถาบันในสังคม การเข้าร่วมกับกลุ่มต่างๆ
2.ระดับกลุ่มเครือข่าย (Mezzo level) เป็นการมองที่โครงสร้าง และหน้าที่ของเครือข่ายสังคม ด้วยการพิจารณาจากกลุ่มบุคคลที่มีสัมพันธภาพอย่างสม่ําเสมอ
3.ระดับแคบ หรือระดับลึก (Micro level) เป็นการพิจารณาความสัมพันธ์ของบุคคลที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมากที่สุด ทั้งนี้มีความเชื่อกันว่าคุณภาพของความสัมพันธ์มีความสัมพันธ์มากในเชิงปริมาณ
ผลของแรงสนับสนุนทางสังคมที่มีต่อสุขภาพ
ผลต่อสุขภาพกาย
1.1 ผลโดยตรงส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ขาดแรงสนับสนุนทางสังคม หรือถูกตัดขาดจากเครือข่ายแรงสนับสนุนทางสังคม นอกจากนี้การศึกษาทางระบาดวิทยาสังคมยังพบว่า คนที่ขาดแรงสนับสนุนทางสังคม จะเป็น
1.2 ผลต่อพฤติกรรมการปฏิบัติตามคําแนะนําในการรักษาพยาบาล (Compliance to Regismens) มีรายงานผลการศึกษาเป็นจํานวนมากที่บ่งบอกถึงผลของแรงสนับสนุนทางสังคมที่มีต่อพฤติกรรม
1.3 ผลต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคผลการศึกษาถึงพฤติกรรมการป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ เช่น การตรวจสุขภาพร่างกายประจํา การออกกําลังกาย การบริโภคอาหาร
ผลต่อสุขภาพจิตผลของแรงสนับสนุนทางสังคมที่มีต่อสุขภาพจิต
พบว่าแรงสนับสนุนทางสังคมเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการต่อสู้กับปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตบุคคลช่วยลดความเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากความเครียดและช่วยลดความเครียด
รูปแบบการมีส่วนร่วมของชุมชนในการสร้างเสริมสุขภาพ
1) การสร้างความเข้มแข็งให้กับบุคคล ชุมชน ในการควบคุมปัจจัย ที่จะมีผลกระทบต่อสุขภาพเพราะความเข้มแข็งของประชาชน และชุมชน
2) การจัดบริการในชุมชน (community-based health services) เป็นบริการระดับปฐมภูมิ(primary care) ให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมได้มากที่สุด
3) การประสานงาน กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อการพัฒนานโยบายเพื่อสุขภาพ (publichealth policy) ที่จะมีผลกระทบต่อ การเปลี่ยนแปลงระบบสุขภาพ