Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การให้สารน้้าทางหลอดเลือดด้าเลือดและส่วนประกอบของเลือด - Coggle Diagram
การให้สารน้้าทางหลอดเลือดด้าเลือดและส่วนประกอบของเลือด
หลักการให้สารน้้าทางหลอดเลือดดำ
การให้สารน้้าทางหลอดเลือดดำใหญ่
การให้สารน้้าและสารละลายทางหลอดเลือดดำใหญ่ผ่านอุปกรณ์ที่ฝังไว้ใต้ผิวหนัง
การให้สารน้้าทางหลอดเลือดดำส่วนปลาย
ชนิดของสารน้้าที่ให้ทางหลอดเลือดดำ
สารละลายไฮโปโทนิก
อสโมลาริตี้ น้อยกว่า 280 m0sm/lซึ่งค่า Osmolarityน้อยกว่าน้านอกเซลล์เป็นสารน้าที่มีโมเลกุลอิสระของน้ามากกว่าในเซลล์จึงทำให้เกิดการเคลื่อนของน้าเข้าสู่เซลล์
สารละลายไฮเปอร์โทนิก
เป็นสารน้าที่มีค่าออสโมลาริตี้ มากกว่า 310m0sm/lซึ่งมีมากกว่าออสโมลาริตี้ของน้านอกเซลล์สารน้าอันนี้มีโมเลกุลอิสระของน้าน้อยกว่าน้าในเซลล์และจะทำให้เกิดการดึงน้ าจากเซลล์สู่ระบบการไหลเวียน
สารละลายไอโซโทนิก
มีความเข้มข้นเท่ากันน้านอกเซลล์ ซึ่งมีออสโมลาริตี้ระหว่าง 280-310 m0sm/ lเมื่อให้ทางหลอดเลือดด าจะไม่มีการเคลื่อนที่ของน้าเข้าหรือออกจากเซลล์ ฉะนั้นการให้สารน้าชนิดIsotonicจึงช่วยเพิ่มปริมาตรของน้าที่อยู่นอกเซลล์
ปัจจัยที่มีผลกระทบต่ออัตราการหยดของสารน้้า
การเคลื่อนย้ายและการเคลื่อนไหวร่างกายของผู้ป่วย อาจท าให้เข็มเคลื่อนที่ ปลายตัดของเข็มแนบชิดผนังหลอดเลือด หรือแทงทะลุหลอดเลือด สารน้ าไหลไม่สะดวก อัตราการหยดจะช้าลง
การปรับอัตราหยดผู้ป่วยเด็กที่เอื้อมมือไปหมุนปรับเล่น หรือญาติผู้ป่วยหมุนปรับเอง
การผูกยึดบริเวณหลอดเลือด แน่นหรือตึงเกินไปรวมทั้งการนั่ง หรือนอนทับสายให้สารน้ า จะปิดกั้นทางผ่านของสารน้ า ท าอัตราการหยดช้าลง
สายให้สารน้ า มีความยาวมาก มีการหักพับงอหรือถูกกด จะท าให้สารน้ าผ่านไม่สะดวก อัตราการไหลจะช้าลง
เกลียวปรับบังคับหยดที่ลื่นมาก จะบังคับการหยดได้ไม่ดีพอ อัตราการหยดจะเร็ว
ขนาดของเข็มที่แทงเข้าหลอดเลือดด า เข็มขนาดใหญ่จะมีทางผ่านกว้าง อัตราการหยดจะเร็วกว่าใช้เข็มขนาดเล็ก
ความหนืดของสารน้ า ถ้าสารน้ ามีความหนืดสูงอัตราการหยดจะช้า
ระดับขวดสารน้าสูงหรือต่าเกินไป การแขวนขวดสารน้าให้สูง สารน้ าจะหยดเร็วกว่าการแขวนขวดในระดับต่า
การให้สารน้้าทางหลอดเลือดดำ
การเลือกตำแหน่งของหลอดเลือดด้าที่จะแทงเข็ม
เลือกหลอดเลือดดำของแขนข้างที่ผู้ป่วยไม่ถนัดก่อน เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถใช้แขนข้างที่ถนัดทำากิจวัตรต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง
ให้เริ่มต้นแทงเข็มที่ให้สารน้ำที่หลอดเลือดดำส่วนปลายของแขนก่อน เพื่อให้หลอดเลือดดำส่วนที่ถัดเข้ามาสามารถใช้งานได้อีก
หลีกเลี่ยงการแทงเข็มบริเวณข้อพับต่าง ๆ เพราะจะทำให้หลอดเลือดแตกทะลุง่าย
ตรวจสอบบริเวณตำแหน่งที่จะแทงเข็มว่ามีสภาพที่เหมาะสม เช่น ไม่มีบาดแผล
คำนึงถึงชนิดของสารน้ำที่ให้ หากเป็นสารน้ำชนิด Hypertonic เนื่องจากสารน้ามีความเข้มข้นของสารละลายสูง และมีความหนืดควรเลือกหลอดเลือดเส้นใหญ่ในการให้สารน้ำ
ถ้าจำเป็นต้องผูกยึดแขนและขา ให้หลีกเลี่ยงการแทงเข็มให้สารน้ำ
อุปกรณ์เครื่องใช้
ชุดให้สารน้ำ (IV Administration set) ใช้เป็นทางผ่านของสารน้ าจาก
ขวดไปสู่หลอดเลือดด าของผู้ป่วยบรรจุในซองที่ปิดผนึกมิดชิดผ่านการฆ่าเชื้อ สามารถเปิดใช้ได้ทันที
เข็มที่ใช้แทงเข้าหลอดเลือดดำส่วนปลาย ท าด้วยเทฟล่อน แกนในเป็นเข็มโลหะช่วยแทงนำให้เข็มพลาสติกเข้าไปอยู่ในหลอดเลือดก่อน แล้วจึงดึงออกให้เหลือแต่เข็มพลาสติกซึ่งโค้งงอได้ง่าย
ขวดสารน้ำ โดยขวดสารน้ำ/ยา ต้องเตรียมให้ตรงกับใบสั่งการรักษาและตรวจสอบดูว่าสภาพขวดสารน้ำ/ยาไม่มีรอยแตกร้าว หรือรูรั่วสารน้ำไม่หมดอายุ ไม่มีลักษณะขุ่น ไม่มีผงตะกอนลอยอยู่ภายขวด
อุปกรณ์อื่น ๆ เช่น เสาแขวนขวดให้สารน้ำ ยางรัดแขน แผ่น
โปร่งใสปิดต าแหน่งที่แทงเข็ม เป็นต้น
การค้านวณอัตราการหยดของสารน้้าทางหลอดเลือดดำ
สูตรการค้านวณอัตราหยดของสารน้้าใน 1 นาที
จำนวนหยดของสารละลาย (หยด/ นาที) = จำนวน Sol.(มล/ชม.) x จำนวนหยดต่อมล.หารเวลา(นาที)
สูตรการค้านวณสารน้้าที่จะให้ใน 1 ชั่วโมง
ปริมาตรของสารน้ าที่จะให้ใน 1 ชม. = ปริมาตรของสารน้ าที่จะให้หาร จำนวนเวลาที่จะให้เป็นชั่วโมง
อาการแทรกซ้อนจากการให้สารน้้าทางหลอดเลือดดำ
. ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นเฉพาะที่
การมีเลือดออกและแทรกซึมเข้าใต้ผิวหนังบริเวณที่แทงเข็ม (Extravasations) บริเวณที่แทงเข็มบวมและมีเลือดแทรกซึมใต้ผิวหนัง ผู้ป่วยรู้สึกปวดแสบ ปวดร้อน ไม่สุขสบาย ผิวหนังบริเวณที่แทงเข็ม
แดง สารน้ำที่ให้หยดช้าลง เมื่อปิด Clamp ชุดให้สารน้ำจะไม่มีเลือดไหลย้อนเข้ามาในสาย
การติดเชื้อเฉพาะที่ บวมแดง ร้อน บริเวณที่แทงเข็มให้สารน้ำอาจจะม
หนองบริเวณที่แทงเข็ม
การบวมเนื่องจากสารน้ำซึมออกนอก หลอดเลือดดำ เกิดอาการบวมบริเวณที่แทงเข็มให้สารน้า ผู้ป่วยรู้สึกปวดแสบบริเวณที่บวมและไม่สุสบาย สารน้ำที่ให้หยดช้าลงหรือไม่ไหล
หลอดเลือดด าอักเสบ ผิวหนังบริเวณที่แทงเข็มบวม ตำแหน่งที่แทงเข็มแดงร้อนไปตามแนวของหลอดเลือด หลอดเลือดดำที่ให้สารน้ำเป็นลำแข็ง
. ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นในระบบไหลเวียนของเลือด
การติดเชื้อในกระแสเลือด มีไข้สูง หนาวสั่น ความดันโลหิตลดลง คลื่นไส้ อาเจียน บางครั้งมีอาการถ่ายเหลว มีการติดเชื้อเฉพาะที่เกิดร่วมด้วย
เกิดฟองอากาศในกระแสเลือด เกิดจากการไล่ฟองอากาศในชุดสายให้สารน้ำไม่หมด หรือการปล่อยสารน้ำจนหมดจนอากาศผ่านเข้าไปในชุดให้สารน้านอกจากฟองอากาศ ลิ่มเลือด ที่เกิดจากการแทงเข็ม อาจหลุดเข้าไปอุดกั้นบริเวณอวัยวะสำคัญ เช่น สมอง
การแพ้ยาหรือสารน้ำ ที่ได้รับ มีผื่นแพ้เกิดขึ้นที่ผิวหนังร่วมกับอาการแพ้ต่าง ๆ
ให้สารน้ำเร็วเกินและมากเกินไป เกิดจากอัตราการหยดของสารน้ำ
เร็วเกินไป โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคหัวใจ อาจเกิดอาการหัวใจวาย
การใช้กระบวนการพยาบาลในการให้สารน้้าทางหลอดเลือดดำ
ขั้นตอนที่3 การวางแผนในการบริหารยา
วางแผนบริหารยาตามหลักการ 6 Rights และหลักความปลอดภัย SIMPLE ของ patient safety goals
ขั้นตอนที่ 4 วิธีการฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ
การฉีดยาเข้าทางหลอดเลือดดำ ปัจจุบันมีวัสดุทางการแพทย์ที่ช่วยให้การฉีดยาให้มีความสะดวก ง่าย และไม่ยุ่งยาก ทำให้ผู้ป่วยมีความสุขสบายเพิ่มขึ้น โดยสรุปวิธีการฉีดยาดังนี้
วิธีการฉีดยาแบบที่ 4 Surg plug กับ syringe IV push
วิธีการฉีดยาแบบที่ 5 three ways กับ piggy back (100 ml)
วิธีการฉีดยาแบบที่ 3 Surg plug กับ piggy back (100 ml)
วิธีการฉีดยาแบบที่ 6 three ways กับ syringe IV push
วิิธีการฉีดยาแบบที่ 1 IV plug กับ piggy back (100 ml)
วิธีการฉีดยาแบบที่ 2 IV plug กับ syringe IV push
ขั้นตอนที่2 ข้อวินิจฉัย
การบริหารยาที่มีประสิทธิภาพโดยใช้หลักการ 6 Rights และหลักความปลอดภัย SIMPLE ของpatient safety goals
ขั้นตอนที่ 5 การประเมินผลการบริหารยาฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ
การประเมินผลกิจกรรมการพยาบาล เป็นการประเมินผลของการปฏิบัติงาน เพื่อน ามาปรับปรุงการปฏิบัติงานในครั้งต่อไป
การประเมินผลคุณภาพการบริการ เป็นการประเมินคุณภาพของผลการปฏิบัติงาน เพื่อนำมาปรับปรุงการปฏิบัติงานในครั้งต่อไป
การประเมินผลการบริหารยาฉีด เป็นการประเมินผลลัพธ์การพยาบาล
ขั้นตอนที่1 การประเมินสภาพผู้ป่วย
การประเมินด้านจิตใจ
ความพร้อมของการรับบริการฉีดยา
ความต้องการรับบริการฉีดยา
ความวิตกกังวลและความกลัว
การประเมินสิ่งแวดล้อม
ความสะอาดของสิ่งแวดล้อมรอบตัวผู้ป่วยและรอบเตียง
ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสิ่งแวดล้อมผู้ป่วย
ความพร้อมใช้ของสิ่งแวดล้อมตัวผู้ป่วย เช่น ตู้ข้างเตียง เหล็กกั้นเตียง เป็นต้น
บรรยากาศในหอผู้ป่วย และมีอากาศถ่ายเทสะดวก
การประเมินด้านร่างกาย
ประวัติการแพ้ยา
พยาธิสภาพของโรค ประวัติเจ็บป่วย โรคของผู้ป่วย และโรคหรืออาการแทรกซ้อน
ระดับความรู้สึกตัว
การให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำ
ชนิดของสารอาหารทางหลอดเลือดดำ
Total parenteral nutrition (TPN) เป็นการให้โภชนบำบัดครบตามความต้องการของผู้ป่วยทั้งปริมาณพลังงานที่ต้องการ และสารอาหารทุกหม
Partial or peripheral parenteral nutrition (PPN) เป็นการให้โภชนบำบัดทางหลอดเลือดดำเพียงบางส่วน อาจได้พลังงานไม่ครบตามความต้องการ หรือได้สารอาหารไม่ครบทุกหมู่
ขั้นตอนในการให้สารอาหารทางหลอดเลือดด้า
เตรียมอุปกรณ์ในการให้ PPN หรือ TPN ที่สะอาดปราศจากเชื้อ และเตรียมชุดให้สารอาหารให้พร้อม โดยการเช็ดทำความสะอาดจุดปิดขวดสารอาหารด้วยสำลีปราศจากเชื้อชุด แอลกอฮอล์70%
มีป้ายปิดที่ขวดให้สารอาหาร ระบุชื่อ และสกุลของผู้ป่วย ชนิดและปริมาณของสารอาหารอัตราหยดต่อนาที วันและเวลาที่เริ่มให้ วันและเวลาที่สารอาหารหมด ชื่อผู้เตรียมสารอาหาร
ล้างมือให้สะอาดก่อนให้การพยาบาลทุกครั้ง สวมmask
ต่อสายยางให้อาหารเข้าไปในชุดให้สารอาหาร ปิดผ้าก๊อซปราศจากเชื้อบริเวณรอยต่อโดยใช้เทคนิคปราศจากเชื้อ
อธิบายให้ผู้ป่วยทราบ เนื่องจากผู้ป่วยเมื่อทราบว่าจะต้องให้สารอาหารมักมีความวิตกกังวลหวาดกลัว
. ตรวจสอบ PPN หรือ TPN จะต้องไม่ขุ่นหรือมีตะกอน
นำสารอาหารและสายยางให้สารอาหารไปต่อกับผู้ป่วยโดยเช็ดบริเวณรอยต่อด้วยสำลีชุบ
แอลกอฮอล์ ปิดด้วยผ้าก๊อซปราศจากเชื้อ
ให้สารอาหารปรับจ านวนหยดตามแผนการรักษา
ส่วนประกอบของสารอาหารในสารละลาย
วิตามิน ให้ทั้งชนิดละลายในน้ า เช่น วิตามิน B12, thiamine เป็นต้น และชนิดละลายในไขมัน เช่น วิตามินเอ, ดี, อี และวิตามินเค
. เกลือแร่ ก่อนที่จะเริ่มให้สารอาหารควรมีการคำนวณจำนวนเกลือแร่ให้เรียบร้อย
โปรตีนอยู่ในรูปกรดอะมิโน ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี่ต่อ 1 กรัม ใช้กรดอะมิโนทุกชนิดทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็นในปริมาณและสัดส่วนที่พอเหมาะ
น้ำให้คำนวณจำนวนน้าที่จะให้แก่ผู้ป่วยตามน้ำหนักตัว
สารละลายไขมัน ให้พลังงาน 9 กิโลแคลอรี่ต่อ 1 กรัม
คาร์โบไฮเดรต นิยมใช้ในรูปของกลูโคส ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี่ต่อ 1 กรัม
อาการแทรกซ้อนจากการให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำ
มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในระบบไหลเวียนของเลือด ที่พบบ่อยจะเป็นก้อนเลือด และอากาศ สาเหตุของการเกิดก้อนเลือดมักมาจากผนังด้านในของหลอดเลือดดำไม่เรียบ และมีเข็มแทงผ่าน เป็นผลให้เลือดไหลผ่านบริเวณนั้นช้าลง
ลักษณะที่พบ
อาการเขียว เนื่องจากขาดออกซิเจน ความดันเลือดต่ า ชีพจรเบาเร็ว หมด
ความรู้สึก และอาจตายได
สังเกตพบว่าอัตราการหยดของสารอาหารจะช้าลง หรือหยุดไหล
การพยาบาลและการป้องกัน
ระมัดระวังในการเปลี่ยนขวดสารอาหารไม่ให้อากาศผ่านเข้าไปในชุดสายให้สารอาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ป่วยอยู่ในท่านอนหรือยืน
หยุดให้สารอาหารทันทีถ้าพบว่ามีก้อนเลือดอุดตันที่เข็ม
ห้ามนวดคลึงเพราะอาจทำให้ก้อนเลือดนั้นหลุดเข้าไปในกระแสเลือดและ
ถ้าผู้ป่วยมีอาการแสดงให้บันทึกสัญญาณชีพ และรายงานแพทย์ด่วน
การให้สารอาหารมากเกินไป พบได้ง่ายในผู้ป่วยเด็ก ผู้ที่มีปัญหาของระบบไหลเวียนเลือด และไต อาจเนื่องจากให้สารอาหารที่เร็วเกินไป
การพยาบาลและการป้องกัน
ปรับอัตราหยดให้ช้าที่สุดและรายงานให้แพทย์ทราบด่วน
บันทึกสัญญาณชีพ
ลักษณะที่พบ
อาการแสดงที่ปรากฏเริ่มแรก คือ ปวดศีรษะ หายใจตื้น และหอบเหนื่อย
ตรวจพบความดันเลือดและแรงดันหลอดเลือดส่วนกลางสูงขึ้น ชีพจรเร็ว
บวมเนื่องจากมีสารอาหารเข้าไปอยู่ในเนื้อเยื่อชั้นผิวหนัง เกิดขึ้นเมื่อเข็มเคลื่อนออกจากหลอดเลือด พบได้บ่อยในหลอดเลือดที่เล็ก บาง หรือผู้ป่วยที่มีกิจกรรมมากๆ
ลักษณะที่พบ
บวมบริเวณที่ให้ อุณหภูมิของบริเวณนั้นจะเย็นกว่าบริเวณอื่นๆ เนื่องจากสารอาหารมีอุณหภูมิต่ำกว่าร่างกาย
ผู้ป่วยรู้สึกไม่สุขสบายบริเวณที่ให้ ซึ่งเป็นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารอาหาร
การพยาบาลและการป้องกัน
ถ้าพบว่ามีสารอาหารซึมออกมาอยู่ในเนื้อเยื่อควรหยุดให้สารอาหารทันที
ควรดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการเกิดสารอาหารซึมออกมาอยู่ในเนื้อเยื่อส่วนมากภาวะนี้มักเกิดจากการเลือกตำาแหน่งที่แทงเข็มไม่เหมาะสม ผู้ป่วยมีกิจกรรมมากเกินไป
ไข้ เกิดจากมีสารแปลกปลอมซึ่งเป็นส่วนประกอบของโปรตีนเข้าสู่
กระแสเลือด สาเหตุเนื่องจากอาจมีการปนเปื้อนในการเตรียมสารอาหาร หรือการฉีดยาทางสายยางให้อาหาร
สารอาหารเสื่อมอาย
ลักษณะที่พบ
ไข้สูง 37.3-41 องศาเซลเซียส
ปวดหลัง ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน
การพยาบาลและการป้องกัน
หยุดให้สารอาหาร
ถ้าเป็นไปได้ ควรเก็บชุดให้สารอาหารและชุดสายให้สารอาหารส่งเพาะเชื้อ
การใช้กระบวนการพยาบาลในการให้สารอาหารทางหลอดเลือดำ
ขั้นตอนที่ 3 การวางแผนการพยาบาล
ให้ผู้ป่วยได้รับสารน้ าตามแผนการรักษาและไม่เกิดอาการแทรกซ้อน
ขั้นตอนที่ 4 การปฏิบัติการพยาบาล
ผู้ป่วยที่ได้รับสารอาหารทางหลอดเลือดดำส่วนปลาย เปลี่ยนตำแหน่งให้ทุก 3 วัน
ป้ายปิดที่ขวดให้สารอาหาร ระบุชื่อ และสกุลของผู้ป่วย ชนิด และปริมาณของสารอาหารอัตราหยดต่อนาที วัน และเวลาที่เริ่มให้ วัน และเวลาที่สารอาหารหมด
ประเมินสัญญาณชีพก่อนและขณะให้สารอาหารและติดตามทุก 2-4 ชั่วโมง
สังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับผู้ป่วย เช่น มีผื่นขึ้นตามตัว หายใจเร็วหรือช้ากว่าปกติ
. ถ้าสารอาหารที่ให้ทางหลอดเลือดดำรั่ว หรือทางเส้นเลือดดำ อุดตัน ให้ไม่ได้ ควรรายงานให้แพทย์ทราบ
หลีกเลี่ยงการให้ยาฉีดทางหลอดเลือดด าสายเดียวกับให้สารอาหารทางหลอกเลือดดำถ้าจำเป็นต้อง push ยาเข้าทางสายให้อาหาร ในตำแหน่งเดียวกับที่ให้สารอาหาร
ก่อนและขณะให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ ควรมีการประเมินสภาพร่างกาย และควบคุมผู้ป่วยในระยะแรก และระยะหลัง
ดูแลทางด้านจิตใจ โดยอธิบายให้เข้าใจถึงความจ าเป็นในการได้สารอาหาร ประโยชน์ที่ได้รับเพื่อผู้ป่วยจะได้ให้ความร่วมมือ
ขั้นตอนที่ 2 ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
มีโอกาสเกิดหลอดเลือดด าอักเสบจากการให้สารอาหารทางหลอดเลือดดดำป็นเวลาหลายวัน
มีโอกาสเกิดสิ่งแปลกปลอมอยู่ในระบบไหลเวียนของเลือดจากการให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำเป็นเวลาหลายวัน
ขั้นตอนที่ 5 การประเมินผลทางการให้สารอาหารทางหลอดเลือดด้า
การประเมินผลกิจกรรมการพยาบาล เป็นการประเมินผลของการปฏิบัติงาน เพื่อน ามาปรับปรุงการปฏิบัติงานในครั้งต่อไป
การประเมินผลคุณภาพการบริการ เป็นการประเมินคุณภาพของผลการปฏิบัติงาน เพื่อนำมาปรับปรุงการปฏิบัติงานในครั้งต่อไป
การประเมินผลการให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำ เป็นการประเมินผลลัพธ์การพยาบาล
ขั้นตอนที่1 การประเมินสภาพผู้ป่วย
S: “รู้สึกปากแห้ง อยากเคี้ยวอาหารทางปาก”
O: Known case CA stomach S/P Subtotal gastrectomy มีรูปร่างผอม
การใช้กระบวนการพยาบาลในการให้เลือดและส่วนประกอบของเลือด
ขั้นตอนที่ 4 การให้เลือดและสารประกอบของเลือด
เครื่องใช้
ขั้นตอนที่ 5 การประเมินผลการให้เลือดและสารประกอบของเลือด สิ่งที่ต้องประเมิน
ขั้นตอนที่3 การวางแผนในการให้เลือดและส่วนประกอบของเลือด
วางแผนให้ผู้ป่วยได้รับเลือดและสารประกอบของเลือดโดยประยุกต์ใช้หลักการ 6 Rights และหลักความปลอดภัย SIMPLE ของ patient safety goals
ขั้นตอนที่2 ข้อวินิจฉัย
มีความพร้อมในการเริ่มให้เลือดและสารประกอบของเลือดตามแผนการรักษา
ขั้นตอนที่1 การประเมินสภาพผู้ป่วย
การประเมินด้านจิตใจ
การประเมินสิ่งแวดล้อม
การประเมินด้านร่างกาย
การประเมินแผนการรักษา
การให้เลือดและส่วนประกอบของเลือด
การให้เลือด หมายถึง การให้เลือด หรือเฉพาะเม็ดเลือด หรือเฉพาะน้ำเลือดแก่ผู้ป่วยโดยผ่านเข้าทางหลอดเลือดดำ การให้เลือดแม้จะช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ แต่ก็ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้เช่นกัน ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้น พยาบาลผู้รับผิดชอบจึงต้องมีความละเอียดรอบคอบ และระมัดระวังในการให้เลือด
เลือด (whole blood) ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ เซลล์เม็ดเลือด แบ่งเป็น เซลล์เม็ดเลือดแดง หรือ เซลล์เม็ดเลือดขาว เกร็ดเลือด และ น้ำเลือด
การให้และการรับเลือดในหมู่เลือด
คนเลือดกรุ๊ป O รับได้จาก O เท่านั้น แต่ให้กับกรุ๊ปอื่นได้ทุกกรุ๊ป
คนเลือดกรุ๊ป ABรับได้จากทุกกรุ๊ป แต่ให้เลือดแก่ผู้อื่นได้เฉพาะคนที่เป็นเลือดกรุ๊ป AB
คนเลือดกรุ๊ป Rh-ve ต้องรับจาก Rh-ve เท่านั้น แต่ต้องดูกรุ๊ปเลือดตามระบบ ABO ด้วย (หากคนเลือดกรุ๊ป Rh-ve รับเลือดจาก Rh+ve อาการข้างเคียงจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น ในครั้งถัดๆไป)
คนเลือดกรุ๊ป A รับได้จาก A และ O ให้ได้กับ A และ AB
คนเลือดกรุ๊ป B รับได้จาก B และ O ให้ได้กับ B และ AB
ภาวะแทรกซ้อนจากการให้เลือด
ปฏิกิริยาภูมิแพ้ เกิดจากผู้รับแพ้สารอย่างใดอย่างหนึ่งในเลือดที่ได้รับ ผู้ป่วยจะมีอาการมีผื่นคัน หรือลมพิษ อาการคั่งในจมูก ฟังได้เสียงวี๊ซ (wheeze) ในปอด
การถ่ายทอดโรค มักเกิดจากการขาดการตรวจสอบเลือดของผู้ให้ ซึ่งมีการติดเชื้อต่าง ๆ เช่น ตับอักเสบ
ไข้ เกิดจากการได้รับสารที่ท าให้เกิดไข้เชื้อแบคทีเรียจาก
เครื่องใช้หรือเทคนิคการให้เลือดที่ไม่สะอาด ห้ อาการไข้จากเชื้อบักเตรี พบได้ยากแต่มีอันตรายถึงชีวิตได้ในเวลาอันรวดเร็ว มัก
เกิดขึ้นทันทีหลังได้รับเลือด 2-3 นาที หรือภายใน 6 ชั่วโมง อาการมีไข้หนาวสั่นที่เกิดจากเชื้อบักเตรีไข้จะสูง38.4 ° C ขึ้นไป ผิวหนังอุ่น แดงขึ้น ปวดศีรษะ คลื่นไส
การอุดตันจากฟองอากาศ ) เกิดจากการไล่ฟองอากาศไม่หมดไปจากสายให้เลือดอากาศจะลอยไปตามกระแสเลือด และอาจไปอุดตันหลอดเลือดด าให้ขัดขวางการน าออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะ
ส่วนนั้น
ปริมาตรการไหลเวียนของเลือดมากเกินไป ส่งผลให้หัวใจท างานหนักขึ้น เกิดภาวะหัวใจวายและมีอาการน้ำท่วมปอด จะพบว่าผู้ป่วยจะหายใจลำบาก ไอ เหนื่อยหอบ
ภาวะสารซิเตรทเกินปกติ เกิดจากการให้เลือดติดต่อกันเป็นจ านวนมากจึงมีการสะสมของสารกัน
การแข็งตัวของเลือด เพิ่มขึ้นและไปจับตัวกับแคลเซี่ยมในเลือดระดับแคลเซี่ยมจึง
ลดน้อยลง
เม็ดเลือดแดงสลายตัว เกิดจากการให้เลือดผิดหม เม็ดเลือดแดงจะแตกและ บางส่วนไปอุดตันหลอดเลือดฝอยของท่อไตทำให้ไตวาย จะพบว่าผู้ป่วยมีอาการหนาวสั่น มีไข้ปวดศีรษะ ปวดหลังบริเวณเอว กระสับกระส่าย
ภาวะโปตัสเซียมเกินปกติ เกิดจากการให้เลือดที่เก็บไว้ในธนาคารเลือดนานเกินไป
หลังจากที่ผู้ป่วยได้เลือดจะพบอาการคลื่นไส้อาเจียน ท้องเดิน
การบันทึกปริมาณน้้าเข้า-ออกจากร่างกาย
หลักการบันทึกจ้านวนสารน้้าที่เข้าและออกจากร่างกาย
ร่วมกับผู้ป่วยในการวางแผนก าหนดจ านวนน้ าที่เข้าสู่ร่างกายในแต่ละช่วงเวลา
จดบันทึกจำนวนน้าและของเหลวทุกชนิดที่ให้ขณะมื้ออาหารและระหว่างมื้ออาหาร พร้อมทั้ง
อธิบายให้ผู้ป่วยดื่มน้าในขวดที่เตรียมไว้ให้ไม่นำน้าที่เตรียมไว้ไปบ้วนปากหรือเททิ้ง
อธิบายเหตุผลและความส าคัญของการวัดและการบันทึกจ านวนน้ าที่รับเข้าและขับออกจาก
ร่างกาย
การจดบันทึกควรสรุปทุก 8 ชั่วโมง และทุกวัน
แบบฟอร์มการบันทึกควรแขวนไว้ที่เตียงผู้ป่วย เพื่อสะดวกในการจดบันทึกและเมื่อครบ 24ชั่วโมง ต้องสรุปลงในแผ่นรายงานประจ าตัวของผู้ป่วยหรือฟอร์มปรอท
บันทึกจ านวนสารน้ าที่สูญเสียทางอื่น ๆ เช่น อาเจียน ท้องเดิน
กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมความสมดุลของสารน้้าในร่างกาย
การวางแผนการพยาบาล
การปฏิบัติการพยาบาล
จัดมือซ้ายที่บวมให้สูงกว่าล าตัวผู้ป่วย โดยใช้หมอนรอง เพื่อลดอาการบวม
เปลี่ยนบริเวณที่แทงเข็มให้สารน้ าใหม
บันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินอาการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย
ประเมินการขาดสารน้าและอิเล็คโตรไลท์ โดยบันทึกปริมาณสารน้าเข้าและออกทุกเวร
ประเมินอาการบวมที่หลังมือซ้ายทุกเวร หากบวมมากขึ้น ผู้ป่วยมีไข
ลดภาวะเครียดโดยให้ความช่วยเหลือทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
หยุดให้สารน้าทันที
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
มีภาวะหลอดเลือดดำอักเสบจากการได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำเป็นเวลานาน
การประเมินผลการพยาบาล
ประเมินอาการหลอดเลือดดำอักเสบบริเวณหลังมือ (อาการบวมลดลง)
ปริมาณสารน้ำเข้าและออกมีความสมดุล
ประเมินอาการปวดของผู้ป่วย (โดยการสังเกตสีหน้าท่าทางของผู้ป่วย และจาก Painscale) ผู้ป่วยสีหน้าสดชื่น ไม่บ่นปวดบริเวณหลังมือซ้าย
การประเมินภาวะสุขภาพ
O : จากการสังเกตบริเวณที่หลังมือซ้ายบวมแดง หลอดเลือดดำที่ให้สารน้ำเป็นลำแข็ง บริเวณที่แทงเข็มให้สารน้ำเป็นตำแหน่งเดิมนาน 5 วันแล้ว
S : ผู้ป่วยบ่นปวดบริเวณที่ให้สารน้ ามาก ขอเปลี่ยนตำแหน่งที่แทงเข็มใหม