Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลสตีตั้งครรภ์ที่มีความผิดปกติของรก น้ำคร่ำ และความผิดปกติของทารกใน…
การพยาบาลสตีตั้งครรภ์ที่มีความผิดปกติของรก น้ำคร่ำ และความผิดปกติของทารกในครรภ์
ภาวะน้ำคร่ำผิดปกติ (Polydramios)
ภาวะน้ำคร่ำมากผิดปกติ (hydramios)
การมีน้ำคร่ำมากผิดปกติ เกินเปอร์เซ็นไทล์ที่ 95 หรือ 97.5 ของแต่ละอายุครรภ์
ปริมาณน้ำคร่ำมากกว่า 2,000 มล.
พยาธิสรีรวิทยา
ความผิดปกติของน้ำคร่ำจะสัมพัธ์กับความสมดุลของปริมาณของเหลวที่เข้าออกจากถุงน้ำคร่ำ มากหรือน้อยขึ้นกับความรุนแรงที่เกิดขึ้น
สาเหตุ
ด้านมารดา
มารดาเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ การตั้งครรภ์แฝด
ด้านทารก
ความผิดปกติของระบบประสาท การอุดกั้นของระบบทางเดินอาหาร ความพิการของทารกในครรภ์ เป็นต้น
การจำแนกชนิด
ภาวะน้ำคร่ำมากอย่างเฉียบพลัน (acute hydramnios)
พบได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 20-24 สัปดาห์
ปริมาณน้ำคร่ำจะเพิ่มมากอย่างรวดเร็วภายใน 2-3 วัน
ทำให้หญิงตั้งครรภ์มีอาการไม่สุขสบาย ปวดหลังและหน้าขา แน่นอึดอัดในช่องท้อง หายใจลำบาก มีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย ต่อมาจะมีอาการบวมที่ผนังหน้าท้อง อวัยวะเพศและหน้าขา
ภาวะน้ำคร่ำมากเรื้อรัง (chronic hydramnios)
ปริมารน้ำคร่ำจะค่อยๆเพิ่มขึ้น
อาการและอาการแสดงคล้ายๆกับภาวะน้ำคร่ำมากอย่างเฉียบพลัน แต่จะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ
พบเมื่ออายุครรภ์ 30 สัปดาห์ขึ้นไป
มีอาการหายใจลำบาก อึดอัด
ผลต่อการตั้งครรภ์
ผลต่อมารดา
ระยะตั้งครรภ์ เกิดความไม่สุขสบายจากการกดทับของมดลูกที่มีขนาดใหญ่
อาจเกิดการคลอดก่อนกำหนด
ช็อคจากความดันในช่องท้องลดลงอย่างรวดเร็ว
ตกเลือดหลังคลอด
ติดเชื้อหลังคลอด
ผลต่อทารก
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะพิการ และการคลอดก่อนกำหนด
เกิดภาวะ fetal distress จากการเกิดสายสะดือย้อย
ทารกอยู่ท่าผิดปกติและไม่คงที่
อาการและอาการแสดง
แน่นอึดอัด หายใจลำบาก เจ็บชายโครง
มีอาการบวมบริเวณเท้า ขา และปากช่องคลอด
น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
การวินิจฉัย
การซักประวัติอาการ และอาการแสดงการเกิดภาวะครรภ์แฝดน้ำ
การตรวจร่างกาย
หน้าท้องขยายใหญ่ มดลูกมีรูปร่างกลมมากกว่ารูปร่างไข่ ขนาดมดลูกโตกว่าอายุครรภ์มากผิดปกติ
คลำหาส่วนต่างๆของทารกได้ลำบาก
ฟังเสียง FHS ไม่ได้ยินหรือได้ยินไม่ชัดเจน
น้ำหนักตัวมารดาเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วมากกว่า 1 กิโลกรม/สัปดาห์
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การหาค่า amniotic fluid index (AFI)
ชนิดรุนแรงน้อย (mild) คือ วัด AFI ได้ > 24 เซ็นติเมตร
ชนิดรุนแรงปานกลาง (moderate) คือ วัด AFI ได้> 32 เซ็นติเมตร
ชนิดรุนแรงมาก (severe) คือ วัด AFI ได้ > 44 เซ็นติเมตรขึ้นไป
การดูแลรักษา
การเจาะดูดน้ำคร่ำออก (amnioreduction)
การรักษาด้วยยา prostaglandin synthetase inhibitors
รับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง
ให้ยาขับปัสสาวะหากพบมีภาวะบวม
ให้ยายับยั้งการหดรัดตัวของมดลูก (tocolytic drug)
การเจาะถุงน้ำในระยะคลอด ให้น้ำคร่ำไหลช้าที่สุด
การผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องในรายที่มีส่วนนำและท่าของทารกที่ผิดปกติ ครรภ์แฝด สายสะดือย้อย รกลอกตัวก่อนกำหนด ทารกอยู่ในภาวะขาดออกซิเจน เป็นต้น
ในระยะหลังคลอดหากมารดามีอาการตกเลือด ให้ยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
ประเมินการเกิดภาวะตั้งครรภ์แฝดน้ำจากการซักประวัติอาการและอาการแสดง การตรวจร่างกาย
ดูแลเพื่อบรรเทาอาการอึดอัดแน่นท้อง จากการขยายตัวของมดลูก
จัดท่ามารดานอนตะแคง ยกศีรษะสูงเล็กน้อยประมาณ 30 องศา
สังเกตอาการและอาการแสดงของภาวะ congestive heart failure
แนะนำให้มารดารับประทานอาหารที่ย่อยง่าย ครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง
แนะนำให้มารดาสวมใส่เสื้อผ้าที่หลวมสบาย
ดูแลให้ได้รับการเจาะดูดน้ำคร่ำออก ตามแผนการรักษาของแพทย์ โดยการประเมินสัญญาณชีพ, FHS, การหดรัดตัวของมดลูก ก่อนและหลังการรักษา
เฝ้าระวังและตรวจติดตามสุขภาพของทารกในครรภ์
ระยะคลอด
ให้นอนพักบนเตียง
ประเมินการหดรัดตัวของมดลูก
ฟัง FHS ในระยะ latent ทุก 30 นาที และระยะ active ทุก 15 นาท
ให้ได้รับสารน้ำและอาหารตามแผนการรักษา
ขณะแพทย์เจาะถุงน้ำ ต้องระมัดระวังให้น้ำคร่ำไหลออกมาอย่างช้าๆ แล้วควรจัดให้มารดานอนพักบนเตียงเพื่อป้องกันภาวะสายสะดือย้อย
ระยะหลังคลอด
ให้การพยาบาลเหมือนกับหญิงตั้งครรภ์แฝด โดยเฉพาะดูแลการหดรัดตัวของมดลูกเพื่อป้องกันการตกเลือดหลังคลอด
ภาวะน้ำคร่ำน้อย (oligohydramnios)
การตั้งครรภ์ที่มีน้ำคร่ำน้อยกว่า 300 มิลลิลิตร
สาเหตุ
ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด
ทารกในครรภ์มีภาวะผิดปกติ โดยเฉพาะระบบของไตและระบบทางเดินปัสสาวะ
ความผิดปกติของโครโมโซม
รกเสื่อมสภาพ
การตั้งครรภ์เกินกำหนด
ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (IUGR)
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์
ผลต่อมารดา
มีโอกาสผ่าตัดคลอดทารกทางหน้าท้องมากกว่าการตั้งครรภ์ปกติ
ผลต่อทารก
มีโอกาสคลอดก่อนกำหนด
ภาวะปอดแฟบ (pulmonary hypoplasia)
Amniotic band syndrome
ทารกอยู่ในภาวะคับขัน (fetal distress)
ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (IUGR)
การวินิจฉัย
การวัดโพรงน้ำคร่ำที่ลึกที่สุดในแนวดิ่ง (maximum ventrical pocket, MVP) หากพบว่า MVP มีค่าน้อยกว่า 1 หรือ 2 เซนติเมตร ให้ถือว่า
มีภาวะน้ำคร่ำน้อย
การวัดดัชนีน้ำคร่ำ amniotic fluid index (AFI) มีค่าน้อยกว่า 5 เซนติเมตร
กรณีที่อายุครรภ์น้อยกว่า 10 สัปดาห์ ขนาดของถุงน้ำคร่ำ (mean gestational sac) กับขนาดของทารกต่างกันน้อยกว่า 5 หรือ สัดส่วนระหว่างmean gestational sac ต่อ crown-rump length (CRL) ผิดไปจากค่าสัดส่วนตามเกณฑ์ในแต่ละอายุครรภ์ ให้ถือว่ามีภาวะน้ำคร่ำน้อย
การรักษา
ไตรมาสแรก
มีโอกาสแท้งสูงมากถึงร้อยละ 90 ดังนั้นจะต้องติดตาม เฝ้าระวังภาวะแท้งและติดตามด้วยเครื่องอัลตราซาวน์
ไตรมาสที่สอง
การเติมน้ำคร่ำ (amnioinfusion) ด้วย normal saline/ ringers lactate 5%glucose
การดื่มน้ำมากๆ
การประเมินภาวะความผิดปกติแต่กำเนิด และการรักษาภาวะทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (IUGR)
ไตรมาสที่สาม
ควรเฝ้าตรวจติดตามสุขภาพทารกในครรภ์อย่างใกล้ชิดโดยการทำ non-stress test (NST) ตรวจวัดดัชนีน้ำคร่ำ ตรวจ biophysical profile 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์จนกระทั้งคลอด
การพยาบาล
อธิบายถึงสาเหตุการเกิดภาวะดังกล่าว และแนวทางการรักษา
ดูแลให้ได้รับการใส่สารน้ำเข้าไปในถุงน้ำคร้ำ (amnioinfusion) ตามแผนการรักษาของแพทย์
รับฟังปัญหา แสดงความเห็นอกเห็นใจ และกระตุ้นให้หญิงตั้งครรภ์ระบายความรู้สึก
ทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้า (Intra Uterine Growth Restriction: IUGR)
ทารกที่มีการเจริญเติบโตช้าในครรภ์ ไม่เป็นไปตามปกติ
น้ำหนักแรกคลอดของทารกต่ำกว่าเปอร์เซน
ไทล์ที่10 ที่อายุครรภ์นั้นๆ (small for gestational age: SGA)
ทารกที่มีขนาดเล็กกว่าอายุครรภ์ (small for gestational age: SGA)
ทารกที่มีขนาดเล็กตามธรรมชาติ (constitutionally small)
ทารกที่มีขนาดเล็ก
เนื่องมาจากมารดาตัวเล็ก หรือปัจจัยทางพันธุกรรม
ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (Intra Uterine Growth Restriction: IUGR/ Fetalgrowth restriction: FGR)
ทารกที่มีการเจริญเติบโตช้าผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากภาวะทุพ
โภชนาการ
สาเหตุ
ด้านมารดา
มารดามีรูปร่างเล็ก
ภาวะขาดสารอาหาร
ภาวะโลหิตจางรุนแรง
มารดามีภาวะติดเชื้อ
โรคของมารดา
ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมสุขภาพของมารดา
การตั้งครรภ์แฝด
ด้านทารก
ความพิการแต่กำเนิด ความผิดปกติของโครงสร้าง และอวัยวะของร่างกาย
การติดเชื้อในระยะตั้งครรภ์
ความผิดปกติของโครโมโซม
การจำแนกประเภทของ IUGR
ทารกโตช้าในครรภ์แบบได้สัดส่วน (symmetrical IUGR)
ส่วนที่กว้างของศีรษะ (BPD) เส้นรอบศีรษะ (HC) เส้นรอบท้อง (HC)
ความยาวกระดูกต้นขา (FL) มีค่าต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำในอายุครรภ์นั้น ๆ
ทารกโตช้าในครรภ์แบบไม่ได้สัดส่วน (asymmetrical IUGR)
การวินิจฉัย
การซักประวัติ
โรคประจำตัวของมารดา ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน
การตรวจร่างกาย
การตรวจครรภ์ พบว่าขนาดของมดลูกเล็กกว่าอายุครรภ์ 3 เซนติเมตรขึ้นไป
การชั่งน้ำหนักของสตรีตั้งครรภ์ พบว่า น้ำหนักเพิ่มขึ้นน้อยหรือไม่มีการเพิ่มขึ้นของน้ำหนัก
การตรวจด้วยคลื่นความถี่สูง (ultrasound)
วัดเส้นรอบท้อง (Abdominal Circumference = AC)
วัดขนาดของศีรษะทารก (Biparietal diameter = BPD)
วัดเส้นรอบศีรษะ (Head circumference = HC)
วัดความยาวของกระดูกต้นขา (femur length = FL)
ริมาณน้ำคร่ำ (amniotic fluid volume)
เกรดของรก (placenta grading)
การรักษา
ค้นหาและลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดอันตราย และภาวะแทรกซ้อนกับทารกในครรภ์
ตรวจเฝ้าระวังสุขภาพของทารกในครรภ์อย่างใกล้ชิด โดยการตรวจ U/S ทุก 2-3 สัปดาห์
กำหนดเวลาการคลอดที่เหมาะสม
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
แนะนำมารดาเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร หลีกเลี่ยงการใช้ยาหรือสารเสพติด
แนะนำให้มารดาพักผ่อนมาก ๆ โดยเฉพาะการนอนตะแคงซ้าย
ติดตามสุขภาพของทารกในครรภ์
ระยะคลอด
ติดตาม ประเมินสุขภาพของทารกในครรภ์อย่างใกล้ชิด
ติดตามประเมินความก้าวหน้าของการคลอดอย่างใกล้ชิด
ประเมินการหดรัดตัวของมดลูกและเสียงหัวใจทารกทุกครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง
หลีกเลี่ยงการให้ยาแก้ปวด
เตรียมอุปกรณ์ในการช่วยฟื้นคืนชีพทารกแรกเกิดไว้ให้พร้อม
ระยะหลังคลอด
ให้การดูแลทารกเพื่อเฝ้าระวัง และป้องกันการเกิดภาวะ
hypoglycemia, hypothermia, polycythemia เป็นต้น
การตั้งครรภ์ที่ทารกมีจำนวนมากกว่า 1 คน (Multiple/Twins pregnancy)
การตั้งครรภ์ที่มีทารกในโพรงมดลูกมากกว่า 1 คนขึ้นไป
จัดอยู่ในกลุ่มการตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูง (high risk pregnancy)
ชนิดและสาเหตุการตั้งครรภ์แฝด
แฝดที่เกิดจากไข่ใบเดียวหรือแฝดแท้ (monozygotic twins / identical twins)
เกิดจากการปฏิสนธิจากไข่ 1 ใบ และตัวอสุจิ 1 ตัว
แฝดที่เกิดจากไข่คนละใบ หรือแฝดเทียม (dizygotic twins/ fratemal)
เกิดจากไข่ 2 ใบผสมกับอสุจิ 2 ตัว amnion 2 อัน และ chorion 2 อัน มีรก 2 อัน
สาเหตุการเกิด
เชื้อชาติ (race) พบมากในคนผิวดำ
ัพันธุกรรม (heredity)
อายุมารดา (maternal age) มารดามีอายุมากกว่า 35 ปี
ปัจจัยด้านภาวะโภชนาการ พบในมารดาที่มีรูปร่างใหญ่ มีภาวะโภชนาการดี
มารดามีประวัติใช้ยากระตุ้นเร่งการตกไข
จำนวนครั้งของการตั้งครรภ์
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์
ผลต่อมารดา
ระยะตั้งครรภ์
มีอาการคลื่นไส้อาเจียนมาก
มีภาวะโลหิตจาง
การตกเลือดก่อนคลอด
เกิดภาวะความดันโลหิตสูง
ไม่สุขสบายจากอาการปวดหลัง หายใจลำบาก เส้นเลือดขอด เป็นต้น
เสี่ยงต่อการแท้งสูงหรือคลอดก่อนกำหนด
เกิดถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด
ตั้งครรภ์แฝดน้ำ
เบาหวานในระหว่างตั้งครรภ์ (gestational diabetes)
ระยะคลอด
กล้ามเนื้อมดลูกหดรัดตัวผิดปกติเนื่องจากมีการยืดขยายมากเกินไป
รกลอกตัวก่อนกำหนด
ระยะหลังคลอด
ตกเลือดหลังคลอด
การติดเชื้อหลังคลอด
การเลี้ยงลูกด้วยนมมารดาอาจเกิดความยาดลำบาก
ผลต่อทารก
การแท้ง
ทารกตายในครรภ์
ภาวะคลอดก่อนกำหนด
ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (IUGR)
ทารกอยู่ในท่าผิดปกติ
ทารกขาดออกซิเจน (asphyxia)
Twin-twin transfusion syndrome (TTTS)
ลักษณะทารกแฝดที่เป็นผู้รับ (recipient)
ทารกมีขนาดใหญ่กว่ามีน้ำหนักมากกว่าถึง 1,000
กรัม
เกิดภาวะตัวเหลืองจากการสลายของเม็ดเลือด
(hemolysis) ทำให้เกิดkernicterus
เกิดภาวะความเข้มข้นของเลือดมาก
เกิดภาวะ cardiac hypertrophy
เกิดภาวะน้ำคร่ำมาก (polyhydramnios)
hypertention
ลักษณะทารกแฝดที่เป็นผู้ให้ (donor)
ทารกมีขนาดเล็กกว่า
น้ำตาลในกระแสเลือดน้อย
เกิดภาวะซีดค่อนข้างรุนแรง
เกิดภาวะ cardiac atrophy
เกิดภาวะน้ำคร่ำน้อย
(oligohydramnios)
hypertention
การวินิจฉัย
การซักประวัติ
ประวัติการตั้งครรภ์แฝดในครอบครัวโดยเฉพาะญาติทางฝ่ายผู้หญิง
ประวัติการใช้เทคโนโลยีการช่วยเจริญพันธ
การตรวจร่างกาย ตรวจหน้าท้อง ตรวจภายใน
ขนาดของมดลูกโตมากกว่าอายุครรภ์ (size > date)
คลำพบมี ballottement ของศีรษะ
คลำได้ small part มากกว่าปกติ
ฟังเสียงหัวใจทารกในครรภ์ได้ 2 แห่ง
ยังคลำทารกได้ที่มดลูก
การตรวจพิเศษ
ตรวจด้วยอัลตราซาวด์
ระดับฮอร์โมน estriol, HCG, HPL สูงกว่าปกติ
การถ่ายภาพรังสีทางหน้าท้อง (radiographic examination
แนวทางการดูแลรักษา
ต้องวินิจฉัยให้ได้เร็วที่สุด (early diagnosis)
ป้องกันการคลอดก่อนกำหนด
ดูแลการเจริญเติบโตของทารกอย่างใกล้ชิด ตรวจหาและวินิจฉัยภาวะ IUGR
ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะอันตรายต่อทารกในระยะคลอด และทารกแรกคลอดได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ
หลักการพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
ดูแลให้ได้รับอาหารอย่างเพียงพอ
เฝ้าระวังการเกิดภาวะโลหิตจางอาจให้โฟลิคเสริม
เฝ้าระวังการความดันโลหิตสูงในระหว่างตั้งครรภ์
ควรงดมีเพศสัมพันธ์
ติดตามการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์
ป้องกันการคลอดก่อนกำหนด
ระยะคลอด
การพิจารณาวิธีการคลอด
การคลอดทางช่องคลอดทารกแฝดมีส่วนนำกลุ่มท่าหัว-ท่าหัว หรือท่าหัว-ไม่ใช่ท่าหัว(ก้น-ขวาง)
การผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องกลุ่มที่ไม่ใช่หัว-หัวหรือไม่ใช่หัว- ไม่ใช่หัว
ในรายที่ได้รับการประเมินจากสูติแพทย์ให้คลอดทางช่องคลอด
ตลอดระยะเวลาการเจ็บครรภ์คลอด ให้ติดตั้งเครื่อง EFM
รวจความเข้มข้นของเลือด และเตรียมเลือดไว้ให้พร้อม
ให้มารดางดน้ำ งดอาหาร และให้สารน้ำ
การให้ยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูกควรให้ด้วยความระมัดระวัง
เป็นต้น
ระยะหลังคลอด
เฝ้าระวังการตกเลือดหลังคลอด
ป้องกันการติดเชื้อโดยดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษาและประเมินการติดเชื้อ
แนะนำการดูแลบุตร การเลี้ยงทารกด้วยนมมารดา
แนะนำวิธีการคุมกำเนิด
ทารกพิการ (Fetal anormaly)
ความพิการที่เกิดขึ้นอาจเป็นที่อวัยวะเดียว หรือหลายอวัยวะก็ได้
สาเหตุ
ปัจจัยด้านพันธุกรรม
ความผิดปกติของโครโมโซม
ความผิดปกติของยีนเดียว
ความผิดปกติชนิดพหุปัจจัย
สิ่งแวดล้อม
การใช้ยา การติดเชื้อ สภาพของมารดา และปัจจัยจากมดลูก
ความผิดปกติของทารกสามารถแบ่งได้เป็น 4 กลุ่มดังนี้
Malformation
ความผิดปกติที่เกิดจากยีนและโครโมโซม ได้แก่ ปากแหว่ง เพดานโหว่
ผลมาจากขบวนการของการพัฒนาหรือขบวนการเจริญเติบโตของอวัยวะนั้น
Disruption
เชื้อโรค สารเคมี ยา การขาดเลือดมาเลี้ยงหรืออุบัติเหตุ
ผลมาจากปัจจัยภายนอกมาขัดขวางขบวนการเจริญเติบโตของอวัยวะนั้น
Deformation
ความผิดปกติของรูปร่างของมดลูก การตั้งครรภ์แฝด ภาวะ
น้ำคร่ำน้อย เช่น ภาวะเท้าปุก (club foot)
ผลมาจากแรงภายนอกทำให้โครงสร้างที่กำลังพัฒนาผิดรูปไป
Dysplasia
ผลมาจากความผิดปกติของการจัดระเบียบของเซลล์ที่จะเจริญไปเป็นเนื้อเยื่อ
การป้องกัน
การให้คำแนะนำปรึกษาทางพันธุศาสตร์ (Genetic counseling)
ก่อนการตั้งครรภ์จะต้องได้รับการให้คำแนะนำปรึกษาทางพันธุศาสตร์ตั้งแต่ก่อนการตั้งครรภ์โดยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจเลือดคู่สามีภรรยา
เมื่อตั้งครรภ์ จะทำการตรวจวินิจฉัยก่อนคลอด
การให้คำปรึกษาภายหลังการตรวจวินิจฉัยก่อนคลอด
หลีกเลี่ยงการสัมผัส Teratogen
ภาวะจิตสังคมของครอบครัวที่ต้องเผชิญกับภาวะมีบุตรพิการแต่กำเนิด
ระยะตั้งครรภ์
หญิงตั้งครรภ์มักจะเกิดความเครียดและวิตกกังวลสูงเมื่ออยู่ในระยะที่ต้อง
ตัดสินใจตรวจสอบความผิดปกติของทารกในครรภ
ระยะคลอด
มักจะมีความเครียด กลัว วิตกกังวล เนื่องจากไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าว่าผลการคลอดจะเป็นอย่างไร
ระยะหลังคลอด
ครอบครัวอาจจะเข้าสู่ระยะเศร้าโศก ส่วนใหญ่ครอบครัวจะกลับเข้าสู่ภาวะเดิมอีก คือ ช็อค ปฏิเสธ และกลัว
ปากแหว่งเพดานโหว่
เป็นความพิการแต่กำเนิดของเพดาน
ริมฝีปาก เหงือกส่วนหน้า เพดาน
แข็ง และเพดานอ่อน
โรคปากแหว่ง หมายถึงโรคที่มีความผิดปกติแต่กำเนิดบริเวณริมฝีปากเพดานส่วนหน้าแยกจาก
กัน
โรคเพดานโหว่ หมายถึง โรคที่มีความผิดปกติแต่กำเนิด บริเวณเพดานส่วนหลังแยกจากกัน
สาเหตุ
กรรมพันธุ์
ครอบครัวที่มีพ่อแม่หรือญาติทางฝ่ายพ่อหรือแม่มีประวัติเป็น
สิ่งแวดล้อม
มารดาติดเชื้อหัดเยอรมันในช่วงตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก
มารดาขาดวิตามินและสารโฟเลท เป็นต้น
พยาธิสภาพ
โรคปากแหว่งเพดานโหว่ เกิดระหว่างทารกอยู่ในครรภ์ จะมีการสร้างเนื้อเยื่อริมฝีปากเมื่ออยู่ในครรภ์มารดาตั้งแต่อายุครรภ์ 3-12 สัปดาห์ ต่อมาเพดานอ่อนและเพดานแข็งจะเชื่อมกันสมบูรณ์เมื่อมีอายุครรภ์ประมาณ 11-17 สัปดาห์
อาการและอาการแสดง
ทารกที่มีปากแหว่งเพียงอย่างเดียว จะไม่สามารถอมหัวนมหรือจุกนมได้สนิท
ทารกที่มีเพดานโหว่มักจะสำลักน้ำนมขึ้นจมูกและเข้าช่องหูชั้นกลางหรือสำลักนมเข้าปอดได้
การได้ยินผิดปกติ
การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนต้น
การวินิจฉัย
การตรวจร่างกายในครรภ์ด้วย อัลตร้าซาวน์ สามารถตรวจพบได้เมื่ออายุครรภ์ประมาณ 13-14 สัปดาห์
การตรวจร่างกาย
ตรวจโดยสอดนิ้วตรวจเพดานภายในปาก หรือตรวจในขณะทารกร้องไห้ อ้าปาก จะพบเพดานโหว่ได้
การพยาบาลทารกแรกเกิด
ดูแลด้านจิตใจสำหรับบิดา มารดา
ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลทารกแรกเกิดที่พบปัญหาปากแหว่ง เพดานโหว่
กรณีที่ทารกไม่สามารถดูดนมแม่ได้
ให้ใช้ขวดนมพิเศษที่เป็นพลาสติกอ่อน
ใช้ช้อนหรือแก้ว
จัดท่าทารกให้อยู่ในท่านอนหัวสูงหรือท่านั่ง
ภายหลังการให้ทารกดูดนมหรือให้นมต้องไล่ลมเป็นระยะ ๆ ทุก 15-30 นาที และจัดท่านอนหัวสูง
ดาวน์ซินโดรม
เป็นโรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมที่มีภาวะ
ปัญญาอ่อน
มีศีรษะค่อนข้างเล็ก เบน ตาเฉียงขึ้น ดั้งจมูกแบน ปากเล็ก
ลิ้นมักยื่นออกมา เรียกว่า “mongoloids face”
สาเหตุ
เกิดจากการมีโครโมโซมเกินไป 1 แท่ง คือโครโมโซมคู่ที่ 21 มี 3 แท่ง แทนที่จะมี 2 แท่งตามปกติ ความผิดปกตินี้เรียกว่า trisomy 21
อาการ
ผู้ชายมีองคชาติขนาดเล็กหว่าปกติ ผลิตสเปิร์มได้
น้อย แต่ในผู้หญิงสามารถมีบัตรได้แม้รอบเดือนจะมาไม่สม่ำเสมอ
ลักษณะภายนอกที่พบ
เตี้ย
ศีรษะเล็ก
ตาเฉียงขึ้น
ดั้งแบน
ท้ายทอยแบน
ใบหูเล็ก ต่ำ
คอสั้น
หน้าแบน
ปัญญาอ่อน จะมีพัฒนาการช้าหว่าเด็กธรรมกา มี IQ เฉลี่ย 25-50
โรคหัวใจแต่กำเนิด ความผิดปกติของทางเดิน
อาหาร
การวินิจฉัย
การตรวจโครโมโซมโดยวิธี chorionic villus เมื่ออายุครรภ์ 9-12 สัปดาห์
การซักประวัติครอบครัว หรือ มารดาที่มีอายุมากกว่า 35 ปี
การรักษา
รักษาแบบประคับประคองตามอาการ มุ่งเน้นให้เด็กสามารถ
ช่วยเหลือตัวเองได้
ทารกศีรษะบวมน้ำหรือภาวะน้ำคั่งในโพรงสมอง (Hydrocephalus)
ภาวะที่มีการคั่งของน้ำไขสันหลังในกะโหลกศีรษะบริเวณเวนตริเคิล (ventricle) ของสมองและ subarachnoid space มากกว่าปกติ น้ำไขสันหลังที่คั่งปริมาณจะทำให้เกิดความดันภายในกะโหลกศีรษะเพิ่มขึ้น
พยาธิสภาพ
ภายในกะโหลกศีรษะประกอบด้วย เนื้อสมองและเยื่อหุ้มสมอง น้ำไขสันหลัง และโลหิตดังนั้นความดันในกะโหลกศีรษะจึงเกิดจากผลรวมของความดันจากส่วนประกอบที่กล่าวมาส่งผลให้เกิดการเพิ่มขึ้นของความดันในกะโหลกศีรษะ ถ้าหากทารกที่มีความดันกะโหลกศีรษะสูงที่เกิดจากปริมาณน้ำไขสันหลังที่เพิ่มขึ้น ทารกที่ซึ่งกะโหลกศีรษะยังปิดไม่สนิท สามารถเพิ่มปริมาตรของกะโหลกศีรษะ ทำให้ทารกมีขนาดของศีรษะที่ใหญ่กว่าปกติ
การวินิจฉัย
การซักประวัติ
ประวัติการติดเชื้อโรคบางชนิด
ประวัติการได้รับยาขณะตั้งครรภ์ได้แก่ Aminophyrine หรือ Amethopterin
ตรวจพบปริมาณน้ำคร่ำมากผิดปกติ
การตรวจร่างกาย
จากการตรวจหน้าท้อง
การตรวจพิเศษ เช่น skull X – ray, Ultrasound
การรักษา
ขณะตั้งครรภ์ครรภ์
ติดตามการเปลี่ยนแปลง
อาจพิจารณายุติการตั้งครรภ์กรณีเป็นรุนแรงมาก
อาจเลือกยุติการตั้งครรภ์ตั้งแต่อายุครรภ์ยังน้อยซึ่งไม่สามารถเลี้ยงรอดได้
รักษาด้วยการใส่ shunt ในครรภ์
การดูแลทารก
ให้การพยาบาลทารกแรกเกิดโดยทั่วไป
ให้การพยาบาลตามอาการ วัดขนาดของรอบศีรษะทารกทุกวัน
สังเกตอาการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ
อธิบายให้บิดามารดาเข้าใจสภาพของทารก
บันทึกอาการและการพยาบาล
ทารกศีรษะเล็ก (Microcephaly)
เกิดจากสมองเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ หรือหยุดการเจริญเติบโต และเนื่องจากการเจริญเติบโตของกระดูกกะโหลกศีรษะส่วนใหญ่ขึ้นกับการเจริญเติบโตของสมอง จึงเป็นสาเหตุให้ศีรษะมีขนาดเล็ก
พยาธิสภาพ
สมองของทารกจะมีขนาดเล็ก น้ำหนักน้อยกว่าปกติ จำนวนและความลึกของคลื่นหรือรอยหยักของเนื้อสมองจะลดลง สมองส่วน Frontal lobe จะมีขนาดเล็กและไม่ได้สัดส่วนกับCerebellum ซึ่งมีขนาดใหญ
การวินิจฉัย
การซักประวัติ
มารดามีประวัติเป็น Phenylketonuria
มารดาเป็น Rubella, Syphilis
พบว่ามีพี่น้องเคยเป็น Microcephaly
ได้รับรังสีขณะอยู่ในครรภ์
เกิดภาวะ Anoxia ขณะอยู่ในครรภ์
มารดาได้รับเชื้อโรคไข้ซิกา
อาการและอาการแสดง
ขนาดของศีรษะเล็กกว่าปกติหน้าผากเล็ก
ใบหูใหญ่
ผลการตรวจทางห้องทดลอง ได้แก่ Skull X-ray, Lumbar serologic test
การรักษา
มุ่งเน้นให้เด็กสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานมากขึ้น และป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อชีวิตเด็กได้เท่านั้น
การพยาบาล
การดูแลเกี่ยวกับท่านอน การหายใจ การ
ให้ความอบอุ่น
ให้การพยาบาลตามอาการและอาการแสดง
สังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงต่าง ๆ และอาการเปลี่ยนแปลงทางระบบประสาท
อธิบายให้บิดามารดาเข้าใจเกี่ยวกับสภาพของทารก
บันทึกอาการแลอาการแสดง
ภาวะหลอดประสาทไม่ปิด (neural tube defects: NTDs)
Open type NTDs คือมีการเปิดของ neural tissue กับสิ่งแวดล้อมภายนอก
Closed type NTDs หรือ spina bifida occulta คือ NTD ที่มีผิวหนังภายนอกคลุมไว้และไม่มี expose ของ neural tissue ออกมาภายนอก
สาเหตุของการเกิด NTDs
Genetic factors
Environmental factors
geography
ethnicity
nutrition
maternal illness
เยื่อหุ้มไขสันหลังยื่น (Spina bifida)
ความผิดปกติของท่อประสาทตั้งแต่แรกเกิดจากพัฒนาการที่
ผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง
พยาธิสภาพ
Spina Bifida เป็นความบกพร่องของกระดูกไขสันหลัง มีถุงยื่นผ่านจากกระดูกไขสันหลังออกมาตามตำแหน่งที่บกพร่องนั้น
ชนิดของกระดูกสันหลังโหว่
spin bifida occulta
เป็นความผิดปกติของกระดูกสันหลังตรงตำแหน่ง vertebal
arches ทำให้เกิดช่องโหว่ระหว่างแนวกระดูกสันหลัง
spina bifida cystica
เป็นความผิดปกติของส่วนโค้งกระดูกสันหลัง ทำให้มีการยื่นของไข
สันหลังหรือเยื่อหุ้มสมองผ่านกระดูกสันหลังออกมา
meningocele
มีลักษณะคล้ายกับชนิดที่หนึ่ง แต่มีก้อนยื่นผ่านกระดูกสันหลังที่
ผิดปกติออกมา ก้อนหรือถุง
myelomeningocele
มีความผิดปกติของกระดูกสันหลัง ที่มีก้อนยื่นผ่านกระดูกสันหลังที่ผิดปกติออกมา
การวินิจฉัย
อาการแสดงโดยตรง พบมีกระดูกสันหลังแยก และพบอาจพบ myelomeningocele sacยื่นออกจากด้านหลังของกระดูกไขสันหลัง
การซักประวัติ
ได้รับยาบางชนิดขณะตั้งครรภ์ ได้แก่ Valproic acid
ีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์
ตรวจพบปริมาณน้ำคร่ำมากผิดปกติ (Polyhydramios)
อาการและอาการแสดง
มีก้อนสีแดง นุ่มตรงบริเวณช่องต่อระหว่างกระดูกของกระดูกสันหลังหรือบริเวณสะโพก (Sacrum) และบริเวณบั้นเอว (Lumbar)
การรักษา
ชนิด spina bifida cystica มีวิธีการรักษาโดยการผ่าตัดปิดซ่อมแซมรอยโรคภายใน 24-48 ชั่วโมงภายหลังคลอด
กระดูกสันหลังโผล่ชนิด spin bifida occulta ไม่จำเป็นต้องรักษา
การพยาบาล
ให้นอนในท่าตะแคง หรือนอนคว่ำ
ให้การพยาบาลตามอาการ
สังเกตอาการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ
อธิบายให้มารดาเข้าใจเกี่ยวกับสภาพทารก
บันทึกอาการและการพยาบาล
การให้folic acid ในสตรีตั้งครรภ
การดูแลและการพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
ตรวจสอบความพิการของทารกในครรภ์ เพื่อยืนยันภาวะดังกล่าว
ดูแลให้การสนับสนุนทางด้านจิตใจ
ระยะคลอด
ให้ได้รับการสิ้นสุดการตั้งครรภ์ตามแผนการรักษาของแพทย
ประเมินสุขภาพของทารกในครรภ์ ฟังเสียงหัวใจทารก และประเมินการหดรัดตัวของ
มดลูก
ระยะหลังคลอด
ประเมินความต้องการสัมผัสทารก
ให้การประคับประคองทางด้านจิตใจ
ทารกตายในครรภ์(Fetal demise)
การตายของทารกในระยะแรก (early fetal death)
การตายก่อนอายุครรภ์ 20 สัปดาห์
การตายของทารกในระยะกลาง (intermediate fetal death)
การตายระหว่างอายุครรภ์20-28 สัปดาห์
การตายของทารกในระยะสุดท้าย (late fetal death)
การตายตั้งแต่อายุครรภ์ 28 สัปดาห์
ขึ้นไป บางครั้งหมายถึงทารกตายคลอด
สาเหตุ
ด้านมารดา
มีภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์โรคทางอายุรศาสตร์
มารดาอายุมากกว่า 35 ปี
ภาวะทางสูติกรรม
ไม่มาฝากครรภ์ หรือมาฝากครรภ์ไม่ครบตามกำหนด
ีภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด รกเกาะต่ำ
ความผิดปกติของสายสะดือ
ได้รับอุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บขณะตั้งครรภ์
ยาหรือสารเสพติดอื่น ๆ
ด้านทารก
มีภาวะพิการแต่กำเนิด
ทารกมีภาวะเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (IUGR)
มีการกดทับสายสะดือจากสายสะดือย้อย (prolapsed cord)
ด้านรก
รกลอกตัวก่อนกำหนด การติดเชื้อในโพรงมดลูก เส้นเลือดอุดกั้นในสายสะดือ สายสะดือผิดปกติ เช่น knot หรือ entanglement
การวินิจฉัย
จากการซักประวัติมารดาพบทารกไม่ดิ้นหรือดิ้นน้อยลง
การตรวจร่างกาย
น้ำหนักตัวของมารดาคงที่หรือลดลง เต้านมมีขนาดเล็กลง
คลำยอดมดลูกพบว่าไม่สัมพันธ์กับอายุครรภ์ไม่พบว่าทารกมีการเคลื่อนไหว
ฟังเสียงหัวใจทารกไม่ได้
พบสิ่งคัดหลั่งสีน้ำตาลไหลออกทางช่องคลอด
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยการ ultrasound
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ด้านร่างกาย
มีโอกาสเกิดภาวะเลือดไม่แข็งตัว (coagulopathy)
เกิดภาวะลิ่มเลือดกระจายอยู่ทั่วร่างกาย (disseminated intravascular coagulation: DIC) เป็นต้น
ด้านจิตใจ
ทำให้เกิดความรู้สึกสูญเสีย ตกใจ ซึมเศร้า โทษตัวเอง
การรักษา
ไตรมาสแรก
ทำการ dilatation and curettage หรือ suction curettage
ไตรมาสที่สอง
เหน็บยา prostaglandin ได้แก่ PGE2 และ misoprostol
ทางช่องคลอด หรือให้ oxytocin ทางหลอดเลือดดำ
ไตรมาสที่สาม
ให้oxytocin ปริมาณความเข้มข้นสูง ทางหลอดเลือดดำ
การพยาบาล
ให้การประคับประคองทางด้านจิตใจ
แนะนำให้สามีและครอบครัวให้กำลังใจ ปลอบใจ
ประเมินความต้องการสัมผัสกับทารกแรกคลอดที่เสียชีวิต
ดูแลให้ได้รับการสิ้นสุดการตั้งครรภ์ ตามแผนการรักษาของแพทย์
ติดตามผลการตรวจเลือดเพื่อหาระยะการแข็งตัวของเลือด
ให้ได้รับยายับยั้งการหลั่งน้ำนมตามแผนการรักษาของแพทย์