Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ปัญหาที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ - Coggle Diagram
ปัญหาที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ
ข้อเสื่อม
อาการและอาการแสดง
ปวด ปวดตื้อ ๆ บริเวณข้อ ปวดมากเมื่อใช้งานหรือลงน้ำหนักบนข้อนั้น ทุเลาเมื่อพักใช้งาน
ข้อฝืด พบบ่อย ในช่วงเช้าและหลังพักใช้ข้อนั้นนาน ๆ
ข้อเสื่อมมักเป็นหลายข้อ เป็นมากที่สุดคือข้อที่รับน้ำหนักมาก
ข้อบวมผิดรูป อาจพบเข่าโก่ง เข่าฉิ่ง
การวินิจฉัย
ซักประวัติและตรวจร่างกาย การตรวจข้อเข่าพบลักษณะที่สำคัญคือ ข้อบวม
การถ่ายภาพรังสี พบช่องว่างระหว่างกระดูกเข่าแคบลงหมายถึงกระดูกอ่อนมีการสึกหรอ
ปัจจัยชักนำ
อายุ การใช้งานข้อมากเกินไป เป็นเวลานาน
บาดเจ็บที่ข้อ โรคอ้วน
ขาดวิตามินดีและซี กรรมพันธุ์
การรักษา
เป้าหมาย สำคัญ
แก้ไขหรือคงสภาพการทำงานของข้อให้ปกติ
ป้องกันและชะลอภาวะแทรกซ้อน
เพื่อบรรเทาอาการปวด ลดการอักเสบ
ให้มีคุณภาพชีวิตใกล้เคียงคนปกติ
การรักษาโดยไม่ใช้ยา
การรักษาโดยการใช้ยา
การรักษาโดยใช้เวชศาสตร์ฟื้นฟู
การรักษาโดยการผ่าตัด
ลักษณะสำคัญของโรคข้อเสื่อม
พบมากในวัยสูงอายุ
เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับข้อที่เคลื่อนไหวได้ ทำให้มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว
มีการเสื่อมทำลายของกล้ามเนื้อและกระดูกบริเวณข้อ โดยไม่มีการอักเสบของข้อ
กระดูกอ่อนผิวข้อเสื่อมเป็นรอยถลอกกรอนไป ร่วมกับมีการสร้างกระดูกใหม่บริเวณขอบข้อ
การบริหารกล้ามเนื้อ
การพักกล้ามเนื้อเป็นวิธีที่ดีสำหรับการรักษาข้อเข่าเสื่อม แต่ต้องมีการออกกำลังหรือบริหารข้อเข่าอย่างเหมาะสม
นั่งบนเก้าอี้ให้นั่งห้อยเท้าไว้ ผูกน้ำหนักที่ข้อเท้าประมาณ 2-5 กิโลกรัมไว้ที่ขาทั้งสองข้าง ให้ทำวันละ 1-3 ครั้ง
นั่งบนเก้าอี้ พักเท้าข้างหนึ่งไว้บนพื้น เท้าอีกข้างหนึ่งวางบนเก้าอี้
ให้นั่งบนเก้าอี้ หลังพิงพนัก ยกเท้าขึ้นมาและเกร็งกล้ามเนื้อต้นขาโดยการกระดกข้อเท้าให้นับถึง5- 10วินาที
ให้นอนหงาย ยกเท้าข้างหนึ่งงอตั้งไว้ อีกข้างหนึ่งยกสูงขึ้นจากพื้นเกร็ง 1 ฟุต
ให้ยืนหลังพิงกำแพง ให้เคลื่อนตัวลงจนเข่างอ 30 องศา แล้วให้ยืนขึ้น
ความหมาย
การเสื่อมของข้อ ที่มีการเปลี่ยนแปลงกระดูกอ่อนผิวข้อ สึกบางลง ทำให้มีการเสียดสีของกระดูก เกิดเสียงเมื่อเคลื่อนไหว อาการปวด ข้อฝืด เมื่อเวลาผ่านไปจะมีกระดูกงอกเข้าในข้อ ทำให้ปวดข้อมากยิ่งขึ้นและเคลื่อนไหวลำบาก มีผลทำให้ข้อผิดรูปและพิการ
การพยาบาล
แนะนำให้พักใช้ข้อในระยะที่มีการอักเสบเฉียบพลัน ลดการนั่ง ยืน เดินนาน ๆ
ประคบความร้อนเพื่อลดอาการปวด สวมถุงเท้าหรือใช้ผ้าคลุม ห่อหุ้มบริเวณข้อเพื่อให้ความอบอุ่น
แนะนำใช้ไม้เท้าหรือเครื่องพยุงเดิน ควรถือไม้เท้าด้วยมือตรงข้ามข้างที่เจ็บ
ประเมินปัจจัยที่ทำให้อาการปวดเพิ่มขึ้นหรือทำให้อาการปวดลดลง เพื่อวางแผนป้องกันและควบคุม
ออกกำลังกายเพื่อคงไว้ซึ่งพิสัยของข้อ (range of motion exercise: ROM)
ดูแลด้านจิตใจ ให้ผู้ป่วยระบายความรู้สึกที่ไม่สบายใจ
ไม่ควรใช้พรมปูพื้น เพื่อป้องกันการสะดุดหกล้ม
กระดูกพรุน
อาการและอาการแสดง
น้ำหนักลด
กล้ามเนื้อเกร็งโดยเฉพาะบั้นเอว
Dowager’s hump กระดูกสันหลังโค้ง
การก้มทำได้น้อยกว่าการแหงนเหยียด
ปวดหลัง จะปวดร้าวไปยังปลายเท้า จะมีอาการมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหว
การรักษา
การรักษาโดยใช้ยา ต้องทำควบคู่กับการรักษาโดยไม่ใช้ยาเสมอ
หลักการเลือกใช้ยา คือ ป้องกันไม่ให้กระดูกหัก ดังนั้นจึงมีหลักเกณฑ์การกำหนดว่าผู้ป่วยใดควรได้รับยา
ยาที่เลือกใช้ คือ biphosphonate เพิ่มความหนาแน่นกระดูก
การรักษาโดยไม่ใช้ยา การได้รับปริมาณแคลเซียม วิตามินดีเพียงพอ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
การใช้ยาที่มีผลการสลายเนื้อกระดูก เช่น สเตียรอยด์
การไม่ได้เคลื่อนไหวหรือขาดการออกกำลังกาย
รูปร่างเล็กผอม เพราะมีปริมาณเนื้อกระดูกน้อยกว่า
รับประทานอาหารเค็มจัด รับประทานอาหารโปรตีนสูง ขาดวิตามินดี
หญิงมากกว่าชาย เพราะมีปริมาณเนื้อกระดูกน้อยกว่า30% สตรีวัยหมดประจำเดือน ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง
การวินิจฉัย
การส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น CBC, แคลเซียม, ฟอตเฟต, อัลบูมิน วิตามินดี (25- hydroxyvitamin D)
การวินิจฉัยกระดูกพรุนตามเกณฑ์ WHO
ใช้ Dual Energy X-ray Absorptionmetry (DEXA) ตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก
ความหมาย
โรคที่ความหนาแน่นของเนื้อกระดูกลดน้อยลงเรื่อย ๆ และมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของกระดูก ซึ่งมีผลให้กระดูกไม่สามารถรับน้ำหนักหรือแรงกดได้
การพยาบาล
ระมัดระวังในการจัดท่า การเคลื่อนไหว และออกกำลังกาย
ประเมินและติดตามอาการปวด
กระตุ้นให้มีกิจกรรม มีการเคลื่อนไหว ให้เวลาในการทำกิจกรรมและถูกแสงแดด
ให้การดูแลด้านอารมณ์ จิตใจ ให้ระบายความรู้สึก มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ป่วยอื่นที่มีปัญหาเหมือนกัน
ดูแลให้รับประทานอาหารที่แคลเซียมสูง ควรได้รับวันละ 1500 มิลลิกรัม
ให้ยาแก้ปวดตามแผนการรักษา และใช้วิธีอื่น ๆ ในการลดอาการปวด
โรคหลอดเลือดสมอง
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค
ปัจจัยเสี่ยงที่ปรับเปลี่ยนไม่ได้ ได้แก่ อายุ เพศ พันธุกรรม ชาติพันธ์
ปัจจัยเสี่ยงที่ปรับเปลี่ยนได้ ได้แก่ Atrial fibrillation ความดันโลหิตสูงโรคหลอดเลือดหัวใจ ความผิดปกติของหลอดเลือดแดง Carotid การสูบบุหรี เบาหวาน เคยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง
การประเมินสภาพ
ตรวจร่างกาย เช่น ระดับความรู้สึกตัว การอ่อนแรงของกล้ามเนื้อใบหน้า
การประเมินด้วย Cincinnati prehospital stroke scale
ซักประวัติ
อาการแสดงที่ต้องรายงานแพทย์ทันที BP: SBP > 185-220 mmHg, DBP>120-140 mmHg ,GCS < 10,. DTX<50mg%, เจ็บหน้าอก ชัก เกร็ง กระตุก เหนื่อยหอบ
อาการ
หน้าเบี้ยว เเขนขาอ่อนแรง พูดไม่ชัด
ปวดศีรษะ อาเจียน ชัก สับสน
ความรู้สึกตัวลดลง กลืนลําบาก
การตรวจวินิจฉัย
ตรวจทางห้องปฏิบัติการ: CBC, PT, PTT, INR, Glusose, E+, EKG, BUN, Cr+, ABG, Lipid profife; LDL, HDL, Cholesterol
การตรวจทางรังสี: CT (computer tomography) เพื่อตรวจสอบภาวะเลือดออกในสมอง MRI (Magnetic resonance imaging) เพื่อตรวจสอบหาภาวะสมองขาดเลือดเฉียบพลัน
ชนิดของโรคหลอดเลือดสมอง
เกิดจากสมองขาดเลือด
เกิดจากมีเลือดออกในสมอง
การพยาบาล
ขณะให้ยาละลายลิ่มเลือด
งดน้ำและอาหารทางปาก ยกเว้นยา
กรณีที่สงสัยว่าจะมีเลือดออกในสมอง เช่น ปวดศีรษะ GCS ลดลง BP สูง คลื่นไส้อาเจียน ให้หยุดการให้ยาละลายลิ่มเลือด เจาะ lab เตรียมให้ FFP ตามแผนการรักษา
งดกิจกรรมเหล่านี้หลังได้รับยา 24 hr
ให้ยา heparin/warfarin/antiplatelet แทงสายเข้าหลอดเลือดดำส่วนกลาง เป็นต้น
หลีกเลี่ยงการให้สารน้ำที่มีน้ำตาลกลูโคส
การเตรียมยา คำนวนยาตามน้ำหนักตัว คือ 0.6-0.9 mg/kg ไม่เกิน 90 mg ผสมยาใน sterile water
ให้ยาลดกรดเพื่อป้องกันเลือดออกในระบบทางเดินอาหารตามแผนการรักษา
อธิบายญาติเข้าใจข้อดี ข้อเสียของการได้รับยาละลายลิ่มเลือด ให้ลงนามในใบยินยอมการรักษา
ระยะพักฟื้นและฟื้นฟูสภาพ
ผู้ป่วยและญาติเข้าใจความสำคัญของการรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง ห้ามหยุดยาหรือเพิ่มขนาดยาเอง
เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยและญาติซักถาม
หลีกเลี่ยงการไอและจามแรง ๆ
วัดสัญญาณชีพและอาการทางระบบประสาท
ห้ามจัดท่านอนคว่ำหรือนอนศีรษะต่ำ
ประเมินอาการแสดงความดันในกระโหลกศีรษะสูง ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ชีพจรช้า
ระยะฉุกเฉินและวิกฤติ
ไม่ควรให้ Nifedipine อมใต้ลิ้นหรือทางปาก เพราะทำให้ความดันโลหิตลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้สมองขาดเลือดไปเลี้ยงมากขึ้น
ให้ยาลดไข้กรณีที่มีไข้ พร้อมทั้งสาเหตุและการรักษาตามสาเหตุ
ประเมินความรู้สึกตัวและภาวะเลือดออกในสมอง เช่น ปวดศีรษะ ความรู้สึกตัวลดลง ความดันโลหิตสูงขึ้น
จัดท่านอนศีรษะสูง 30 องศา เพื่อให้เลือดดำไหลกลับสมองได้ดีขึ้น
เฝ้าระวังไม่ให้เกิดภาวะพร่องออกซิเจนในเลือดและการหายใจที่ผิดปกติ
หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้ความดันในช่องอก ช่องท้องเพิ่มขึ้น
คำจำกัดความ
ภาษาไทย คือ โรคอัมพาต เช่น Stroke Cerebrovascular disease
การรักษา
การรักษาแบบทางด่วน (fast track)
กรณีที่เป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน และเข้ารับการรักษาภายในโรงพยาบาลไม่เกิน 3 ชั่วโมง
Reperfusion therapy คือ ให้ยาละลายลิ่มเลือดขนาด 0.9 มก./กก. ไม่เกิน 90 มก. ทางหลอดเลือดดำ
Prevention therapy ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบ ควรได้รับแอสไพริน 160-325 มิลลิกรัมต่อวัน ภายใน 48 ชั่วโมง
การป้องกันการกลับเป็นซ้ำ ได้แก่ การป้องกันเกล็ดเลือดเกาะตัว
การรักษาแบบไม่ใช่ทางด่วน
ภาวะท้องผูก
ความสูงอายุกับการขับถ่ายอุจจาระ
ขับถ่ายช้า โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ถูกจำกัดให้นอนบนเตียงนาน ๆ
ถ่ายอุจจาระออกไม่หมด เนื่องจากสมรรถภาพความตึงตัวของกล้ามเนื้อลดลง สุขนิสัยการขับถ่ายไม่ดี สภาพจิตใจสับสน มีภาวะซึมเศร้าทำให้ไม่อยากทำกิจกรรม
ละเลยต่อการปวดถ่ายอุจจาระ
ได้รับอาหารน้อยลง
ดื่มน้ำไม่เพียงพอ น้อยกว่า 1000 มิลลิลิตรต่อวัน
ประเมินอาการท้องผูก
โดยการซักประวัติ เช่น แบบแผนการขับถ่าย ความถี่ ลักษณะอุจจาระ ความปวด ยาที่ใช้ การสวนอุจจาระ แบบแผนการรับประทานอาหาร กิจกรรม ความเครียด
การตรวจร่างกาย เช่น การฟังเสียงลำไส้บีบตัว ลดลงหรือเพิ่มขึ้น แสดงถึงลำไส้อุดตัน กดเจ็บ
ชนิดของภาวะท้องผูก
แบ่งตามลักษณะการขับถ่ายอุจจาระ
ภาวะท้องผูกชนิดถ่ายลำบาก หรือเจ็บปวดในขณะถ่ายเกิดจากลักษณะนิสัยการขับถ่ายไม่ดีจากการกลั้นอุจจาระเป็นประจำ ภาวะท้องผูกที่มีการไหลอุจจาระในลำไส้อย่างช้า ๆ
แบ่งตามสาเหตุการทำให้เกิดท้องผูก
Secondary constipation
มีก้อนเนื้องอกของลำไส้ ลำไส้กลืนกัน ไส้เลื่อน
การเคลื่อนไหวของลำไส้ผิดปกติ
แบ่งตามสาเหตุการทำให้เกิดท้องผูก
Primary constipation เกิดขึ้นเองโดยไม่มีโรคอื่นเป็นสาเหตุนำมาก่อน อาจเกิดจากการกินอาหารที่มีกากน้อยการละเลยไม่ถ่ายอุจจาระทันทีที่ปวดถ่าย
การพยาบาล
แนะนำรับประทานอาหารอย่างเพียงพอ และอาหารที่มีเส้นใย
การฝึกการขับถ่าย โดยกำหนดเวลาที่แน่นอนในแต่ละวัน
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ
กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ โดยการพลิกตะแคงตัวทุก 2 ชั่วโมง
แนะนำให้ดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้วเป็นอย่างน้อย โดยเฉพาะหลังตื่นนอนตอนเช้าควรดื่มน้ำ 1 แก้ว เพื่อช่วยระบบขับถ่าย
ออกกำลังกายอวัยวะที่ช่วยในการขับถ่าย คือ กล้ามเนื้อหน้าท้องและกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
เคี้ยวอาหารให้ละเอียด
ความหมาย
ภาวะที่บุคคลรับรู้ด้วยประสบการณ์ว่า การทำงานหรือการเคลื่อนไหวของลำไส้ที่เปลี่ยนแปลง โดยมีการลดลงของจำนวนครั้งของการถ่ายอุจจาระ และ/หรือ การถ่ายอุจจาระลำบาก อุจจาระมีลักษณะแห้งแข็ง
โรคเบาหวาน
เกณฑ์วินิจฉัยเบาหวาน
ผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดหลังงดน้ำงดอาหารมากกว่าหรือเท่ากับ 126 mg%
ผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดที่เวลา 2 ชั่วโมงหลังทำการทดสอบความทนกลูโคสมากกว่า 200 mg%
มีอาการของโรคเบาหวานร่วมกับมีระดับน้ำตาลกลูโคสในพลาสมาจากหลอดเลือดดำมากกว่าหรือเท่ากับ 200 มก./ดล.
ภาวะแทรกซ้อน
Hypoglycemia หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น เหงื่อออก ตัวเย็น หน้าซีด
Nonketotic hyperglycemic-hyperosmolar coma (NKHHC)
Myocardial infarction, Hypertension, Stroke, peripheral vascular disease, neuropathy, amputation
Retinopathy
อาการและอาการแสดง
กินจุ ปัสสาวะบ่อย ดื่มน้ำมาก น้ำหนักลด
ติดเชื้อบ่อย โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรีย รา ผิวหนัง มีแผลหายยาก
ระบบประสาททำงานบกพร่อง เช่น ชา เจ็บ ปวดแสบปวดร้อน
โรคหลอดเลือดแดงขนาดเล็กทำให้โปรตีนรั่วออกมากับปัสสาวะ เป็นที่ตา ทำให้เกิด macular disease
การควบคุมเบาหวาน
การออกกำลังกาย
การใช้ยาฉีด คือ อินสุลิน และยารักษาเบาหวานชนิดรับ
การบริโภคอาหารที่เหมาะสม
การลดน้ำหนัก / การติดตามผลการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ควรดูค่า HBA1C เป็นหลัก
การถูกตัดขา
เท้าเย็น และมีอาการปวดเป็นพัก ๆ
ค่อยๆเปลี่ยนแปลงรูปร่างของนิ้ว
สีและความหยาบของผิวหนังเปลี่ยน
ปัจจัยชักนำ
เกิดการดื้ออินสุลินเนื่องจากสูงอายุ
โรคอ้วน กิจกรรมด้านร่างกายลดลง
ปริมาณอินสุลินลดลงเนื่องจากภาวะสูงอายุ
ยาที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง เช่น corticoteriod
การพยาบาล
โภชนบำบัด 9 ประการ
แนะนำผู้เป็นเบาหวานเกี่ยวกับการใช้อินสุลิน
ชนิดออกฤทธิ์เร็วต้องรับประทานอาหารทันที ออกฤทธิ์สั้นรับประทานอาหารหลังฉีด 30 นาที
หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสหวานจัด เค็มจัด
ห้ามนวดหรือคลึงบริเวณฉีด เพราะยาดูดซึมเร็ว
ส่งเสริมให้มีความรู้และสามารถปฏิบัติเพื่อควบคุมโรคเบาหวาน เช่นโปรแกรมสอนสุขศึกษาการแนะนำเรื่องอาหาร
บอกถึงประโยชน์ของการออกกำลังกายควรออกกำลังกายโดยให้มีการเคลื่อนไหวร่างกาย โดยเฉพาะกล้ามเนื้อแขน ขา ลำตัว อย่างต่อเนื่องกันนาน 20 นาทีขึ้น
บอกถึงภาวะแทรกซ้อนจากการออกกำลังกาย
แนะนำการดูแลสุขภาพเท้า เช่น
ล้างเท้าให้สะอาดทุกวันหลังอาบน้ำ
ซับเท้าให้แห้งด้วยผ้าสะอาด
สำรวจเท้าตนเองทุกวัน
ประเภทเบาหวาน
เบาหวานชนิดที่1พบในเด็กเกิดจากตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินสุลินได้ ต้องรักษาโดยการฉีดอินสุลิน
เบาหวานชนิดที่ 2 ส่วนใหญ่เกิดจากโรคอ้วน
ตับอ่อนยังพอผลิตอินสุลินได้ แต่มีภาวะดื้อต่ออินสุลิน
ต่อมลูกหมากโต
อาการ
ปัสสาวะไม่พุ่งเป็นลำเล็ก ๆ
ปัสสาวะไม่สุดเหมือนคนที่ยังไม่ได้ปัสสาวะ
ปัสสาวะบ่อย ต้องตื่นกลางคืนเนื่องจากปวดปัสสาวะ
ปัสสาวะต้องเบ่งเมื่อเริ่มปัสสาวะ หรือรอนานกว่าจะปัสสาวะออกมาได้
พยาธิสภาพ
ผนังด้านข้างหรือด้านในของต่อมลูกหมากจะเพิ่มจำนวนเซลล์มากผิดปกติ เกิดเป็นก้อน
เบียดเนื้อเยื่อเดิมให้บางออกจนเหมือนเปลือกหุ้มหรือเป็นแคบซูล เปรียบได้กับผลส้ม
ต่อมลูกหมากที่โตจะเปรียบเหมือนกลีบส้มส่วนของเดิมจะเปรียบเหมือนเปลือกส้ม
ทางเดินปัสสาวะจะถูกอุดกั้น
ปัสสาวะลำบากปัสสาวะไหลไม่สะดวก
อุดตันหรือมีการไหลย้อนกลับเป็นเวลานานก็จะทำให้เกิดไตวาย
ภาวะแทรกซ้อน
กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไม่ดีเกิดการคั่งของปัสสาวะ
เกิดการติดเชื้อได้ง่าย
ไตเสื่อม
กลั้นปัสสาวะไม่ได้
ปัสสาวะเล็ด
นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
สาเหตุ
ไม่ทราบชัดเจน
การโตของต่อมลูกหมากสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงตามวัย
ฮอร์โมน dihydrotestosterone หรือ DHT เกี่ยวข้องกับการเกิด BPH
วัยสูงอายุระดับเทสโตเสตอโรนในเลือดจะลดลงแต่ระดับ DHT จะคั่งอยู่ในต่อมลูกหมาก
การวินิจฉัยโรค
การซักประวัติ
สอบถามอาการถ่ายปัสสาวะผิดปกติ
ระยะเวลาที่เริ่มอาการถ่ายปัสสาวะผิดปกติ
ลักษณะของขับถ่ายปัสสาวะ
การตรวจร่างกาย
ควรตรวจร่างกายในทุกระบบมิใช่ตรวจเฉพาะระบบที่มีปัญหา
อาจจะมีปัญหาเลือดจาง
บวมตามตัวเนื่องจากมีภาวะ Azotemia
อาจติดเชื้อของไตเคาะบริเวณบั้นเอวด้านหลังมีอาการเจ็บ
คลำและเคาะบริเวณหน้าท้องเหนือหัวหน่าวจะพบกระเพาะปัสสาวะโป่งนูนมีเสียงทึบ เนื่องจากมีการคั่งค้างของปัสสาวะ
ตรวจทางทวารหนัก เพื่อดูขนาดและลักษณะต่อมลูกหมาก
การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
ตรวจปัสสาวะเพื่อหาว่ามีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
ตรวจเลือดเพื่อประเมินการทำงานของไต
ตรวจ Prostate-specific antigen (PSA) ค่าปกติประมาณ 0-4 นาโนกรัมต่อมิลลิลิตร
Tumor-marker ในการสืบค้นหามะเร็งของต่อมลูกหมาก
Cystoscope เพื่อดูว่ามีท่อปัสสาวะตีบตันหรือไม่ ต่อมลูกหมากโตเพียงใด และกระเพาะปัสสาวะเป็นอย่างไร
Plain kidney ureter bladder (KUB) และการทำ IVP [ intravenous pyelography]
ultrasound
Uroflowmetry เพื่อดูว่าทางเดินปัสสาวะอุดกั้นมากน้อย
การรักษา
การเฝ้าสังเกตอาการ (Watchful waiting)
รักษาโดยยา
การรักษาต่อมลูกหมากโตโดยไม่ใช้วิธีผ่าตัด
การผ่าตัดเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาต่อมลูกหมากโต
การพยาบาล
การพยาบาลหลังการผ่าตัด
กรณีได้รับยาระงับความรู้สึกทางไขสันหลัง จัดให้นอนราบและหนุนหมอนได้ อย่างน้อย 8-12 ชั่วโมง
กรณีที่ผู้ป่วยไม่มีคลื่นไส้ อาเจียน ดูแลให้ผู้ป่วยดื่มน้ำอย่างน้อย ชั่วโมงละ 1 แก้ว
บันทึกจำนวนปัสสาวะที่ขับถ่ายออกมาจริง และจำนวนสารน้ำที่ใช้ในการสวนล้าง
ดูแลให้สายสวนปัสสาวะและถุงปัสสาวะอยู่ระบบปิด
จัดให้ถุงใส่ปัสสาวะอยู่ในระดับต่ำกว่ากระเพาะปัสสาวะ
ประเมินความเจ็บปวด และให้ยาบรรเทาอาการปวด
วันแรกของการทำผ่าตัด ดูแลให้นอนพักบนเตียง ห้ามลุกนั่งเพราะอาจทำให้เลือดออกได้
สังเกตสีและจำนวนปัสสาวะที่ออกมา
คำแนะนำเพื่อการปฏิบัติตัวเมื่อกลับไปอยู่บ้าน
พักผ่อนให้เพียงพอ เดินออกกำลังกายในพื้นราบได้ งดเว้นการเดินขึ้นที่สูง ขึ้นบันไดบ่อย ๆ ห้ามแบกของหนัก
ดื่มน้ำมาก ๆ ประมาณ 2,500-3,000 ซีซีต่อวัน
ป้องกันภาวะท้องผูก
งดการมีเพศสัมพันธ์ อย่างน้อย 1-2 เดือน หลังการผ่าตัด
มาพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผลการรักษา
หากมีอาการผิดปกติหลังการผ่าตัด เช่น ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะไม่ออก หรือมีไข้ ควรรีบมาพบแพทย์
การพยาบาลก่อนการผ่าตัด
เหมือนการเตรียมผู้ป่วยผ่าตัดโดยทั่วไป
อาบน้ำสระผม เย็นวันก่อนการทำผ่าตัด
ทำความสะอาดและเตรียมบริเวณที่จะผ่าตัด โดยการโกนขนและล้างบริเวณ หัวหน่าวและฝีเย็บให้สะอาด
สวนอุจจาระก่อนนอนในคืนวันก่อนผ่าตัด
แพทย์อาจให้ยาบางชนิดก่อนผ่าตัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
ให้ยานอนหลับตามแผนการรักษา
กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
การรักษา
การรักษาเชิงพฤติกรรม (behavioral therapy)
กลั้นปัสสาวะในขณะถ่าย
ขมิบก้นในท่านั่งหรือยืน
ขมิบก้นและช่องคลอดช้า ๆ
ซิทอัพ
การรักษาโดยการใช้ยา (pharmacologic therapy)
Anticholinergic/smooth muscle relaxant
Alpha-adrenergic agonist
Conjugate estrogen , Cholinergic –agonist
Antibiotic
การรักษาโดยการผ่าตัด (surgical therapy)
หลักการพยาบาลโดยทั่วไปผู้สูงอายุที่กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
ค้นหาปัญหากลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ชนิดที่เป็น และร่วมแก้ไขสาเหตุ
ค้นหากลยุทธที่เคยใช้จัดการภาวะนี้แล้วประสบความสำเร็จ ส่งเสริมให้ใช้ต่อไป
พัฒนาแผนการดูแลเฉพาะผู้ป่วยแต่ละคน โดยใช้ข้อมูลจากการประเมิน
หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ทำให้เกิดภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
หลีกเลี่ยงการใส่สายสวนปัสสาวะคาไว้ ทำให้เกิดการติดเชื้อ
ประเมินการได้รับน้ำและวางแผนการจัดการรับน้ำอย่างเพียงพอ
รับสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม
ป้องกันอันตรายเกิดกับผิวหนัง โดยทำความสะอาดทันทีเมื่อมีการ เปรอะเปื้อน
ใช้ผลิตภัณฑ์ดูดซับอย่างระมัดระวัง
จัดให้มีกริ่งขอความช่วยเหลือและให้การช่วยเหลือทันทีที่ต้องการ
หลีกเลี่ยงการผูกยึดหรือยกไม้กั้นเตียงตลอดเวลา
ประสานกับทีมสุขภาพในกจัดอุปกรณ์การช่วยเหลือในการเคลื่อนย้ายหรือการเดินที่เหมาะสม
การพยาบาลผู้สูงอายุที่กลั้นปัสสาวะไม่ได้ชนิดต่างๆ
Stress incontinence
สอนให้บริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
Bladder training
แนะนำให้ใช้แผ่นรองซับ
ควบคุมน้ำหนัก
ประสานทีมสุขภาพ เมื่อต้องรักษาด้วยยา alpha adrenergic agonist , estrogen
ปัจจัยเกี่ยวข้องการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ
โครงสร้าง สรีรวิทยา ความสมบรูณ์ในการทำหน้าที่ของทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง
จิตใจและวัฒนธรรม: การตระหนักรู้
การใช้อุปกรณ์ในการขับถ่าย
สิ่งแวดล้อมที่ช่วยเกื้อกูลในการปัสสาวะ
ความหมาย
การสูญเสียการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ ทำให้มีปัสสาวะเล็ดราดออกมาทางท่อปัสสาวะ โดยไม่สามารถควบคุมได้และก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิต และการเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมของบุคคล
ผลกระทบที่เกิดจากภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
ด้านร่างกาย: ระคายเคืองผิวหนัง เกิดบาดแผล เสี่ยงต่อการติดเชื้อผิวหนังและทางเดินปัสสาวะ สมรรถภาพทางเพศลดลง เสี่ยงต่อการหกล้ม พักผ่อนไม่เพียงพอ
ด้านจิตใจและสังคม: คุณค่าตัวเองลดลง แยกตัวจากสังคม เกี่ยวข้องเศรษฐกิจเพราะต้องจัดซื้อผ้ารองซับปัสสาวะ คุณภาพชีวิตลดลง
ชนิดของกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่แบบชั่วคราว (Transient) หรือ แบบเฉียบพลัน (Acute): ป้องกัน รักษาให้หายได้
ใช้หลักการประเมินDIAPPERS
ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่แบบเรื้อรัง (Chronic)
แบ่งเป็น 4 ประเภท
Functional incontinence
Stress incontinence
Urge incontinence
Overflow incontinence
การประเมินภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในผู้สูงอายุ
การเปลี่ยนแปลงด้านสรีระวิทยาในวัยสูงอายุ
โรคที่เกิดขึ้นมาก่อน (Co-morbidities)
ประวัติการมีปัสสาวะราด โดยการทำ Voiding diary
ยาที่รับประทาน
การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ