Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 10 การเขียนรายงานการวิจัย, อ้างอิง นุชรินทร์ ปามูล. (2560).…
บทที่ 10
การเขียนรายงานการวิจัย
ความหมายและประโยชน์ของรายงานการวิจัย
ความหมาย
เป็นเอกสารเชิงวิชาการที่ผู้วิจัยได้จัดทำขึ้นภายหลังได้ดำเนินการ การวิจัยเสร็จสิ้นแล้ว เพื่อนำเสนอผลการวิจัยให้แก่บุคคลที่สนใจ ผู้ให้การสนับสนุนทุน/หน่วยงานต้นสังกัด หรือบุคคลที่ต้องการใช้ประโยชน์ได้รับทราบ และศึกษาข้อเสนอแนะรวมทั้งสามารถนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ได้
ประโยชน์
2.รายงานวิจัยเป็นสื่อกลางความเข้าใจ
1.รายงานวิจัยเป็นเอกสารหลักฐาน
3.รายงานวิจัยก่อให้เกิดการสั่งสมและขยายพรหมแดนขององค์ความรู้ในศาสตร์สาขาต่าง ๆ
4.รายงานวิจัยก่อให้เกิดการยกระดับหรือพัฒนาวิชาชีพ
5.เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่นักวิชาการศึกษาใช้อ้างอิงและตรวจสอบได้ ประโยชน์เชิงพานิชย์
รายงานวิจัยเป็นเอกสารที่ผู้วิจัยเรียบเรียงขึ้นหลังจากที่ได้ดำเนินการวิจัยเสร็จสิ้น
สาระของรายงานวิจัยในแต่ละหัวข้อจะมีลักษณะเฉพาะที่
ส่วนประกอบของรายงานการวิจัย
ส่วนประกอบเนื้อหา
บทที่ 1 บทนำ
1.1 ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา
1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1.3 สมมุติฐานของการวิจัย
1.4 ขอบเขตของการวิจัย
1.5 ข้อตกลงเบื้องต้น(ถ้ามี)
1.6 นิยามศัพท์เฉพาะ
1.7 ประโยชน์ที่ได้รับ
บทที่ 2 เอกสารและ
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
2.1 แนวคิด ทฤษฏีที่เกี่ยวข้อง
2.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์
ข้อมูล
บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผลและ
ข้อเสนอแนะ
ส่วนประกอบตอนท้าย
บรรณานุกรม
ภาคผนวก
2.1 ตัวอย่างเครื่องมือในการวิจัย
2.2 ตัวอย่างผลการวิเคราะห์ข้อมูล
2.3 รายชื่อที่ปรึกษา/ผู้ทรงคุณวุฒิในการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ
ส่วนหน้า
บทคัดย่อ
กิตติกรรมประกาศ
ปกใน
สารบัญ
ปกหน้า
สารบัญตาราง
สารบัญภาพ
หลักการเขียนรายงานวิจัย 5 บท
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
2. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
งานวิจัยหรือวิทยานิพนธ์ที่มีคนทําไว้แล้ว และมีส่วนเกี่ยวพันธ์หรือเกี่ยวข้องกับงานวิจัยที่กําลังจะทํา สามารถนํามาอ้างอิงได้
หมายเหตุ
การค้นคว้าต้องเขียนบรรณานุกรมอ้างอิงให้ถูกหลักไปพร้อมกัน จะได้ไม่เป็นภาระการค้นเอกสารอ้างอิงภายหลัง
การค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยต้องเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับงานวิจัยที่
กำลังจะทําโดยเฉพาะเกี่ยวกับพฤติกรรมที่จะทําวิจัย
การค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ต้องค้นคว้ามาก่อน และจะเขียนอยู่ในเค้าโครงวิจัย 3 บท (Proposal)
ควรหาวิธีเรียงเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง อาจจะเรียงตามเหตุการณ์หรือเวลาก็ได้
1. เอกสารที่เกี่ยวข้อง
ได้แก่ ทฤษฎีหรือหลักการที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยที่จะทํา ผู้วิจัยจะต้องค้นคว้าให้ได้มากพอสมควร เพื่อไม่ให้การวิจัยไปซ้ำซ้อนกับงานวิจัยของคนอื่น หรือช่วยให้การทําวิจัย มีความคมชัด ถูกทิศทางมากยิ่งขึ้น
ความทันสมัยของเอกสาร ไม่ควรเป็นเอกสารที่ผลิตมานานเกินไป เว้นแต่เอกสารที่มีคุณค่า มีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป
การอ้างอิง ต้องอ้างอิงข้อความที่นํามาใช้ให้ถูกหลักเหตุและผล การอ้างอิงเอกสารตําราต้องอ้างอิงชื่อผู้แต่ง หรือสถาบันแห่งนั้น ไม่ใช่อ้างชื่อ อิงเอกสาร ตํารา หากนําข้อความจากงานวิจัยของคนอื่น ก็ไม่ใช่อ้างอิงชื่อผู้วิจัย ต้องอ้างอิงเจ้าของข้อความจึงต้องอ้างอิงต่อให้ถึงผู้เป็นเจ้าของเอกสาร ตํารา
ลําดับเหตุการณ์ก่อน-หลัง ถ้าเป็นเรื่องของสถานศึกษา โดยเฉพาะในโรงเรียนต้องกล่าวถึงหลักสูตรที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเสมอ
บทที่ 1 บทนำ (Introduction)
เป็นการนำเข้าสู่เรื่องที่ทำการวิจัย เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจและเห็นความสำคัญของปัญหาที่ทำการวิจัย ภาษาที่ใช้จึงเป็นประโยคอดีตกาล และในบางหัวข้อมีการขยายรายละเอียดเพิ่มขึ้น หัวข้อสำคัญที่ระบุไว้ในบทนำมี ดังนี้
4. ขอบเขตของการวิจัย (Scope)
เป็นการกำหนดกรอบของเรื่องที่จะศึกษาว่าจะให้กว้าง แคบหรือครอบคลุมถึงเรื่องอะไรบ้าง เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย โดยทั่วไปขอบเขตของการวิจัยบางประเภทจะกำหนดให้ครอบคลุมเรื่องประชากร ตัวแปรที่ศึกษา ระยะเวลาที่ทำการวิจัยหาการวิจัยไว้ด้วย
5. ข้อตกลงเบื้องต้น (Basic Assumption)
เป็นการกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการวิจัยและผลการวิจัยที่ได้รับ ซึ่งจะต้องเป็นที่ยอมรับได้โดยไม่ต้องพิสูจน์ แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักเหตุผล มีหลักฐานข้อเท็จจริงสนับสนุนอ้างอิงและเชื่อถือได้ ในการวิจัยแต่ละเรื่องจะมีหรือไม่มีข้อตกลงเบื้องต้นก็ได้
3. สมมุติฐานการวิจัย (Research Hypothesis)
เป็นข้อความที่คาดคะเนคำตอบของปัญหาวิจัยไว้ล่วงหน้าอย่างมีเหตุผล โดยศึกษาแนว คิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นฐานความคิดในการตั้งสมมติฐาน แนวทางการเขียนให้ยึดหลักการเขียนเช่นเดียวกับการเขียนโครงการวิจัย
6. ข้อจำกัดการวิจัย (Limition)
หรือความไม่สมบูรณ์ของการวิจัย เป็นการเขียนปัญหาความคลาดเคลื่อนในสิ่งที่อาจจะมีผลกระทบต่อการวิจัยโดยผู้วิจัยได้
2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย (Objective)
เป็นการเขียนความต้องการหรือเป้าหมายที่ทำการศึกษาค้นคว้าหาคำตอบโดยกระบวนการวิจัย ดังนั้น การเขียนวัตถุประสงค์การวิจัยจึงต้องเขียนสิ่งต้องการทำปัญหาวิจัย ไม่ใช่เขียนสิ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้น หรือประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย แนวทางการเขียนให้ยึดหลักการเขียนเช่นเดียวกับการเขียนโครงการวิจัย
7. คำนิยามศัพท์เฉพาะ (Significance of the study)
เป็นการให้ความหมายของคำถาม ข้อความหรือตัวแปรที่ศึกษาเฉพาะงานวิจัยของแต่ละเรื่อง ให้เกิดความเข้าใจตรงกันระหว่างผู้วิจัยกับผู้อ่านงานวิจัย โดยให้มีความหมายตรงกับความหมายตามหลักวิชาการ มีความชัดเจน และอยู่ในรูปของนิยามเชิงปฏิบัติการที่สามารถวัดหรือสังเกตได้
1. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
เป็นการเขียนถึงภูมิหลังที่มาของปัญหาที่จะทำการวิจัย จะเริ่มต้นด้วยการนำเข้าสู่ปัญหาการวิจัย อธิบายที่มาของปัญหาวิจัย ระบุปัญหาและลงสรุปด้วยความสำคัญของปัญหาวิจัย
8. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับหรือความสำคัญของการวิจัย
เป็นการอธิบายถึงความสำคัญหรือประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับหลังจากดำเนินการวิจัยเรื่องงานสำเร็จแล้ว
บทที่ 3 วิธีดําเนินการวิจัย
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
1.2 ถ้างานวิจัยครั้งนี้เป็นการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบอาศัยความน่าจะเป็น
(Probability) ) จะเรียกว่า การสุ่ม (Random) การเขียนเกี่ยวกับกลุ่มตัวอย่าง จะเพิ่มขั้นตอนการเลือกกลุ่มตัวอย่างเป็น 2 ขั้น ได้แก่
ขั้นที่ 1 เป็นการกําหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง (ไม่ได้ขึ้นกับวิธีการเลือกหรือ
วิธีสุ่ม) นิยมอ้างอย่างใดอย่างหนึ่งจาก 3 แบบ (ใช้ตารางสําเร็จรูป หรือใช้เกณฑ์หรือใช้สูตร)
ขั้นที่ 2 เป็นการเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยวิธีสุ่มแบบใดแบบหนึ่ง
1.1 ถ้างานวิจัยครั้งนี้เป็นการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบไม่อาศัยความน่าจะเป็น(Non Probability) ข้อความจะเหมือนกับข้อความในบทที่ 1 โดยนิยมใช้การเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling)
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล มักจะเป็นแผนการสอน แบบทดสอบ
แบบสอบถาม แบบวัด การสัมภาษณ์ หรือการสังเกต
การสร้างและตรวจสอบเครื่องมือ การทําวิจัยมีขั้นตอนสําคัญมากตอนหนึ่งก็คือ เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูล ต้องมีคุณภาพมิฉะนั้น ข้อมูลที่ได้ก็เละเทะ
การเก็บรวบรวมข้อมูล ระบุวันเวลา ว่าเก็บข้อมูลเมื่อไร อย่างไร
การวิเคราะห์ข้อมูล ระบุลําดับขั้นการวิเคราะห์ข้อมูลว่าจะทําอย่างไร
สถิติที่ใช้
กลุ่มที่ 2 สถิติพื้นฐาน มักจะได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD)
กลุ่มที่ 3 สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมุติฐาน (ถ้ามี)
กลุ่มที่ 1 สถิติที่ใช้ในการตรวจสอบเครื่องมือ เช่น สูตรการหาค่าความเที่ยงตรง ทั้งฉบับ สูตรการหาค่าความยากรายข้อ ค่าอํานาจจําแนกรายข้อ และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
ส่วนที่ 2 ขั้นตอนการนําเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล คือจะแบ่งเป็นกี่ตอน จัดลําดับอย่างไร
ส่วนที่ 3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ถ้าเป็นข้อมูลเชิงปริมาณ มักจะเสนอในรูปของตาราง
ส่วนที่ 1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล
บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
เป็นการกล่าวถึงจุดมุ่งหมาย(หรือหัวข้ออื่น ๆ ด้วย) และสรุปผลการวิจัย ซึ่งย่อมาจากบทที่ 4 (หากจะอ่านผลงานวิจัยที่สั้นกว่านี้ก็คืออ่านในบทคัดย่อ)
สิ่งที่สําคัญมากที่สุดในบทนี้ก็คือ การอภิปรายผล ซึ่งผู้วิจัยต้องแสดงความสามารถในการวิจารณ์ ถึงเหตุและผลของการวิจัยที่ค้นพบว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะอะไร หรือทําไมจึงได้ผล เช่นนั้น
ข้อเสนอแนะให้กับผู้ที่จะทําวิจัย หรือการนําผลงานวิจัยไปใช้ ต้องเสนอแนะตาม ผลที่เกิดจากผลของการวิจัยเท่านั้น
หลักการนำเสนอผลงานวิจัย ด้วยโปสเตอร์ วาจา ฯลฯ
เป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการวิจัยซึ่งจะต้องนำเสนอข้อมูลรายละเอียดทั้งหมดของการดำเนินการวิจัยไว้เป็นหลักฐาน
การเตรียมการนำเสนอ
การวางแผนการนำเสนอ
เตรียมการพูด กล่าวนำ
เตรียมเนื้อหาของการนำเสนอ
เตรียมรายงานถึงสรุปผลการวิจัยเตรียมการตั้งคำถาม
การนำเสนอ
สิ่งที่พึงปฏิบัติ
การพูดออกเสียงชัดเจน
วางแผนกำหนดโครงร่างอย่างรอบคอบ
วางแผนเวลาที่ใช้นำเสนอ
มีการเตรียมนำเสนออย่างจริงจัง
วางแผนการใช้สื่อ
สิ่งที่ไม่พึงปฏิบัติ
อย่าใช้วาจาดูถูกผู้ฟัง
อย่าอ่านเอกสารเองคำพูด
อย่าใช้อุปกรณ์ที่ไม่เกิดความคล่องแคล่ว
อย่านำเสนอตารางที่มีความซับซ้อน
ไม่ควรใช้เวลาเกินกำหนด
ตัวอักษรในการนำเสนอหรือในโปสเตอร์ต้องเป็นตัวอักษรที่เห็นได้ชัดเจนไม่ตัวเล็กจนเกินไป
รูปภาพที่ใส่ประกอบในโปสเตอร์ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะนำเสนอวิจัย
หลักการเขียนบทความวิจัย
1.ความถูกต้อง (Accuracy)
2.ความกะทัดรัด (Concis)
3.ความชัดเจน (Clarity)
4.ความสอดคล้อง (Consistency)
5.การเน้นความสำคัญ>>>กำหนดประเด็นอย่างชัดเจน
6.ความต่อเนื่อง
7.การใช้ภาษาที่ถูกต้อง
อ้างอิง
นุชรินทร์ ปามูล. (2560). การเขียนรายงานและการนำเสนองานวิจัย. สืบค้น 13 กรกฎาคม 2563, จาก
https://sites.google.com/site/nangsawnuchrinthrpamul/bth-reiyn-wichakar-wicay/bth-thi-8
สมนึก ภัททิยธนี. (2557). หลักการเขียนรายงานวิจัย 5 บท. สืบค้น 13 กรกฎาคม 2563, จาก
https://edu.msu.ac.th/jem/home/journal_file/434.pdf
สน สุวรรณ. (2556). การเขียนรายงานการวิจัยแบบฉบับสมบูรณ์. สืบค้น 13 กรกฎาคม 2563, จาก
https://suwanlaong.wordpress.com
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี. (2258). รายงานการวิจัย. สืบค้น 13 กรกฎาคม 2563, จาก
http://www.udru.ac.th/oldsite/attachments/elearning/01/13.pdf
นางสาวมาติกา สุวรรณทอง เลขที่ 66
รหัสนักศึกษา 61116301065