Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การบริหารยากินและยาเฉพาะที่ - Coggle Diagram
การบริหารยากินและยาเฉพาะที่
วัตถุประสงค์ของการให้ยา
เพื่อการป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ
เช่น ฉีดวัคซีนบีซีจีเพื่อป้องกันวัณโรค
ให้วิตามินเพื่อบำรุงร่างกายให้แข็งแรง
เพื่อการตรวจวิเคระห์โรค
กลืนแป้งเบเรี่ยม ซัลเฟต
การฉีดไอโอดีนทึบรังสีเข้าทางหลอดเลือดดำ
เพื่อการรักษา
รักษาเฉพาะโรค
ทดแทนสิ่งที่ร่างกายขาด
รักษาตามอาการ
ให้ร่างกายทำงานนปกติ
ปัจจัยที่มีผลต่อการออกฤทธิ์ของยา
ภาวะจิตใจ
ภาวะสุขภาพ
กรรมพันธุ์
ทางที่ให้ยา
เพศ
เวลาที่ให้ยา
อายุ และน้ำหนักตัว
สิ่งแวดล้อม
ระบบการตวงวัดยา
ระบบเมตริก
1 กรัม * = 1000 มิลลิกรัม (mg)
1 มิลลิกรัม * = 1000 ไมโครกรัม (mcg)
1 กิโลกรัม * = 1000 กรัม(gm)
1 กรัม = 1 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 ลิตร = 1000 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
การเปลี่ยนหน่วยระบบอโพทีคารี เป็น ระบบเมตริก
1 แดรม (dram) 4 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 แดรม 4 กรัม
1 เกรน (grain) * 60 มิลลิกรัม (mg)
1 ออนซ์ * 30 กรัม (30 ซี.ซี.)
15 เกรน (grain) 1 กรัม (gram) gm
1 ปอนด์ 450 กรัม
2.2 ปอนด์ 1000 กรัม (1 กิโลกรัม)
ระบบมาตราตวงวัดประจำบ้าน
1 ช้อนหวำน 8 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 ช้อนโต๊ะ * 15 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 ช้อนชำ * 5 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 ถ้วยชำ 180 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
15 หยด * 1 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 ถ้วยแก้ว 240 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
ระบบอโพทีคารี
3 สครูเปิล (scruple) = 1 แดรม (dram)
8 แดรม (dram) = 1 ออนซ์ (ounce)
20 เกรน (grain) = 1 สครูเปิล (scruple)
12 ออนซ์ (ounce) = 1 ปอนด์ (pound)
คำสั่งแพทย์ คำนวณขนาดยา
ความถี่การให้ยา
tid = วันละ 3 ครั้ง
qid =วันละ 4 ครั้ง
bid = วันละ 2 ครั้ง
q 6 hrs = ทุก 6 ชั่วโมง
OD = วันละ 1 ครั้ง
วิถีทางการให้ยา
ID เข้าชั้นระหว่างผิวหนัง
subling อมใต้ลิ้น
V เข้าหลอดเลือดดำ
Inhal ทางสูดดม
SC เข้าชั้นใต้ผิวหนัง
Nebul พ่นให้สูดดม
M เข้ากล้ามเนื้อ
Supp เหน็บ/สอด
O รับประทานทางปาก
instill หยอด
เวลาการให้ยา
h.s. ก่อนนอน
p.r.n. เมื่อจำเป็น
p.c. หลังอาหาร
stat ทันทีทัน
a.c.ก่อนอาหาร
คำสั่งแพทย์
การเขียนคำสั่งแพทย์
คำสั่งใช้ภายในวันเดียว (Single order of order for one day)
คำสั่งที่ต้องให้ทันที (Stat order)
คำสั่งครั้งเดียวใช้ได้ตลอดไป (Standing order / order for continuous)
คำสั่งที่ให้เมื่อจำเป็น (prn order)
ลักษณะคำสั่งแพทย์ตามทางวิถีทางการให้ยา
ทางผิวหนัง (skin)
ทางกล้ามเนื้อ (intramuscular)
ทางเยื่อบุ (mucous)
ทางชั้นผิวหนัง (intradermal)
ทางสูดดม (inhalation)
ทางหลอดเลือดดำ (intravenous)
ทางปาก (oral)
ทางใต้ผิวหนัง (subcutaneous / hypodermal)
รูปแบบการบริหารยา
Right patient/client (ถูกคน)
Right time (ถูกเวลา)
Right route (ถูกวิถีทาง)
Right documentation (ถูกการบันทึก)
Right dose (ถูกขนาด)
Right drug (ถูกยา)
Right to refuse
Right History and assessment
Right Drug-Drug Interaction and Evaluation
Right technique (ถูกเทคนิค)
Right to Education and Information
กระบวนการพยาบาลในการบรหาร
ยาทางปากและยาเฉพาะที่
การวางแผนการพยาบาล
หลังจากได้ข้อมูลและปัญหาหรือข้อบ่งชี้ในการให้ยาแล้วทำการวางแผนหาวิธีการว่าจะให้ยาอย่ำงไร
การประเมินผล
เนื่องจากยาที่ให้นอกจากจะมีผลทางการรักษา
แล้วยังอาจทำให้เกิดปฏิกิริยาที่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้
หลังจากให้แล้วต้องกลับมาตามผลทุกครั้ง เพื่อดูผลของยำ
การวินิจฉัยการพยาบาล
จัดหมวดหมู่ข้อมูลที่เป็นปัญหา
ดูว่าผู้ป่วยมีปัญหาหรือไม่มีปัญหา
จะได้รับยาขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ประเมินมาได้
ในขั้นตอนแรก แล้วให้การวินิจฉัยพยาบาล
การปฏิบัติการพยาบาล
ปฏิบัติการให้ยาตามแผนที่วางไว้ไปปฏิบัติ โดยยึดหลักความถูกต้อง 7 ประการ
คำนึงถึงบทบาทพยาบาลในการให้ยาตามที่ได้กล่าวข้างต้น
การประเมินสภาพ
หาข้อมูลเกี่ยวกับตัวผู้ป่วยและยาที่จะให้ผู้ป่วย
ต้้องทรำบข้อมูลเกี่ยวกับกำรแพ้ยา ภาวะขณะที่จะให้ยา
ศึกษาข้อมูลผู้ป่วยเกี่ยวกับการเจ็บป่วยและการรักษาและซักประวัติต่าง ๆ
ประเมิน
ประเมินดูว่ำผู้ป่วยมีข้อห้ามในการให้ยาทางปากหรือไม่
ประวัติการแพ้ยา
ประเมินผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อดูหน้ำที่การทำงานนของ ตับ ไต
การได้รับสารน้ำเพียงพอหรือไม่
การปฏิบัติตัวในการได้รับยา
ความรู้ความเข้าใจเรื่องยาที่ได้รับ
สมรรถนะของพยาบาลในการใช้ยาอย่างสมเหตุผล
สามารถให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการใช้ยาได้อย่างเพียงพอ
สามารถติดตามผลการรักษา และรายงานผลข้างเคียงที่อำจเกิดขึ้นจากการใช้ยาได้
บริหารยาตามการสั่งใช้ยาได้อย่างถูกต้อง
ตรวจสอบและคำนวณการใช้ยาให้ถูกต้อง
คำนึงถึงโอกาสที่จะเกิดการใช้ยาผิด
สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัยทั้งต่อผู้ป่วย และไม่เกิดผลกระทบต่อสังคมโดยรวม
สามารถสื่อสารเพื่อให้ผู้ป่วยร่วมตัดสินใจในการใช้ยา
ชี้แจงทางเลือกในการรักษา
ทำความเข้าใจกับการร่วมปรึกษาหาหรือก่อนใช้ยา
สามารถใช้ยาได้อย่างเหมาะสม ตามความรู้ความสามารถทางวิชาชีพ และเป็นไปตามหลักเวชจริยศาสตร์
สามารถร่วมพิจารณาการเลือกใช้ยาได้อย่างเหมาะสมตามความจำเป็น
พิจารณาข้อมูลที่สำคัญของผู้ป่วยเพื่อประกอบการปรับขนาดยา หยุดการให้ยาหรือเปลี่ยนยา
ประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ของการใช้ยาและไม่ใช้ยา
พิจารณาข้อมูลที่สำคัญของผู้ป่วยกับการเลือกใช้ยาหรือการรักษาแบบไม่ใช้ยา
ใช้ความรู้ด้านเภสัชศาสตร์ของยาที่อาจมีการเปลี่ยนแปลง
พิจารณาโรคร่วม ยาที่ใช้อยู่ การแพ้ยา ข้อห้ามการใช้ยา และคุณภาพชีวิต
คำนึงถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาของผู้ป่วย
พัฒนาความรู้ให้เป็นปัจจุบัน
เข้าใจเรื่องเชื้อดื้อยา และแนวทางการป้องกันและควบคุมเชื้อดื้อยา
สามารถพัฒนาความรู้ความสามารถในการใช้ยา ได้อย่างต่อเนื่อง
สะท้อนคิดการบริหารยาของตนเองและการสั่งยาของผู้เกี่ยวข้อง
เข้าใจและใช้เครื่องมือหรือกลไกที่เหมาะสม
สามารถประเมินปัญหาผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยา หรือมีความจำเป็นต้องใช้ยาในการรักษา
ประเมินอาการข้างเคียงจากการใช้ยา
ประเมินอาการที่ดีขึ้นหรือเลวลง
การประเมินประวัติโรคประจำตัว ประวัติการใช้ยา และประวัติการแพ้ยา/แพ้อาหาร
ติดตามความร่วมมือในการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง
การส่งต่อ
สามารถทำงานร่วมกับบุคลากรอื่นแบบสหวิชาชีพ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ยาอย่างสมเหตุผล
บทบาทพยาบาลในการให้ยาผู้ป่วย
เมื่อผู้ป่วยเข้ามานอนรักษาในครั้งแรก
การซักประวัติ จะถามเรื่องการแพ้ยาทุกครั้ง
เมื่อมีคำสั่งใหม่ หัวหน้าเวร ลงคำสั่งในใบ MAR ทุกครั้ง
การจัดยาให้ระมัดระวังในการจัดยา
เวรบ่าย พยสบสลจะตรวจสอบร่ายการยาในใบ MAR กับคำสั่งแพทย์ให้ตรงกัน และดูยาในช่องลิ้นชักยาอีกครั้ง
กรณีผู้ป่วยที่ NPO ให้มีป้าย NPO และเขียนระบุว่า NPO เพื่อผ่าตัดหรือเจาะเลือดเช้า ให้อธิบายและแนะนำผู้ป่วยและญาติทุกครั้ง
กรณีคำสั่งสารน้ำ+ยา B co 2 ml ให้เขียนคำว่า +ยา B co 2 ml ด้วยปากกาเมจิก
การจัดยาจะจัดตามหน้าชองยาหลังจากตรวจสอบความถูกต้องแล้ว
มีผู้จัด-ผู้ตรวจสอบ คนละคนกันตรวจสอบช้ำก่อนให้ยา
การแจกยาไล่แจกยาตามเตียงพร้อมเซ็นชื่อทุกครั้งหลังให้ยา
ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา
ความคลาดเคลื่อนในการคัดลอกคำสั่งใช้ยา (Transcribing error)
พยาบาลลอกคำสั่งแพทย์หรืออ่านคำสั่งแพทย์ไม่ถูกต้อง
คัดดกรองการลง
ข้อมูลยาในคอมพิวเตอร์ไม่ครอบคลุม หรือคัดกรองข้อมูลผิดพลาด
เจ้าหน้าที่ห้องยา/เภสัชกร อ่านคำสั่งแพทย์ไม่ถูกต้อง
ความคลาดเคลื่อนในการจ่ายยา (Dispensing Error)
ความคลาด เคลื่อน
ในกระบวนกำรจ่ายยำของกลุ่มงานเภสัชกรรม
จ่ายยำไม่ถูกต้องตามที่ระบุในคำสั่งใช้ยา
ความคลาดเคลื่อนในการสั่งใช้ยา (Prescription error)
ผิดวิถีทาง
ผิดความถี่
สั่งยาผิดชนิด
สั่งยาที่มีประวัติแพ้
สั่งยาผิดขนาด
ลายมือไม่ชัดเจน
ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา (Administration error)
การให้ยาผิดขนาด (Wrong-dose or Wrong-strength error)
การให้ยาผิดเวลา (Wrong-time error)
การให้ยาผู้ป่วยผิดคน (Wrong patient)
การให้ยามากกว่าจำนวนครั้งที่สั่ง (Extra-dose error)
การให้ยาซึ่งผู้สั่งใช้ยาไม่ได้สั่ง (Unordered or unauthorized drug)
การให้ยาในอัตราเร็วที่ผิด (Wrong rate of administration error)
การให้ยาผิดชนิด (Wrong drug error)
การให้ยาผิดเทคนิค (Wrong technique error)
การให้ยาไม่ครบ (Omission error)
การให้ยาผิดรูปแบบยา (Wrong dosage-form error)
กำรให้ยาผิดวิถีทาง (Wrong-route error)
การให้ยาทางปากและยาเฉพาะที่
การให้ยาทางปาก
ควรปฏิบัติในการให้ยาทางปาก
ยาชนิดผงให้ใช้ช้อนตวงปาดแล้วเทใส่แก้วยา
ยาจิบแก้ไอควรให้ภายหลังรับประทานยาเม็ด
การให้ยาเม็ดในเวลาเดียวกัน สามารถรวมกันได้
ยาลดกรดในกระเพาะอาหารควรให้อันดับสุดท้าย
ยาที่ระคายเคืองทางเดินอาหารให้กินหลังอาหารหรือนม
ยาอมใต้ลิ้น ควรให้หลังจากรับประทานยาทุกชนิดแล้ว และแนะนำให้ห้ามกลืนหรือเคี้ยวยา
การเตรียมยาตามขั้นตอน
ยาชนิด Unit dose (ยาที่จัดมาเป็นแบบวันต่อวัน)
ยาที่หุ้มมาด้วย Foil ให้แกะยาที่เตียงของผู้ป่วย
Foil ที่ห่อหุ้มยาไว้จะช่วยป้องกันไม่ให้ยาโดน
ยาชนิด Multidose ค่อยๆ เทยาจากซองยาหรือขวดที่บรรจุยาหรือ Foil โดยที่ไม่ให้มือสัมผัสยา
ยาน้ำ ให้หันป้ายยาหรือฉลากยาเข้าหาฝ่ามือ
ถือแก้วยาให้อยู่ระดับสายตา
ก่อนรินยาต้องเขย่ายาให้เข้ากันก่อน
ดูชื่อ ขนาดยาให้ตรงกับใบ MAR อีกครั้งก่อนเก็บยาเข้าที่
ให้ผู้ป่วยรับประทำนยาตรงตามเวลาในใบ MAR
แจกยาให้ผู้ป่วยรับประทานภายในเวลาที่กำหนด
ประเมินสัญญาณชีพผู้ป่วยก่อนให้ยา
สังเกตการเปลี่ยนแปลงหลังรับประทานยา
บันทึกในแผนการพยาบาลและในใบ MAR ทุกครั้งหลังให้ยา
ดูเบอร์เตียง ถามชื่อ -สกุลผู้ป่วยให้ตรงกับใบ MAR ของผู้ป่วยแต่ละราย
ให้ผู้ป่วยรับประทานยาต่อหน้าพยาบาล
การให้ยาเฉพาะที่
การให้ยาทางหู (Ear instillation)
เป็นการหยอดยาเข้าไปในช่องหูชั้นนอก
ยาที่ใช้เป็นยาน้ำออกฤทธิ์เฉพาะเยื่อบุในช่องหู
การเหน็บยา
เหน็บยาทางทวารหนัก (Rectum suppository)
ผู้ป่วยนอนตะแคงข้างซ้าย
ยกแก้มก้นผู้ป่วยขึ้นจนเห็นรูทวารหนักชัดเจน
เหน็บยาทางช่องคลอด (Vaginal suppository)
ผู้ป่วยนอนหงาย
พยาบาลใส่ถุงมือปราศจากเชื้อแล้วสอด
ใส่เม็ดยาหรือแท่งเข้าไปทางช่องคลอด
ใช้นิ้วชี้ดันยาเข้าไปลึกประมาณ 2-3 นิ้ว หรือจนเกือบสุดนิ้วชี้
การให้ยาทางตา (Eye instillation)
การใช้ยาบริเวณตาจึงต้องคำนึงถึงความสะอาดเป็นสำคัญ
ยาที่ใช้กับตามีทั้งยาหยอดตา ป้ายตา และยาล้างตา
การหยอดยาจมูก (Nose instillation)
ให้ผู้ป่วยเงยหน้าขึ้น และพยาบาลยกปีกจมูก
หยดยาผ่านทางรูจมูกห่างประมาณ 1-2 นิ้ว
ผู้ป่วยอยู่ในท่าเดิมประมาณ 5 -10 นาที เพื่อป้องกันยาไหลย้อนออกมา
การสูดดม (Inhalation)
เป็นการให้ยาในรูปของก๊าซ (Gas) ไอระเหย (Vapor) หรือละออง (Aerosol)
การดูดซึมยาจะเร็ว